โลกของพระ
วันที่ 1 กันยายน 2538
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

โลกของพระ

 

        ไปดูตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ก็น่าสงสาร  เห็นเราไปนี้รุมเลย  โถ  น่าสงสารมากจริง ๆ รัฐบาลเราควรจะหนักทางโรงพยาบาล  โรงพยาบาลไม่ควรจะด้อยนะ  เพราะคนไข้นี้เป็นความจำเป็นมากทั่วแผ่นดินไทยเรา มีโรงพยาบาลอยู่ที่ไหนรุมอยู่ที่นั่น คนไข้ไม่มีที่ไปชีวิตอยู่กับหมอ ทางรัฐบาลเราควรจะพิจารณาทางแง่นี้ให้หนักมากกว่าแง่อื่น ๆ คนไข้เป็นคนจนตรอกจนมุมได้รับความทุกข์ความทรมานมากทางด้านจิตใจด้วยทางร่างกายด้วย  ควรจะเพิ่มงบประมาณอีก  ถ้าเป็นหลวงตาบัวจะเพิ่มให้เยอะเลยเชียว

        ถ้าหลวงตาบัวเป็นรัฐบาลจะเพิ่มให้ทางสาธารณสุขนี้มากกว่าเพื่อน เพราะไปเห็นแล้วสลดสังเวชนะ  พอเราไปนี้รุมเข้ามาหาเรา  อันนั้นขาดอันนี้ขาด ถามอะไรไม่มี ๆ น่าสงสารนะ  เราก็ไม่มีเหมือนกันกับเขา  เวลาถามเขาว่าไม่มี  ทีนี้เขาเอื้อมมาหาเราเราก็ไม่มีอีก  เลยต่างคนต่างไม่มีด้วยกัน  เขาไม่มีสิ่งของ เราไม่มีเงินซื้อของมาให้เขา  มันสู้ไม่ไหวมากจริง ๆ นะ  โรงพยาบาลละมากเกี่ยวกับวัดนี้นะ  มาทุกแห่งเลยใกล้ไกลไม่สำคัญมาเรื่อย ๆ ๆ พอว่างบ้างเราก็ตามไปดู ๆ คือไปดูเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเสียก่อน  พอที่จะช่วยได้มากน้อยเพียงไรเราต้องไปดูเสียก่อน

        อย่างศรีสงครามนี้ก็จนตรอกไม่มีตึกให้คนไข้อยู่  ขอก็ตกลงแล้ว  เรียกคณะกรรมการมาปรึกษากันกับหมอ  ตึกขนาดนี้จะประมาณเท่าไรราค่ำราคาที่เป็นธรรม  ไม่ใช่ราคาของการซื้อการขายธรรมดา  เป็นราคาของพระว่าอย่างนั้นเถอะนะพระช่วย ก็ให้พอเป็นพอไปทุกด้าน  ทางนั้นก็ไม่ให้ขาดทุนทางนี้ก็ไม่ให้บอบช้ำมาก  เพราะเราช่วยหลายด้านหลายทาง  ตกลงกันแต่ละโรง ๆ นี้ก็สร้างกันไปเรื่อย  เราจ่ายเป็นงวด ๆ ไปนะ  คือจะจ่ายตูมตามที่กำหนดไว้ไม่ได้เลยเราไม่มีเงินก้อน  เพราะมีมาเท่าไรเราก็ช่วยอยู่อย่างนั้นตลอด  เวลามีมาก็หนุนกันเข้าไป ๆ พองวดนั้นมาก็จ่ายให้งวดนี้มาก็จ่ายให้  ไม่ได้มาพร้อมกันงวดของแต่ละหลัง ๆ ไม่ได้มาพร้อมกัน  งวดนั้นมาเดี๋ยวงวดนี้มา  มาเป็นระยะ ๆ เราก็จ่ายไปตามระยะ  ถ้ามาพร้อมกันหมดหรือพอตกลงกันแล้วต้องจ่ายตามนั้นเราไม่มีเงินให้จ่าย ตึกหลังเดียวก็ไม่ได้อย่าว่าแต่หลายหลังเลย  ตูมทีเดียวไม่ได้เลย  มันต้องจ่ายแบบนี้ช่วยกัน

