ท้าพิสูจน์
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2538
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

ท้าพิสูจน์

ศาสนานั้นมีต่าง ๆ กันตามความรู้ความเห็นของผู้เป็นเจ้าของศาสนา เป็นหลักใจคือเป็นชีวิตของใจ แต่ศาสนาพุทธเรานี้เป็นเอกหาที่ค้านไม่ได้เลย วางลงตรงจุดศูนย์กลางของความจริงทั้งหมด ลงในจุดศูนย์กลางของความจริงเลย ท้าทายได้ ใครอยากพิสูจน์ก็เอ้ามาพิสูจน์ นักวิทยาศาสตร์ไหนก็มาเถอะมาพิสูจน์ จะค้านไม่ได้เลยพุทธศาสนาเรา เพราะลงในจุดศูนย์กลางของความจริง พระพุทธเจ้าที่นำมาสอนโลกท่านก็ได้ของจริงอันนี้ละมาสอนโลก คือจิตหยั่งทราบความจริงตลอดทั่วถึงแล้วก็นำสิ่งเหล่านั้นมาสอนโลก สอนตามความมีความเป็นความจริง ศาสนาเป็นหลักธรรมชาติ รู้ตามหลักธรรมชาติเห็นตามหลักธรรมชาติ

เท่าที่ทราบจากใครต่อใครที่มาเล่าให้ฟังตามเมืองนอกเมืองนาที่เขาไป เช่นเมืองซาอุดิอาระเบีย เขาถือของเขาจริงจังมาก ถึงเวลาของเขานี้ร้านนี่หยุดหมดเลยไม่ขาย เวลาไหนเป็นเวลาที่ศาสนาเขาบ่งบอกให้ทำอย่างไรแล้วเขาจะทำอย่างนั้น ๆ เขาจริงจังมาก ศาสนาเขาจะถูกหรือไม่ถูกก็ตาม แต่สำคัญที่เขาเอาจริงเอาจัง ถ้าเขาได้เชื่อศาสนาที่ถูกต้องแล้วเขาจะดีมากทีเดียวนะพวกนี้ พวกเราเสียอีกเหลาะแหละ ไม่มีอะไรจริงจังกับพุทธศาสนาเลย แม้ที่สุดพระก็เหมือนกัน เหลาะแหละแบบเดียวกันหมด เราอย่าว่าแต่ฆราวาส พระไม่ว่าท่านว่าเราพอ ๆ กัน ไม่จริงจังเหลาะ ๆ แหละ ๆ ไม่ทำตามหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ซึ่งเป็นหลักความจริงที่จะให้เข้ารู้ความจริงทั้งนั้น แต่ไม่ปฏิบัติ เมื่อเหลาะ ๆ แหละ ๆ แล้วก็ไม่ถึงความจริง ศาสนาก็เลยเป็นเครื่องเล่นไปเสีย เหมือนกับว่าเครื่องโชว์ประดับหน้าร้านไปอย่างนั้นละศาสนา

ศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาประดับหน้าร้านนะทุกวันนี้ ประดับไว้เหมือนเขาแขวนกระถางดอกไม้ไว้ที่หน้าบ้านเขา ลายคงลายครามไปอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ศาสนาเราเป็นเครื่องลายครามไปแล้ว เป็นเครื่องประดับร้าน ไม่ได้มีอะไรจริงจังเลยผลของศาสนาจึงไม่ปรากฏ อันนี้ที่น่าทุเรศเอามาก ชาวพุทธเราเหลาะแหละมากจริง ๆ นะ เรื่องของศาสนานี้เหลาะแหละมาก คือส่วนมากเหลาะแหละมาก ส่วนจริงจังมีน้อยมากทีเดียว ที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จริง ๆ เราไม่ค่อยเห็น มันหากมีแสลงหูแสลงตาอยู่นั้นแหละ คือแสลงจากตำรานะ ตำราท่านว่าอย่างนั้นแล้วมาทำอย่างนี้เสีย ตำราคือแบบแผนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้ด้วยความถูกต้อง ว่าอย่างนั้นแต่ก็แฉลบไปเป็นอย่างนี้เสีย ๆ ไม่ค่อยตรง

เท่าที่ผ่านมานี้เห็นพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้นยกนิ้วเลย ไม่มีเรี่ยราดสาดกระจายไปไหนได้ เก็บหอมรอมริบหมดเลย หลักธรรมหลักวินัยนี่เก็บหมดจริง ๆ ยกนิ้วให้เลย เพราะฉะนั้นจึงได้เทิดทูนสุดหัวใจ เขียนก็เขียนสุดหัวใจ เขียนสุดกำลังความสามารถด้วยความเทิดทูนด้วยความเคารพเลื่อมใสรักท่านมากสุดหัวใจ เวลาเขียนก็เขียนเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถ ใครจะชมก็แล้วใครจะตำหนิก็แล้วได้เท่านั้นว่างั้นเถอะ ให้เลยนั้นไปอีกไม่ได้ หมดความสามารถ

พยายามอยู่สามสี่ปีนะกว่าจะได้มาเขียน เที่ยวเสาะแสวงจากครูบาอาจารย์องค์นั้น ๆ องค์นั้นอยู่กับท่านสมัยนั้น ๆ ไปเที่ยวเสาะแสวงหามาจากท่าน ผิดหรือถูกประการใดก็แล้วแต่ท่านผู้เป็นต้นตำรับ สืบทอดมาจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ได้มาจากอากัปกิริยาการประพฤติปฏิบัติของท่านยังไงท่านก็เล่าให้ฟัง ความหลงลืมก็มีอย่างว่านั่นแหละ เพราะลูกศิษย์ก็แก่เป็นเหมือนอาจารย์นี่ แก่เฒ่าชรามาก็หลงลืมไป พูดผิดพลาดไปบ้างก็อาจเป็นได้ รวบรวมมาหมดแล้วก็มาเรียงลำดับลำดา เรียงอยู่ ๔ ปีถึงได้ออกมาเป็นเล่ม

เราไม่เห็นผิดพลาดจริง ๆ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่ไม่เห็น คือผิดพลาดจากตำรานะไม่เห็น ท่านปฏิบัติตรงไหนนี่อยู่นั้น ๆ อยู่สูตรนั้นอยู่คัมภีร์นั้นบอกไว้ชัดเจนเลยเทียว ท่านเอาออกมาจากนั้น ๆ ท่านปฏิบัติอย่างนี้ ๆ ไม่มีที่ว่าลูบ ๆ คลำ ๆ อย่างนั้นถึงว่าจริง นั่นละจริง แล้วท่านเป็นยังไงทรงมรรคทรงผลไหมล่ะ นั่นละผู้ทำจริง ศาสนาพระพุทธเจ้าหลอกลวงโลกไหมล่ะ เมื่อทำจริงตามที่ท่านสอนแล้วเป็นยังไงหลวงปู่มั่นก็ไปดูเอาซิ พระธาตุของท่านเดี๋ยวนี้เกลื่อนไปหมด ใครเก็บไว้ไหนงุบงิบกันนะไม่บอกใครให้ทราบแหละ เก็บเงียบเพราะรักสงวนมาก ถ้าถามว่าอัฐิท่านอาจารย์มั่นกลายเป็นพระธาตุไหม ใครก็บอกว่าเป็นได้ทั้งนั้น แต่ว่าของใครเป็นไม่บอก คือรักสงวนมาก นั่นละผู้ทำจริงก็เห็นจริงตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว จึงว่าธรรมของจริง เอหิปสฺสิโก ท้าทายตลอดท้าทายความจริง เรียกว่าท้าพิสูจน์ได้เลย

พวกไปซาอุ ฯ มาเขาเล่าให้ฟัง ถึงเวลาพิธีทางศาสนาของเขาเขาจะไม่ยุ่งกับอะไรเลย ร้านค้าใครไปซื้ออะไรเขาก็ไม่ขายเขาไม่สนใจเขาจะทำหน้าที่ของเขา จนหมดวาระแล้วถึงจะออกมาขายของ เขาจริงจังมาก เสียดายอยากให้เขาได้นับถือพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาชั้นเอก หาที่ต้องติไม่ได้เลยพุทธศาสนา เอาภาคปฏิบัติเข้าจับกัน เราเรียนตามตำรับตำรานี้ไม่พ้นจากความคาดความหมาย เห็นจะจริงหรือไม่จริง เห็นจะรู้หรือไม่รู้ มีหรือไม่มีอะไรอย่างนี้ เป็นไปเรื่อย ๆ เรื่องความจำกับความสงสัยนี่วิ่งไปตาม ๆ กัน ถ้าภาคปฏิบัติกับความจริงนี้วิ่งตามกันเหมือนกัน จริงเลย ๆ เหมือนกับว่าไปเจอด้วยตา ๆ ตำราท่านบอกว่าบ้านนั้นอยู่ตรงนั้น ๆ เราไปตามแผนผังที่ท่านบอก ไปก็ไปเจอบ้านนั้นจริง อ๋อ บ้านนี้เป็นอย่างนี้ นี่ภาคปฏิบัติ ก้าวเดินไปเรียกปฏิบัติ ไปเจอบ้านไปเจอของจริง ศาสนาพระพุทธเจ้าของเราเป็นอย่างนั้น

เพราะความรู้นี้เป็นความรู้นอกโลกนี่นะ นอกโลกสมมุติทั้งหมด พระองค์ทรงทราบทรงรู้ทรงเห็น นอกโลกเหนือโลกเอามาสอนโลก โลกนี่โลกสมมุติโลกกิเลสสอนไม่ค่อยยอมรับแหละ เถียงศาสนาเถียงความจริง ความจอมปลอมนั่นแหละเถียงถ้าจริงแล้วไม่ได้เถียง ความจอมปลอมกับความจริงเป็นข้าศึกศัตรูกันมาแต่ไหนแต่ไร มันถกมันเถียงกันอยู่อย่างนั้น เช่นว่านรกมีหรือไม่มี สวรรค์มีหรือไม่มี บาปบุญมีหรือไม่มี เฉพาะอย่างยิ่งในวงชาวพุทธเรานี้ใครเรียนเท่าไรก็เรียนไปเถอะ จบ ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค ๑๐๐ ประโยคไม่พ้นความสงสัย ขึ้นไปตั้งเวทีตีธรรมเหล่านี้แหลกไปหมด ลบล้างด้วยความไม่มี มีหรือไม่มีนะอยู่อย่างนั้น ไม่สิ้นสุดนะเรียน เรียนไปมากเท่าไรไม่พ้นความสงสัยที่จะติดตามไปจนได้แหละ ถึงนิพพานก็ไปตั้งเวทีต่อสู้กับนิพพาน มีหรือไม่มี ๆ สุดท้ายก็บอกไม่มี กิเลสลบล้าง ๆ ฝ่ายกิเลสหนากว่าหนักแน่นกว่า กำลังมากกว่ามันฉุดลากไป ๆ โน่นเอาความจริงเข้าจับปั๊บถึงรู้ ความจริงคือภาคปฏิบัติ

สิ่งเหล่านี้ปฏิบัติลงไปไม่พ้นวิถีของจิตที่ดำเนินตามภาคปฏิบัติ จะต้องรู้ต้องเห็นตามพระพุทธเจ้าสอน ความจริงอยากรู้ เอ้า ปฏิบัติเอาซิ พอไปเจอเข้าแล้วเราก็เจออย่างนี้แล้วค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ว่ายังไง ๆ เราไปเห็น พระพุทธเจ้าเห็นไว้ก่อนแล้ว ๆ แล้วค้านได้ยังไง ก็ยอมรับ เมื่อยอมรับความจริงของเจ้าของที่รู้ที่เห็นแล้วจะไปค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ค้านไม่ได้ค้านไม่ลง นี่มีแต่นกขุนทองนั่นซี แก้วเจ้าขา ๆ เรียนจนปากแฉะได้แต่ชื่อของบาปของบุญของนรกสวรรค์ ได้แต่ชื่อเท่านั้นเป็นความจำเอามาไว้ในหัวใจ ความจริงไม่มีตกค้างในหัวใจเลย แล้วจะเอาของจริงมาจากไหนมาทรงที่หัวใจไม่ได้ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านรู้ด้วยภาคปฏิบัติต่างหาก พระสาวกทั้งหลายก็รู้ด้วยภาคปฏิบัติ ท่านไม่ได้รู้ด้วยความจำเฉย ๆ ความจำนี่จำมาเท่านั้นแหละ ก็เหมือนแบบแปลนนั่นเองผิดอะไรไปไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

ถึงช่องว่างที่จะภาวนาแล้วจริงจังกับภาวนา กิเลสอย่ามายุ่งว่างั้นซิ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความห่วงใยบ้านเรือนลูกเต้าหลานเหลนอย่ามายุ่ง แต่นี้ไปยุ่งกับเขานั่นซี เขาอยู่ไหนก็ไม่รู้ ลูกหลานอยู่ในบ้านในเรือน บ้านก็เป็นไม้เป็นอิฐเป็นปูนเป็นทรายเราก็ไปหวงเขาอยู่นั่นไปห่วงเขาอยู่นั่น มาอยู่วัดไปห่วงบ้าน ไปถึงบ้านแล้ว โอ๊ย ไปอยู่วัดสบายดี อยู่นี้ยุ่งกับลูกกับหลาน บ่นให้ลูกให้หลาน ไปอยู่วัดดีกว่าสบายแสนสบาย แต่มาอยู่วัดแล้วก็ห่วงหลาน เป็นบ้าสองชั้น มาวัดห่วงบ้าน มาบ้านห่วงวัด เป็นอย่างนั้นนะจิตใจเราไม่ได้จริงจัง

เด็ดลงไป ๆ ถึงคราวเด็ด-เด็ด อย่าเสียดายความคิดความปรุงของจิต ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ความคิดความปรุงมันดีดขึ้นมานี้เป็นท่าให้เสียดาย ต้องเสียดายคิดเสียดายปรุง แล้วก็ปรุงกับมันไปเรื่อย ต้องตัดความเสียดายนี้ออก อะไรจะเกิดก็ไม่ให้เกิดให้เกิดแต่ธรรมเท่านั้น ซัดกันอย่างหนักถึงได้รู้เรื่องของมัน ถ้าไม่เอาจริงจังไม่รู้เรื่องของกิเลสตัวหลอกลวงแหละ มันดันออกมาปรุงเรื่องนั้นปรุงเรื่องนี้อยู่อย่างนั้น คิดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีความอิ่มพอ คิดอยู่อย่างนั้น ทีนี้เวลาจะให้มาคิดทางด้านธรรมะนี้ครู่เดียวยังไม่ได้ นาทีหนึ่งได้เหรอ ไม่ให้เผลอนาทีหนึ่งมีเหรอ มีแต่กิเลสเอาไปกินเรียบวุธ สองวินาทีตั้งสติพุทโธ หรือธัมโม ได้สองวินาทีสามวินาทีหายเงียบแล้ว มันไม่ได้จริงจัง เพราะฉะนั้นผลถึงไม่มี ต้องให้เป็นท่าต่อสู้จริง ๆ

โห ของเล่นเมื่อไรเล่นกับกิเลส มันหนักหน่วงถ่วงจิตใจหลอกลวงจิตใจให้หลงเพลินไปตามมันไม่ให้มีความอิ่มพอนะ อันนี้สำคัญมาก โลกถึงไม่อยากไปไหน ไปไหนก็ไม่อยากไป อยากเกิดตาย ๆ แบกกองทุกข์อยู่นี้ มันหากเป็นความอยากอันหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เกิดให้ตายมีอยู่ เราอยากนั้นต่างหากแต่ก็เป็นสายยาวเหยียดไปถึงเกิดแก่เจ็บตายไปถึงกองทุกข์นั่นซิ เราไม่ได้อยาก-อยากทุกข์ เรื่องอยากทุกข์อยากลำบากไม่อยากแหละ แต่เราชอบสาเหตุมันซิที่จะติดตามไปถึงกองทุกข์ เราชอบอันนี้เสียก็ต้องเดินไปหาอันนั้นเพราะสาเหตุมันอยู่นี้ ต้นทางอยู่ที่นี่

อยู่ในแดนมนุษย์ของเรานี้มันสนุกสนานไม่อยากไป เรื่องเทวทัตโทรทัศน์ วิดีโอเหล่านี้ก็ไม่มีอยู่แดนสวรรค์ถึงไม่อยากไป สู้มนุษย์ไม่ได้มนุษย์มีสิ่งเหล่านี้ถึงไม่อยากไป สวรรค์นิพพานไม่มีสิ่งเหล่านี้ไม่อยากไป อยากไปแต่ตรงไหนมีอันนี้อยากไป เพราะฉะนั้นมันถึงกว้านเข้ามาเผาบ้านเผาเมือง อยู่เมืองนอกเมืองนากว้านเข้ามาเผาบ้านเผาเมือง พวกนี้เขาไม่มีศาสนาเขามีทุกอย่างตามแบบฉบับของสัตว์โลกที่ไม่รู้ภาษีภาษาในหลักธรรมทั้งหลาย เขาก็เอามาตามภาษาของเรา

ทีนี้เรามีอรรถมีธรรมเป็นกฎเป็นเกณฑ์ในหัวใจไปคว้าเอาสิ่งเหล่านี้มา ถึงเลวเอามากเทียว เลอะหมด เช่นหลังหมีเขาดำอยู่แล้วก็ไม่มีอะไร จะแปดจะเปื้อนอะไรเขาก็ไม่รู้เรื่องเพราะดำอยู่แล้ว แต่หมาขาววิ่งเข้าไปผ่านเข้าไปถูกอะไรเปื้อน เป็นยังไงน่าดูไหมล่ะ ถ้าเปื้อนจุดนี้เปื้อนจุดนั้นเขาก็เรียกไอ้ดำไอ้ด่างไปเสีย เขาไม่เรียกไอ้ขาวนะ เรียกไอ้ดำไอ้ด่างไป นี่ละความสะอาดของศาสนาเมื่อใครเข้าไปถือแล้วก็เหมือนผ้าขาว ไปแปดเปื้อนหลังหมีเข้าไปมันยังไงกัน ดูไม่ได้นะ

วันนี้พูดเท่านั้นละ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก