เมื่อวันเดือน ๖ ดับ
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2540
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๐

เมื่อวันเดือน ๖ ดับ

ตำราท่านแสดงเอาไว้ว่า ผู้ที่ควรแก่การสร้างเจดีย์สถานให้เป็นปูชนียบุคคลหรือเป็นปูชนียสถานที่กราบไหว้บูชาก็มีอยู่ ๔ ประเภทด้วยกัน ท่านแสดงไว้ในตำราคือ พระพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ พระอรหันต์ ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑ มี ๔ ประเภท ๔ ประเภทนี้ควรสร้างเจดีย์ขึ้นไว้ในที่ชุมนุมชน ในทางสามแยกสี่แยกที่ชุมนุมชนให้เขาได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจเขา ท่านแสดงไว้ในตำรา นอกนั้นท่านไม่แสดง แต่มาสมัยทุกวันนี้กบตัวหนึ่งตายก็ก่อเจดีย์ หนูตัวหนึ่งตายก็ก่อเจดีย์ เลยขี้เกียจร่ำรี่ร่ำไรกับพวกหนูพวกกบพวกเขียดนี้ว่ะ แล้วนิมนต์เราไปด้วยนะเจดีย์นั้นเจดีย์นี้ ไปสมโภชนั้นสมโภชนี้ ไม่ไป สุ่มสี่สุ่มห้าไม่เอา อะไรก็ก่อแต่เจดีย์ ๆ เอาเรื่องหัวใจเข้าไปว่าธรรมเลยไม่มี

ต้องมีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ์ซิ ผู้ที่ควรจะกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจเป็นเวลานาน ๆ แก่กุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ท่านก็แสดงเอาไว้แล้ว อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน พระปัจเจกพุทธเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิ มี ๔ ประเภท นี่ท่านแสดงไว้ในตำราจริง ๆ แล้วให้ก่อในสถานที่ชุมนุมชน ทางสามแยกสี่แยกท่านบอกไว้ ให้เขาได้กราบไหว้บูชา มองเห็นแพล็บเดียวว่าเจดีย์ของท่านผู้ใดเท่านั้นจิตก็เกิดเป็นกุศลแล้ว ๆ ไม่ถึงกับได้กราบไหว้แหละ เพียงมองไปเห็นเท่านั้นเองก็เป็นกุศลขึ้นแล้ว

นี่เวลาหลวงตาบัวตายให้เอาสาดเหี้ยน เข้าใจไหมสาดเหี้ยน สาดเหี้ยนเสื่อเหี้ยนพันแล้วโยนลงเหวนะ อย่าให้แมลงวันแมลงวนมันกวน มันกวนตลอดนี่นะเราเบื่อแล้ว จิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเรื่องทั้งหลายมายุ่งมันเข้ากันไม่ได้นะ เราพูดตรง ๆ ให้ฟังอย่างนี้แหละ นี่มันจวนตายแล้วแต่ก่อนเราไม่เคยพูด เคยพูดให้ลูกศิษย์ฟังอยู่เสมอคำนี้น่ะ ไม่เคยพูด บอกจนกระทั่งสถานที่ ระยะนี้ได้บอกนะ สถานที่เป็นยังไงฟัดกันกับกิเลส ใครหงายท้อง ก็ได้บอกสถานที่ แต่ก่อนไม่ ถ้าเขียนก็เขียนในหนังสือที่ออกจากเทปถอดจากเทปไปอ่านกันบ้างอย่างนั้น จะให้เจ้าของเล่าให้ฟังเป็นสาธารณะส่วนรวมอย่างนี้เราไม่เคยเล่า ได้เป็นเวลา ๔๗ ปีนี้แล้ว

ปีพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพปีนั้นละ เป็นปีที่เวทีขันธ์ของพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็พัง เวทีวัฏจักรของหัวใจเราก็พังลงในระยะเดียวกันไล่เลี่ยกัน แล้วก็พูดให้ฟังว่าเกิดความท้อใจ นี่จึงได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานาน ๑๖ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง ๔ อสงไขยบ้าง กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้นทรงท้อพระทัยเลยที่จะสั่งสอนสัตว์โลก เลยไม่ตรงกับคำที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนโลก ความรู้ความเห็นความเป็นในพระจิตของพระพุทธเจ้านั้น กับความปรารถนาที่ยังเป็นคนมีกิเลสอยู่นั้นต่างกัน เวลาสิ้นกิเลสแล้วกับเวลาที่ปรารถนามาทั้ง ๆ ที่ใจมีกิเลสอยู่นั้นต่างกันขนาดไหน เราคาดไม่ถูก โลกนี้คาดไม่ถูก เอาสามโลกธาตุนี้มาคาดความเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ คาดไม่ถูกทั้งนั้น ว่าเลิศก็เลยเลิศไปเสีย ว่าเลอก็เลยเลอ ทุกสิ่งทุกอย่างเลยไปหมด เลยสมมุติไปหมดทุกอย่าง

นี่จึงได้เตือน พูดเตือน เตือนด้วยความจริงใจด้วย สอนโลกก็สอนด้วยความจริงใจด้วย สอนเด็ดสอนเดี่ยว ควรจะเด็ด-เด็ดเต็มที่ เหมือนขาดสะบั้นเลย กิเลสนั่นละขาดสะบั้น เราสอนเฉพาะอย่างยิ่งสอนพระสอนเณรในวัดป่าบ้านตาดนี้เผ็ดร้อนมาก สอนเต็มเหนี่ยวเลย เราไม่ได้มีอะไรไว้ในพุงในไส้ของเราเลยละ ถอดออกมาเปิดให้พระฟังหมด สถานที่ก็เล่าให้ฟังโดยเฉพาะองค์สององค์เท่านั้นไม่ได้พูดทั่วไปอย่างนี้ นี้จวนจะตายแล้วพูดเสียบ้างเป็นอะไรไป เราหาเงินมาได้ ๕ บาท เราบอกว่าเราได้เงิน ๕ บาทผิดไปตรงไหน เราหามาได้ ๑๐ บาทเราบอกว่าได้เงิน ๑๐ บาท วันนี้หาได้ ๑๐ บาทผิดไปตรงไหน นี่เราหาอรรถหาธรรมเราได้มากได้น้อยขนาดไหน เราพูดตามสมบัติแห่งธรรมทั้งหลาย ให้ผู้ที่เจตนาหวังอรรถหวังธรรมเหมือนกับผู้ที่หาเงินด้วยกันเล่าสู่กันฟังเท่านั้น เสียหายไปตรงไหนพิจารณาซิ

จะให้แต่กิเลสมันโจมตีเอาหรือ พอพูดแย็บออกมาอย่างนี้กิเลสมันจะโจมตีนะ หาว่าโอ้ว่าอวดไปแปลก ๆ ต่าง ๆ เรื่องกองทัพกิเลสมันอยู่ในหัวใจของคนนั่นน่ะ มันไม่ยอมฟังความจริงนะ มันจะเอาแต่ของจอมปลอมละไป หาว่าท่านพูดโอ้พูดอวดพูดโกหกหลอกลวงโลก มันหากเป็นในหัวใจของคนผู้เป็นอย่างนั้นแหละ ผู้ไม่เป็นก็ไม่เป็น อย่างเรานี่เราพูดตรง ๆ บอกว่าเราไม่เป็น เราพูดตามความจริงนี้ ใครจะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตามความจริงมีอย่างนี้ เราจะพูดอย่างนี้ เราพูดด้วยความอาจหาญด้วย ทั้ง ๆ ที่เวลาเป็นจริง ๆ เราก็อาจหาญด้วย เป็นจริง ๆ คือยังไง เวลาจะตายเราก็อาจหาญ เราไม่มีความสะทกสะท้านกับความเป็นความตายนี้เลย

เราเรียนจบหมดแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ ฟังมาซิ ปี ๒๔๙๓ เดือน ๖ วันสิ้นเดือน ๖ เลยแหละ วันดับกิเลสก็ดับพร้อมกันเลย ฟ้าดินถล่ม แล้วท้อใจไม่ได้นอนทั้งคืนคืนวันนั้น ท้อใจการที่จะพูดอรรถพูดธรรมที่เป็นอยู่รู้อยู่เวลานี้ให้โลกทั้งหลายฟัง เขาก็จะหาว่าเรานี้เป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งสงสาร พูดไปเกิดประโยชน์อะไร คิดแล้วคิดเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วใครจะรู้ได้ใครจะเห็นได้ธรรมประเภทนี้ พูดให้ใครฟังเขาก็จะหาว่าเราเป็นบ้าไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วสุดท้ายก็เขาจะเป็นบ้าเราไม่เป็น เราพูดความจริงรู้ความจริง ท้อใจ สงสารโลกก็สงสารเต็มกำลัง น้ำตานี้พัง ๆ

คืนวันนั้นไม่ได้นอนทั้งคืน ฟังให้ดี นี่ละคืนไม่นอนทั้งคืน คืนนั้นกราบพระพุทธเจ้านะ ถ้ามีคนมาเห็นเราเวลานั้นเขาจะว่าเราเป็นบ้าอีกขั้นหนึ่งเหมือนกันนะ ไม่ทำอะไรคืนวันนั้น กราบแต่พระพุทธเจ้า กราบระลึกถึงบุญถึงคุณของพระพุทธเจ้าว่าพ้นขึ้นมาได้ยังไงถึงขนาดนี้ มันหนักมันหนาขนาดนี้ กิเลสยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก แล้วไปแบกภูเขาทั้งลูกคว่ำหงายลงไปได้ยังไง พระพุทธเจ้ายกภูเขาทั้งลูกคว่ำลงได้ พระสาวกอรหันต์ท่านยกภูเขาทั้งลูกคว่ำลงได้ แล้วโลกคนไหนน่ะจะไปยกภูเขาทั้งลูกคว่ำลงได้ นี่ละมันก็ท้อใจ แล้วจะทำยังไง อ้าว ยกไม่ได้ก็ถอดเอาถอนเอา ต้นไหนที่เป็นสาระสำคัญอยู่ในภูเขาลูกนั้น ถอดเอาถอนเอา คือรายไหนจะเป็นประโยชน์แก่ในวัฏจักรซึ่งเป็นเหมือนภูเขาทั้งลูกนี้ เอ้า ถอดเอาถอนเอา นั่นละพระพุทธเจ้าจึงทรงมีแก่พระทัยที่จะสั่งสอนสัตวโลก ยกเอาภูเขาทั้งลูกไม่ได้ก็ถอดเอาถอนเอา ๆ ที่ต้นไหนมันจะเป็นประโยชน์ถอดเอา

แล้วก็ทรงมาพิจารณาถึงเรื่องพระองค์เองว่า เมื่อเลยโลกเลยสงสารเลยทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียอย่างนี้แล้ว เราจะสอนใครได้และใครจะรู้ได้ ทรงรำพึงรำพันพินิจพิจารณาทวนหน้าทวนหลังไป ก็มาเห็นเงื่อนที่ว่าใครจะรู้ได้อย่างนี้ ก็ย้อนมาพิจารณาเจ้าของเอง ก็เราทำไมรู้ได้ เราเป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมาจากไหน ก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไป ทำไมเรารู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุผลกลไกอะไร ก็มีปฏิปทาซิที่นี่ เครื่องดำเนิน ก็รู้ได้เพราะเหตุนั้น ๆ การดำเนินการแนะนำสั่งสอนโลกสั่งสอนอย่างนั้น ๆ โลกก็จะค่อยรู้ได้เป็นไปได้ อ๋อ พอเป็นไปได้แหละ ก็ทรงมีพระทัยที่นี่ เมื่อสั่งสอนตามแนวทางที่พระองค์ทรงดำเนินมาแล้ว สัตวโลกก็จะรู้ได้เห็นได้ตามกำลังความสามารถของตน จากนั้นก็เลยพอมีแก่พระทัยที่จะสั่งสอนสัตวโลก

จากนั้นท้าวมหาพรหมก็มาอาราธนาว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ ขออาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงสั่งสอนสัตวโลก เพราะผู้ที่มีธุลีเบาบางยังมีอยู่มาก ขออย่าปล่อยอย่าทิ้งสัตวโลกไปเลย อย่าด่วนปล่อย ให้แนะนำสั่งสอนไปเสียก่อน พระพุทธเจ้าจึงทรงเป็นศาสดาและประกาศธรรมสอนโลกขึ้น เทฺว เม ภิกฺขเว ขึ้นธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ขึ้นไปถึงบทสุดท้าย สิ่งที่ไม่เคยรู้เราได้รู้ สิ่งที่ไม่เคยเห็นเราได้เห็นแล้ว ตั้งแต่ปุพเพที่ไหน ๆ มา ที่เรายังไม่เคยรู้เคยเห็น บัดนี้เรารู้เราเห็นหมดแล้ว เราเห็นหมดแล้ว ๆ ตรัสมา ๔ บทก็เป็นธรรมสรุปความลงมา ประกาศท้าทายหรือว่าประกาศให้เบญจวัคคีย์ดู เปิดเหมือนกับว่าแบฝ่ามือออกอย่างนี้

ธรรม ๔ บทนี้อยู่ในฝ่ามือฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลายอันเลิศเลอนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ๆ แก่เราตถาคต นี่ข้อหนึ่ง แล้วก็ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากกิเลสของเราทั้งปวงโดยชอบแล้ว ไม่มีการกำเริบอีกแล้ว นี้บทหนึ่ง อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เรียกว่าสุดท้าย จะไม่มาเกิดอีกแล้วมาตายอีกแล้ว หามกองทุกข์เหมือนแต่ก่อนกับความเกิดความตายนี้ไม่มาหามอีกแล้ว เรียกว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราตถาคต เป็นบทที่สาม บทที่สี่ก็ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้ความเกิดอีกของเราไม่มีอีกแล้ว คือความเกิดความตายอีก ตายทับตายถมตายกองกันอยู่ดังที่โลกทั้งหลายตายกองกันอยู่นี้ ของเราไม่มีอีกแล้ว

ในธรรมทั้ง ๔ บทนี้ทรงท้าทายเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พระอัญญาโกณฑัญญะก็รับขึ้นได้ทันที ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วดับทั้งนั้นพังทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนถาวรพอเป็นหลักจิตหลักใจได้ มีธรรมเท่านั้น นี่พระอัญญาโกณฑัญญะได้เปล่งอุทานขึ้นรับพระพุทธเจ้าที่ประทานธรรม ๔ บทอันเลิศเลอนี้ให้ แล้วธรรม ๔ บทนี้เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเบญจวัคคีย์ทั้งห้าก่อนอื่น

ในธรรม ๔ บทนี้ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ๑ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ๑ อยมนฺติมา ชาติ ๑ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ๑ ญาณความรู้แจ้งเห็นจริงอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบอีกแล้ว บัดนี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่มีซ้ำอีกแล้วนี้อันหนึ่ง และตั้งแต่นี้ต่อไปเราไม่มีคำว่าเกิดตายกองกันอีกแล้ว ๔ อย่างนี้มอบให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้า พอวันหลังต่อมาท่านแสดงอนัตตลักขณสูตร พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็รับได้หมดธรรม ๔ ข้อนี้ได้โดยสมบูรณ์ ท่านเหล่านี้เป็นผู้ทรงไว้แล้วซึ่งธรรมพระพุทธเจ้าทรงไว้แล้วนั้น

นี่เราก็แสดงให้อย่างเต็มหัวใจเรา ในธรรม ๔ ข้อนี้เราก็รับไว้แล้วโดยสมบูรณ์ตั้งแต่วันเดือน ๖ ดับ ปี พ.ศ.๒๔๙๓ มาจนกระทั่งบัดนี้ เรารับไว้โดยสมบูรณ์แล้ว มรดกอันล้นค่าที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงเทศน์สอนโลกเต็มหัวใจเราอย่างไม่สะทกสะท้าน ใครอยากจะฟังก็ฟัง นี่ละมรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้เป็นโมฆะแล้วเหรอ ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ผู้ปฏิบัติตามแล้วเหรอ พิจารณาซิมันเป็นยังไง นี่ละธรรมอันเลิศเลอ

ใครได้ถึงแดนแห่งธรรมประเภทนี้แล้วออกอุทานด้วยกันหมด มองดูสัตว์ทั้งหลายนี้กับธรรมชาติที่เป็นอยู่นั้นเข้ากันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงท้อพระทัยละซิ เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงไว้นั้นกับสภาพแห่งความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายต่างกันอย่างไรบ้างถึงท้อพระทัย น่าท้อพระทัยก็ต้องท้อ คิดดูซิเป็นยังไง แล้วพวกเรายังสมัครตายกองกันอยู่เหรอ ด้วยความประมาทไม่สนใจกับศีลกับธรรม สมควรแล้วเหรอ เอาไปถามเจ้าของปัญหาข้อเหล่านี้

นี่ได้ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถมา ก็เคยได้เล่าให้ฟังตั้งแต่ความปรารถนาเบื้องต้น ปรารถนาเอาจริงเอาจัง สงสัยมรรคผลนิพพาน เมื่ออ่านประวัติของพระพุทธเจ้าแล้วน้ำตาร่วงเพราะความสงสารพระองค์เวลาสลบไสล แล้วเวลาตรัสรู้ก็เกิดความอัศจรรย์กับพระพุทธเจ้าอีก ก็น้ำตาร่วงอีก น้ำตาร่วง ๒ หน หนหนึ่งสงสารพระพุทธเจ้าที่ทรงสลบไสล เพราะได้รับความทุกข์ความทรมานมากในการปฏิบัติพระองค์ แล้วก็มาอัศจรรย์พระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ธรรมนี้อีก

จากนั้นก็อ่านประวัติของสาวกทั้งหลายอีก องค์ไหนออกมาจากสกุลใด สกุลพ่อค้า พระราชามหากษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพี คนธรรมดา ออกไปแล้วเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม องค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในเขาลูกนั้น องค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในป่านั้นอยู่ในถ้ำนั้นเงื้อมผานั้น เกิดความพออกพอใจ

แล้วก็ย้อนกลับมาสงสัยเวลานี้มรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่หรือไม่นา ถ้าหากว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่แล้วเราจะเอาตายเข้าว่าเลย จะให้ได้มรรคผลนิพพาน ให้ได้ทรงความเป็นพระอรหันต์อย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นเราไม่เอา เอาชีวิตเข้าแลก ขอให้มีคนผู้ใดก็ตามมาแสดงธรรมนี้ให้เราเป็นที่เชื่อถือได้ เป็นที่ลงใจได้แล้วว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่โดยสมบูรณ์ แล้วเราจะกราบไหว้บูชาผู้นั้นจนกระทั่งถึงวันตาย แล้วเราจะถวายชีวิตต่อธรรมดวงอรหันต์นั้นอย่างเดียวเท่านั้น ชีวิตไม่มีความหมาย เราจะเอาให้ได้

ตั้งแต่บัดนั้นมาก็พอดีไปพบหลวงปู่มั่น ก็เหมือนกับว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้เลย เหมือนแบออกมานี้ นี่เห็นไหมมรรคผลนิพพาน นี่เห็นไหมหามรรคผลนิพพานหาที่ไหน กาลสถานที่ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน เวล่ำเวลาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน สถานที่นั่นที่นี่ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ทางโน้น นิพพานอยู่เมืองอินเดียไม่ใช่มรรคผลนิพพาน

มรรคผลนิพพานอยู่ในอริยสัจ ๔ มรรคผลนิพพานอยู่ในความจริง ใครปฏิบัติตามหลักความจริงนี้แล้วมรรคผลนิพพานอยู่กับคนนั้น นี่น่า ๆ เหมือนอย่างนั้น ชี้แจงนี้ หามรรคผลนิพพานหาที่ไหน ไปหาเมืองอินเดียเหรอ กิเลสอยู่เมืองอินเดียหรืออยู่ในหัวใจคน ท่านไล่เข้ามา ๆ กิเลสมันอยู่ที่หัวใจคนไม่อยู่เมืองอินเดีย มันอยู่ที่หัวใจคน ธรรมะอยู่ที่หัวใจคน แก้ลงที่หัวใจคนก็รู้ที่หัวใจคนละซิ พอว่าอย่างนั้นก็ดีดผึงเลยหัวใจ แน่แล้วที่นี่ไม่มีทางสงสัยแล้ว

ตั้งแต่บัดนั้นขึ้นมาละที่นี่ ขึ้นเวที ไม่มีการให้น้ำ ถ้าว่าให้น้ำก็ให้เวลาหลับนอกนั้นไม่มี กรรมการไม่ต้องไม่มีกรรมการแยกมันจะตายช้าไป ใครเก่งให้อยู่บนเวที ใครไม่เก่งให้ตกเวที ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจเรา เอ้า ใครเก่งให้อยู่บนเวที ใครไม่เก่งเอ้าตกเวที ตั้งแต่บัดนั้นต่อมาจึงติดคุกติดตะรางเราสมัครเลยนะ ความทุกข์ยากลำบากในการประกอบความพากเพียร เราหนักมากขนาดนั้น เขาว่าติดคุกติดตะรางนี้เป็นความทุกข์ความลำบาก เราจะสมัครไปติดคุกติดตะราง เพราะติดคุกติดตะรางกินข้าววันละ ๓ มื้อ จักตอกเหลาตอกได้วันละ ๕ เส้นฆ่าเวลาไปวันหนึ่ง ๆ พอได้ถึงวันออก แต่ส่วนเราถ้ากิเลสไม่พังจากหัวใจเมื่อไรไม่มีวันออก ต้องเอากันจนเป็นจนตาย มันก็หนักมากละซิ

นี่ละซัดกันตั้งแต่นั้น ไป-ไปคนเดียวอยู่คนเดียว อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน กี่วันกี่คืนจนเขาแตกบ้านแตกเมืองไปดู เขาว่าเราตายแล้วก็มี ขนาดนั้นละพิจารณาซิหนักหรือไม่หนัก จนกระทั่งกิเลสได้พังลงในหัวใจในวันเดือน ๖ ดับ พฤษภาฯ เดือน ๖ ดับ ตั้งแต่บัดนั้นแล้ว จากนั้นก็มองดูโลกได้แล้วที่นี่ มองดูโลกดูสงสารด้วยความเก็บไว้ธรรมดา เพราะไม่มีความอยากความหิว สมควรที่จะพูดหนักเบามากน้อยเท่าไรก็พูด เขาว่างูก็งูกับเขา เขาว่าปลาก็ปลากับเขาไป ครั้นพูดไปพูดมานานเข้า ๆ นี้เจ้าของก็จวนจะตายแล้ว ไม่มีธรรมะอะไรแยกแยะออกมาให้คนผู้ที่มีนิสัยปัจจัยอย่างไร ที่ควรจะได้รับในธรรมข้อเหล่านี้บ้าง มันสมควรแล้วเหรอ

ทีนี้จึงได้แย็บออกมาด้วยเหตุนี้นะ จึงได้แย็บออกมา เปิดจนกระทั่งนั่นละ และแนะนำสั่งสอนโลกก็สอนเรื่อยมา หนังสือก็เต็มหัวอก ถอดออกจากหัวอก เทปก็ถอดออกจากหัวอกไปเทศน์ แต่ไม่ได้ระบุเอาตัวเจ้าของออกไปยืนยัน คราวนี้เอาเจ้าของออกมายืนยันเสียแล้ว เพราะเฒ่าแก่ชรามาพอแล้วจะตายวันไหนก็ไม่ทราบ ให้บรรดาลูกเต้าหลานเหลนทั้งหลายได้ข้อคิดจากหัวใจเรา ที่ได้ฟัดกับกิเลสมาเต็มเหนี่ยว จนกระทั่งเอาเป็นเอาตายเข้าว่า ใครจะได้ประโยชน์อะไรก็ได้ ใครจะว่าหลวงตาบัวมีความโอ้อวดเย่อหยิ่งจองหองไปต่าง ๆ นานาก็แล้วแต่จะพูด ตามวิสัยของกิเลสที่เคยต่อสู้ธรรมมานาน วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้เด็ด ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ เอาละพอ

เมื่อตะกี้นี้เรายังพูดจบไม่จบว่าเวลาหลวงตาบัวตายให้เอาสาดเหี้ยนพัน จำได้แล้วยัง เอาเสื่อเหี้ยนสาดเหี้ยนพันโยนลงเหวนะ แมลงวันแมลงวนมันจะไปกวนเรา เราไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นในสามแดนโลกธาตุนี่ เราไม่มีอะไรมาติดหัวใจเราแม้เม็ดหินเม็ดทรายหนึ่งไม่มี มีแต่ความเมตตาสงสารโลกเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงไปทางโน้นไปทางนี้ อยู่ทางโน้นอยู่ทางนี้ ด้วยอำนาจแห่งความสงสารนั่นแหละ มีเท่าไรเอา

นี่แหละจึงได้ยกขึ้นว่า ความตระหนี่กับความสงสารเป็นธรรมคู่เคียงกัน ความตระหนี่มีเท่าไรกว้านเอาหมด ไม่พอ มีเท่าไรสามแดนโลกธาตุนี้มาเป็นของคนเดียวก็ไม่พอ นี่อำนาจแห่งความตระหนี่มันเหนียวแน่นเก่งขนาดนั้น ทีนี้เอาน้ำดับไฟเข้ามา คือเอาเมตตาธรรมของพระพุทธเจ้าเข้ามาใส่ปุ๊บเท่านี้ มีเท่าไรทานหมด เอามาสามแดนโลกธาตุนี้ทานให้หมดเสียสละให้หมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัวยิ่งดี นั่น เข้าใจไหมนี่ละธรรมแก้กัน เรียกว่าน้ำดับไฟเป็นอย่างนี้

แต่อย่าลืมว่าเวลาหลวงตาบัวตายอย่ายุ่งนะ เราบอกให้พระเณรหมดเรียบร้อยแล้ว บอกยังไง เวลาธาตุขันธ์มันเพียบแล้วไม่รับอะไรแล้ว หยูกยาก็ไม่รับ ไม่มีวิสัยอะไรที่จะรับกับสิ่งใดแล้ว ยาให้หยุดแล้วก็ให้หยุดนะ อย่าเอายามาแตะมาต้องมาฉีดมาให้ฉัน อันนั้นดีอันนี้ดี อย่าเอามายุ่งนะ บอกว่าพอแล้วยาให้พอ ตามที่สั่งแล้วด้วยความแน่ใจนี้ จากนั้นใครอย่ามาแตะต้องกายนะ ถ้าเราได้ตายกับหมู่กับเพื่อนใครอย่ามาแตะต้องกายเราเป็นอันขาด เราจะทำหน้าที่ของเราอย่างองอาจกล้าหาญอาชาไนย สมกับเราสอนโลกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ๔๗ ปี และสมกับเราที่ตั้งใจขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสมาเป็นเวลา ๙ ปีเต็ม นี่ขึ้นเวทีไม่ได้ลงเวทีถึง ๙ ปีเต็ม

มาปี ๙๓ ก็ลงเวที หมู่เพื่อนเกาะให้ลงยังไม่ลงนะ ดูกิเลสมันหงายท้องขึ้นฟ้าให้ดูอยู่ยังไม่ลงจากเวที หมู่เพื่อนก็ไปจับลากลงมาจากเวทีเสีย ก็เลยได้ลงเวทีตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ขึ้นเวทีอีกเลย เป็นกรรมฐานปลอมไปแล้วเดี๋ยวนี้ เรื่อยมานี้ ทีนี้ถึงเวลาเจ้าของตายจะตายแบบเราออกปฏิบัติ เราปฏิบัติแบบไหนเราจะตายแบบนั้น เราสอนโลกแบบไหนเราจะตายแบบนั้น เราไม่ได้สอนแบบงู ๆ ปลา ๆ เราไม่ได้สอนแบบโกหกโลก เราสอนอย่างจริงอย่างจังอย่างความรู้ความเห็นเป็นยังไง ฟาดออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย นี่ถึงวาระที่เราจะตายเราจะไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่เป็นห่วงกับอะไรทั้งนั้น เป็นห่วงก็เป็นห่วงพอแล้ว บัดนี้จะเปิดโลกธาตุแล้ว

คำว่าเปิดโลกธาตุคือไม่กลับมาเกิดอีก ตายกองกันนี้มันเบื่อเสียพอแล้วเรื่องตายนี่ ตายกองกันอยู่หมดเหล่านี้ พวกเกิดพวกตาย ตายสูงตายต่ำตายอยู่อย่างนี้ร่ำไป เพราะฉะนั้นจึงสร้างคุณงามความดีให้พอนะ ครั้นพอแล้ววัฏวนก็จะย่นเข้ามา ความทุกข์ทั้งหลายก็จะหดตัวเข้ามา ๆ ความสุขก็จะได้เจริญงอกงามขึ้นภายในจิตใจ วัฏวนย่นเข้ามา แล้วความเกิดตายของเราสั้นเข้ามา ๆ ก็ผ่านไปได้ ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกุศล อย่าพากันประมาทนะบุญกุศล เอาละพอ

สุดท้ายนี้ก็ให้เป็นคติตัวอย่างแก่พี่น้องทั้งหลายด้วยนะ เราทำด้วยความเมตตาสงสารเต็มหัวใจเราด้วย แล้วเป็นคติตัวอย่างอันราบรื่นดีงาม สุคโตเป็นที่หวังได้แก่บรรดาลูกเต้าหลานเหลนทั้งหลาย ให้ถือเป็นคติตัวอย่างด้วย เข้าใจแล้วเหรอ

เทศน์วันนี้ไม่รู้กี่กัณฑ์ ไม่ได้ตั้งนโม เอวังไม่ลง


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก