ความดีเตือน
วันที่ 7 กันยายน 2538
สถานที่ : สวนแสงธรรม กทม.
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กทม.

เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

ความดีเตือน

พระพุทธเจ้าไม่ได้มอมแมมเหมือนพวกเรา ถูกไปหมดพระพุทธเจ้า พวกเราปูเสื่ออย่างนี้ทำเป็นขุนนางเกินไป มันเก่งกว่าครู สิ่งที่ไม่น่าเก่งละเก่ง สิ่งที่ให้เก่งไม่ยอมเก่ง อยู่ที่ไหนกิเลสมันคอยแอบแทรกแบ่งกินอยู่นั่นละ กิเลสมันเก่งมากนะ ไม่ทัน ปัญญาเราไม่ทัน นี่กิเลสแทรกตรงไหน ๆ รู้ทันที ปูเสื่อบิณฑบาตมันไม่เหมาะแหละ เดินบิณฑบาตปูเสื่อเดินไป พระพุทธเจ้าไม่เห็นปูเสื่อ ต้องเล็งถึงศาสดาซิทำอะไรเกินครู

นี่ละพวกเกินครูพวกที่ตูมตาม ๆ อยู่เวลานี้น่ะ มีแต่พวกเก่งกว่าครูทั้งนั้น ไม่ได้มองดูครูนี่นะ มองดูแต่กิเลส มันเรื่องของกิเลสทั้งนั้นที่ทำเหล่านั้น บางรายเรายังทำนายไว้ก่อนแล้วก็ไม่เห็นผิด เอาตำรานั่นละทำนาย เก่งกว่าครูไป สมัยทุกวันนี้ดังทางโน้นดังทางนี้ มีแต่ดังแบบเทวทัตทั้งนั้นไม่ได้ดังแบบพระพุทธเจ้านะ จริง ๆ น่ะ ก็เรียนมาทุกคนเห็นทุกคนตำรับตำราเป็นยังไง มากางกันปุ๊บมันรู้ทันทีแหละ ไปไหนแห่ ๆ แห่แบบหมูขึ้นเขียง เราไม่อยากให้ปู ปูบิณฑบาต รื้อเสียให้หมด อย่ามาทำเลยไม่เหมาะ เสื่อปูเดินบิณฑบาตไม่เหมาะ

พระพุทธเจ้าไม่ได้ปูเสื่อบิณฑบาตแหละ เสด็จด้วยฝ่าพระบาทเปล่า ๆ ทั้งนั้นแหละ รื้อให้หมดอย่าทำ ไม่เหมาะ มันเก่งกว่าครู พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตด้วยฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทเปล่า ๆ นะ เพราะฉะนั้นใครใส่บาตรใส่รองเท้าจึงไม่เหมาะ ขัดกันกับพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเคารพข้อวัตรพุทธกิจคือการบิณฑบาต เป็นพุทธกิจงานสำคัญของพระพุทธเจ้า ทรงเคารพเต็มยศเลย เสด็จบิณฑบาตเหมือนโลกทั้งหลาย มอมแมม เข้าไปซอกแซกซิกแซ็กไปหมดพระพุทธเจ้า ไหนใครจะไปปูเสื่อทันล่ะ พวกเรามันพวกปูเสื่อพวกหมูขึ้นเขียง ทำอะไรนี่ โถ ยศมีแต่ยศกิเลสไม่ใช่ยศธรรมนี่นะ

ปิดปาก เปิดหู หลวงตายุ่งจะพูดอะไร นี่เรียกหลวงตายุ่ง ไม่มีเวลานะ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่อุดรก็เหมือนกัน พอเช้าเท่านั้นพอสว่างนี้เต็มวัดแล้ว ๆ ทุกวันไม่มีวันเสาร์วันอาทิตย์ พอสว่างแล้วเต็มวัดแล้วทุกวัน ๆ ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์ด้วยแล้วจนหาที่จอดรถไม่ได้เลย คนมากขนาดนั้น จึงเรียกว่าหลวงตายุ่ง ไม่มีเวลา ยุ่งตลอด เรียกหลวงตายุ่ง นี่ก่อนจะมานี่ก็ไปแจกของพวกอยู่ในป่าในเขา ดูเหมือนวันที่ ๔ มั้ง วันที่ ๔ มีช่องว่างวันนั้นวันหนึ่ง ไปแจกพวกอาหารอะไร ๆ พวกในป่าในเขาซึ่งอัตคัดขัดสนมาก เราก็สงสารไปแจก ๓ หนแล้ว เดือนที่แล้วกับเดือนนี้เป็น ๓ หนแล้วไปแจก พวกข้าวพวกผ้าพวกอะไร เสื้อก็ไปแจก เงิน เงินสดก็ให้ ให้ครอบครัวละหนึ่งร้อย ๆ

มันมากต่อมาก ครอบครัวหลายครอบครัว เขามาขายของอยู่ตามสองฟากถนน ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เอามาขายพอเยียวยาประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ น่าสงสารมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องไปแจกของเสมอ แต่เวลาเขาถามชื่อไม่บอก ถามที่อยู่ก็ไม่บอก จำหน้าก็แล้วกัน เราบอกให้จำแต่หน้า ชื่อไม่ต้องจำหรอก บ้านที่ไหนวัดไหนไม่ต้องจำ ไม่บอกด้วย มีแต่ไปแจกเรื่อย ๆ ไม่บอกชื่อ สถานที่อยู่ก็ไม่บอก จำหน้าได้แล้วก็พอ จำได้แล้วยัง โอ๊ย จำได้ มาแจกของหลายหนแล้วเขาว่า

นี่แหละที่ว่าเป็นห่วงเป็นใย เป็นห่วงจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ จวนตายเท่าไรก็ยิ่งเป็นห่วงมาก แทนที่จะห่วงเจ้าของกลับไม่ห่วงนะ ไม่ห่วงจริง ๆ เจ้าของไม่มีเลย แต่กลับไปห่วงโลกห่วงสงสารทั้ง ๆ ที่เจ้าของจะตายอยู่ไม่กี่วันก็จะตาย กี่ปีกี่เดือนไม่แน่ละ ลมหายใจสิ้นเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้นละ นั่นละลมหายใจมันก็ฝอด ๆ อยู่นี่ก็ยังไม่ได้ห่วงนะ ห่วงโลกห่วงสงสาร เพราะหลักยึดทางด้านจิตใจมีน้อยมากชาวพุทธเรา อันนี้ละที่วิตกวิจารณ์

สมบัติเงินทองข้าวของมีเต็มแผ่นดินทุกแห่งทุกหน ไปที่ไหนไม่อดไม่อยากขาดแคลนเลย แต่ทางด้านจิตใจนี้มันเป็นทุคตะเข็ญใจด้วยกันทั้งนั้น คือไร้ความสุข ไม่มีความสุขภายในจิตใจ ดีดดิ้นกันหาวัตถุ สิ่งนั้นก็จะเอาสิ่งนี้ก็จะเอา ไอ้เรื่องความโลภนี่แหละมันทำลายโลกมากเวลานี้นะ มันให้ดีดให้ดิ้นอยู่ตลอดเวลา มีเท่าไรมันก็ไม่ให้หยุด มีมากให้ดิ้นมาก มีน้อยดิ้นน้อย ผู้ไม่มีเสียจริง ๆ ค่อยยังช่วย ไม่ค่อยได้ดีดได้ดิ้นกับเขา ถึงจะทุกข์ยากลำบากบ้างก็ทนเอา จิตใจไม่ดีดดิ้นไม่เดือดร้อนมาก ผู้ที่เดือดร้อนมากคือผู้โลภมาก ๆ นั่นแหละ ใครโลภมากคนนั้นเป็นทุกข์มากที่สุด ไฟสุมอยู่ภายในหัวใจ เรามองคนเราอย่าไปมองเผิน ๆ ข้างนอกประดับหน้าร้านนะ ประดับหน้าร้านนี่มันสวยงามละ ไปที่ไหนก็สวยงามโก้หรูทุกอย่าง ตึกรามบ้านช่องสถานที่อยู่อาศัยโก้หรูทั้งนั้น แต่จิตใจนี้แห้งผากจากความสุข หาความสุขไม่ได้ นี่ละที่เป็นห่วงเป็นห่วงจุดนี้นะ

ใจเป็นของสำคัญมากทีเดียว แต่ขาดความเหลียวแล ขาดเอาจริง ๆ นะขาดความเหลียวแล เห็นว่าวัตถุนี่จะเป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมาจากไหนไม่รู้ จิตใจนี้เป็นของที่เศษที่เดน ไม่ค่อยมีใครมองจิตใจเจ้าของเอง เพราะฉะนั้นให้มองจิตใจเจ้าของ จิตใจคือความรู้ที่ครองร่างอยู่นี้แหละเรียกว่าใจ เพียงร่างกายเฉย ๆ เมื่อใจออกแล้วก็หมดความหมายตายทิ้งเปล่า ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กายมี ใช้ไม่ได้เลย มีใจเท่านั้นเป็นผู้รับเป็นผู้ใช้ ถ้าใจเจ้าของออกแล้วก็หมด ร่างนี้หมดไม่มีความหมาย ใจเป็นของสำคัญ ทีนี้เวลาใจดีดออกจากร่างกายแล้วน่ะซิ ใจไม่มีเครื่องสนับสนุนคือคุณงามความดีในธรรมทั้งหลายนี่เราไม่ได้สนใจปฏิบัติ เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงเต็มอยู่ที่หัวใจของคนเราทุกคน ๆ เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเราขาดที่พึ่งมากจริง ๆ นะ ขอให้ยึดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ระลึกถึงธรรมเสมออย่าลืมเนื้อลืมตัว

เราจะเสาะแสวงหาอะไรมาก็ควรมาเพื่อเรา เราเป็นยังไงเวลานี้ ต้องดูเราอีกทีหนึ่งคือใจ ดูเราคือดูใจของเรา อย่าให้มันดีดมันดิ้นเสียจนเกินเนื้อเกินตัว ความทุกข์อะไรขนมากองอยู่ในหัวใจนี้หมดไม่ดีเลย ให้พยายามบำรุงสุข ให้มีเหตุมีผล ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นศาสดาองค์เอก เป็นธรรม เป็นสงฆ์องค์เอกแหละ ในศาสนาต่าง ๆ เขาไม่ได้มีพุทธ ธรรม สงฆ์เหมือนศาสนาพุทธเรา เราก็ไม่ได้ตำหนิเขา เขาไม่มีก็บอกว่าเขาไม่มี ศาสนาพุทธเรานี้มีพุทธ ธรรม สงฆ์ แต่พวกเราก็ไม่มีเพราะความไม่ระลึก ก็ขาดอันนี้อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นให้พากันระลึกพุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ภายในจิตใจ

ไปที่ไหนจะทำอะไรให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า คนเราการจะทำความชั่วก็ยับยั้งตัวได้ถ้าระลึกถึงธรรมนะ มีสติระลึกรู้ตัวว่าเวลานี้เราทำอะไร ถ้าเราทำผิดก็ระลึกตัวว่าเราทำผิด ระลึกถึงพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเราทำถูกหรือทำผิด เราก็ยับยั้งตัวของเราได้ ถ้าไม่ระลึกถึงพุทธถึงธรรมถึงสงฆ์เลย มันทำเอาอย่างหมดเนื้อหมดตัว นั้นละจมไปเลย คนเราส่วนมากที่ทำความชั่วช้าลามกคือไม่ระลึกถึงธรรมภายในจิตใจ ถ้าระลึกถึงธรรมภายในจิตใจบ้างแล้วก็มีการยับยั้งชั่งตัวได้ ไม่ทุ่มไปหมดทั้งตัว นี่ละที่ว่าหลวงตาเป็นห่วง เป็นห่วงอันนี้ละ ขาดที่พึ่งทางใจ

ครูบาอาจารย์ไปแล้วก็พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกขึ้นที่ใจ ธรรมจะเกิดขึ้นที่ใจอยู่ที่ใจของคนเรา ระลึกเมื่อไรปรากฏทั้งนั้นละ พุทโธเท่านั้นพอนึกปั๊บปรากฏอยู่ในใจของเรา ธัมโม สังโฆระลึก ความดีชั่วเกิดขึ้นที่ใจ ใจเป็นผู้รับสิ่งเหล่านี้ ให้พยายามระมัดระวังสิ่งที่ชั่วช้าลามกที่จะมาเป็นภัยต่อจิตใจอย่าฝืนธรรมกัน ถ้าฝืนธรรมก็เหมือนฝืนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกเรานี่บอกด้วยความแคล้วคลาดปลอดภัยทุกอย่างนะ ไม่ได้บอกเพื่อให้ความล่มจมแก่เรา ท่านบอกเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัยให้แก่เรา จึงฟังคำท่าน อย่าฟังเรื่องกิเลส

กิเลสมันสอนให้โลภมาก ให้โกรธให้มาก ๆ ราคะตัณหาก็ให้มาก ๆ คนหนึ่งมีสามสิบเมียสี่สิบเมียห้าสิบผัวโน่น นี่ราคะตัณหามันสอนให้มากทุกอย่าง ๆ แล้วส่วนทุกข์ที่จะมากตามมากับความของมากนั้นมันไม่ได้ว่านะ มีมากเท่าไรยิ่งความทุกข์มาก ๆ คนมีผัวเดียวเมียเดียวคนนั้นเป็นความสุขสงบร่มเย็นเป็นสุข คนมีสองผัวสามเมียคนนั้นละเป็นกองทุกข์มากที่สุด กิเลสไม่ได้บอกว่าเป็นกองทุกข์มากนะ แต่กองทุกข์มาพร้อมกันนั่นเลย เหมือนกับเงากับตัวน่ะมาพร้อมกัน

ให้พากันตั้งเนื้อตั้งตัวระลึกถึงศาสนาของเรา ศาสนานี้เป็นศาสนาที่เอก พระพุทธเจ้าของเราซึ่งเป็นเจ้าของของศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธเลิศเลอ สอนพวกเรานี่สอนด้วยความเมตตาสงสาร ไม่ได้สอนเพื่อความล่มจม ไม่ได้สอนเพื่ออามิสสินจ้างรางวัลอะไร สอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ เพราะฉะนั้นจงให้เชื่อฟังครู เชื่อฟังพ่อใหญ่ของเรา คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แล้วเราจะเป็นคนดี จะทำความดีก็ตามระลึกถึงพระพุทธเจ้า จะทำความชั่วระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วจะรู้ตัว ถ้าทำความดีระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็ยิ่งเพิ่มความดีมากขึ้น ถ้าจะทำความชั่วระลึกถึงพระพุทธเจ้ามันก็ยับยั้งตัวได้ไม่รุนแรงเกินไป

อันนี้เรายกตัวอย่างมา ในจังหวัดขอนแก่นนี้แหละ เขามาพูดให้ฟัง โห น่าฟังมากนะเรื่องนี้ จนเราสลดสังเวช เขาจะไปปล้นบ้านบ้านหนึ่ง กำลังจะไปปล้นบ้านหนึ่ง พอไป คือปล้นนั้นได้นัดกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรเอาไว้ฆ่ามันหมดเลยนะในครอบครัวนี้ ปล้นด้วยความเคียดแค้นด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา เคียดแค้นด้วย จะไปปล้นด้วยฆ่ามันด้วยว่างั้น เตรียมเรียบร้อยไป เดินไปตามทาง ไม่ทราบว่าหลวงปู่มั่นเรานี้มาจากไหนไม่รู้ผุดขึ้นตรงหน้าเลยเทียว ผุดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เป็นรูปเป็นร่างเหมือนคนเรานี่ ผุดขึ้นมาปึ๋งเลย "นี่จะไปตกนรกหลุมไหนกันนี่" ว่างั้นนะ พอว่างั้นก็ทิ้งปืนลงกราบ แล้วกลับเลยเทียวไม่ไป แล้วขอถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ละความชั่วตั้งแต่บัดนั้น แล้วผู้ที่จะก่อกรรมก่อเวรกันขอให้เป็นมิตรเป็นสหายพึ่งเป็นพึ่งตายตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เลยเลิกเลย นี่แหละอำนาจ

คนนั้นเขายังมีนิสัยนะ ถ้าไม่ยังงั้นหลวงปู่มั่นจะไม่ผุดขึ้นมา แล้วเขาจะไปทำความชั่วช้าลามกหนักอีกจมไปหมดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ แต่นี้ไปก็เผอิญไปเจอหลวงปู่มั่นไม่ทราบมาจากไหนแหละ ผุดขึ้นมาตรงนั้นยืนจังก้าอยู่ข้างหน้านี้เลย "นี่จะไปตกนรกหลุมไหนกันนี่" ว่างั้นนะ พูดแบบขู่เสียด้วยนะ พอมองเห็นปั๊บก็จำได้ว่าเป็นท่านอาจารย์มั่น ก็ทิ้งปืนเลยแล้วกราบราบ จากนั้นมาก็กลับเลย แล้วเรากับเขาขอเป็นมิตรเป็นสหายกันเช่นนี้ต่อไปไม่ให้มีอะไรต่อกัน นั่นแหละอำนาจแห่งคุณงามความดีเราไม่คาดไม่ฝันเป็นขึ้นมาได้ยังไง

นั่นแหละอำนาจของบุญของกรรม ใครคาดใครหมายไม่ถูก ใครด้นใครเดาไม่ได้ทั้งนั้นละ เพราะฉะนั้นจึงว่าธรรมเหนือโลกล่ะซิ ถ้าโลกยังด้นเดาได้อยู่ก็ไม่เรียกว่าธรรม ต้องเหนือโลกทั้งนั้น นี่เราก็เหมือนกัน ความดีความชั่วของเราเราสร้างไว้นี่ จะไปไหนก็มาอยู่ติดกับตัวของเรานี่ ความชั่วก็มาอยู่ที่นี่ ความดีก็มาอยู่ที่นี่ ให้พากันระมัดระวังความชั่ว ให้ทำแต่ความดีงาม การทำความดีงามมันชอบฝืนเสมอ เพราะฝืนกิเลส กิเลสไม่ให้ทำความดี ถ้าเป็นความชั่วแล้วมันให้ทำวันยังค่ำก็ได้ ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรมันก็ยอมให้ทำ

แต่ความดีนี้มันฝืน ต้องฝืนกิเลส ไม่ฝืนกิเลสไม่ได้ เมื่อเราฝืนเข้าไป ๆ ทำเรื่อย ๆ แล้วมันก็คล่องตัวไป ทีนี้ไม่ได้ทำความดีในวันหนึ่ง ๆ เช่น ไม่ได้ให้ทานเสียวันหนึ่งนี้อยู่ไม่ได้นะ เดือดร้อนวุ่นวายภายในจิตใจ เวลาจะหลับจะนอนไม่ได้ไหว้พระนี้นอนไม่หลับ ต้องได้ขึ้นมากราบพระ ไปที่ไหนมาลำบากลำบนขนาดไหนต้องกราบพระเสียก่อน ไม่กราบไม่ได้ นี่อำนาจแห่งความดีถึงใจแล้ว ไม่ได้ทำความดีไม่ได้กราบพระเสียก่อนอยู่ไม่ได้ ต้องทำ ทีนี้คนชั่วก็เหมือนกัน วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทำความชั่วอยู่ไม่ได้ มันกล่อมให้ทำจนได้นั่นแหละไม่มากก็น้อย มันเสียลวดลายของนักเลงโต จึงต้องทำความชั่วช้าลามกให้มันติดนิสัยของนักเลงโต เพิ่มนิสัยชั่วช้าลามกเข้าไปอีกก็ยิ่งจมลงไป

ผู้ที่ทำความดีเมื่อได้ทำมากเข้าเท่าไรก็ยิ่งมีความดูดดื่ม อยากทำคุณงามความดี วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทำวันหนึ่งไม่ได้ใส่บาตรอยู่ไม่ได้ วันหนึ่งไม่ได้ทานอยู่ไม่ได้มันเคยภายในจิตใจแล้ว นี่ความดีหนุนแล้วนะ แล้วเวลาจะหลับจะนอนไม่ได้ไหว้พระสวดมนต์เสียก่อนนี้นอนไม่หลับนอนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมา ถึงจะมาลำบากลำบนขนาดไหนต้องกราบพระเสียก่อน นี่ก็คือความดีท่านเตือนกระตุ้นเตือนเราเสมอ

นี่แหละอำนาจแห่งความดี ถ้าทำความดี ความดีต้องเตือน ทำความชั่ว ความชั่วก็เตือน คนหนึ่ง ๆ คนเคยทำความชั่วตื่นขึ้นมานี้ไม่ได้ทำความชั่วอยู่ไม่ได้ จิตใจเสาะแสวงหาแต่จะทำความชั่ว ตั้งแต่วันตื่นนอนจนกระทั่งถึงหลับสั่งสมความชั่วไว้เรียบร้อย เต็มหัวอก ๆ ทุกวัน ตายแล้วจมเลยคนประเภทนี้ คนที่สร้างคุณงามความดีวันหนึ่งไม่ได้ทำคุณงามความดีอยู่ไม่ได้ มีแต่เสริมความดีเข้าเรื่อย ๆ พอตายแล้วก็ดีดผึงเลย นี่ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ

วันนี้ได้มาเยี่ยมพี่น้องทั้งหลาย เหตุที่มานี่ก็คือว่าสมเด็จมหามุนีวงศ์ท่านนิมนต์ให้มาในงานของท่าน วันนี้แหละตอนหนึ่งทุ่มมีการเทศนา ท่านเขียนจดหมายไปนิมนต์ เราก็กราบเรียนท่านมาว่ามาไม่ได้แล้วสุขภาพทรุดโทรมมากปีนี้เทศน์ไม่ไหว พอท่านได้รับจดหมายแล้วท่านจัดพระให้ไปขอเลย ทีนี้ไม่นิมนต์นะให้ไปขอเลย ขอปีนี้ ๆ ท่านว่า ยังไงก็ขอปีนี้ ไปให้ได้ ตกลงเราก็เลยต้องได้รับได้มา รับมาให้ท่าน ถึงได้มาเยี่ยมพี่น้องทั้งหลายในกลางพรรษา

เพราะกลางพรรษานี้ในพระวินัยท่านอนุญาตให้ไปได้ภายใน ๗ วัน ไม่ให้เลยนั้นแล้วกลับวัด หากว่ามีความจำเป็นจริง ๆ ตามที่ท่านอนุญาตผ่อนผันไว้ในพระวินัย ก็ให้ค้างคืนอย่างน้อยคืนหนึ่งเสียก่อน แล้วค่อยไปอีกได้ ๗ วัน อันนี้ก็มาภายใน ๗ วัน มาถึงเมื่อวานนี้วันที่ ๖ พอวันที่ ๑๒ คงได้กลับแล้ว และวันพรุ่งนี้ก็จะได้ไปฉันที่วัดนั่นละ ที่วัดนรนาถฯ ท่านนิมนต์ให้ไปเทศน์ในคืนวันนี้ด้วย ตอนเช้าก็นิมนต์รับบิณฑบาตที่นั่น ตกลงก็จะเอาพระไป ๒ องค์ ปล่อยให้ตายอยู่ที่นี่ ๓ องค์ ๒ องค์รอดตัวไป ๒ องค์รอดตัว ๓ องค์ตายอยู่ที่นี่แหละ ไม่มีใครมาเหลือบมอง

เอาละทีนี้ต่อไปนี้ไปจะให้พร พระตายแล้วให้พรที่นี่


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก