เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
รักษาตัวรักษาใจ
สังเกตดูเวลาเดินไปตามถนนหนทางก็ดี เวลานั่งอยู่ธรรมดา อิริยาบถทั้ง ๔ ที่เป็นอยู่ตามธรรมดานี้ก็ดี แล้วเทียบกับขึ้นนั่งเรือบินมีความแปลกต่างกันยังไง ไม่เห็นมีอะไรแปลกต่างกัน เท่ากันหมด ขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินนึกว่าจะแสนสบาย หายเงียบไม่เห็นสบาย ธรรมดา อยู่พื้นที่ธรรมดานี่ก็ปกติ ขึ้นบนเรือบินธาตุขันธ์อะไร ๆ จิตใจก็ปกติไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกกัน ยิ่งนั่งมาจากอังกฤษมาเมืองไทยนี้เราเข็ดจนป่านนี้ยังไม่หายนะ เพราะฉะนั้นจึงไม่ไป ไปเมืองไหนไม่ไป เขานิมนต์ไปเมืองนอกไม่รู้กี่ครั้งกี่หนไม่เคยสนใจ เข็ดยังไม่หาย โห ระบมหมดเลย นั่งที่เดียว ๑๔ ชั่วโมงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย จากนั้นแล้วไม่ขึ้นเครื่องบินอีกแหละ พึ่งมาขึ้นนิด ๆ เท่านั้นเอง ขึ้นเป็นชั่วโมง ๆ ไม่เอาแล้วเข็ด โห ขึ้นมานั่งตกนรกอยู่บนเครื่องบิน
ใครมีเรื่องมีราวอะไรก็ตามนะ อยู่พื้นที่อิริยาบถทั้ง ๔ ยืนก็หอบ เดินก็หอบ นั่งก็หอบ นอนก็หอบกองทุกข์อยู่ในหัวอกไม่ได้ปล่อยได้วาง อยู่นี่นะ ขึ้นไปนั่งอยู่บนเรือบินก็ไปหอบอยู่บนเรือบินกองทุกข์ สัญญาอารมณ์ที่กวาดต้อนไว้แต่ข้างล่างนี่ ขึ้นไปข้างบนไปกับใจ ขึ้นไปก็ไปหอบกองทุกข์อยู่ข้างบนเรือบินนั้น เรื่องกองทุกข์ทางใจจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่โตมาก พระพุทธเจ้าสอนให้ตรงแน่วลงตรงนั้นเลย นั่นละกองทุกข์อยู่ที่นั่น ร่างกายไม่ค่อยเป็นทุกข์เท่าไรมากนัก ถึงเป็นก็ถ้าใจไม่ยุ่งก็ไม่เป็นไร ก็เจ็บปวดธรรมดา ๆ แต่ใจนั่นซิพวกแสนยุ่งน่ะ อะไรเป็นที่ไหนไปจับจองเอาหมดแหละ เกิดโรคสองชั้นขึ้นมา โรคทางกายแล้วยังไม่แล้ว โรคทางใจโรคกระวนกระวายเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ที่ใจหมด
ขึ้นไปอยู่บนฟ้าก็ไปหอบกองทุกข์ฟืนไฟอยู่ในหัวอก ไปอยู่ไหนก็อย่างนั้น พวกขึ้นจรวดดาวเทียมก็เหมือนกันไม่ผิดกัน มันอยู่ตรงนี้นะ กองทุกข์อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้แก้ตรงนี้ตรงที่มันทุกข์ แก้นี้แล้วแสนสบาย เราแก้ได้มากได้น้อยเป็นความผาสุกเย็นใจสบาย รู้จักระงับอารมณ์ของตัวเอง อารมณ์อะไรที่มันคิดเป็นภัยนี้ให้รีบระงับมัน มันเหมือนเอาไฟมาจี้ จี้ทีหนึ่งร้อนหนหนึ่ง จี้ทีสองซ้ำเข้าไปอีกร้อนมากเข้าไป ทีสามยิ่งมากเข้าไป ความคิดที่ก่อความทุกข์ให้เจ้าของ ความคิดเช่นนั้นละท่านเรียกว่าความคิดที่เป็นภัย ถ้าเทียบกับไฟก็คือไฟ จี้เข้าหนหนึ่ง จี้สองหน คิดเท่าไรยิ่งทุกข์มาก ๆ ระงับอารมณ์อันนี้ไม่ได้
นักภาวนาระงับได้ พอมันคิดแย็บขึ้นมาอันนี้เป็นอารมณ์ที่เคยเป็นข้าศึกรู้ทันที ตัดทันทีเลยไม่ให้มันขึ้นอีก มีอารมณ์เป็นข้าศึกตัดปุ๊บเลย หายเงียบไป มันจะเอาอารมณ์ใดขึ้นมา สติก็อยู่กับใจ อารมณ์ใดขึ้นมาก็รับรู้ ๆ ปัดออก ๆ ทันที ๆ นักภาวนา จึงต่างกันมากกับธรรมดาคนเราทั่ว ๆ ไป เพราะฉะนั้นท่านจึงพ้นจากทุกข์ได้ เพราะท่านรู้จักวิธีรักษาท่าน อันใดที่เป็นข้าศึกท่านปัดออก ๆ อันใดที่เป็นคุณท่านตักตวงเข้ามา ๆ ภายในใจเรื่อย ๆ ใจก็นับวันเย็นสบาย ใจเมื่อได้รับการเหลียวแลแล้วก็ย่อมมีความผาสุกเย็นใจสบายเรื่อย ๆ
แต่นี้ไม่ได้รับความเหลียวแลซิ เพราะฉะนั้นจึงพากันไปฝึกหัดจิตบ้าง ให้สังเกตดูจิตเจ้าของคิดอะไรเรื่องอะไร วันหนึ่ง ๆ จิปาถะแหละ ทุกคนไม่เลือกราบเรียบเสมอกันหมดความคิดอย่างนี้ ต่างคนต่างกอบโกยเอาความทุกข์เข้ามาเผาในหัวอกนี่ ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ อันนี้จะอยู่นี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงทั่วหน้ากัน เรามองดูกันเรามองเผิน ๆ มองดูทรัพย์สินเงินทอง มองดูยศถาบรรดาศักดิ์ที่เป็นลม ๆ แล้ง ๆ นั้นต่างหาก ความจริงนี้ไม่มองจึงไม่เห็นจึงไม่เจอ จึงหาที่แก้ไม่ได้ ถ้าเราพยายามแก้ตรงนี้ พยายามปัดเป่าความคิดไม่ดีออก เรื่องราวอะไรก็ไม่เกิดมากขึ้น ค่อยระงับดับไป ๆ แล้วก็รู้จักวิธีรักษาตัวเรื่อย ๆ ทีนี้จิตก็ค่อยสงบเย็น เมื่อไม่มีอะไรมาแตะต้อง อะไรเข้ามาแตะปั๊บตัดปุ๊บ ๆ ให้มีแต่ความดีขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็สงบเย็นสบาย นักภาวนาท่านเป็นอย่างนั้น
วันหนึ่งมีอารมณ์อะไรเข้ามาข้องในจิตนี้จะใส่กันอยู่นั่นแหละ ฟัดกันอยู่นั่น อารมณ์ที่เป็นภัยแก้ไม่ตกไม่ถอย แก้จนตก นั่นท่านรักษาท่าน ไม่ใช่จะปล่อยตามบุญตามกรรมอยากคิดอะไรก็คิดไปเรื่อยเปื่อยไป ดูไม่ได้อย่างนั้น คิดดูอย่างพระที่เคยเล่าให้ฟัง คือสติของท่านอยู่กับจิต คิดอะไรขึ้นมาท่านรู้ทันที ครองผ้าจะไปบิณฑบาต นี่เคยเล่าให้ฟังแล้วนะเป็นคติอันดี นั่นคือการรักษาของท่าน ท่านรักษาท่านอยู่ตลอดเวลา ความคิดเป็นอกุศลขึ้นมา กำลังครองผ้าไปบิณฑบาตท่านวิตกแวบขึ้นมา วันนี้ประชาชนศรัทธาเขาจะเอาอาหารประณีตบรรจงอะไรใส่บาตรให้เรานา เท่านั้นละนะ ท่านตบปั๊บทันที เปลื้องผ้าจีวรไม่บิณฑบาตวันนี้
มันเก่งกว่าครูไม่ให้มันกินวันนี้ ท่านไม่บิณฑบาตเลย เปลื้องผ้าจีวรออก เอ้า มันเก่งให้มันกินอารมณ์ให้มันกินลมกินแล้งอย่างนี้ละ ท่านเลยไม่ไป นั่นละท่านดัดของท่านดัดอย่างนั้น พอมันคิดขึ้นท่านรู้ท่านตัดปั๊บเลย นอกจากนั้นยังทรมานมันไม่ให้มันกินอีก วันหลังพอครองผ้าแล้วคอยดูโจรผู้ร้ายมันจะออกอีก มันจะออกช่องไหนคราวนี้ หมอบไม่กล้าออกนะ ท่านก็ไปบิณฑบาตมาฉัน ตามนิทานว่าอย่างนั้น นิทานในชาดกไม่ใช่ธรรมดาปรัมปรานะ นั่นละท่านรักษาท่านท่านรักษาอยู่อย่างนั้น ทีนี้ต่อไปท่านก็ไปได้อย่างสบาย
ไปบิณฑบาตตามหลักของกิจวัตรแห่งการบิณฑบาตแล้วท่านจะไปสนใจกับอาหารการกินอะไร ท่านดูหัวใจท่าน เดินจงกรมไปเรื่อย ๆ ดูงานที่เคยทำอยู่ในใจทำอยู่ในนั้นตลอด ใครเคยทำงานชิ้นไหน ๆ อารมณ์ใดก็ปฏิบัติตัวอยู่กับอารมณ์นั้นตลอดไปเลย เดินไปก็สักแต่ว่าไป รับบาตรก็สักแต่ว่ารับ ถ้าท่านจะแย็บออกไปข้างนอกก็แย็บเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไปเสีย ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคลพอที่จะให้ติดให้ข้อง ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย เป็นธาตุ ธาตุต่อธาตุ ธาตุรับธาตุเช่นเอาข้าวมาใส่ ข้าวก็เป็นธาตุอันหนึ่ง คนที่มาใส่ก็เป็นธาตุอันหนึ่ง ผู้รับก็เป็นธาตุอันหนึ่ง บาตรก็เป็นธาตุอันหนึ่ง ท่านแยกเป็นธาตุ ๆ ไปหมดไม่มีอะไรที่จะเข้ามาเกี่ยวกวนท่านเลย นั่นท่านรักษาท่านอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงว่าบิณฑบาตเป็นวัตร ไม่ใช่บิณฑบาตแบบโลเลโลกเลก ตาลอกแลก ๆ หาแต่ขันข้าว เคยเห็นมาแล้วนี่ บิณฑบาตตาเถ่อมองหาแต่ขันข้าว เท้าจะไปชนไปเตะอะไรก็ช่างหัวมันขอให้ได้เห็นขันข้าวก็พอ นั่นพวกยักษ์พวกผีบิณฑบาตไม่ใช่เป็นแถวแนวของพระพุทธเจ้า แถวแนวของพระพุทธเจ้าบิณฑบาตเป็นอย่างว่านี่ องค์ไหนรายใดที่เคยทำหน้าที่อะไรในการภาวนาของท่าน ท่านกำลังทำงานอะไรอยู่ท่านก็ทำงานของท่านตลอดไปเลยทั้งไปทั้งกลับ ไม่สนใจกับอะไร อาหารบิณฑบาตได้อะไรไม่ได้อะไรท่านไม่สนใจยิ่งกว่าการดูจิตใจตลอดเวลา นี่เรียกว่าบิณฑบาตเป็นวัตร จำเอาไว้นะ นี่ละบิณฑบาตเป็นวัตรเป็นอย่างนั้น คือเป็นกิจวัตร เป็นการเดินจงกรมไปในตัว อยู่ธรรมดาท่านก็ทำอย่างนั้น เวลาฉันท่านก็พิจารณาของท่านอย่างนั้น สักแต่ว่าฉันสักแต่ว่าสัมผัสลิ้นปาก แต่งานของท่านที่ทำท่านไม่ปล่อย นั่นเรียกว่าฉันอาหารเป็นวัตร ฉันบิณฑบาตเป็นวัตร จึงว่าเป็นวัตร ๆ ๆ ข้อปฏิบัติ ไม่ใช่โลเลโลกเลก
ธุดงค์ ๑๓ ข้อนี้เป็นเครื่องกำจัดกิเลสได้เป็นอย่างดีตั้งแต่ต้นจนอวสาน ไม่บกพร่องในธุดงค์ ๑๓ ข้อนี้ นั่นละพระครั้งพุทธกาลท่านดำเนินอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านถึงได้เป็นสรณะของพวกเรา เป็นสรณะได้อย่างภูมิใจด้วย ตัวเองก็ภูมิใจในสรณะของตัวเอง แล้วพวกญาติโยมเขามาเคารพนับถือนี้ก็ไม่เอนไม่เอียง ไม่เก้อไม่เขิน ไม่ตื่นเต้นไม่ตกใจ ไม่ดีใจไม่เสียใจ เพราะเจ้าของพออยู่แล้วในเจ้าของ ไม่ตื่นเต้นทุกอย่าง นั่นผู้ที่เคารพนับถือก็ได้เต็มภูมิ ๆ น่ะซี เนื้อนาบุญเอกเป็นอย่างนั้น
ไปเห็นในตำราแล้วมาเทียบกับพวกเราทุกวันนี้มันเหมือนลิง สมัยทุกวันนี้ไม่ว่าพระว่าเณรว่าฆราวาสว่าเขาว่าเรานะเป็นแบบลิงเหมือนกันไปหมด ไม่ตำหนิใครแหละตำหนิไปหมดตั้งแต่ต้นเลย ตั้งแต่ผู้พูดนี่แหละออกไปกระจายไปหมดมันพอ ๆ กัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน แล้ว สรณํ คจฺฉามิ จะได้มายังไง มีแต่กิเลสเต็มหัวใจ สรณํ คจฺฉามิ ไฟเผาหัวใจ สรณํ คจฺฉามิ อยู่งั้น ใจเป็นสรณะได้ยังไง เป็นไม่ได้ มันเผาหัวใจ ท่านผู้รักษาใจท่านรักษาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงว่ารักษายากมากนะ รักษาใจนี่
เพราะใจนี่ถูกสิ่งเลวร้ายทั้งหลายมันบีบบังคับตลอดเวลา ที่จะกำจัดปัดเป่ามันออกได้นี่ต้องเอากันอย่างหนัก ๆ หนักไปคนละแบบ ๆ เวลาพยายามตั้งเนื้อตั้งตัวนี้ก็หนักแบบหนึ่ง อันนี้งานหยาบนี่ ผาดโผนโจนทะยานมาก เรื่องความเพียรก็ผาดโผน ความเพียรทางกายก็ผาดโผน ทางใจก็ผาดโผน ทางกายก็ฟาดกันจน....เดินจงกรมกี่ชั่วโมงก็ไม่ได้สนใจหยุด นั่งภาวนากี่ชั่วโมงก็ไม่สนใจจะหยุด มีแต่ฟาดกันอยู่ตลอดเวลา นี่หนัก นอกจากนั้นยังอดนอนผ่อนอาหาร กินบ้างไม่กินบ้าง นอนบ้างไม่นอนบ้าง มีแต่เรื่องทรมานส่วนร่างกายซึ่งมันผาดโผนเป็นเครื่องเสริมราคะตัณหา ตีมันลงไป ๆ เพื่อให้ธรรมออกได้ ให้ธรรมออกได้ด้วยจิตตภาวนา
พอได้หลักเกณฑ์พอประมาณแล้ว พอได้ที่อบอุ่นแล้ว ทีนี้ก็เอาอีกแหละ หมุนติ้วเข้าอีกงานหนึ่ง งานนั้นก็ละเอียดกว่านี้ไปอีก หมุนละเอียดเข้าไปกว่ากัน ๆ เรื่อย กิเลสละเอียดเท่าไรงานของธรรมก็ยิ่งละเอียด ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดไปตาม ๆ กันหมด ถ้ากิเลสไม่ม้วนเสื่อหมดทุกตัวแล้วไม่มีเวลา จึงเห็นได้ว่ามีกิเลสเท่านั้นเป็นข้าศึกในหัวใจสัตว์โลก มีกิเลสเท่านั้น กิเลสม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่มีอะไรมากวนใจ อยู่เป็นกัปเป็นกัลป์ก็เป็นกัปเป็นกัลป์ ดังที่ว่านิพพานเที่ยง ไม่เที่ยงยังไงก็กิเลสตัวไม่เที่ยงมันพังออกหมดแล้ว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา พังหมดแล้ว ทีนี้ก็ไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปบีบบังคับก็เที่ยงตลอดเวลาละซิ สรุปความลงแล้วก็มีกิเลสเท่านั้นเป็นเครื่องก่อกวนที่สุดในโลกนี้
เราทำไม่ได้อย่างนั้นก็ให้พยายามอยู่ในความพอเหมาะพอดี อย่าให้ผาดโผนโจนทะยานเกินไปในเรื่องของกิเลสตัณหาที่จะทำลายตัวเอง ให้พยายามดัดแปลงแก้ไขกันเรื่อย ๆ ไม่งั้นไม่ได้นะ เราเป็นคนรับผิดชอบเราแท้ ๆ เป็นตายก็เราจะไปได้รับความทุกข์ความทรมานที่ไหนก็คือเรา จะได้รับความสุขความเจริญที่ไหนก็คือเรา เราเป็นตัวประกันตัวของเราอยู่แล้ว จึงต้องประกันตัวด้วยความประพฤติอันดีงาม กำจัดปัดเป่าออกไป อย่างนี้จึงสมชื่อว่าคนรักตัวสงวนตัว ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ใช่ทางนะ คือการปล่อยเนื้อปล่อยตัวกิเลสมันฉุดมันลากให้หลวมตัวออกไป ๆ ครั้นหลวมตัวไปมากเท่าไรมันก็รัดเข้า ๆ คนเราจึงได้รับความทุกข์มากเพราะการเสียตัวเนื่องจากการปล่อยตัวเป็นสำคัญ ถ้ามีการเข้มงวดกวดขันระมัดระวังรักษาอยู่คนเราไม่ทุกข์มากนะ ถ้าทำตามพระพุทธเจ้าแล้วจะไม่ทุกข์มาก แต่นี้ไม่ได้ทำตามน่ะซิ ทำตามกิเลสทั้งนั้น
เรื่องของกิเลสๆ มันเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข้าศึกศัตรูของวัฏจักรวัฏวนคือกิเลสเท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น ๆ เป็นไร คือไม่มีอะไร ๆ เข้ามาแทรก มีอันนี้อย่างเดียวเท่านั้น
ในนิทานปัญจภิกขุท่านแสดงไว้ ใครภาวนาแบบไหนก็เอามาทูลพระพุทธเจ้า ว่าการทำความเพียรของตนด้วยวิธีนี้ยากลำบากมาก องค์นี้มาก็ยากลำบากมาก คือมีพระ ๕ องค์เข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านรับสั่งถามองค์นี้รักษาอะไร รักษาตา แล้วเป็นยังไงรักษาตา แหม ยากแสนยาก รักษาอะไรสู้รักษาตาไม่ได้ มันคอยแต่จะมอง ถ้าเป็นพระก็มองอีสาว ไอ้หนุ่มไม่มองมันมองอีสาวถ้าเป็นพระนะ ถ้าเป็นแม่ชีแม่ขาวพวกภิกษุณีก็มองไอ้หนุ่ม มันคู่ปรับกันมาดั้งเดิมตัวผู้ตัวเมีย กิเลสตัวผู้ตัวเมียเหมือนไฟฟ้าตัวผู้ตัวเมียแยกกันไม่ออก แยกกันเมื่อไรก็โดดเดี่ยวเมื่อนั้น พุ่งเลย
แต่นี้แยกกันไม่ออกซิมันถึงเกิดตาย ๆ อยู่ด้วยธรรมคู่ ด้วยธรรมชาติที่เป็นคู่กัน ๆ จะรักษาตาก็ยาก ไม่มีอะไรยากยิ่งกว่ารักษาตาเลย พระพุทธเจ้าก็แสดงให้ฟัง เอ้า จำไว้องค์นี้ยากอย่างนี้นะ แล้วองค์นั้นล่ะรักษาอะไร รักษาหู แล้วเป็นยังไงยากไหม อู๊ย ยากแสนยากมันคอยแต่จะฟัง ตื่นขึ้นมาคอยฟังแล้ว อุดไว้อย่างนี้ก็ยังอยากฟังอยู่ ปิดเท่าไรยังอยากอยู่ เปิดไว้นี้ก็ยังอยากอยู่ มันไม่อิ่มไม่พอ ยากที่สุดก็คือรักษาหู แล้วองค์นี้ล่ะ รักษาจมูก ลิ้น กาย ๓ อย่างมีแต่องค์ยาก ๆ ด้วยกัน พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดง
จกฺขุนา สํวโร สาธุ สาธุ โสเตน สํวโร
ฆาเนน สํวโร สาธุ สาธุ ชิวฺหาย สํวโร
กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาจาย สํวโร
มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
สพฺพตฺถ สํวุโต ภิกฺขุ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.
การรักษาตาก็ยาก การรักษาหูก็ยาก รักษาจมูกก็ยาก รักษาลิ้นก็ยาก รักษากายก็ยาก เพราะกิเลสตัวเดียวนี่เท่านั้นพาให้ยาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีทุกคน พระอรหันต์ท่านก็มีท่านไม่ยาก เมื่อกิเลสตายแล้วตัวยุ่งยากตัวก่อกวนที่สุดคือกิเลส ก่อกวนทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ยากเพราะตัวนี้ต่างหาก พากันเอาตัวนี้ให้ได้นะ เมื่อเอาตัวนี้ได้อยู่ในเงื้อมมือแล้วตา หู จมูก ลิ้น กาย ต่อไปก็ไม่ยากแหละ พระพุทธเจ้าท่านแสดงให้ฟัง
นั่นละที่ว่าปัญจภิกขุ ท่านสำเร็จทั้ง ๕ องค์นะ ฟังธรรมพระพุทธเจ้าสำเร็จอรหัตบุคคลทั้ง ๕ องค์เลย ถ้าว่าเป็นวัวก็อยู่ปากคอกคอยจะออกอยู่แล้ว ถึงจะยากขนาดไหนก็ตามก็อยู่ปากคอกแล้ว จะอยู่แออัดดันกับเพื่อนฝูงมากขนาดไหนก็ตาม วัวอยู่ในคอกตัวมันอยู่ปากคอกถึงจะแออัดยัดเยียดจะตาย ดิ้นอยู่ก็ตามนะ พอเปิดประตูคอกปั๊บมันออกแล้ว นี่ถึงจะยากท่านรักษายากก็ตาม ด้วยอำนาจกิเลสตัณหามันบีบมันบังคับยากก็ตาม พอได้รับพระโอวาทพระพุทธเจ้าเท่ากับเปิดประตูปั๊บออกปุ๊บเลย ๆ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕ องค์ นี่ท่านแสดงไว้เป็นคติของพวกเรา
พวกเราก็มีตาไม่ใช่เหรอไม่ใช่คนตาบอด หู จมูก ลิ้น กายก็มีด้วยกัน ท่านไม่พูดถึงใจ ใจเป็นใหญ่อยู่ในนั้นแล้ว ใจเป็นใหญ่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันยากมาจากหัวใจ กิเลสอยู่ที่หัวใจยากอยู่ตรงนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จึงกลายเป็นความยุ่งไปตาม ๆ กิเลสตัวยุ่งนี้หมด ภิกษุเหล่านั้นก็สำเร็จ พวกเราสำเร็จก็สำเร็จนกหวีดไปเสียอย่างเคยเล่าให้ฟัง มีแต่พวกอรหันต์นกหวีด อยู่ ๆ เที่ยงคืนก็เป่านกหวีดว้อดขึ้น เป็นยังไง ผมสำเร็จแล้ว สำเร็จเท่านั้นก็เป่าให้หมู่เพื่อนฟัง ไม่สำเร็จก็เป่านกหวีดอีก มันบ้าสองชั้นสามชั้นนี่นะ ชื่อชัย เราได้เห็นตัวแกแล้วเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์กู่
เหตุที่จะได้พบตัวได้รู้เรื่องนี้ก็ท่านอาจารย์กู่ได้เล่าให้ฟัง คือเป็นลูกศิษย์ของท่าน ไปเที่ยวทางอำเภอภูเวียง ไปด้วยกัน ๓ องค์ แต่น่าเสียดายท่านมีฤทธิ์ทางใจอยู่นะ ท่านผาดโผนมาก ถ้าได้ครูบาอาจารย์ที่ดีองค์นี้จะใช้งานได้ดีมาก นอกจากเป็นประโยชน์แก่ตัวเองแล้วยังจะเป็นประโยชน์แก่โลกมากมาย อย่างนี้ละจิตใจเป็นตามนิสัยนะ ท่านชอบรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้แปลก ๆ ต่าง ๆ นะ พอดักเข้าไปให้ถูกทางแล้วจะพุ่ง ๆ เลยนะ นี่มันแฉลบทางโน้นแฉลบทางนี้เพราะไม่รู้จักใช้ ความรู้มีแต่ไม่รู้จักใช้ก็ไปทางเสียได้
เช่นอย่างขึ้นต้นไม้ก็องค์นี้แหละ ทีแรกนั่งภาวนา ๆ อยู่เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกลงมาปุ๊บข้างหน้านี่ ลูกเท่านี้....ใสสง่าจ้า มือเอื้อมออกไปพระอาทิตย์ถอยไปโน้น เอื้อมตาม พระอาทิตย์ถอยไป ลุกไม่รู้ตัว ทีแรกก็คงจะเอื้อมแต่ใจเฉย ๆ ยังไม่ถึงมือ ครั้นต่อมาก็มือด้วยเอื้อมด้วย พระอาทิตย์ถอยออกไปก็เอื้อมตาม พระอาทิตย์เลื่อนออกไปก็เดินตามเลย พระอาทิตย์ขึ้นต้นไม้ท่านก็ขึ้นต้นไม้ตาม กลางคืนท่านไม่รู้ตัวนะ คนดี ๆ เรานี่เดินขึ้นต้นไม้ตาม กรรมของท่านยังสืบต่ออยู่ไม่ถึงวาระตาย ถ้าสมมุติว่าพระอาทิตย์ลอยออกไปนอก ๆ นี้ท่านก็จะโดดตามพระอาทิตย์ตกตายเลยนะ แต่นี้พระอาทิตย์พอคนขึ้นไปถึงบนต้นไม้แล้ว พระอาทิตย์ลอยวูบหายเงียบไปเลย หมดหวัง พอหมดหวังจิตก็ย้อนเข้ามาหาตัว ที่ไหนได้อยู่บนต้นไม้ ร้องไห้โฮ ๆ อยู่บนต้นไม้
เวลาไปหาท่านอาจารย์กู่ท่านเล่าให้ฟัง ว่านี่ละกรรมฐานผีบ้า เราดูลักษณะท่าทาง ใช่แล้วยอมรับ เราไม่มีญาณก็ตามจิตวิทยามีนี่จะว่าไง มองดูลักษณะตรงไปตรงมามากที่สุด เดินนี้สมมุติว่าตรงต้นไม้อย่างนี้ไม่หลีกแหละ ชนเลย ถ้าไม่ทะลุก็ต้องเอาสิ่วจับขาลากออกมา นี่ละกรรมฐานผีบ้า กรรมฐานนกหวีด ขึ้นต้นไม้ก็นี่ละ เสียดายที่สึก สึกแล้วมาเยี่ยมอาจารย์เราถึงได้ดูถนัดชัดเจน อยู่ขอนแก่น เดี๋ยวนี้คงตายแล้วแหละ อายุไล่เลี่ยกันกับเรา จิตแบบนี้ถ้ามีผู้แนะ คือผู้ที่ท่านเข้าใจจริง ๆ นะ ท่านรู้จักวิธีทุกสิ่งทุกอย่างการใช้การสอยเครื่องมืออันนี้ไปใช้เป็นประโยชน์ทั้งนั้น แต่นี้เจ้าของใช้ไม่เป็น เอาไปฟันโน้นฟันนี้ไปไม่ได้เอามาฟันสิ่งที่เป็นประโยชน์ เลยสึก น่าสงสาร
เรื่องจิตใจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เวลาแสดงอานุภาพนี้แสดงอย่างผาดอย่างโผน อย่างไม่มีอะไรคาดคิดได้ในโลกอันนี้ ไม่มีอะไรเหมือนอำนาจของจิตที่แสดงฤทธาศักดานุภาพ ให้จิตผ่านพ้นจากกิเลสไปเสียก่อนแสดงตัวนี้เต็มที่ นั่นละพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น ท่านสอนพวกเราท่านนำธรรมประเภทเหล่านั้นมาสอนเรา ท่านจะแยกออกมาสอนเป็นที่พอเหมาะพอดีกับพวกเราที่จะฟังได้ ท่านจะสอนแบบตีกิเลสจริง ๆ หัวหนามอยู่ตรงไหนจี้เข้าไปตรงนั้น ฟังไม่ได้นะ ท่านจะชี้หน้าเอาจริง ๆ นี่ ชี้หน้ากิเลส ทีนี้กิเลสอยู่กับคนก็ชี้หน้าคนละซิใช่ไหม ท่านจะเทศน์แบบชี้หน้าเอา ๆ คือชี้หน้ากิเลสท่านไม่ได้ชี้หน้าเรา แต่นี้กิเลสอยู่กับเราตกลงหน้าเราก็พลอยถูกชี้ด้วย
นั่นละพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านผู้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านเห็นมันหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างกลมายาที่มันหลอกลวงโลกอะไร ๆ ท่านรู้หมดทุกอย่าง พร้อมทั้งฆ่ามันเสร็จเรียบร้อยแล้วมันอยู่ในหัวใจใดก็จี้หัวใจนั้นเข้าไปซิ จี้หน้าหัวใจนั้นเข้าไปซิ แล้วพวกเรานี้ฟังไม่ได้นะ เพราะกิเลสอยู่ที่นั่นมันไม่อยากฟัง ไม่อยากฟังสิ่งที่จะตำหนิติเตียนมัน นี่ละที่ว่าท่านเทศน์หยาบเทศน์โลนอะไร ท่านไม่ได้มีเจตนาหยาบโลน เหมือนกับเข็มบ่งตามหัวหนามต่างหาก หนามปักลงตรงไหนเข็มบ่งลงตรงนั้นก็เจ็บตรงนั้น แล้วเวลาหนามปักคนทำไมไม่เห็นว่าหยาบโลน บทเวลาเข็มบ่งหนามทำไมจะหยาบโลน ถ้าเหมาะสมกันหนามลงตรงไหนเข็มก็ลงตรงนั้น เอ้า กิเลสเข้ารู ธรรมะเข้ารู กิเลสลงเหวธรรมะลงเหวตาม ฟัดกัน ๆ นั้นละฟังไม่ได้
วันนี้พูดแบบนี้ให้ฟังสักทีหนึ่งหลวงตาบัวจวนจะตายแล้ว ไม่มีใครมาพูดแบบนี้นะจะว่าไม่บอก จะว่าคุยหรือไม่คุยก็ตาม เราก็เหมือนกับพระขึ้นต้นไม้ต้นนั้นละ ไม่มีใครถือสีถือสาแหละ พระขึ้นต้นไม้พระนกหวีดว่างั้นเถอะ เรามันอรหันต์นกหวีดพูดไปได้ทุกแบบนั่นแหละ ให้เอาไปพิจารณานะที่พูดนี้ อย่างนี้ละเรื่องความหยาบโลนของกิเลส ธรรมะพูดเต็มส่วนไม่ได้มันกระเทือนหัวกิเลส หัวกิเลสมันอยู่กับคน กิเลสก็โจมตีธรรม เพราะฉะนั้นธรรมจึงออกบ้าง รายไหนที่ควรจะออกก็ออก ๆ แต่รายไหนที่ควรจะไปได้ลากทันทีเลย ฉุดลากทิ้งตูมไปเลยไม่มีเว้นไม่มีรอเลย ใส่ตูมเลยผึง ๆ ๆ ลากออก ๆ โยนออกเลย
อันไหนที่กัดหญ้ากัดอะไรกันอยู่ก็ปล่อยตามเรื่องไปเสียก่อน กัดหญ้าอยู่คึกคะนองอยู่ก็ปล่อยตามเรื่องไปเสีย ให้มันไปเสียก่อน ไปสุดฤทธิ์แล้วอำนาจของความดีหากมีอยู่นั่นละ สร้างความดีไปเรื่อย ๆ ความดีจะค่อยตามต้อนทันกัน ๆ สักเดี๋ยวก็ลากได้ ลากได้เพราะคนนั้นมีความดีนะ ถ้าไม่มีความดีลากก็แล้วเท่านั้น ไม่มีอะไรขึ้นไม่มีอะไรกระดิกแหละ เหมือนกับเราไปเป่าคนตายฟู่ ๆ ๆ ก็ไม่ฟื้นแหละ
เอาละให้พร
|