กุสลาให้ตัวเอง
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2539
สถานที่ : วัดชัยมงคล อ.บ้านแพง จ.นครพนม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดชัยมงคล อ.บ้านแพง จ.นครพนม

เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๙

กุสลาให้ตัวเอง

 

        วันนี้ได้พาพี่น้องญาติโยมทั้งหลายมาทอดกฐินที่วัดชัยมงคลและวัดถ้ำยา รวมเป็น ๒ กองด้วยกัน รู้สึกว่าพี่น้องทั้งหลายมากันเป็นจำนวนมาก ปกติหลวงตาไม่ได้บอกกล่าวที่ไหนเรื่องการบุญการกุศล ว่าจะมาทอดเอาเลยทีเดียวแล้วก็กลับ แต่ครั้นมาถึงแล้วรู้สึกว่าพี่น้องทั้งหลายมาจากที่ต่าง ๆ ไกลแสนไกลก็มี เช่น กรุงเทพฯมาจำนวนมากมาทอดกฐินวันนี้

        วันนี้ท่านสวดมนต์เป็นสิริมงคลแก่งานกฐินของเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงตาก็พูดธรรมะต้อนรับพี่น้องทั้งหลายที่มาจากทั้งทางใกล้และทางไกลได้ยินได้ฟัง เพื่อเป็นเครื่องระลึกในธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นของหายาก พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ว่า กิจฺฉํ  สทฺธมฺมสฺสวนํ การจะได้ยินได้ฟังธรรมแต่ละครั้งละคราวนี้เป็นของหายาก เป็นของที่เกิดได้ยาก นั้นหมายถึงว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมาตรัสรู้ในโลกนี้รู้สึกว่ายากแสนยาก

        เพราะการสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้นยากมหายาก บางองค์สร้างถึง ๑๖ อสงไขย กำไรเรียกว่าแสนมหากัป นี่เป็นประเภทที่เยี่ยม ประเภทที่สอง ๘ อสงไขยแสนมหากัป นี่เป็นประเภทที่สอง ประเภทที่สาม ๔ อสงไขยแสนมหากัป จึงจะเต็มสมบูรณ์ตามขั้นนั้น ๆ แล้วได้ตรัสรู้ธรรมเป็นศาสดาสอนโลกขึ้นมา เราทั้งหลายเกิดมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ไม่ได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียมากต่อมาก แม้แต่พุทธศาสนามีอยู่ในโลกของเรา ผู้ที่ไม่เคยได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมเลยก็มีมากที่สุด

        เพราะฉะนั้นการที่จะได้ยินได้ฟังธรรมนี้จึงเป็นของยาก เกิดมากี่ครั้งกี่หนกี่ภพกี่ชาติ ก็เกิดโดนไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรกเป็นเปรตเป็นอสุรกายเสียมากต่อมาก ไม่ได้มาเกิดพบเห็นพระพุทธศาสนาได้ยินได้ฟัง และได้บำเพ็ญคุณงามความดีมีจำนวนไม่น้อย

        เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วย ได้นับถือและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาด้วย จึงเป็นบุญลาภของพวกเราทั้งหลาย อย่าได้พากันประมาทนอนใจตื่นโลกตื่นสงสาร ตื่นดินฟ้าอากาศไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของมีมาดั้งเดิมแต่กัปไหนกัลป์ใดแล้ว ส่วนเสียงอรรถเสียงธรรมนี้จะมีเป็นบางกาลบางเวลา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้มาตรัสรู้เสียงธรรมก็ไม่ปรากฏ โลกก็มีแต่โลกกิเลส ว่างเปล่าจากศีลจากธรรมเสียทั้งสิ้น มีแต่กิเลสเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร นี่ได้มาพบพระพุทธศาสนาจึงเป็นบุญลาภของพวกเรา ให้พากันสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ สำหรับเป็นคุณสมบัติของใจ

        ใจเป็นของไม่ตาย โลกธาตุอันนี้มีเกิดกับตายเป็นของคู่กันมาดั้งเดิม ไม่มีคำว่าสูญ คำว่าสัตว์ตายแล้วสูญนั้นไม่มีเลย คำว่าสัตว์ตายแล้วเกิดนั้นเกลื่อนโลกธาตุ ไม่ว่าเขาว่าเรา ไม่ว่าใคร ๆ ก็ตามตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย หมุนไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาพาให้เกิดให้ตาย ไม่ได้พาให้สูญ กิเลสตัณหาไม่ได้พาให้สัตว์โลกสูญ เพราะมันไม่มีนากิน นาสถานที่ทำงานสถานที่หาอยู่หากินหาผลประโยชน์ของกิเลสนั้นคือจิตวิญญาณของสัตว์ อาศัยอยู่บนจิตวิญญาณของสัตว์นั้นแหละ ให้สัตว์ทั้งหลายได้สร้างบาปสร้างกรรม สร้างสิ่งนรกจกเปรตทั้งหลายเต็มอยู่หัวใจสัตว์ มีล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสพาให้สร้างทั้งนั้น นี้เป็นผลประโยชน์ของมัน

        ถ้าสัตว์ตายแล้วสูญ ก็ไม่มีใครจะมาสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เป็นผลเป็นประโยชน์แก่กิเลส กิเลสจึงไม่ยอมให้สูญ จิตใจดวงนี้จึงไม่เคยตายตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ออกจากภพนี้แล้วก็ไปสู่ภพนั้น ออกจากภพนั้นไปสู่ภพนี้ สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตนที่ได้ทำไว้มากน้อย ถ้าผู้ที่มีตั้งแต่บาปหาบตั้งแต่ความชั่วช้าลามกทั้งหลายตายแล้วก็จม ๆ ไปจมอยู่ในนรก เรียกว่าไปเกิดในนรก ได้รับความทุกข์ความทรมานแสนสาหัส โผล่ขึ้นมาแล้วก็มาเกิดอีก ก็ไม่รู้เสียว่าเคยตกนรก แล้วก็กล้าหาญทำความชั่วช้าลามกอีก ลงไปอีก จมกันอยู่อย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีวันโผล่ขึ้นมาเลย นี่เพราะคนประมาท

        คนไม่ประมาทก็สร้างคุณงามความดีสำหรับใจของเรา เมื่อสร้างได้มากน้อยเพียงไร ใจนี้แหละพาเป็นสิ่งเล็ดลอดให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ความทรมานทั้งหลาย ให้ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์มีไว้สำหรับคนบุญ เช่น สวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมฯขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวัตดี นี่เป็น ๖ ชั้นก็สำหรับคนบุญ พรหม ๑๖ ชั้นก็สำหรับคนบุญ นิพพานสำหรับคนที่เลิศทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พ้นเหตุสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว เรียกว่าผู้นิพพาน ผู้มีบุญมาก ผู้ถึงเมืองพอ

        นิพพานคือเมืองพอ นอกนั้นไม่พอ โลกอันนี้ไม่พอ เพราะกิเลสเข้าแทรกอยู่พอได้อย่างไร กิเลสไม่เคยพาทำใครให้พอ ได้เท่าไรยิ่งอยากได้ มีมากเท่าไรยิ่งอยากมีมาก กินไม่มีวันอิ่มพอก็คือกิเลสกินหัวใจคน ให้อยากให้ดีดให้ดิ้นรนกระวนกระวายอยู่อย่างนั้น มีเท่าไรก็ไม่พอ มีหมื่นไม่พออยากได้แสน มีแสนอยากได้ล้าน มีล้านอยากได้ล้านล้าน ได้จนลืมเป็นลืมตาย วันหนึ่งลืมระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ลืมระลึกถึงความตายของตัวเอง มีแต่ความดิ้นความดีด ครั้นเวลาหมดลมหายใจแล้วก็ตายเช่นเดียวกับโลกทั่ว ๆ ไป มีหนำซ้ำความลืมเนื้อลืมตัว ความหลงไม่อิ่มพอนั้นยังพาให้เจ้าของล่มจมไปมากต่อมาก นี่การวิ่งตามกิเลสเป็นอย่างนั้น กิเลสไม่เคยพาใครอิ่มพอ

        คำว่าธรรมนั้นมีความอิ่มพอ สร้างได้มากได้มาก เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ท่านเหล่านี้เป็นผู้ถึงเมืองพอแล้ว พอทุกสิ่งทุกอย่าง บุญก็พอ บาปก็พอ เหมือนน้ำล้นแก้วนั้นเอง น้ำเต็มแก้วเป็นอย่างไร จะเอาน้ำที่ไหนมาเทใส่ให้มากกว่านั้นก็ไม่ได้ ล้นออกหมด ๆ เรียกว่าพอแล้ว จะเอาน้ำมหาสมุทรทะเลมาเทใส่ก็เต็มแล้วเหมือนกันหมด นี่แหละผู้อิ่มพอแล้ว ท่านเรียกว่า ปุญญปาป ปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียได้แล้ว ถึงเมืองพอแล้วได้แก่พระนิพพาน

        นั่นแหละใจที่บริสุทธิ์คือใจที่พอแล้วทุกอย่าง การสร้างคุณงามความดีถึงขั้นเพียงพอได้ แต่การสร้างความชั่วช้าลามกตามอำนาจของกิเลสตัณหานี้ไม่มีคำว่าพอ สร้างไปเท่าไรก็ไม่พอ ถึงเราจะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างตึกรามบ้านช่อง หาอยู่หากิน เสาะแสวงหารายได้มาจำนวนมากเท่าไรก็ไม่พอ เอาให้ล้นฟ้าล้นแผ่นดินก็ไม่พอสำหรับบุคคลคนเดียว เพราะอำนาจของกิเลสตัณหาเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟไสเข้าไปมากเท่าไร ไฟไม่เคยดับเพราะไสเชื้อเข้าไปให้มัน มีแต่จะลุกลามขึ้นเปลวจรดเมฆโน่น

        นี่อำนาจของกิเลสตัณหาเมื่อได้เชื้อ คือความหามาตามความอยากความทะเยอทะยาน หามาได้มากเท่าไรไม่มีวันคำว่าพอ หามาได้มากเท่าไรยิ่งหิวยิ่งโหยมาก คนที่มีมากนั้นแหละคือคนที่หิวโหยมาก คนที่ทุกข์มากคือคนที่มีมาก ได้เท่าไรไม่พอ มันเพิ่มความอยากขึ้นเรื่อยๆ ความมีอย่าเข้าใจว่าเป็นเครื่องเสริมให้คนให้ได้รับความสุข มันส่งเสริมคนให้ได้รับความทุกข์ต่างหาก มีมากเท่าไรยิ่งอยากมาก ยิ่งหิวมาก ยิ่งทุกข์มาก จนไม่รู้จักเป็นจักตาย นี่คือคนประเภทที่วิ่งตามกิเลสเป็นอย่างนั้น

        ถ้าผู้ที่วิ่งตามธรรมแล้วมีความพอ ทำงานทำการจะได้มากได้น้อยเท่าไร ไม่ลืมคำว่ามรณัสสติ ระลึกถึงความตายที่จะมีแก่ตัว และระลึกถึงสถานที่จะเป็นไปของตัวเองว่าจะไปในสถานที่ใด ถ้าทำความชั่วก็ไปนรก ถ้าทำความดีก็ไปสวรรค์ เราจะเลือกเฟ้นหางานอันใดทำ เพื่อไปนรกหรือไปสวรรค์ ตั้งปัญหาถามตัวเองเข้าไป ก็ได้เงื่อนตอบออกมาว่า ต้องสร้างความดีเท่านั้นที่จะเป็นสุขแก่บุคคล ให้ไปสวรรค์จนกระทั่งถึงพรหมโลกนิพพานได้ แล้วก็เป็นเมืองพอขึ้นมา