        เพราะมันหลายด้านไม่เพียงแต่โรงพยาบาล  ทางอื่นก็มา  ซึ่งเป็นทางที่จะช่วยเหลือกันทั้งนั้น สมควรที่จะช่วยขนาดไหนเราช่วยทั้งนั้น  เราไม่เก็บ  เรื่องเงินวัดนี้ไม่เก็บ  มีเท่าไรทุ่มหมด  หลวงตาบัวตายแล้วยังเหลือแต่บาตรนั่นละทรงเกียรติหลวงตาบัว  ตายแล้วมีแต่บริขาร ๘ นั่นละทรงเกียรติของพระ  ตายแล้วมีเงินเป็นล้าน ๆ โอ๊ย  ดูไม่ได้เลยนะ  ขายศาสนาจริง ๆ พระตายมีเงินเป็นล้าน ๆ ๆ ไม่สมควรอย่างยิ่งกับพระซึ่งเป็นผู้เสียสละแล้วกลับมาสั่งสมอย่างนั้นไม่เหมาะ  ขัดกับหลักศาสนาอย่างยิ่ง  เรียกว่าสวนทางกันเลย  ขัดกับศาสนาร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย  ศาสนาสอนให้เสียสละหมด  พระยามหากษัตริย์เสด็จออกมาจากพระราชวัง  ออกมาเสียสละหมด  ไม่เคยเห็นพระราชาองค์ใดกลับคืนไปเกี่ยวข้องกับสกุล  ไม่เคยมีในตำรา  มีแต่องค์ไหนออกก็เด็ดเลย ๆ ไปเลย ๆ สละหมด  ไม่เคยไปไต่ไปถามละเรื่องการเงินการทองข้าวของสกุลเป็นยังไง  ไม่เคยไม่ว่าองค์ใด

        พระราชามหากษัตริย์มาบวชในพุทธศาสนาเรานี้มากมายนะ เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น  พวกเศรษฐีก็เหมือนกันออกมาแล้วตัดเลย ความเป็นเศรษฐีขาดสะบั้นกันเวลาออกจากบ้านไปเลยไม่คืนมาเกี่ยวข้องอีก  นี่ในตำรา  เอาตำรามาพูดซิข้อยืนยันมีอยู่  ท่านไม่เคยเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้  ท่านเพื่อมรรคเพื่อผลโดยถ่ายเดียวนะ  ไม่มีอะไรใหญ่กว่าธรรม ตัดออกหมดเพื่อธรรมอย่างเดียว ไม่ว่าพระราชามหากษัตริย์เศรษฐีกุฎุมพีออกมา  ออกมาก็ตัดขาดกันเลย  พอพ้นบ้านออกมาแล้วท่านสลัดทีเดียวปุ๊บเลย  แม้แต่ญาติโยมที่จะไปเกี่ยวข้องก็ไม่ปรากฏในตำรานะ ว่าไปพัวพันกันเรื่องอะไรการเงินการทองมรดกอะไรไม่มี  ออกแล้วออกเลย ๆ เป็นคนละโลกไปเลยว่างั้นเถอะ  โลกของพระโลกของฆราวาสท่านเป็นอย่างนั้นมา นี่ละศาสนาเป็นอย่างนี้ คือเสียสละทุกอย่าง

        เงินนี้เข้มงวดกวดขันมากในครั้งพุทธกาล  ท่านไม่ให้มีเลยทีแรก  ไม่ให้มีจริง ๆ เรื่องเงินไม่ให้มาเกี่ยวข้องเลย  นี่ละพุทธบัญญัติข้อต้นเงินนี่ห้ามเป็นอันขาดเลยไม่ให้แตะ  จะรับเองก็ดีให้คนอื่นรับก็ดีใครรับก็ดีไม่ได้ทั้งนั้น  ตัดขาดสะบั้นไปเลย  เรียกว่าเป็นคนละโลก เงินนี่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นคนละโลกไปเลย  นี่เป็นพุทธบัญญัติข้อต้นที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติข้อแรก ทีนี้ครั้นต่อมาผู้ที่บวชก็มีหลายสกุล  เหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน สกุลที่ละเอียดลออเช่นพระราชามหากษัตริย์มาบวชซึ่งไม่เคยสมบุกสมบันแต่มาถูกสมบุกสมบันนี้รู้สึกว่าบอบช้ำมาก

        เมณฑกเศรษฐีเห็นเหตุการณ์อย่างนี้ เลยไปทูลขอความผ่อนผันจากพระพุทธเจ้า เห็นความลำบากของพระมหากษัตริย์ที่เสด็จออกบวชมีแต่สกุลนิ่มนวลละเอียดลออมาบวช  มาก็อาหารการกินโลกเขาเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น  บิณฑบาตก็จะไปแบบเขา ทีนี้เป็นมหากษัตริย์จะดัดตัวเองให้เป็นอย่างนั้นทันทีก็เป็นไปไม่ได้ เมณฑกเศรษฐีเลยไปขออนุญาตความผ่อนผันจากพระพุทธเจ้า  คือขอให้มีผู้รับเงินไว้สำหรับจับจ่ายใช้สอยเพื่อท่านผู้มีความจำเป็น  ขอพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตในข้อนี้  ขอให้มีผู้อื่นรับได้  คือพระไม่เกี่ยวข้องแหละให้คนอื่นเป็นผู้รับแทนได้  ให้เขาจัดซื้อหาอะไรมาถวายท่านจะเป็นการบรรเทาเบาความทุกข์ลงมากมาย

