ตั้งแต่พอเริ่มบ่ายแล้วก็นั่งตลอดไปเลย สู้วันยังค่ำจนไม่มีลมจะสู้ สู้ด้วยลมปาก ลมปากก็หมด คณะนั้นเข้าคณะนี้ออก เราก็เห็นใจเรารับด้วยความเห็นใจ เรามานี้มาด้วยน้ำใจของประชาชนศรัทธาทั้งหลาย เราไม่ได้มาด้วยวัตถุสิ่งอื่นใดทั้งนั้น ไม่ว่าไปไหนเราไปด้วยน้ำใจของชาวพุทธเราทั้งนั้น ใจนี้เป็นของสำคัญ สิ่งอื่นไม่สำคัญ มีอยู่ทุกแห่งทุกหนเต็มบ้านเต็มเมืองไม่อดอยากขาดแคลน แต่ธรรมภายในใจสมบัติของใจนี้หายาก ไม่ค่อยจะเสาะแสวงหากัน มีแต่ความเพลิดเพลินย่ำยีตีแหลกทั้งวันทั้งคืน เวลาจะเสาะแสวงหาบุญหากุศลนี้ให้เป็นเรื่องเหมือนกับว่าเป็นงานอดิเรกไปอย่างงั้นละ คืองานเศษ ๆ เดน ๆ ไป ไม่ใช่งานของจริงของแท้ งานของจริงของแท้คือเป็นเรื่องของกิเลส นี่แหละมันจึงมีความทุกข์มากโลกเรา
ในธรรมพระเวสสันดรท่านแสดงไว้ สรุปในชาดก ท่านอีก ๑๐ ชาติ ชาติสุดท้ายเป็นพระเวสสันดร ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ท่านสละให้ทานมาตลอดกี่กัปกี่กัลป์ สร้างคุณงามความดีให้ทานรักษาศีลภาวนามาตลอดจนกระทั่งวาระสุดท้ายนี้ ได้ทรงสรุปคาถาที่ท่านได้แสดงมาและโลกทั้งหลายได้ดำเนินตาม เพื่อเป็นคติแก่โลกด้วย เป็นคาถาว่า ทานํ เทติ การให้ทานหนึ่ง สีลํ รกฺขติ การรักษาศีลหนึ่ง ภาวนํ ภาเวตฺวา การเจริญเมตตาภาวนาสวดมนต์ไหว้พระ ระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ภายในจิตใจหนึ่ง เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ ท่านผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านี้หนักเบามากน้อยในแง่ใดก็ตามซึ่งเป็นการบุญการกุศลทั้งนั้น บางพวกย่อมไปสวรรค์ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ บางพวกเมื่อบารมีแก่กล้าแล้วสามารถไปนิพพานได้ นิสฺสํสยํ โดยไม่ต้องสงสัย นี้คือคำรับรองแห่งพระพุทธโอวาทของพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นคติแก่โลก
เพราะพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นศาสดามาตลอดเวลาเป็นคติของโลกเรื่อยมา ได้บำเพ็ญกองการกุศลจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายจนได้สรุป ๓ คาถานี้ขึ้นมาว่า ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา ๓ บทนี้แลเป็นธรรมที่รื้อขนสัตวโลกให้หลุดพ้นจากความทุกข์กันดารทั้งหลายจนกระทั่งถึงพระนิพพาน ไม่นอกเหนือไปจากทานศีลภาวนานี้เลย ทางนี้เป็นทางแคล้วคลาดปลอดภัย จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้นำธรรมเหล่านี้เข้าไปสู่จิตใจ ระลึกไว้อย่าได้ลืมและบำเพ็ญตามธรรมนี้
คำว่าสวรรค์นั้นเป็นสถานที่อยู่ของคนดี อายุก็ยืนนานเป็นชั้น ๆ ชั้นที่หนึ่งอายุขนาดนี้ ชั้นที่สองสูงขึ้นไป ชั้นที่สามสูงขึ้นไป จนกระทั่งถึงพรหมโลก อายุตั้งหลายหมื่นปี เจ็ดหมื่นปี แปดหมื่นปีกว่าจะได้ลงมาอุบัติเป็นมนุษย์อีก แต่ละครั้ง ๆ อายุยืนนานอย่างนั้น นี่เป็นสถานที่อยู่ของคนดีผู้มีทาน มีศีล มีภาวนา เราจะหนักแน่นในธรรมบทใดก็ให้หนักแน่น เป็นความดีด้วยกัน หนักแน่นในทานก็ดี หนักแน่นในศีล ศีลข้อใดที่เป็นภัยแก่ตัวเองและผู้เกี่ยวข้องหรือส่วนรวมให้หนักแน่น เน้นหนักในศีลข้อนั้นให้มาก บังคับบัญชาให้อยู่ในเงื้อมมือของเรา
ถ้าเราบังคับบัญชาไม่ได้ เราก็เป็นคนเหลวแหลกแหวกแนว เอาให้จริงให้จัง จะรักษาศีลข้อใดก็ตาม เราไม่สามารถจะรักษาได้ทุกข้อ ข้อใดที่อยู่ในวิสัยของเราที่จะรักษาได้เอาให้แม่นยำ ให้เป็นที่อบอุ่นใจตัวเองได้ เชื่อตัวเองได้แล้วไปที่ไหนเชื่อได้หมด คนอื่นเขาก็ย่อมเชื่อเรา เมื่อเราเชื่อตัวเองได้ด้วยการทำดีของเรา เรามีความสัตย์ความจริง อย่างนี้ละเป็นคติของชาวพุทธเรา ขอให้ยึดศีลนี้ไว้เป็นเกณฑ์เป็นกฎข้อบังคับ
เราให้คนอื่นมาบังคับไม่ได้นะ เพียงแต่เตือนกันเท่านั้นก็ไม่พอใจแล้วมนุษย์เรา เตือนว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ ก็หาว่าเขาตำหนิติเตียนเหยียบย่ำทำลายเกียรติยศ เกียรติศักดิ์แล้วเกิดความโกรธความแค้นขึ้นมาได้ แต่เราฝึกฝนอบรมเราดุด่าว่ากล่าวเรานี้ เอาให้หนักขนาดไหนก็ได้ เอาถึงเป็นถึงตายก็ได้ ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความเคียดแค้นดังที่ผู้อื่นตักเตือนเรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องฝึกฝนตัวของเรา อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงเตือนตนด้วยตนเอง จงฝึกตนด้วยตนเอง เราฝึกเราด้วยตัวของเราเองนี้ดีกว่าคนอื่นมาฝึกเป็นไหน ๆ คนอื่นฝึกเราพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง แต่เราฝึกเรานี้ พอใจไม่พอใจก็เป็นเรื่องของเราเอง
เอาให้หนักแน่น ไม่อย่างนั้นไม่มีอะไรเป็นของดีติดเนื้อติดตัวเรา กิเลสจะเอาไปถลุงเสียหมด เกิดมาชาติใดภพใดก็มีแต่ความว่างเปล่าจากคุณงามความดี จากความสงบสุขไม่เป็นของดีเลย เกิดมาให้ได้พบความสุขความเจริญเป็นที่พึงใจ เพราะเราได้ฝึกฝนอบรมเรามาเป็นผลตอบแทน เราทำมาอย่างใดผลย่อมได้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหนักแน่นในการฝึกฝนอบรมเรา ถ้าเราอยากเป็นคนดีมีความสุขและได้สิ่งที่พึงหวังก็พึงทำตนให้เป็นคนดีอย่างนี้
ภาวนาก็เช่นเดียวกัน วันหนึ่ง ๆ อย่าให้ขาด แม้ที่สุดทำการทำงานไปไหนมาไหน ให้ระลึกพุทโธอยู่ภายในใจเสมอ นี้เป็นหลักใจของชาวพุทธเรา คำว่าพุทโธไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กล่าวคำว่าพุทโธคำเดียวเท่านั้น กระเทือนไปทั่วแดนโลกธาตุแห่งพุทโธทั้งหลายที่ทรงอุบัติขึ้นมาแล้วผ่านไปแล้วนับไม่ถ้วน คำว่าพุทโธคำเดียวกระเทือนไปถึงพุทโธทั้งหลาย ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยทั่วถึงกัน จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คำว่าธัมโมก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตรัสรู้ธรรมทั้งนั้น ที่เป็นศาสดาของโลก สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์สาวกก็เดินตามพระพุทธเจ้าจนได้ตรัสรู้ธรรม ฟาดกิเลสให้มุดมอดไปหมดเหลือแต่บรมสุขภายในจิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ นี่เป็นสรณะของพวกเรา
เราจะไปไหนมาไหนให้ระลึกเสมอในธรรมสามบทนี้ จะเป็นบทใดบทหนึ่งหรือทั้งหมดก็ได้ ให้เป็นหลักใจ นี้แลหลักใจของเรา หลักทรัพย์ภายในของเราอย่าให้ขาด ขาดอะไรก็ตามอย่าให้ขาดหลักทรัพย์ภายในนี้เป็นสำคัญมาก คนทุกข์คนจนคนมั่งคนมีอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ถ้ามีทรัพย์ภายในคือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ในใจเเล้ว ไม่ได้ถือสีถือสากันง่าย ๆ
อันนี้มันไม่มีซิ มีแต่ผีอยู่ภายในใจ เอะอะออกมาคอยแต่จะกัดกันเหมือนสุนัขใช้ไม่ได้เลยมนุษย์เราเป็นสุนัข หางไม่มีก็ไปอวดอ้างตัวว่าเป็นสุนัขใช้ไม่ได้ ต้องฝึกฝนตัวของเราให้ดี ไปที่ไหนมีพุทโธ พุทโธนี่เป็นธรรมชาติที่ให้อภัยกันได้เป็นอย่างดี ไม่ถือสีถือสากัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ไม่มีอะไรเกินพุทโธ คือศาสดาองค์เอก คำว่าของดี ๆ ที่ต้อนรับกันไม่มีอะไรเกินพุทโธละ ที่มีอยู่ในจิตใจของคนใดคนนั้นจะมีจิตใจอันกว้างขวางเมตตาอารีต่อกัน ไม่เห็นแก่ตัวไม่โลภมาก ไม่เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ตาดำ ๆ ด้วยกัน นี่เแหละพุทโธอยู่ในใจเป็นอย่างนี้ ให้พากันระลึกไว้เสมอ ถ้าจะคิดเคียดแค้นขึ้นมา คำว่าพุทโธท่านไม่ได้เคียดแค้น เราเคียดแค้นหาอะไร นี่มันเป็นเทวทัตแทรกธรรม แทรกพระพุทธเจ้าขึ้นมา ปัดออกทันทีอย่าให้มี นี่ชื่อว่าเป็นผู้รักษาธรรม
ใจเรามีหลัก คนมีหลักตายแล้วย่อมมีหลักไปดีตลอด จะนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา หรือไม่ กุสลา ธมฺมา ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ขอให้เรา กุสลา ธมฺมา คือความฉลาดรักษาตัวบำเพ็ญตัวของเราให้ดีตั้งแต่บัดนี้ ที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นสำคัญมากยิ่งกว่าเวลาอื่นใด เราจะไปคอยให้คนอื่นมาช่วยมาเหลือเรา นอกจากมันจำเป็นจริง ๆ แล้ว คนเราก็ช่วยกันได้ถ้าอยู่ในฐานะที่พอช่วยได้ แต่เวลานี้เป็นเวลาที่เราจะช่วยตัวของเราเองให้สุดเหวี่ยงเต็มฝีมือของเรา ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา
พระพุทธเจ้าตายพระสาวกทั้งหลายตาย ไม่ปรากฏว่ามีกุสลา ธมฺมา มามีเอาเมื่อไม่กี่ปีกี่เดือนมานี้แหละ ตายที่ไหน กุสลา ธมฺมา เอากล้วยมากินเรื่อย ไป กุสลา หากินกล้วยเขา ไม่ได้ กุสลา ธมฺมา หาผลหาประโยชน์จริง ๆ ในจิตใจ แม้พระผู้ไป กุสลาก็ไม่รู้ว่ากุสลาคืออะไรก็ไม่เกิดประโยชน์ เลยเป็นประเพณีเฉย ๆ ศาสนาเลยกลายเป็นประเพณี เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจจะสร้างคุณงามความดี เวลาตายแล้วไปเที่ยวกว้านพระวัดนั้นพระวัดนี้มากุสลา ธมฺมา มาติกา กุสลาหาอะไร ถ้าเจ้าของดีแล้วอยู่ที่ไหนก็ดีทั้งนั้นละ ถ้าไม่ดีกุสลากี่กุสลาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้จำไว้ในข้อนี้ เป็นความจริงอย่างนั้น จงสร้างตัวของเราให้เป็นกุศลเสียตั้งแต่บัดนี้ คำว่า กุสลา แปลว่าความฉลาด ธรรมยังบุคคลให้ฉลาด เราฉลาดสร้างคุณงามความดี ฉลาดรักษาตัวของเราเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วหายห่วง
นี่เราพูดตรง ๆ หลวงตาบัวเคยประกาศเสมอให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง ไม่สอนเฉย ๆ จะว่าท้าทายก็ไม่ใช่ท้าทาย แต่เอาความจริงมาพูดให้ลูกศิษย์ได้เป็นคติ ว่าเวลาหลวงตาบัวตายอย่านิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา นะ สร้างมาตั้งแต่วันอุปสมบทเรื่อยมา เฉพาะอย่างยิ่งเวลาขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสคือออกปฏิบัติกรรมฐาน อยู่แต่ในป่าในเขาทั้งนั้นละ คนเดียว ๆ ๆ เป็นตายคนเดียว ๆ เรียกว่ากุสลาคนเดียว เจ้าของกุสลาให้เจ้าของเองคนเดียว จนกระทั่งเต็มความสามารถมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จึงประกาศออกมาด้วยหัวใจอันเป็นจริงไม่ได้หลอกลวงใคร ๆ ทั้งนั้นว่า เวลาหลวงตาบัวตายแล้ว อย่านิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา เราได้พยายามทำเต็มความสามารถของเราแล้ว อะไรจะมีก็มีแล้วเวลานี้ ถ้าไม่มีก็ไม่มี ให้จมไปเสียคนเดียวนี่ อย่าเอาคนอื่นมากุสลา ธมฺมาให้ยุ่งเปล่า ๆ
เราทุกคนให้สร้าง กุสลา ธมฺมา ไว้จนเป็นที่แน่ใจ เมื่อแน่ใจแล้วไม่ต้องไปหากุสลาที่ไหน หากประจักษ์อยู่ภายในจิตใจของตัวเอง เช่นว่าตายแล้วนี้จะไปเกิดสวรรค์ชั้นไหนมันก็รู้คนมีบุญ ค่อยรู้เป็นลำดับ ค่อยแน่ใจเป็นลำดับ คนมีหลักธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วจิตมีความละเอียดลออเข้าด้วยจิตตภาวนาเท่าไรยิ่งรู้ชัด ๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น จนกระทั่งนิพพาน ๑ ชั้น ไม่มีอะไรเป็นปัญหาเลย เป็นความกระจ่างแจ้งอยู่กับภายในใจของผู้บำเพ็ญ เพราะดำเนินตามทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญและทรงรู้ทรงเห็นมาแล้วทั้งนั้น เมื่อเราบำเพ็ญตามสวากขาตธรรมที่ท่านตรัสไว้ชอบแล้ว ก็ย่อมเดินตามเข็มทิศทางเดินที่ถูกต้องแล้วนั้นก็ไปเจอจนได้
สวรรค์ไม่มีไว้เพื่อใคร มีไว้เพื่อคนบุญ เราเป็นคนบุญไม่เจอในเวลาเป็นก็ต้องเจอในเวลาตาย เป็นนี้ก็เจออยู่มีความสุขความสงบเย็นใจในชีวิตของเรา ประการหนึ่งรู้เห็นสวรรค์ชัด ๆ ภายในจิตใจนี้ ประการที่สอง เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์ คนมีหลักใจเป็นอย่างนั้น เราให้เสาะแสวงหาหลักใจเสมอกันกับทางร่างกายอย่าปล่อยอย่าวาง ร่างกายนี้เป็นของที่จะแตกจะพังได้ แต่เวลามีชีวิตอยู่นี้มันกวนเราตลอดเวลา ทั้งการอยู่ การกิน การหลับ การนอน การขับการถ่าย มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์กวนทั้งนั้น จึงต้องได้เสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้มาเยียวยาพอประทังอยู่ได้ไปวันหนึ่ง ๆ พอถึงเวลาแล้วเขาก็พังของเขาไป
เมื่อร่างกายพังแล้ว ทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของสิ่งเยียวยาทั้งหลายมันก็พังไปตาม ๆ กันหมดความหมาย แต่ใจนี้ไม่หมดความหมายจะต้องเดินซอกซอนไปในที่ต่าง ๆ ตามอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม ถ้าใครมีหลักใจก็หลักใจดึงเลย แล้วฉุดลากไปเลย หนุนให้ไปสู่สถานที่ดี ไม่ต้องถามหาละว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว บอกไว้แล้วด้วยทาน บอกไว้แล้วด้วยศีล บอกไว้แล้วด้วยการเจริญเมตตาภาวนานี้คือทางสวรรค์ นี้คือสวรรค์จากการบำเพ็ญนี้ ทรงบอกไว้อย่างแจ่มแจ้งแล้วไม่ต้องสงสัย ไปถามหาที่ไหนจะมีความรู้ความฉลาดเกินพระพุทธเจ้าในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มี ให้เราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้านี้
การให้ทานไม่ไปไหน ไปสู่ความดีทั้งนั้น การรักษาศีล การภาวนา เหมือนประกาศกังวาน สวรรค์นิพพานอยู่ภายในทาน ในศีล ในภาวนาของเราที่บำเพ็ญนั้นแล ไม่เป็นพิษไม่เป็นอย่างอื่น ให้พากันบำเพ็ญทางจิตใจเป็นของสำคัญ หลักใจให้มี คนไม่มีหลักใจนี้รวนเร มาก็ไม่ทราบมาจากไหนมาเกิด มาสุ่มสี่สุ่มห้า เวลามีชีวิตอยู่ก็อยู่สุ่มสี่สุ่มห้าไม่เสาะแสวงหาคุณงามความดีอันเป็นหลักใจ ที่ออกจากหลักศีลหลักธรรมเข้าสู่หัวใจตนบ้างเลย เวลาตายแล้วมันก็เป็นแบบนี้อีก เราเคยเป็นแบบนี้มากี่ภพกี่ชาติแล้วเราระลึกไม่ได้ คราวนี้ให้ระลึกได้เวลามีชีวิตอยู่ อย่าให้เสียท่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาอันล้ำค่าแล้ว ไม่มีอะไรเกินพุทธศาสนาอันล้ำค่านี้เลย
คำว่าพุทธศาสนาอันเลิศล้ำนี้เราจะทราบได้ภายในใจของผู้ปฏิบัติ เพียงเรียนจำเฉย ๆ ไม่ถึงใจ เรียนจบพระไตรปิฎกแบกคัมภีร์จนหลังโก่งหลังหักก็ไม่หายสงสัย รวนเรอยู่นั่นละจิตใจหาหลักยึดไม่ได้ แต่เวลาภาคปฏิบัติจับเข้าไปนี้ ศีลเป็นอย่างไงมันก็รู้จักในตัวเอง เราเป็นคนรักษาศีลอยู่โดยแท้ ศีลไม่ด่างพร้อยทะลุไปไหนทำไมจะไม่มีความอบอุ่นในตัวของเรา ตัวของเราทั้งคนนี้เป็นศีลล้วน ๆ นั่น จากนั้นก็เจริญสมาธิ สมาธิคือความสงบใจเป็นขั้น ๆ ขึ้นไปจนถึงสงบขั้นเต็มที่ ก็มีอยู่กับตัวของเรา ตัวของเราเป็นสมาธิทั้งคน เราจะสงสัยไปไหน ปัญญาคือความรู้แจ้งแทงทะลุก็รู้แจ้งขึ้นที่นี่
นี่ละภาคปฏิบัติเห็นประจักษ์อย่างนี้ ไม่ได้ลูบ ๆ คลำ ๆ เหมือนภาคปริยัติที่ศึกษาเล่าเรียนมา ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน ว่าสวรรค์ ว่านิพพาน ว่าพรหมโลก ว่าอะไรก็ว่าไป แต่หัวใจไม่ได้เชื่อ มีแต่ความจำเฉย ๆ ดีไม่ดีไปลบล้างบุญบาปมรรคผลนิพพานว่าไม่มี แล้วสร้างกรรมถมหัวเข้าไปอีกมากมายยิ่งกว่านั้น นี่มีเยอะนะ เรียนได้แต่ความจำมันไม่ถึงใจ ให้มีภาคปฏิบัติจับเข้าไป สวรรค์เห็นประจักษ์ภายในใจ ศีลก็เห็นอยู่กับหัวใจของตัวเองผู้รักษาศีล สมาธิก็เห็นประจักษ์อยู่กับใจของตัวเองผู้บำเพ็ญสมาธิ ปัญญาก็ประจักษ์ใจของตัวเองผู้บำเพ็ญปัญญา รู้แจ้งเห็นชัดอยู่ในนี้แล้ว ไปถามหาใคร ถามหาอะไร ความจริงมีอยู่เต็มหัวใจ ไปถามหาของจอมปลอมที่ไหนอีก
พระพุทธเจ้าเป็นองค์ศาสดาองค์จริงแท้ สอนธรรมนี้ท่านมีแต่ธรรมจริงธรรมแท้ ผู้ปฏิบัติได้รู้เห็นจริงตามความจริงนี้แล้ว จะไปถามอะไร ไม่ถามอะไร สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองทุกสิ่งทุกอย่างประจักษ์ใจนี้แล้วหายสงสัย นี่แหละคนมีหลักใจ ขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดหลักใจ ไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำงานทำการอยู่ก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นั่งก็ได้ นอนก็ได้ คิดได้ทั้งนั้น คิดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ตั้งแต่เราคิดเรื่องกิเลสมันคิดได้ทุกแง่ทุกมุม ทุกอิริยาบถ ไม่เห็นเลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลาอะไรเลย คิดกิเลสก็เป็นกิเลสขึ้นมา เราคิดธรรมก็เป็นธรรมขึ้นมา นอนอยู่ก็คิดธรรมได้ ตั้งแต่นอนอยู่ยังคิดกิเลสได้ทำไมคิดธรรมไม่ได้ มันก็ไม่ทันกันละซิ
ถ้าจะภาวนาก็ว่าเรานอนภาวนาไม่เหมาะสม เหมาะสมแต่หลับครอก ๆ ไม่เป็นท่านั่นเหรอ ถามกันอย่างนั้นบ้างซิ กิเลสกล่อมให้หลับครอก ๆ ไม่เป็นท่านั้นมันเหมาะสมแล้วเหรอไปถามตัวเอง เราหลับไปด้วยอำนาจพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ดีกว่ากิเลสพาหลับเป็นไหน ๆ แล้วเหรอ ถามอย่างงั้นซิถามเจ้าของ ตั้งปัญหาถามเจ้าของเข้าบ้าง คนอื่นถามไม่ค่อยดี คนอื่นตอบให้ก็ไม่ค่อยเหมาะ ให้เจ้าของถามเองพิจารณาธรรมจะผุดขึ้นภายในใจ ตอบกันเองแก้ไขกันเองในนั้น หายสงสัยกันในนั้น
วันนี้ได้พูดถึงเรื่องหลักใจ หลักกายสิ่งที่เป็นหลักกายเป็นที่ยึด คืออาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ นี่ก็เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องวิ่งเต้นขวนขวาย เพราะสิ่งเหล่านี้รบกวนตลอดเวลา ธาตุขันธ์นี้เราจะต้องเสาะแสวงหามาเยียวยา ก็ให้พากันเสาะแสวงหามาเยียวยา เรื่องศีลเรื่องธรรมเข้าสู่ใจเพื่อเป็นอาหารของใจซึ่งเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลาก็ให้ขวนขวายอย่าปล่อยอย่าวางธรรมทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่าเป็นผู้เสมอ ไปไหนเสมอ อยู่ในโลกนี้ก็เย็นใจ ไปโลกหน้าก็มีความเย็นใจภาคภูมิใจ
ตามธรรมท่านแสดงว่า อิธ นนฺทติ คนมีศีล มีทาน มีภาวนา มีหลักใจแล้วอยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริงบันเทิงไม่จนตรอกจนมุม เปจฺจ นนฺทติ ละจากโลกนี้ไปแล้วก็มีความรื่นเริงบันเทิงในสวรรค์จนกระทั่งพรหมโลก นี่ละธรรมเครื่องรื่นเริงคือหลักใจให้พากันยึดหลักใจนี้ไว้ วันนี้พี่น้องทั้งหลายก็มามากมายเป็นประจำทุกวัน ๆ นั่นแหละ เราก็เห็นใจได้อุตส่าห์แสดงอรรถแสดงธรรมให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง มาเพื่อท่านทั้งหลายด้วยน้ำใจ เราไม่ได้มาเพื่อหวังอะไร ๆ แม้ที่สุดสมบัติเงินทองข้าวของที่ท่านทั้งหลายบริจาคนี้เราก็ไม่เคยเก็บ เมื่อไปถึงวัดแล้วแจกทานทั่วกันหมดไม่ว่าวัตถุไทยทานต่าง ๆ ควรแก่วัดเราก็แยกไปถวายไปตามวัดต่าง ๆ ควรแก่ประชาชนทุกข์จนหนโลกเราก็ช่วยแจกช่วยแจงออกไปทุกทิศทุกทาง
ปัจจัยนี้ส่วนมากจะเข้าทางโรงพยาบาลและคนทุกข์คนจน โรงร่ำโรงเรียน อันนี้ก็ไปหมด เราไม่เคยเก็บ เก็บไว้ทำไม เก็บไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร นำออกไปใช้เกิดประโยชน์ เช่นเงินเรามีกี่บาทก็ตามเรากำไว้ในมือของเรานี้ มันก็เป็นเงินในมือ ไม่เป็นเงินที่จะเกิดความปีติยินดีอะไร พอยื่นให้ผู้ใดผู้หนึ่ง แม้ที่สุดให้เด็ก ๆ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นั่นมันเป็นประโยชน์เพราะการเสียสละต่างหาก มันไม่ได้เป็นประโยชน์เพราะกำไว้ในเงื้อมมือเปล่า ๆ ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว นี้เกิดประโยชน์อะไร เราแบมือออกไปแจกทานออกไป นั่นน่ะเกิดประโยชน์มาก
ขอท่านทั้งหลายได้จำเอาไว้แล้วนำไปปฏิบัติ แบ่งกินแบ่งทานแบ่งสันปันส่วนเพื่อนมนุษย์ที่มีความจำเป็นทั่วโลก ใครมีอะไร ๆ ช่วยเหลือกันไปตามเรื่อง ไม่ถือสีถือสากันง่าย ๆ ละ มนุษย์เราอยู่ร่วมกันเป็นผู้มีธรรมด้วยกันให้อภัยกันได้ง่ายนิดเดียว ถ้าเป็นเปรตเป็นผีนี่ไม่ได้นะ คอยแต่จะกัดจะฉีก รถเฉียดกันนิดหนึ่งก็ไม่ได้ เอาเรื่องเอาราวเข้าเลย มันเป็นเรื่องอยู่กับมนุษย์ ไม่ได้เป็นเรื่องอยู่กับรถ มนุษย์โหดร้ายทารุณต่อกัน อาศัยรถเหรอเป็นต้นเหตุหรือเป็นสาเหตุเท่านั้นก็กัดกันได้นะมนุษย์เราถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมก็เอาเถอะจะเป็นอะไรไป ตั้งแต่เราเดินไปดี ๆ ยังไปเหยียบหนามได้ หนามเขาทำอะไรเราไปเหยียบเขาทำไม ครั้นเจ็บก็เป็นเรานั่นแหละ มันก็ยังเป็นได้ อันนี้คนเราอยู่ร่วมกันจะไม่ให้กระทบกระเทือนกันบ้างมีเหรอ ไม่เจตนาก็เป็นไปได้สิ่งเหล่านี้ ให้เราระมัดระวังและให้อภัยกัน เปิดโล่งไว้เสมอ แล้วอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก
วันนี้แสดงธรรมเพียงเท่านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