        ถ้าสร้างตามกิเลสนี้ไม่มีคำว่าใครพอ มีมากเท่าไรยิ่งทุกข์มาก เราอย่าเข้าใจว่ามหาเศรษฐีมีความทุกข์น้อยมีความสุขมาก นั้นแหละมหันตทุกข์อยู่กับมหาเศรษฐี อยู่กับผู้มียศใหญ่ ๆ นั้นแหละ ยศ ลืมเนื้อลืมตัว มหาเศรษฐีลืมเนื้อลืมตัว ไม่ระลึกถึงศีลถึงธรรม ถ้าเป็นผู้ระลึกถึงศีลถึงธรรมมหาเศรษฐีก็เป็นสุข คนทุคตะเข็ญใจก็เป็นสุข คนมียศมากยศน้อย ฐานะสูงต่ำขนาดใด ถ้ามีธรรมแทรกอยู่แล้วเป็นสุขด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมแล้วหาวันยังค่ำตายทิ้งเปล่า ๆ เราจะไปเอาความสุขกับเงินกับทองกับข้าวกับของ กับยศศักดิ์บริษัทบริวารนี้ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่ได้แหละ ต้องหาจากความดี ความดีอยู่ที่ใจ ใจเสาะแสวงหาความดีย่อมได้ความดีมาครอง เมื่อได้ความดีมาครองแล้วย่อมมีความสุขความเย็นใจสบายใจ ไปภพใดชาติใดคนมีบุญย่อมไปสู่สถานที่ดีคติที่เหมาะสมทั้งนั้นแหละ

        ด้วยเหตุนี้จึงพากันระลึกว่าความสุขไม่อยู่สถานที่ใด ไม่อยู่กับเงินกับทองกับข้าวกับของ สิ่งเหล่านั้นเพียงอาศัยเขาชั่วกาลเวลาที่มีลมหายใจอยู่เท่านั้น พอสิ้นลมหายใจแล้วสิ่งเหล่านั้นกับเราก็หมดความหมายพร้อม ๆ กันไปทีเดียว ไม่มีอะไรมีความหมาย สิ่งที่มีความหมายอยู่เต็มหัวใจก็คือบุญกับบาป บาปถ้าเราสร้างไว้มากมันก็สร้างความหมายเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นภายในหัวใจของเรา เป็นนรกจกเปรตตกนรกหมกไหม้ไปได้ โดยไม่ต้องไปถามก็ได้นรก ว่าอยู่ที่ไหน บาปพาไปเอง ผู้ที่สร้างคุณงามความดีก็เหมือนกัน ไม่ต้องถามหาสวรรค์พรหมโลกนิพพานอยู่ที่ไหน บุญพาไปเอง

        นี่แหละความสุขจึงอยู่ที่ใจ อย่าลืมเนื้อลืมตัว เราเกิดมาทีแรกไม่ได้มีอะไรติดเนื้อติดตัวเราแหละ เกิดมาใครก็เห็นทุกคน ตกคลอดออกมาจากท้องแม่มีอะไรติดตัวมาบ้าง มีแต่ตัวล่อนจ้อนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว พอเกิดขึ้นมาแล้วก็ประดับตกแต่งกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ หามาเรื่องนั้นหามาเรื่องนี้ หามา สุดท้ายกลายเป็นความโลภ อันนั้นก็อยากได้ อันนี้ก็อยากได้ อันใดก็ไม่พอ ๆ ความไม่พอเลยพาคนตายอย่างแห้งแล้งหาความชุ่มเย็นไม่ได้ คนที่ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เอ้า เกิดขึ้นมาเรามีแต่เนื้อแต่ตัวของเรา เวลาตายแล้วเราจะเอาอะไรติดเนื้อติดตัวไป ไม่เห็นมีอะไรนอกจากบุญกับบาป ก็พยายามคัดเลือกตัวเองสร้างแต่สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ไม่ดีก็ปัดออก ๆ เพราะเป็นภัยแก่ตัวเอง เวลาตายไปแล้วความสุขความเจริญก็อยู่กับหัวใจของคนนั้นแหละ ไม่ได้อยู่กับเงินกับทองกับข้าวกับของละ ไม่อยู่ที่ไหน อยู่กับหัวใจ เพราะใจเป็นผู้สร้าง

        เช่นพี่น้องทั้งหลายมาทำบุญให้ทานวันนี้ก็เอาใจมา ใจพามา ใจพาบริจาคทานมากน้อย ใจพาสร้างกุศลมากน้อย ผลที่เกิดขึ้นจากการสร้างกุศลนี้ก็ไหลเข้าสู่ใจ ไหลเข้าสู่ใจมากน้อยตามกำลังความสามารถของเรา ที่สร้างบุญสร้างกุศลได้มากน้อยก็เป็นของเราทั้งนั้น นี่แหละบุญเกิดที่ตรงนี้ไม่ได้เกิดที่ไหน

        โลกอันนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ใครมาก็มาครองหวังจะเป็นมหาเศรษฐี ๆ เตลิดเปิดเปิงเลยบ้านเลยเมืองเลยโลกเลยสงสารเขาไป ถ้าตายแล้วก็เท่ากันกับโลกทั้งหลายทั่ว ๆ ไปนั้นแล ไม่เห็นใครดีวิเศษวิโสต่างกันอย่างไร สุดท้ายเจ้าของก็ไปจมเพราะความประมาทของตัวเอง ถ้าผู้ไม่ประมาทแล้วก็สร้างความดี

        การเสาะแสวงหาเงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติต่างๆ เราแสวงเพื่อร่างกายก็แสวง ท่านไม่ให้ประมาท เพราะร่างกายนี้เป็นความจำเป็นที่จะต้องการเครื่องเยียวยารักษา การอยู่การกินการหลับการนอนการขับการถ่าย เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกับร่างกาย เราก็หามาเยียวยารักษาเขาพอประมาณ ส่วนสมบัติอันดีงามสำคัญ ๆ ที่จะเป็นสมบัติของใจ เราก็เสาะแสวงหาคือบุญคือกุศล เราไม่ประมาททั้งสองอย่างนี้เรียกว่าผู้พร้อมแล้ว ถ้าผู้ประมาทในทางใดก็ไม่ดี อย่าประมาททั้งสองทาง ร่างกายก็ได้อาศัยเขาเราก็เยียวยารักษาไป มีอะไรถึงเวลาหิวมันก็ต้องการ มันก็อยาก ก็ต้องหามาเยียวยารักษากัน เราก็ต้องวิ่งเต้นขวนขวาย อันนี้ก็ไม่ให้ประมาท

        อาหารภายในใจ ร่างกายได้รับประทานอิ่มหนำสำราญ แต่อาหารของใจไม่มี จิตใจก็แห้งผากจากคุณงามความดี คนนั้นก็เป็นทุกข์ หาผลหาประโยชน์ไม่ได้เลย ไปที่ไหนก็พึ่งพาใครไม่ได้ ท่านว่าบาปใครกรรมเราเป็นอย่างนั้น ใครสร้างไว้มากน้อยสมบัติก็เป็นของคนนั้น ไปแบ่งสันปันส่วนจากใครก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ของเราเอง เราจึงต้องรีบสร้างรีบขวนขวายเสียตั้งแต่บัดนี้ ทั้งที่มีชีวิตอยู่ ตายแล้วจะไม่เสียท่าเสียที

        ให้เชื่อเถิดเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เคยโกหกพกลมแก่ผู้ใดแม้พระองค์เดียว สร้างพระบารมีมา ๑๖ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง ๔ อสงไขยบ้าง ล้วนแล้วตั้งแต่สร้างบารมีเพื่อเมตตาสัตว์โลกทั้งนั้น ไม่ได้เพื่อการหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลกเลย เราจึงควรเชื่อพระพุทธเจ้ามากยิ่งกว่าเชื่อกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี่เป็นเครื่องหลอกลวงสัตว์โลกทั้งหลายให้ลุ่มหลงจมดิ่ง ๆ ก็คือธรรมชาติอันนี้ แต่สัตว์โลกทั้งหลายไม่มีความเข็ดหลาบอิ่มพอกับสิ่งเหล่านี้ จึงต้องได้โดนอยู่เสมอ ๆ

        ถ้าเรามีความเข็ดหลาบแล้วเราก็ละเว้นสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ติดตามเรา เราละเว้นได้มากน้อยก็เป็นผลดีของเรา ถ้าตื่นเต้นหรือหลงกลมายาของมันแล้วเราก็จะถูกต้มตุ๋นล่มจมไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ไม่มีวันหยุดวันถอย กี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่มีประมาณ มีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้น ส่วนความทุกข์ความทรมานอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้ง มันอยู่กับตัวของเราเอง จงพากันระมัดระวังตัวของเรามากยิ่งกว่าที่จะไปตื่นมืดตื่นแจ้ง ตื่นเดือนดาวตะวัน ตื่นโลกตื่นสงสารไม่ใช่ของดี

        ให้ตื่นตัวเองนี้ เวลานี้มันเฒ่าแก่ขนาดไหนแล้ว วันนี้อายุเท่านี้กับเท่านั้นวันเท่านี้วัน วันพรุ่งนี้มีแต่จะเพิ่มวันเข้าไป เพิ่มชั่วโมงเข้าไป แล้วก็เพิ่มเดือนเพิ่มปีเข้าไป สุดท้ายก็เฒ่าแก่ชรา ตายลงไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร กุสลา ธมฺมา ก็ว่ากันไปอย่างนั้นละ ถ้าคนนั้นไม่มีบุญแล้วจะไปกุสลาเท่าไรพระลำบากรำคาญเปล่า ๆ นั่นแหละ จงสร้างกุสลาคือคุณงามความดีใส่ตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าที่จะให้คนอื่นสร้างส่งไปให้เป็นไหน ๆ

        กุสลา ธมฺมา แปลว่า ธรรมยังบุคคลให้ฉลาด เราฉลาดเลือกเฟ้นเราเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายไปแล้วเราจะสบายไม่ต้องนิมนต์พระมากุสลามาติกาก็ได้ ไม่เห็นอะไรตามหลักธรรมมีอย่างนั้นนี่ เราไม่ได้อุตริพูดนะ ที่เรียก กุสลา ธมฺมา ที่ท่านสวดมาติกาบังสุกุลทุกวันนี้ไม่ใช่มีมาดั้งเดิม เป็นของมีมาใหม่ ๆ นี้ต่างหาก ท่านนิมนต์พระไปเยี่ยมป่าช้า ไปพิจารณาซากอสภในป่าช้า ก็ไปพิจารณาให้ได้คติตัวอย่าง ว่าเขาก็ตายอย่างนี้ นี่เวลาตายแล้วเป็นอย่างนี้คนเรา นี่เป็นป่าช้าผีตาย ป่าช้าผีเป็นคือบ้านของคน ป่าช้าผีตายคือป่าช้า เช่น เมรุ หรือเขาตั้งเป็นป่าช้าไว้สำหรับเผาคนฝังคน นั่นเป็นป่าช้าของผีตาย

        ป่าช้าผีเป็นก็คือตามบ้านตามเรือนของเรานั่นแล เวลามีชีวิตอยู่ก็เป็นบ้านเป็นเรือน พอตายลงไปแล้วก็เปลี่ยนเป็นป่าช้าในบุคคลคนเดียวนั่นแหละ ท่านให้ไปพิจารณาบังสุกุลอย่างนี้ พิจารณาให้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม ต่อจากนั้นมาก็ตายแล้วก็ กุสลา ธมฺมา พึ่งมีมานี่นะ ไม่ใช่ว่าใครตายแล้วนิมนต์พระไปกุสลามาติกาให้ได้บุญได้กุศลไปสวรรค์นิพพาน ถ้าอย่างนั้นแล้วพระเองก็จำเป็นอะไรจะต้องไปบวชให้เสียเวล่ำเวลา ตายแล้วบวชหลวงตาไว้ในบ้านสักองค์หนึ่ง เช่นบ้านแพงเรานี้ก็บวชไว้เสียองค์หนึ่ง เวลาตายแล้วก็นิมนต์พระหลวงตาองค์นี้ไปกุสลามาติกา ไปสวรรค์ทั้งหมด หมดทั้งบ้านแพงนี่นะ ว่างั้นก็ต้องไปกันหมด ไม่ต้องสร้างบุญสร้างกุศลให้ลำบากลำบนอะไร

        แต่นี้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ท่านจึงสอนให้สร้างความดีเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ธรรมของพระพุทธเจ้าก็สอนคนเป็น ไม่ได้สอนคนตายแล้วนี่นะ ท่านสอนคนเป็นต่างหาก ตายแล้วหมดความหมาย อันนี้ก็ตายแล้วหมดความหมายด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจงสร้างความหมาย คือคุณงามความดีไว้สำหรับตนเสียตั้งแต่บัดนี้จะไม่ได้เสียท่าเสียที

        ตายล่มตายจมมีดีที่ไหน ตายแล้วไปแบกกองทุกข์มีดีที่ไหน เราเป็นคนไปแบกเอง แต่เราก็กล้าหาญชาญชัยต่อความชั่วช้าลามก ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ทำความชั่วช้าลามกแข่งขันประชันกับพระพุทธเจ้า ครั้นเวลาตายแล้วไปจมนรกก็คือเรา พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปตกนรก ท่านจึงสอนให้พวกเราได้รู้เรื่องรู้ราวเสียตั้งแต่บัดนี้ ดังที่ท่านว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา เป็นต้น ท่านพูดถึงเรื่องจิตล้วน ๆ นี่เป็นนามธรรม จึงเรียกว่าสวดอภิธรรม ยกเรื่องตัวอย่างมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านไปสอนพระมารดาท่านด้วยอภิธรรมทั้งเจ็ดนี้ เราก็เลยยึดอันนั้นมาสวด กุสลา ธมฺมา มาติกานี้ต่างหากนี่นะ ไม่ใช่เป็นคติตัวอย่างอันเป็นหลักเป็นเกณฑ์จริง ๆ ที่จะละบาปทำบุญได้ด้วยการได้ยินได้ฟังเสียงกุสลานี้โดยถ่ายเดียว

        อย่างอื่นสำคัญมาก สอนคนให้รู้ดีรู้ชั่วรู้บุญรู้บาปรู้หนักรู้เบา นี้เป็นของสำคัญท่านจึงสอน พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนสอนโลกทั้งนั้นแหละ ท่านไม่ได้ยกอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาสอนทั่ว ๆ ไปแหละ ท่านจะสอนในบุคคลที่ควรแก่อภิธรรม ๗ คัมภีร์ สอนบุคคลที่ไม่ควรแก่อภิธรรม ๗ คัมภีร์ก็สอนไปแบบหนึ่ง คนที่ควรแก่อภิธรรม ๗ คัมภีร์ท่านก็สอนแบบหนึ่ง ท่านสอนแยกสอนแยะไปหมด ท่านไม่ได้สอนแบบเดียวกัน

        อย่างเราสอนนักเรียน นักเรียน ก.ไก่ ก.กา จะเอามัธยมมาสอนได้ยังไง นักเรียนประถมเอามัธยมมาสอนได้ยังไง นักเรียนมัธยมมาสอน ก.ไก่ ก.กา กันมันก็ไม่ได้ นักเรียนขั้นดอกเตอร์งี้เราจะเอา ก.ไก่ ก.กา ไปสอนก็ไม่ถูก ต้องสอนให้ถูกกับฐานะกับความจำเป็นของคนที่มาศึกษาจากเรา นี่พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน สัตว์โลกนี้มีหลายประเภท   ควรจะสั่งสอนสัตว์โลกด้วยธรรมประเภทใดพระองค์ก็ทรงสั่งสอน   ควรแก่กุสลามาติกาก็สอนกุสลามาติกา เพราะจิตเป็นธรรมล้วน ๆ ที่เป็นส่วนละเอียดแล้ว ท่านก็สอนอย่างนั้น

        ถ้าเป็นธรรมดาอยู่อย่างพวกเราไม่รู้กุสลามาติกาเป็นยังไงนี้     จะไปสอนธรรมกุสลามาติกาอย่างนั้นก็เป็นโมฆะเปล่าประโยชน์ ไม่ค่อยเกิดประโยชน์อะไร ดีไม่ดีไปเล่นการพนันขันต่อกันอยู่ที่กุสลามาติกาในป่าช้ามีเยอะนะ เวลาคนตายแล้วพวกนักพนันขันต่อกันนี้ไปเล่นการพนันกันอยู่ที่ป่าช้ามีเยอะ ทางภาคอีสานเขาเรียกเล่นโบกเล่นเบี้ย คือการพนันนั่นแหละมีเยอะ มันไม่ได้สนใจกับ กุสลา ธมฺมา ว่าท่านสอนว่ายังไง สนใจแต่การพนันขันต่อเท่านั้นแหละ นั่นมันควรแล้วเหรอ กุสลา ธมฺมา จะไปควรแก่ทุกคนเวลาตายแล้วจะเกิดประโยชน์ มันไม่ได้เกิดประโยชน์ ถ้าไม่ทำประโยชน์ให้รู้ให้เห็นเสียตั้งแต่บัดนี้

        อย่างที่พวกเราทั้งหลายทำอยู่เวลานี้ นี่ละท่านเรียกว่าสร้างกุสลา กุสลา แปลว่า ความฉลาด คนฉลาดโดยธรรมแล้วย่อมได้บุญได้กุศล บุญกุศล ๆ นี้เป็นตัวเหตุให้บุคคลสร้างความดีขึ้นมา บุญนั้นคือความสุขซึ่งก็เกิดขึ้นจากความดี เรื่องก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจงสร้าง กุสลา ธมฺมา ให้เต็มหัวใจเราเสียตั้งแต่บัดนี้ เวลาตายแล้วพระจะมากุสลามาติกาหรือไม่มาก็ไม่เห็นจำเป็นอะไร จะพูดหรือจะเอาหลวงตาบัวออกยันเลยก็ได้ ไม่ต้องพูดไปที่ไหนละ

        เราไม่อวดเราเอาหลักความจริงออกมาพูด อย่างหลวงตาบัวตายนี้ไม่จำเป็นจะต้องนิมนต์พระที่ไหน ไปกวนท่านมากุสลา ธมฺมา มาติกาละ ตั้งแต่บวชมาสร้างความดีมาตั้งแต่โน้นแล้วจนกระทั่งบัดนี้มีกี่ปีกี่เดือน แล้วตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ก็เป็นเวลา ๗ ปี ออกจากเรียนหนังสือแล้วเข้าป่าขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส ตัวทำคนให้โง่เขลาเบาปัญญาคือกิเลส ฟัดกันกับกิเลสให้มันม้วนเสื่อลงไปแล้ว ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมา  กุสลา ธมฺมา มาติกาอะไรละ ไปเอง นิพพานไม่ต้องถาม รู้เองไปเอง ขาดสะบั้นลงไปหมดกิเลสไม่มีเหลือแล้วไปนิพพานเอง ถ้ากิเลสยังเต็มอยู่ในหัวใจทำยังไงให้ไปนิพพานก็ไปไม่ได้ คนโง่แสนโง่จะทำยังไงให้ฉลาดก็เป็นอฐานะ เวลานั้นยังฉลาดไม่ได้ ก็ต้องสอนไปตามขั้นตามภูมิให้เข้าใจ

        นี่สอนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ให้ได้องอาจกล้าหาญในการตายการเป็นของตัวเอง ถ้าปฏิบัติจริง ๆ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นอย่างที่ว่านี้จริง ๆ อาจหาญชาญชัย ไปเมื่อไรก็ไป พร้อมแล้ว หรือว่าพร้อมแล้วยังไม่เต็มสมบูรณ์ ว่าพอแล้วว่างั้นเลย พอทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในสามแดนโลกธาตุ เกิดก็เคยเกิดพอแล้ว ตายก็เคยตายพอแล้ว เกิดตายกองกันก็เคยเกิดตายกองกัน ทุกข์ตายกองกันก็เคยทุกข์ตายกองกันมาพอแล้ว บัดนี้จะไม่เกิดตายกองกัน จะไม่ทุกข์ตายกองกันอีก พระไม่จำเป็นต้องมา กุสลา ธมฺมา จะไปเองด้วยความพอแล้วนี้เท่านั้น นั่นธรรมะเป็นอย่างนั้น เป็นเครื่องท้าทายความจริงให้โลกทั้งหลายได้เห็นอยู่ อวดหน้าอวดตากิเลสที่หลอกลวงต้มตุ๋นโลก ธรรมนี้มิได้หลอกลวงต้มตุ๋นโลกเลย สอนอย่างไรเป็นอย่างนั้น ขอให้รู้จริงเห็นจริงเถอะน่า

        นี้พูดจริง ๆ พูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ซึ่งมาถือว่าหลวงตาบัวเป็นอาจารย์ของเรามาเป็นเวลานาน โน่นคิดดูซิตั้งแต่กรุงเทพฯยังอุตส่าห์มา ได้ทราบว่าอาจารย์ของตนสร้างบุญสร้างกุศลจะมาทอดกฐินนี้ยังอุตส่าห์มา วันนี้จึงต้อนรับพี่น้องทั้งหลายไว้ให้สมเหตุสมผล ว่าหลวงตาบัวนี้ตายไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา จะไปด้วยความพอของตัวเองเท่านั้น ยังมีชีวิตอยู่นี้ก็พอ ให้เห็นประจักษ์อยู่ในใจ ตายแล้วจะหลงไปไหน ถ้าอย่างนั้นศาสดาเอกของโลกสอนโลกได้ยังไง เมื่อพระองค์ไม่พอเต็มพระทัยแล้ว ประกาศพระองค์ว่าเป็นศาสดาสอนโลกได้ยังไง พระอรหันต์เมื่อท่านไม่พอแล้วจะเรียกว่าพระขีณาสพพอแล้วได้ยังไง ให้เห็นอย่างนั้นซิ

        สนฺทิฏฺฐิโก ปฏิบัติแล้วธรรมะอันนี้จะกังวานขึ้นที่หัวใจ สาธุพูดแล้วพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถามพระองค์ ถามท่านหาอะไรของอันเดียวกัน อย่างเดียวกัน บริสุทธิ์อย่างเดียวกัน วิมุตติพระนิพพานเห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจอย่างเดียวกันแล้วถามกันหาอะไร เหมือนกันกับเรารับประทาน จะรับประทานมีจำนวนมากน้อยเพียงไร จะเผ็ดก็รู้ เค็มก็รู้อยู่ในชิวหาประสาทของด้วยกันทุกคน อิ่มมากอิ่มน้อยก็รู้ อิ่มเต็มที่แล้วถามกันหาอะไร ต่างคนก็ต่างพอ ต่างคนต่างไม่ถามกันแหละ นี้ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเข้าถึงขั้นพอแล้วเป็นอย่างนั้น นี่แหละธรรมะพระพุทธเจ้าประกาศท้าทายความจริงให้โลกทั้งหลายได้เห็นอยู่นี้

        แต่โลกไม่ยอมฟังไม่ยอมสนใจ วิ่งตามแต่กิเลสเป็นบ้ากันไปทั่วโลกทั่วดินแดน พูดแล้วสลดสังเวชนะ ธรรมของจริงไม่สนใจ ถ้าเป็นของปลอมแล้ว โอ๊ย เอาจริงเอาจังมากนะ ถ้าเรื่องของกิเลสเครื่องโกหกพกลมแล้วจริงจังมาก ถ้าเรื่องของอรรถของธรรมแล้วทำไปเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ทำบุญให้ทานก็กลัวแต่จะหมดจะสิ้น กลัวแต่จะเปลือง กลัวจะไม่ได้กิน กลัวจะไม่มั่งไม่มี เวลาตายแล้วมีแต่กระดูก เอาอะไรไปได้เห็นไหม ก็อย่างนั้นซิ

        ถามเจ้าของนั่นแหละอย่าไปถามคนอื่นมันกระทบกระเทือนกัน ให้ตั้งปัญหาถามเจ้าของ ถ้าเจ้าของอยากเป็นคนดีเพื่อสลัดปัดทิ้งสิ่งที่ไม่เป็นสาระทั้งหลายเพื่อสาระแก่ตัวเอง ด้วยการสร้างคุณงามความดี ให้ตั้งปัญหาถามตนอย่างนั้นแล้วจะได้ข้อคิดขึ้นมา ได้ข้ออรรถข้อธรรมขึ้นมา คนเราจะไม่ประมาทจนกระทั่งวันตาย ถ้ามีข้อคิดมีปัญหาตั้งปัญหาถามเจ้าของอยู่เสมอ นี่ไม่ถามน่ะซิ ให้แต่กิเลสจูงจมูก ๆ มีแต่พวกจมูกขาดทั้งนั้น

        ให้พากันจำเอา ธรรมะพระพุทธเจ้าประกาศท้าทาย ศาสนาพุทธของเรานี้คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี้แหละ แข่งกันกับกิเลสอยู่นี้แหละ เอ้า ใครจะเอาก็เอา ผู้ได้ชมมรรคผลนิพพานนั้นแหละคือสินค้า สินค้าอันล้ำเลิศประเสริฐสุดอยู่ในตลาดแห่งมรรคผลนิพพานคือศาสนาของพระพุทธเจ้า อยู่ในวงปฏิบัติของผู้ดำเนินตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า จะได้ธรรมเหล่านี้มาครองหัวใจ ผู้ไม่ได้ปฏิบัติไม่สนใจ ก็ได้ตั้งแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ความดิ้นความดีด ตายแล้วก็พันกันไปลงนรกได้ประโยชน์อะไร

        ให้พิจารณาถามตัวเองเข้าไปซิ วันหนึ่ง ๆ เกิดมานี้กี่วันกี่ปีกี่เดือนแล้ว ได้ถามปัญหาตัวเองบ้างหรือเปล่า หรือไปดูตั้งแต่คนอื่น คนนั้นดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ติฉินนินทาแต่คนอื่น เจ้าของจริง ๆ แล้วไม่ตำหนิเจ้าของ มีแต่ว่าดีหมด ๆ ถูกกิเลสต้มไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ดีแล้วหรือมนุษย์เรา ทำตัวให้ดีซิให้เห็นประจักษ์นี่ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นในหัวใจแล้ว พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ พระองค์ไม่สงสัย สงสัยอะไรของอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าที่นิพพานไปแล้วก็เป็นอย่างธรรมชาติที่เราครองอยู่เวลานี้ พระพุทธเจ้าองค์ใดก็เหมือนกันอย่างนี้ ๆ เป็นของอันเดียวกันอย่างนี้ถามพระพุทธเจ้าทำไม แล้วสงสัยยังไงว่าพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี สงสัยหาอะไร องค์อริยสัจประกาศป้าง ๆ อยู่หาความจริง คือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจากอริยสัจทั้งสี่นี้แลไม่ได้ขึ้นจากที่ไหน เมื่อได้รู้ในอริยสัจทั้งสี่นี้ก็รู้พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่สงสัยเลย นั่นแหละจึงว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ท้าทาย

        เอหิปสฺสิโก ร้องเรียกให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายเข้ามาดูหัวใจดูกายของตัวเอง มันเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่า วันไหนมันจะตาย เราจะสร้างความดีนอนใจอยู่ได้หรือ เราจงสร้างคุณงามความดีให้มากมูนสมบูรณ์ขึ้นมาเราจะไม่เป็นผู้เสียท่าเสียที เกิดขึ้นมาแล้วอย่าให้เสียชาติเป็นมนุษย์ มันล่มจม โอ๋ย ขาดทุนป่นปี้ไม่ดีเลย ทำเสียตั้งแต่บัดนี้วันนี้เดี๋ยวนี้ ท่านสอนไว้ว่า อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว การทำความดีให้ทำเสียตั้งแต่บัดนี้วันนี้ อย่าไปคิดถึงอดีตอนาคต ว่าวันโน้นเราไม่ได้ทำ วันหน้าเราถึงจะทำ อย่างนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไร ตายแล้วทิ้งเปล่า ๆ มันไม่อยู่กับอดีตอนาคตความตาย อยู่กับลมหายใจ เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วตายด้วยกันนั่นแหละ จะไปดูวันนี้วันพรุ่งนี้เมื่อไร ไม่ดู ให้ดูเจ้าของเสียตั้งแต่บัดนี้ แล้วความดีของเราจะได้ค่อยพอกพูนขึ้นไป

        คนมีความดีนี้อาจหาญนะ ความดีมีในใจ พอความจะเป็นจะตายเข้ามาจิตจะต้องวิ่งหาที่เกาะ ๆ ถ้าคนสร้างบาปวิ่งหาที่เกาะยิ่งร้อน ๆ ตายแล้วจมเลย คนที่สร้างความดีนี้เวลาจะเป็นจะตายเข้ามานี้จิตวิ่งหาที่เกาะ มีแต่คุณงามความดีได้สร้างไว้แล้วเย็นใจ ๆ อาจหาญรื่นเริง เอ้า ไปเมื่อไรก็ไปพร้อมแล้ว ที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นไหนก็พร้อมแล้วที่จะขึ้นชั้นนั้น ๆ จนกระทั่งถึงว่านิพพานพร้อมแล้ว เวลานี้จิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ถึงนิพพานแล้วในบัดนี้แล้วจะไปนิพพานที่ไหนอีก นั่นท่านไม่หลงนิพพาน เมื่อท่านรู้หัวใจที่เป็นธรรมทั้งแท่งภายในจิตใจแล้วท่านเป็นอย่างนี้

        วันนี้ได้พูดธรรมะในฐานะเป็นกันเองกับพี่น้องทั้งหลาย นาน ๆ จะพูดทีหนึ่ง หลวงตาไม่ค่อยเทศน์นะ อยู่ในวัดก็ไม่เทศนาว่าการให้ใคร ๆ ฟัง แม้ที่สุดพระในวัดก็ไม่ได้ให้การอบรม แต่วันนี้ได้ตั้งใจเทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ทั้งที่มาใกล้และมาไกล ให้ได้มีกำลังใจที่จะสร้างคุณงามความดีต่อสู้กับมรสุม คือกองทุกข์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลเรานี้ เราจะได้ไปสถานที่ดีเป็นสุคติแก่พวกเราทั้งหลาย

        การแสดงธรรมนี้ขอบุญญานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ จงมาคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีความสุขกายสบายใจ และปรารถนาสิ่งใดที่อยู่ในฐานะแห่งธรรมแล้ว ขอจงสมหวังตามความมุ่งหมายโดยทั่วกันเทอญ

พูดท้ายเทศน์

        วันนี้หลวงตาเทศน์มากอยู่นะ ไม่เทศน์มากี่ปีแล้วนี่ หยุดมาหลายปีแล้วนะ ไม่เอาเทศน์อย่างนี้ไม่เอา เหนื่อย วันนี้โมโหใจมันขึ้นเลย คึกคักใส่ เสียงเปรี้ยงปร้าง ๆ ว่าอย่างไรล่ะ เพราะไม่ใช่พระอิฐพระปูน มันโมโหเป็นนะคน

        วันพรุ่งนี้เช้าพอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มีพิธีถวายกฐิน ส่วนที่จะถวายวัดโน้นก็ต้องเอาไปถวายวัดโน้นกระมัง เป็นธรรมดา วัดนี้ก็ถวายวัดนี้ เราแยกมาเป็น ๒ ภาค เพราะเป็นลูกศิษย์ด้วยกัน วัดนี้ก็ลูกศิษย์ วัดนั้นก็ลูกศิษย์ เรามาเป็นโต้โผเป็นหัวหน้าในการสร้างกุศลครั้งนี้ แล้วก็แยกออกเป็น ๒ ฝ่ายคือ ๒ แง่ แง่หนึ่งก็ไปวัดถ้ำยา แง่หนึ่งก็วัดนี้ ทุกอย่างเราแยกแบ่งภาคไว้ ๒ ส่วน ๆ ให้พอเหมาะพอดี

        วันนี้เราก็สละเวลามาค้างที่นี่ ถ้าธรรมดาแล้วเราไม่ค่อยมีเวลาว่างนะ นี่เราก็สละเวลามาค้างที่นี่คืนหนึ่ง ตื่นเช้าก็ทำถวายกฐิน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับไป ก็รับภาระทางโน้น ทางอื่น ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรารออยู่แล้วในวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย พวกแขกมีจำนวนมากนัดไว้เรียบร้อยแล้ว เสร็จนี้เราก็ไป ดีแล้ววันนี้ได้ฟังทั้งพระท่านสวดมนต์ด้วย ได้ฟังทั้งธรรมเทศนาว่าการทุกอย่างด้วย ได้ทำบุญให้ทานเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามสติกำลังความสามารถของตนด้วย นับว่าได้บุญได้กุศลเป็นที่พอใจแล้ววันนี้

        เทศน์เราจะได้ถึง ๓๐ นาทีได้มัง จะถึง ๓๐ นาทีไหม ดูจะถึง ๓๐ นาทีธรรมะที่เทศน์ เทศน์ไปมันก็เหนื่อย ตั้งแต่ยังหนุ่มน้อยนั้น โห เทศน์นี่ฟังไม่ทันนี่ จริง ๆ นะ เจ้าของเองฟังเทปเจ้าของ ฟังจนรัวไปเลยเทียว เหมือนปืนกล ฟังจนจะฟังไม่ทันมันรัวไปเลย จนตัวเองก็ได้ โอ้โห เทศน์ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ พอโรคหัวใจเกิดขึ้นเท่านั้นแหละก็เลยล้มไปเลย ตั้งแต่ ๐๖ โรคหัวใจเริ่มเป็นตั้งแต่ ๐๖ จนกระทั่ง ๕๑๒ -๑๓ ค่อยพูดได้บ้าง ระยะนี้ทิ้งหมด รับแขกรับคนก็ไม่ได้ หนีไปหลบไปซ่อนอยู่ตามป่าตามในที่ไหน ๆ ไป รับแขกไม่ได้หมอไม่ให้รับแขก ยอมรับหมอแล้วเราก็ต้องปฏิบัติตามหมอ เห็นว่ายานี้ถูกกับโรคของเรา

หลังจากนั้นมาก็เทศน์ได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มาเริ่มได้อีกตอน ๕๒๐ เริ่มเทศน์ได้อีกพอสมควร แต่ให้เป็นเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว เพราะเทศน์ ๆ ไปเสียงดังขึ้น อันนี้มันกระเทือนแล้ว ๆ กรรมวาสนามันขนาดนี้ก็เอาแค่นี้แหละ ถ้ามันสะดวกสบายราบรื่นไปตั้งแต่เริ่มต้นนั้น จนกระทั่งเฒ่าแก่ปานนี้ โถ ฟ้าดินถล่มเป็นไร เราอยากคุยเสียหน่อยเพราะไม่ได้คุยเสียนาน วันนี้มีลูกศิษย์ลูกหามากคุยให้ฟังบ้างซิ เพราะผู้อยากฟังคำคุยมีอยู่เยอะนี่ คุยเสียบ้างซิ

เท่านั้นแหละ หลวงตาจะไปละ

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก