เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๙
ธรรมกระซิบ
เมื่อวานนี้ได้เล่าถึงเรื่องพระองค์หนึ่งให้ฟังใช่ไหม ลืมแล้วนะ ดูได้เล่าถึงเรื่องพระภาวนาลอยขึ้นไป เมื่อวานนี้เล่าไม่ใช่เหรอ นั่นละธรรมแสดงเมื่อมีภาชนะ ใจเป็นเวทีของธรรม ใจเป็นภาชนะของธรรม ธรรมเมื่อเข้าสู่ใจแล้วจะแสดงอากัปกิริยาออกเป็นอาการต่าง ๆ ให้เห็น ถ้าไม่มีใจแล้วธรรมก็เหมือนไม่มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ธรรมอันนี้เองแหละ ขึ้นมาแสดงฤทธิ์เดชปราบกิเลส เมื่อใจกับธรรมเข้ากันแล้ว ทีนี้จึงเป็นพลังอันใหญ่โต ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจะแสดงได้ต่าง ๆ นานา ฟังซิพระท่าน ฆราวาสเขาก็ลอย
เพราะอันนี้มีอยู่ในปีติ ปีติ ๕ หรืออะไรเพราะเราลืมแล้ว เราเรียนมานานแล้ว จำได้แต่อุเพงคาปีติ นี้เป็นอุเพงคาปีติ ปีติที่ผาดโผน ทำให้ตัวลอยขึ้นไปท่านว่า สมาธิลอยขึ้นนี่เป็นประเภทหนึ่ง นี่ถ้าเผลอตกเจ็บนะ ถ้าไม่ประคองใจให้ดีแล้วตก ถ้าประคองใจให้อยู่ในระดับนั้นแล้วก็ค่อยลงแล้วขึ้น ถ้ากำหนดเข้าไปเรื่อย ๆ ขึ้น ถ้าผ่อนลงนี่อันนี้มันก็เบาลง ๆ นี่แหละพลังของธรรมอยู่ในจิตนั่นแหละ จิตเป็นเวทีธรรม เป็นภาชนะของธรรม เมื่อเข้านี้แล้วจะแสดงอากัปกิริยาได้ทุกอย่างไม่มีประมาณเลย เมื่อไม่มีภาชนะแล้วก็เหมือนไม่มี ธรรมมีอยู่ก็เหมือนไม่มี นี่แหละธรรมมีอยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสัมผัสรับทราบ เก็บไว้ก็ไม่ปรากฏ นี่จิตเก็บไว้ก็ปรากฏขึ้นมา อย่างพระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านเหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์ของเศรษฐีคนหนึ่ง
ศาสนามีหลายศาสนา ศาสนาใดก็มีแต่ศาสนาเลิศเลอทั้งนั้น ๆ เขาก็ทำบาตรไม้จันทน์แล้วเอาใส่ไม้ไผ่ใหญ่ ๆ สูง ๆ หรือไม้อะไรไม่รู้ เขาบอกเอาใส่ไม้ไปแขวนไว้สูง ๆ โน้นเลย ถ้าใครเหาะมาเอาบาตรลูกนี้ไปได้แล้ว หมดทั้งครอบครัวเราจะถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ว่างั้น ใครก็ประกาศ เขาประกาศแล้ว ใครก็ว่าใครเก่งก็มา ไม่มีใครกล้าเหาะ ทีนี้เขาก็ดูถูกศาสนาว่าศาสนานี้มีแต่ลมปากไม่มีตัวจริง พอดีพระโมคคัลลาน์กับพระปิณโฑลภารทวาชะบิณฑบาตไปถึงที่นั่น ก็ฟังเสียงเขาประกาศลั่นอยู่ เขาว่าศาสนานี้มีแต่ลมปากไม่มีความจริง บาตรไม้จันทน์ลูกเดียวเท่านี้ก็มาเอาไม่ได้ ให้เหาะขึ้นมาเอาถ้าว่าองค์ไหนเก่งๆ ศาสนาไหนเก่งก็ให้มาเหาะเอา ไม่เห็นมาเหาะเอาสักรายเดียวเลย จึงเห็นได้ชัดว่าศาสนานี้มีแต่ลมปากทั้งนั้น เสกสรรปั้นยอกันขึ้นเฉย ๆ ว่างั้น
พระโมคคัลลาน์กับพระปิณโฑลภารทวาชะก็หมั่นไส้น่ะซิ นี่ท่านได้ยินไหมว่า เพราะพระปิณโฑลภารทวาชะก็เก่งทางเหาะเหินเดินฟ้า พระโมคคัลลาน์ก็เก่ง เก่งต่อเก่งไปด้วยกัน กำลังเขาประกาศลั่นอยู่พระปิณโฑลภารทวาชะก็บอกว่า นี่ท่านได้ยินหรือยัง เขาประกาศดูถูกศาสนาว่ามีแต่ลมปาก ไม่มีความจริงติดอยู่เลยหรือศาสนานี้ เขาประกาศแล้วบาตรไม้จันทน์แขวนอยู่นั่น เอ้า ท่านจะเหาะขึ้นก็เหาะขึ้น ท่านไม่เหาะผมจะเหาะ พระโมคคัลลาน์ก็เลยบอกว่า ท่านเหาะเลย เอ้าขึ้นเลย ท่านก็เหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์ ได้บาตรไม้จันทน์มาแล้วเขาพร้อมทั้งครอบครัวเศรษฐีใหญ่ก็ไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์
พอได้บาตรไม้จันทน์ไปหาพระพุทธเจ้า ถูกพระพุทธเจ้าขนาบเอาเลย ประสาบาตรไม้จันทน์มันวิเศษวิโสอะไร เหาะไปหาทำไม ขนาบใหญ่เลยเทียว ให้ไปทำลายบาตรไม้จันทน์ ไม่เอาไม่ใช้ แน่ะอย่างนั้นแล้วเห็นไหมพระพุทธเจ้า ศาสนาเวลาออกฤทธิ์ออกอย่างนั้นนะ เขาออกฤทธิ์เขาว่าศาสนามีแต่ลมปาก เวลาลมปากขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์มาแล้ว แทนที่จะเอาไปใช้ดังที่เขาถือว่าเป็นของดิบของดี ให้ไปทำลาย ประสาบาตรไม้จันทน์มันวิเศษวิโสอะไร ธรรมเลิศยิ่งกว่านี้มาแต่กาลไหน ๆ บาตรไม้จันทน์มันเลิศอะไร ประสาไม้ท่านว่า เอาไปทำลาย บอกเอาไปทำลายเลย
ต่อจากนั้นมาก็เลยทรงบัญญัติห้ามไม่ให้พระเหาะเหินเดินฟ้า มีบาตรไม้จันทน์เป็นต้นเหตุให้ทรงบัญญัติข้อนี้ขึ้น ห้ามไม่ให้พระเหาะเหินเดินฟ้ามันจะเป็นเรื่องอุตริไป เลิศเลอยิ่งกว่าโลกกว่าสงสารแล้วมันเป็นเรื่องของโลกไป ไม่ใช่เรื่องของธรรม ท่านเลยห้าม ถ้าขึ้นด้วยสมาธิภาวนาธรรมดานี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ตั้งใจเหาะเหินเดินฟ้าไปจริง ๆ ท่านห้าม ถ้าขึ้นโดยหลักภาวนาอย่างนี้ไม่เป็นอะไร อย่างพระองค์ที่ว่านี้ โห สูง ขึ้นสูงนะ ขึ้นสูงโน้นปลายไม้โน่น เหาะบึ่งขึ้นเลย ลอยขึ้น ๆ ขึ้นบนต้นไม้โน่น ปลายไม้สูง ๆ โน่น มองดูที่ไหนแล้ว โห มันขึ้นแล้วนี่ แล้วค่อยพยุงจิตมันก็ค่อยลง ๆ พอกำหนดอย่างนั้นอีกขึ้นอีก จะทำอย่างไรท่านว่าอย่างนั้น เราก็บอกวิธี
กับเวลาจิตสว่างนี่ นั่นเห็นไหมมนุษย์เรามีใจไหม นี่แหละใจต่อใจเห็นกันอย่างนี้แหละ ปฏิเสธได้ไหมที่นี่ว่าคนทั้งคนไม่มีใจครองอยู่ในนั้น ใจตัวมันครองร่างนั้นละตัวมันพาไปเกิดไปตาย ตัวนี้แหละเกิดตาย ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลตายกองกันอยู่ ทับถมดินอยู่นี้เต็มอยู่ทั่วดินแดนนี้ มีแต่ใจดวงนี้แหละพาไปเข้าร่างนั้นร่างนี้ ทีนี้เวลาภาวนาจิตสว่างนี้มองลงไปนี้มันเห็นหมด ใจดวงไหนมีความผ่องใส ใจดวงไหนมีความมืดตื้อ มืดตื้อด้วยบาปด้วยกรรมนะ เห็นเต็มอยู่ในหัวใจนั้นหมดเลย นั่นฟังซิใจไม่เหมือนกัน ท่านพูดอย่างอาจหาญนี่ ก็อย่างนั้นแล้ว บางดวงนี้มืดตื้อเลย ไม่มีวี่มีแววอะไรเลย กรรมหนักมากอย่างนั้น
นั่นละผู้มีกรรมหนักเป็นอย่างนั้น คือมันสร้างไว้ที่หัวใจนั่นนะ สร้างด้วยกิริยาอาการใด ไปฉกไปลักไปปล้นไปจี้ไปสะดม ไปฆ่าไปฟันเขา ไปอะไรก็ตามล้วนแล้วตั้งแต่ความชั่วช้าลามกทั้งหมด แล้วมันก็สั่งสมเข้ามาฟักตัวอยู่ในใจนี้ ใจจึงเป็นใจที่มืดดำ มองดูใจเหมือนถ่านไฟ ไม่มีไฟก็ดำปี๋อยู่อย่างนั้น ใจบางดวงก็มีวี่มีแวว ส่วนมากนักภาวนาใจมีแวว นั่นฟังซิท่านพูด นักภาวนาใจมีวี่แววว่างั้น
อันนี้ก็เข้ากันได้กับยายแก่คนที่อยู่หนองผือ มาเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงปู่มั่นเราฟัง แกว่ามองเข้ามาในวัดนี้สว่างจ้าหมดเลย แม่ชีคนนั้นแกพูดอย่างตรงไปตรงมา แกอาจหาญมาก แกมากราบท่านเรื่อย มาเล่าเรื่องภาวนาให้ฟัง พระเณรนี้รุมละ เวลา..คือวันไหนแกมานะ มาตอนเช้าวันนั้นพระเณรจะรุมคอยฟังยายคนนั้นกับหลวงปู่มั่นสนทนาธรรมะกัน แกก็เล่าเรื่องของแกขึ้นเลย เรื่องภาวนา จิตใจของหลวงพ่อ เรียกหลวงพ่อ นี้สว่างครอบโลกธาตุ นอกนั้นก็สว่างไสว แล้วมองมาวัดหนองผือนี้สว่างทั่วหมดเลย ว่างั้น คือมีแต่พระภาวนา ดวงเล็กดวงใหญ่เหมือนดาว แกว่าอย่างนั้นนะ ดวงเล็กดวงใหญ่เหมือนดาวเต็มวัด ว่างั้น แน่ ๆ นักภาวนา ที่อื่นแกไม่ได้พูดนี่ แกมองมาดูวัด นั่นนักภาวนาเป็นอย่างนั้น
ใจที่มีธรรมในใจมันก็ส่องแสงออกมา ใจนี้เป็นภาชนะของธรรม หรือเป็นเวทีของธรรมแสดงออกมาในท่าต่างๆ แล้วแต่จะแสดง เมื่อมีภาชนะมีที่เก็บแล้วแสดงออกได้ทุกแง่ทุกมุม ประมาณไม่ได้ประมาณธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครคาดเดาถูกแหละ
อย่างพระองค์นี้เล่าก็น่าฟังอยู่ ท่านว่าเวลาจิตมันสว่างไสวเต็มที่แล้ว มองดูที่ไหนมองดูใจรู้หมด ใครคิดว่ายังไงๆ รู้หมด ไม่เพียงแต่มันผ่องใสมันเศร้าหมองนะ มันคิดยังไง ๆ รู้หมด โน่นน่ะรู้จนกระทั่งความคิดของเขา เขาคิดไปยังไง ๆ รู้หมด จิตดวงไหนสว่าง ดวงไหนเศร้าหมอง ดวงไหนมืดตื้อ ส่วนมากมีแต่มืดตื้อท่านว่า
นั่นเราสลดสังเวชไหมพากันฟังซิ ส่วนมากมีแต่มืดตื้อ ดวงมืดตื้อนี่แหละดวงจะพาลงนรก ดวงใสสว่างจะพาไปดีไปสวรรค์ พรหมโลก ไม่สงสัยละ เพราะฉะนั้นใครให้พากันฝึกหัดจิตใจให้เป็นภาชนะของธรรมอันสว่างไสวบ้างจะดี
นี่แหละธรรมะมีอยู่อย่างนี้ละ เมื่อมีผู้ประกอบมีผู้ทำตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า จะแสดงให้เห็นอย่างนี้ ที่มันไม่มีไม่ปรากฏก็เพราะไม่มีใครทำไม่มีใครสนใจนั่นซิ มีแต่กิเลสตีตลาดแหลกหมด ๆ ดำปี๋ ๆ จิตดวงไหนก็ดี
ยายคนนี้แกรู้จริง ๆ รู้จิต ยายคนที่ว่านี่ หลวงปู่มั่นก็ชมอยู่ คือแกพิสดารแกรู้ออกข้างนอก แกรู้หมดเรื่องจิตใจของใคร ๆ นี่ แกรู้ไปหมด บางทีท่านก็ถาม ถามแบบตลกขบขันนะ แกรู้อย่างนั้นแกรู้อย่างนี้ รู้ ๆ แล้วรู้ไหมจิตพระในวัดนี้ ทำไมไม่รู้ แกว่าอย่างนั้น แกพูดแบบขู่เลยนะ รู้หมดแหละ แกว่าอย่างนั้น จิตหลวงพ่อนี้สว่างครอบโลกธาตุโน่น ยกเอาหลวงพ่อขึ้นมาเลย รู้หมดแหละว่างั้นนะ มีแต่รู้นั้นรู้นี้ แล้วพระในวัดนี้เป็นยังไง รู้จิตท่านไหม รู้หมดนั่นแหละ แกว่ายังงั้นนะ
พระเลยหัวเราะ บางองค์ก็จะหมอบแหละ อย่างหลวงตาบัวนี้หมอบ ให้แกมองข้ามไปโน้นเสีย ไม่ให้เห็นใจเจ้าของเห็นใจหลวงตาบัว ใจมันมืดตื้อเข้าใจหรือเปล่า เราจะหมอบให้แกมองข้ามไปโน่นเสียไม่ให้มามองเห็นเรา
เอ้า พอพูดอย่างนี้แล้ว ทีนี้จะวกกลับมา นี่จวนจะตายแล้วเปิดเสียบ้าง ใครจะว่าโอ้หรือว่าอวด ไม่โอ้ไม่อวดก็แล้วแต่เถอะ เราจะเปิดเสียบ้างให้เป็นข้อคิดข้อระลึก เพราะธรรมเป็นของมีอยู่ ธรรมเป็นของเลิศของประเสริฐ ผู้ปฏิบัติธรรมมีอยู่ ผู้รู้ธรรมมีอยู่ แล้วก็ยายคนนี้แหละไม่ใช่คนอื่นคนใดนะ พอหลวงปู่มั่นมรณภาพลงเท่านั้นละ วันนี้เปิดเทปด้วย เอ้าใครจะฟังก็ฟัง หลวงตาบัวลงนรกถ้าพูดผิดไปจากความจริงนะ เราจะลงนรกเลย ให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังบ้าง คติเครื่องเตือนใจ เป็นยังไงธรรมะของพระพุทธเจ้า
ทีนี้พอหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้วเราก็ย้อนกลับมาจำพรรษาที่หนองผือ เพราะคิดเริ่มปลงใจแล้วว่าจะจำพรรษาที่ถ้ำ...อำเภอวาริชภูมิ ไปดูสถานที่เหมาะสมแล้ว เริ่มแล้วตั้งใจว่าจะจำพรรษาที่นั่นแล้ว เหมาะสม ก็พอดีมีโยมคนหนึ่ง แกอยู่บ้านแถวนั้นแหละ แต่แกเคยไปหนองผือเรื่อย ๆ แกเป็นลูกศิษย์วัดหนองผือ แกไปมีพระหลวงตาสองสามองค์อยู่ที่นั่น ไปเห็นแล้วแกสลดสังเวช โห สลดสังเวช ว่าแต่ก่อนเคยเป็นตลาดพระ ยั้วเยี้ย ๆ เต็มไปหมดในวัดในวา ไปคราวนี้ไม่มีพระ เหมือนวัดร้าง มีหลวงตาอยู่ ๓ องค์ ไปเห็นแล้วสลดสังเวชเหลือเกิน
แกมาเล่าให้เราฟัง แกไม่ได้มาหาอุบายชักชวนเราไปจำพรรษาที่นั่นแหละ คือไปเห็นสภาพวัดหนองผือที่มันเปลี่ยนแปลงไปมากว่างั้น เหมือนวัดร้างเลย ไปเห็นแล้วสลดสังเวช แกมาเล่าให้ฟังเราก็ฟัง ฟังด้วยความสลดใจนะ โอ๋ วัดหนองผือเป็นวัดที่มีบุญมีคุณต่อพระเณรตั้งมากมายก่ายกอง พระเณรมาเท่าไร ๆ หลังคาเรือนมี ๗๐ หลังคา แต่สามารถเลี้ยงพระได้ทั่วถึงหมด พระเต็มไปหมด ไปอยู่ที่นั่นเลี้ยงได้หมดเลย แล้วทีนี้เวลาพ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพไป จนกลายเป็นวัดร้างนี้เป็นไปได้เหรอ มันสมควรแล้วเหรอ
เลยตัดสินใจในเวลานั้นเลย เราจะต้องกลับไปจำพรรษาหนองผือปีนี้ จวนแล้วนะนั่น จวนจะเข้าพรรษาแล้ว เดือน ๘ ขึ้น ๘ ค่ำ เพราะ ๑๕ ค่ำจะเริ่มเข้าพรรษา ขึ้น ๘ ค่ำเรากลับมาถึงหนองผือ มาก็มีพระ ๓ องค์จริง ๆ มากับท่านเพ็ง วัดถ้ำกลองเพลนี่ ทีแรกว่าจะไปจำพรรษาด้วยกัน ๒ องค์ที่ถ้ำ เขาเรียกถ้ำอะไรทางอำเภอวาริชภูมิ อยู่ในแถวนั้นน่ะ ทุ่งเชือกอะไร มีภูเขา ทางด้านตะวันตกมีถ้ำ ว่าจะไปจำพรรษาที่นั่น
เลยตัดสินใจเอาท่านเพ็งไป ไม่ได้ละสงสารชาวหนองผือมาก มีบุญมีคุณต่อวัดวาอาวาสครูบาอาจารย์พระเณรมากมายขนาดไหน ทีนี้เวลาพ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพไปแล้ว มีพระหลวงตาอยู่ ๓ องค์เท่านั้น มันเกินเหตุเกินผลไป เหมือนไม่มีใครเหลียวแลเลย บ้านนี้เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว เราต้องกลับไป เตรียมเลยทีเดียว พอตื่นเช้าขึ้นมาก็เตรียมของไปออกเดินทางเลย มันไม่มีรถ เดินทั้งนั้นละ นอนค้างคืนหนึ่งก็มาถึงหนองผือ
พอมาถึงหนองผือแล้ว ที่นี่จะเข้าจุดละนะ พอเข้ามาถึงหนองผือแล้ว ยายคนนี้แหละแกไปเรียกโยม โยมนี้ชื่อว่า....ไม่บอกละชื่อ เป็นหลานของยายคนนี้ แล้วโยมคนนี้แหละเป็นผู้ส่งบาตรหลวงปู่มั่นทุกวันๆ พอรับบาตรเสร็จแล้วโยมคนนี้เป็นคนสะพายบาตรไปวัดทุกวัน ๆ ไม่เคยขาด เป็นอุปัฏฐากของหลวงปู่มั่นเรา
นี่แกก็สงสาร ไปเรียกโยมคนนี้แหละมา นี่น่ะกูจะกระซิบให้มึงทราบ มึงต้องทราบนะ มึงรู้แล้วยังว่าวัดหนองผือนี้พ่อตายแล้วพ่อยัง มึงรู้ไหมพ่อตายแล้วพ่อยัง จากนั้นก็ชี้มาหาหลวงตาบัวน่ะซิ แกว่าท่านมหา แต่ก่อนเรายังหนุ่มนี่ ท่านมหาบัวครองวัดแทนครองธรรมแทนแล้ว ครองทุกอย่างสมบูรณ์เต็มที่แล้วนะ ให้มึงเคารพเหมือนกันกับหลวงปู่มั่นนะ มึงอย่าปล่อยอย่าวางนะ ไม่มีใครรู้ละกูกระซิบให้มึง มึงอย่าไปบอกใครนะ
ไม่นานนักอีตาคนนั้นแกมากระซิบเราอีก นี่แหละเรื่องมัน เหตุที่เราจะได้รู้นะ ธรรมดาจะเป็นบ้ากระซิบหาอะไรใช่ไหม เขาไว้ใจตัวเองเขากระซิบตัวเอง บอก มึงอย่าบอกใครนะ กูพูดโดยเฉพาะ ๆ ว่างั้น หลังจากนั้นสองสามวันก็มากระซิบเราอีก มันเป็นบ้าหรือไงไม่รู้ นี่ละเปิดเท่านั้นแหละพอ
ว่าพ่อตายพ่อยังนะ ว่าหลวงตาบัวครองวัดหลวงตาบัวครองธรรม ครองแบบหลวงปู่มั่นนะ มึงอย่าปล่อยอย่าวางนะ กูกระซิบมึง มึงอย่าบอกให้ใครทราบนะ ตานั้นก็มากระซิบเราไม่ให้เราบอกใครทราบ ทีนี้เรากระซิบพวกนี้อีกไม่ให้ใครทราบ มันเลยกระซิบตลอดไปหมดเลย ขบขันดี เลยเป็นเรื่องกระซิบไปหมด
นี่เราพูดถึงเรื่องญาณความรู้แกนี้เก่งมาก เก่งจริง แกรู้หมดพระเณรในวัดนี้องค์ไหนสว่างไสวขนาดไหนๆ แกรู้หมดเลย อย่างเรานี้เคยพูดกับแกที่ไหน ไม่ได้เคยพูดกันเลยนี่นะ ไม่เคยสนใจพูดกัน มีแต่คอยฟังเวลาแกมาพูดธรรมะกับหลวงปู่มั่นเท่านั้น ฟังสนุกสนานรื่นเริงยินดี แกพูดรู้สิ่งนั้น พวกเทวบุตรเทวดานี้แกรู้นะ แกรู้ทั้งนั้นแหละ พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ได้ปฏิเสธนี่
เทวดามาหา ผ่านเข้ามานี่ มาเฝ้าหลวงปู่มั่นนี่แกเห็นหมดแหละ ผ่านเข้ามาว่างั้นนะ เทวดาผ่านเข้ามาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นที่วัดหนองผือนี่ เวลาเทวดาผ่านเข้ามานี้ มานี้เขาไม่มาหาโยมแหละ เขามาหาหลวงพ่อ คือเทวดาไม่มาหาโยม โยมหมายถึงว่าแก แกแก่กว่าหลวงปู่มั่นหน่อยนะ อายุแกแก่กว่า เทวดาเขาผ่านเข้ามาหาหลวงปู่มั่นมาฟังเทศน์แกเห็นนี่ แล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่เห็นปฏิเสธนี่
ก็อย่างนั้นแหละ รู้แล้วก็อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แกรู้จริงๆ เรื่องจิตใจนี่ แกชี้ได้ถูกต้องเลยนะ ยังมีอยู่องค์นั้นองค์หนึ่งนะ แกชี้ไปหาพระองค์ปฏิบัตินะ อยู่ตรงนั้นองค์หนึ่งๆ พระที่มีจิตเลิศเลอ นั่นอย่างนั้นละเห็นไปหมด จิตมันส่องไปเห็นหมด
ทีนี้ตอนพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้วเราไปจำพรรษาที่นั่น แกก็ออกมาแบบเดียวกันกับออกมาหาหลวงปู่มั่นนะ ออกมาหาเราที่นี่ หลวงปู่มั่นเสียไปแล้วเราไปจำพรรษาที่นั่น แกก็ออกมาจากบ้านมาหาเราตอนเช้า มานี่พักกี่หน ๕ หน แกมาจากบ้าน บ้านแกอยู่ออกมาทางวัดนี่แหละไม่ไกลนัก ประมาณสัก ๑๐ เส้นกว่า ๆ นี่แหละ แกพัก ๕ หน แกว่าสักไม้เท้ามาได้ ๕ หนมาถึงนี่ แล้วมาทำไม ก็มันอยากมานี่ แกพูดอย่างนั้นแหละนิสัยแก พูดอย่างตรงไปตรงมา มาอะไรเราว่า ก็มันอยากมานี่ก็มาแหละ แกมาเรื่อยมาหาเรา แล้วก็เข้ากับที่ว่าแก มึงอย่าปล่อยอย่าวางท่านนะ ให้มึงคอยแอบปฏิบัติอุปัฏฐากท่านนะ เวลาผู้เฒ่าก็มาแบบนี้ มันมีคล้ายคลึงกัน
เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้นละ ธรรมวิเศษ เวทีธรรมคือใจ ให้ปรับปรุงให้ดี ฟังนะ ใจที่ไหนมืดตื้อให้ระวังให้ดีนะ นั่นละใจดวงมันจะพาลงนรก ใจที่มันมืดตื้อมันขัดมันขืนต่ออรรถต่อธรรมอยู่ตรงไหน นั้นแหละตรงจะพาลงนรกนะ อันไหนที่โล่งต่อธรรม อันไหนปฏิบัติต่อธรรมแล้ว ใจจะค่อยโล่งไป ๆ แล้วใจจะใสสว่าง ตายแล้วไปสวรรค์เลย ตายแล้วไปสวรรค์ พวกที่มืดตื้อไม่มีทางไปสวรรค์ มีแต่ลงนรกทั้งนั้น พอใจขาดปั๊บนี้ก็ตูมเลย ๆ นั่นละนรก ให้พากันปฏิเสธนะว่านรกไม่มี แล้วเจ้าของละนะจะไปเป็นตัวประกันนรกที่ว่าไม่มีน่ะ จะไปถูกแผดเผาอยู่นั่นนะ
วันนี้เปิดเสียแล้วนะ เทศน์มาได้ ๔๗ ปีนี้แล้ว ก็เทศน์เปิดหมดแล้วนี่นะ วันนี้เลยเปิด ระบุเข้าไปเสียเต็มเหนี่ยวเลยวันนี้ กระซิบว่างั้นเถอะ วันนี้กระซิบเสียเต็มเหนี่ยวเลย ธรรมกระซิบ ธรรมนี้เป็นธรรมกระซิบ กระซิบเรื่อยไปเลย แกก็แปลกก็จ้องมาเล่าแหละ ถ้าเป็นอย่างเรานี้ไม่เล่านะ เพราะแกพูดแกพูดด้วยความฉลาดนี่ มึงอย่าไปบอกใครนะ กูบอกให้มึงคนเดียว กูสงสารมึง มึงอย่าไปเล่าให้ใครฟังเป็นอันขาดนะ บอกหลานเสียด้วยนะ เป็นหลาน แล้วคนนี้ก็เลยสงสารเราหรือไงไม่ทราบ เลยมากระซิบเราอีก เออชอบกล ถ้าเป็นเรานี้ไม่บอก ลงขนาดนั้นแล้วไม่บอก เพราะเขาไว้ใจ กระซิบกระซาบ กูดูพอแล้ว ว่างั้น บอกว่ากูดูพอแล้ว
แล้วแกก็ออกมาเหมือนกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังอยู่นะ อุตส่าห์ออกมาหาเรา พอฉันเสร็จแล้วแกก็มา ขึ้นมาคุยธรรมะลั่นเลย สนุกนะแกพูดธรรมะ พูดด้วยความรู้ คนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน หนังสือตัวเดียวก็ไม่ได้นี่ แกพูดนี้ร่าเริงมาก พระเณรนี้รุมเลย เวลาแกพูดมันน่าฟังทั้งนั้นนี่ พูดด้วยความรู้ออกในแง่ต่าง ๆ รู้พวกอินทร์พวกพรหม พวกเทวบุตรเทวดา มานี่มาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นทีไร แกเล่าทั้งภายนอกเล่าทั้งภายใน พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่เห็นคัดค้านตรงไหน ไม่มีค้านนะ ถ้าผิดตรงไหนค้านทันทีเลย
อย่างที่ว่าแกจะไปเกิดในหลานนั่นก็เหมือนกัน ดังที่เขียนไว้ในประวัติ ฯ นี่แหละยายคนนี้แหละแกจะไปเกิดในท้องหลานสาว พอพิจารณาลงไปจิตละเอียดแน่วลงไปแล้ว กำหนดดูแล้วเป็นสายเหมือนใยบัวนี่ เป็นสายยาวเหยียด ตามสายไปตามไป ๆ เข้าท้องหลาน จากนั้นก็ปุ๊บปั๊บขึ้นมา โอ๋ กระวนกระวายที่นี่ พอออกจากนั้นแล้วก็วิ่งมาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี่ มาเล่า
นี่ใครก็ฟังกันทั้งวัดปฏิเสธได้เหรอ โห หลวงพ่อ ทำไมเป็นอย่างนั้น โยมภาวนาเมื่อคืนนี้เป็นอย่างนั้น ๆ นะ ก็เลยเล่าให้ฟัง พ่อแม่ครูจารย์มั่นแทนที่จะปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่นะ พอทางนั้นเล่าให้ฟังท่านนั่งนิ่งสักนาทีกว่า ๆ ท่านไม่พูดอะไรละ ทางโน้นเล่าพอจบลงแล้ว ทางนั้นก็นิ่งทางนี้ก็นิ่ง สักเดี๋ยวแพล็บออกมาเลย ให้กำหนดตัดนะ เวลานี้ยังไม่ได้ไปถือกรรมสิทธิ์ ให้กำหนดตัด เพียงไปจับจองไว้เท่านั้นแหละ นั้นละโยมนี่ตายแล้วจะไปเกิดท้องหลานรู้ไหมล่ะ เวลานี้กำลังไปจับจอง แต่เจ้าตัวยังไม่ไป ให้รีบกำหนดตัดนะ ให้ตัดสายใยนั้นนะ
โอย ใครก็ฟัง ตานี้ไม่หลับแหละ จนตาแห้ง ลืมตาจ้องปากก็อ้าด้วย ปากหลวงตาบัวก็อ้าด้วย มันอ้าด้วยกันหมด ก็พบสิ่งไม่เคยได้ยินใช่ไหมล่ะ ท่านบอกกำหนดให้ตัดนะ ไม่ได้นะโยมนี้ตาย พอออกจากนี้ปั๊บนี้ตายแล้วจะไปอยู่ท้องหลานนี้นะ เวลานี้กำลังไปจับจองที่ไว้อยู่แล้ว แต่เจ้าตัวยังไม่ไป
นั่นฟังซิให้กำหนดตัด คือตัดทางโน้นมันก็ขาดจากกรรมสิทธิ์ที่จับจองนั้นก็แล้วไป นี่ละที่ว่าสภาหนูขึ้น พวกหนึ่งไปจับจองว่าจะเกิดแล้ว ทำไมจึงต้องไปตัดอย่างนั้น มันไม่เป็นการฆ่าสัตว์ฆ่ามนุษย์เหรอ ว่างั้น ถึงได้แก้กันว่าไม่ได้เป็นการฆ่า เพราะอันนี้เป็นเพียงไปจับจองเฉย ๆ ยังไม่ได้โยกย้ายตัวไป เพียงไปจับจองที่นี้เท่านั้น เหมือนเราไปจองบ้านใหม่ ไปจองไว้แล้วก็กลับมาอยู่บ้านเก่า ออกจากนี้เราก็จะไปอยู่บ้านใหม่ ยังไม่ได้ไปถูกทำลายเสียก่อน นั่นละเรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของพิสดารมากจริงๆ สำคัญก็คือปรับใจเจ้าของ ให้ภาวนาให้จิตสงบเย็นแล้วจะเห็นสิ่งต่างๆ ไม่เคยรู้เคยเห็นจะเห็นที่ในใจๆ แปลกประหลาดอัศจรรย์มีอยู่ในนี้หมดเลย อยู่ในใจที่เป็นเวทีของธรรมนี่ ธรรมเข้าในเวที ธรรมอยู่ในภาชนะนี้แล้วจะแสดงลวดลายออกทุกแง่ทุกมุมเลย แต่ก่อนธรรมไม่มีที่สถิตแล้วก็เหมือนไม่มีธรรมอยู่อย่างนั้นนะ พอมีที่สถิตมีที่ยับยั้งมีที่อยู่ที่อาศัยแล้ว ทีนี้ก็แสดงลวดลาย แสดงได้หมด
คอยฟังพระองค์นี้ท่านจะว่ายังไงต่อไป ให้ท่านพิจารณาภายใน ตรงนี้ตรงจุด จุดจะระเบิดภพชาติละ ที่สอนเข้ามาในจุดนี้เป็นจุดที่จะระเบิดภพชาติความเกิดแก่เจ็บตายให้สูญซากไป จุดนี้แหละ จุดเหล่านั้นไม่ใช่ มันเป็นเครื่องใช้ตามนิสัยของคนเฉย ๆ นิสัยใครอยากจะรู้จะเห็นอย่างไหน มันก็รู้ไปเห็นไปไม่แน่นอนนัก แต่อันนี้แน่ อริยสัจนี้แน่ ใครที่จะผ่านพ้นโลกไปต้องผ่านอริยสัจนี้ก่อน
นี่กำลังให้ท่านพิจารณาเข้ามาภายใน ให้มาตีวงในนี่ให้แตกกระจาย พออันนี้แตกออกไปแล้วภพชาติจะแตกละ จิตดวงที่ว่านั่นสำคัญมากนะ ให้พากันบำรุงจิตใจ อย่าฝืนพระพุทธเจ้านะถ้าไม่อยากจม ถ้าใครอยากจมแล้วให้ฝืนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เลิศเลอนั้น กิเลสเลิศเลออะไร มีแต่หลอกต้มตุ๋นคนทั้งนั้นเลิศเลออะไร แล้วเชื่อมันมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว เชื่อกิเลสนั้นเชื่อมานานเท่าไรแล้ว ตายเพราะกิเลส จมเพราะกิเลสมานานเท่าไรแล้ว ไม่พากันคิดบ้างเหรอ
ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวาน รื้อถอนขนสัตว์โลกออกจากวัฏสงสารนี้มากต่อมาก ไม่ได้คิดกันบ้างเหรอข้อนี้ หรือเชื่อแต่กิเลส ดูหัวใจเจ้าของบ้างซิมันคึกมันคะนอง มันไม่มีบาปมีกรรมในหัวใจ มันอยากทำอะไรก็ทำ ความอยากทำคือกิเลสต้มตุ๋นคน
เรานี่มีแต่พูดคนเดียว ว้อๆ ๆ เหมือนบ้านะ อ้าวจริงๆ นี่ นี่แก่มานี้ค่อยเปิดออกบ้าง ค่อยแย็บออกๆ แต่ก่อนไม่ หูหนวกตาบอด ไปไหนเขาบอดเราบอด เขาหนวกเราหนวก เหมือนไม่รู้ไม่ชี้เรื่อยเลย นี่อ้าวผู้ที่มีสติปัญญามีนิสัยยังมีอยู่นี้ จะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย เลยแย็บออกมาบ้างเพื่อให้ได้ยึดหลัก เราไม่ได้มีเจตนาโอ้อวด อวดไปหาอะไรของเท่าเดิม อวดเท่าไรก็เท่าเดิมนั่นแหละ จะให้มันวิเศษวิโสกว่านั้นไม่ได้ละ มันเท่าเดิมนั่นแหละอวดไปหาอะไร นอกจากให้เป็นคติแก่ผู้อื่นเท่านั้นเอง นี่ก็แย็บออกมาแล้ววันนี้
ทีนี้ให้พรละ ธรรมะก็พูดแล้ว วันนี้ยิ่งพูดธรรมะสำคัญเสียด้วยนะ |