        พระพุทธเจ้าจึงทรงลดหย่อนลงมา เอา ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ ให้มีผู้รับปัจจัยนั้นไว้เพื่อกัปปิยภัณฑ์เท่านั้น กัปปิยภัณฑ์คือสิ่งจำเป็นที่จะซื้อจะหามาสำหรับพระ  แต่เราตถาคตไม่อนุญาตให้พระรับเองหรือเขารับไว้ก็ดี ถ้ามีความยินดีต่อการรับเงินรับทองนั้นปรับอาบัติอีก  คือไม่ให้ยินดีในเงินในทอง  ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ต่างหาก  กัปปิยภัณฑ์ที่เงินทองจะแลกเปลี่ยนมา ให้ยินดีทางโน้นต่างหากไม่ให้มายินดีในเงินทอง  นี่เป็นข้อผ่อนผัน  ทีนี้ก็เลยลามปามซิ ให้คนอื่นรับได้  สุดท้ายใครรับก็ไม่เหมือนเรารับ  ฟาดใส่ย่ามเต็มย่ามไปเลย  นั่นมันจะไปอย่างนั้นแล้วนะ

        อย่างสัตตาหะนี่ก็เหมือนกัน  สัตตาหกรณียกิจ  เข้าพรรษาแล้วไปได้ภายใน ๗ วัน  หากมีความจำเป็นจริง ๆ ให้สัตตาหะไปได้ภายใน ๗ วัน  เช่น บิดามารดาเจ็บไข้ได้ป่วย  พระราชามหากษัตริย์นิมนต์ให้ไปรับทาน  เพื่อนฝูงมีความกระสันหรือเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ก็ให้สัตตาหะ  หรือกุฏิวิหารชำรุดทรุดโทรมให้สัตตาหะไปนำไม้นำอะไรมาซ่อมกุฏิ  ให้ไปได้ภายใน ๗ วันถ้ามีความจำเป็นอย่างนี้  นอกนั้นท่านก็อนุโลมลงบ้าง  แต่เดี๋ยวนี้มันเลยอนุโลมเป็นอนุหลวมอนุแหลกไปเลย  ไม่ได้เป็นอนุโลมมันกลายเป็นอนุแหลกไปแล้วเดี๋ยวนี้  แหลกไปหมด  เข้าพรรษาแล้วพระก็ป้วนเปี้ยน ๆ อยู่ตามทุกแห่งทุกหน  เพราะถือข้ออนุโลมนี่  มันเลยอนุโลมเป็นช่องว่างให้พวกอลัชชีแสดงตัวออกตีตลาดแหลกเหลวหมดเวลานี้  มันน่าสลดสังเวชนะ

        นี่ละพุทธบัญญัติฟังเอาซิท่านว่าอย่างนั้น  มีความอนุโลมผ่อนผันเวลาจำเป็นให้ไปได้ภายใน ๗ วันแล้วกลับมาค้างคืน เช่น ไปหาไม้มาซ่อมวิหารมาซ่อมศาลาซ่อมกุฏิ  หายังไม่เสร็จภายใน ๗ วันแล้วกลับมาค้างคืน อย่างน้อยให้ได้ค้างคืนหนึ่งแล้วกลับไปเอาไม้อีกไปขนไม้มาอีก  จนกว่าจะสำเร็จ  หรือพระปาฏิโมกข์ไม่มีให้สัตตาหะไปเรียนปาฏิโมกข์  นี่ท่านก็อนุโลมผ่อนผันให้ไปได้ภายใน ๗ วันเหมือนกันหมด  แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทราบเป็นยังไงมองไปเห็นเหลืองอร่ามเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มตลาดลาดเล  ใครก็อ้างว่าสัตตาหะ ๆ ไม่ทราบสัตตาหะมีความหมายอะไร ท่านอนุญาตยังไงบ้างมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่นะ  มันเลยเป็นอนุแหลกไปเลย  พอมีช่องว่างตรงไหนนิดหนึ่งเป็นเอาแหละ

        อย่างเงินอย่างทองนี่ก็เหมือนกัน  ช่องว่างมีเท่านั้นละที่ทรงอนุญาตให้คนอื่นรับได้  แต่ห้ามไม่ให้ยินดีในเงินทองที่เขารับไว้เพื่อตน  แต่ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ที่จะเอาเงินไปแลกเปลี่ยนมานั้นต่างหาก  นั่นท่านเอาขนาดนั้นนะ  ถ้ายินดีในเงินในทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตนนั้นไม่พ้นอาบัติ  ปรับโทษเลย  เป็นยังไงเดี๋ยวนี้พิจารณาซิ  เต็มย่ามเลย  พูดตามความจริงนี่จะให้ว่ายังไงอีก  เราถือศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าว่ายังไงก็นำมาสอนกันละซิให้ได้รู้เรื่องรู้ราวบ้าง

        มันหมดเข้าไป ๆ นะจนทุเรศ  เฒ่าแก่มาเท่าไรยิ่งปลงธรรมสังเวชหนักเข้า ๆ มันแปลกอยู่ที่มันน่าจะมาปลงธรรมสังเวชห่วงใยชีวิตเจ้าของกลับไม่ห่วงนี่นะ  กลับไปห่วงโลก  จวนจะไปเท่าไรยิ่งห่วงโลกมากเข้า ๆ มองดูมันเป็นมรสุมเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วโลกดินแดนนี่จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง  อันนี้มันไม่เผาว่ายังงี้จะมาห่วงทำไมมันไม่เผานี่  พูดตรง ๆ อย่างนี้ซิ  เวลามันเผามันก็เผา  แต่เวลามันไม่เผาจะไม่ให้พูดบ้างเหรอ  มันไม่เผาก็ต้องบอกว่ามันไม่เผา  นี่มันไม่เผาไม่ห่วง

        จะไปเมื่อไรพร้อมเสมอเรา  อันนี้ของใช้เฉย ๆ ใช้ไม่ได้แล้วเหรอทิ้งปัวะเดียวสลัดปุ๊บไปเลยไม่เห็นมีอะไร  เหมือนกับเครื่องไม้เครื่องมือเรานี่  อันนี้มันก็หักอันนี้มันก็เสียใช้ไม่ได้แล้วเหรอ  ดูใช้ไม่ได้แล้วทิ้งปั๊วะก็เท่านั้นเอง  นี่ร่างกายของเราเป็นเครื่องใช้เหมือนนี้  หัวใจต่างหากเป็นเจ้าตัวสำคัญ  หัวใจพร้อมแล้วยัง  ถ้าหัวใจพร้อมแล้วหมดห่วง  เพราะฉะนั้นจึงพากันสร้างหัวใจให้หมดห่วงนะ  อย่างน้อยความห่วงใยให้เบาลงด้วยอำนาจของธรรมเข้าครอบ  ถ้ากิเลสเข้าครอบแล้วจวนจะตายเท่าไรยิ่งดิ้นยิ่งดีดเป็นบ้าก่อนตายเสียด้วยซ้ำไปนะไม่ใช่ธรรมดา

        ธรรมพระพุทธเจ้าประจักษ์อยู่ในหัวใจของทุกคนนั่นแหละ  สด ๆ ร้อน ๆ แต่ไม่มีผู้นำมาปฏิบัตินั่นซี  ไปโกยเอาแต่กิเลสมาเผาหัวเจ้าของก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ  ถามปากไหนแบบเดียวกันหมด  มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนเต็มบ้านเต็มเมืองหาผู้มีความสุขจะเอามาอวดกันสักนิดหนึ่งเท่าฝ่ามือก็ไม่มี  ทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างดิ้นหาความสุข  ดิ้นไปด้วยอำนาจของกิเลสละซิจะหาความสุขได้ยังไงมันก็มีแต่กองทุกข์  ถ้าดิ้นไปด้วยอำนาจของธรรมแล้วเย็นสบาย  ได้มากได้น้อยมีมากมีน้อยเย็นสบายทั้งนั้นแหละ

        นี่ไม่ได้ไปตามอรรถตามธรรมซิโลกถึงได้ร้อน  นี่ซิถึงได้เป็นห่วง  พูดหลักความเป็นห่วงเป็นอย่างนี้  มองไปไหนมันเป็นฟืนเป็นไฟไปหมดทั่วโลกดินแดน  มันไม่มีละชาติชั้นวรรณะ สมมุติว่ากันเฉย ๆ มีแต่ลมปากเท่านั้นละ  กิเลสไม่ได้ไปสนใจกับสมมุติว่าชั้นนั้นชั้นนี้นี่นะ  มันบีบที่หัวใจ ๆ ความทุกข์มันเป็นไฟอยู่ที่หัวใจไม่อยู่ที่ไหนนะ  มองเข้าไปจุดมหาเหตุนั่นซิความทุกข์อยู่ตรงนั้น  นอกนั้นเอามาประดับร้านกันเฉย ๆ คนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้  ผู้นั้นมั่งมีผู้นี้มีฐานะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงอย่างนั้นสูงอย่างนี้  ว่ากันประดับร้านไปเฉย ๆ ความทุกข์ที่เกิดเพราะอำนาจของกิเลสมันไม่ได้ประดับร้าน  มันเอาจริงเอาจังเผาอยู่ในหัวใจ

วันนี้วันพระไม่ใช่หรือ เอ้า ไหว้พระเสีย


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก