เมื่อวานนี้ก็ไปดูเจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น ฝนสาดเข้ามาในประตูเข้าไปข้างใน มันคงไปแช่อยู่ข้างในพื้นเลยทรุด เหยียบไปบางแห่งดังกุบกับ ๆ มันไม่แน่น เขามาบอกนั่นแหละถึงได้ไปดู นี่ก็จะได้ซ่อมนั่นแล้ว แต่เรายังไม่พูดยังเฉย ๆ อยู่ เหนื่อยแล้ว ตั้งแต่ทำมานี้ซ่อมมา ๒ หนแล้วมัง แต่ละหนนี้เป็นล้าน ๆ หนที่แล้วก็ ๔ ล้าน ซ่อมไม่ใช่น้อย ๆ เอะอะต้องวิ่งมาหาเราให้เราไปดู ของหลวงปู่มั่นซ่อมดูเหมือนหมดไป ๔ ล้านซ่อมใหม่ เมื่อ ๒ ปีผ่านมาแล้วนี้หมดไป ๔ ล้านกว่า เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้นก็ ๔ ล้านกว่า เดินไปมันดังกุบกับ ๆ เป็นบางแห่ง ฝนตกสาดเข้ามาข้างใน สาดเข้ามาเปียกหมดแล้วก็ไหลอยู่นั่น เลยทำให้ดินทรุด เราเดินไปดังกุบกับ ๆ เป็นบางแห่งนะไม่ทั่วไป มีบางแห่ง
เขาก็มาบอกเรานี่แหละ มี ๓ แห่งให้เราไปเป็นประธาน พิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นก็ให้เราเป็นประธาน ท่านอาจารย์ฝั้นก็เราเป็นประธาน หลวงปู่ขาวก็เราเป็นประธาน เราเป็นประธานทั้งนั้นนะทั้งสามแห่งนี่ เราไปเป็นหัวหน้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเอะอะจึงต้องวิ่งมาหาหัวหน้านี่ ต่อไปก็อาจจะทรุดเรื่อย ๆ ปล่อยให้มากกว่านั้นเสียก่อนค่อยทำ นี่นิดหน่อย ถ้าทำก็ต้องรื้อหมด ๆ พื้นข้างในต้องรื้อหมด แล้วทำใหม่ทั้งหมดเลย ถ้าทำก็ต้องเป็นล้าน ๆ เวลานี้เดินไปก็มีบางแห่งเดินเหยียบนี้ดังกึ๊บ ๆ มีเป็นบางแห่ง เป็นบางแผ่นมีอยู่ทั่ว ๆ ไป เวลาฝนตกไม่ว่าทางทิศไหนมาเข้าประตูไหลเข้ามา ทางทิศนี้ก็ไหล ๆ ทิศตะวันออกก็ไหล มันมี ๔ ทิศนี่ น้ำไหลเข้ามาได้ทุกทิศแล้วก็มาขังอยู่นั้นซึมลงไปเลยทำให้พื้นทรุด นี่ก็ฟังกันไปเสียก่อนเพิ่งปรากฏเท่านั้น ถ้าได้ทำมันต้องได้รื้อหมด
เวลาหลวงตาบัวตายนี้คิดลำบากเหมือนกันนะเราคิดแล้ว หลวงตาบัวตายนี้จะยุ่งมากอยู่นะ คนนั้นจะทำเจดีย์คนนี้จะทำเจดีย์เป็นบ้าไปหมด เราเองเราไม่ต้องการอะไรนะ เราอาภัพวาสนา ไปไหนมาไหนดูเอาซิมีใครมาแห่เรา แห่ไม่ได้ไม่ใช่ทางของศาสดา พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชไม่ได้แห่นะ พระสาวกทั้งหลายออกบวชมาเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราไม่ได้แห่ได้แหนกัน อันนี้มันพวกแห่พวกแหน กรรมฐานแห่แหน ไปไหนแห่ ๆ ๆ เวลานี้กำลังเน่าเฟะอยู่เห็นไหมนี่ก็เพราะแห่นั่นละจะเป็นไรไป ทางศาสดาไม่มี
ดูในตำรามีนี่ เอาตำรามายันกันซิมาพูดเดา ๆ ได้หรือ พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชใครแห่ สาวกแต่ละองค์ออกบวชใครแห่ไม่มี พึ่งมากำเริบเสิบสานสมัยปัจจุบันนี้แหละ แม้แต่บวชนาคก็แห่กันยุ่งไปหมด บวชแล้วเป็นกรรมฐานเสกกันขึ้นแล้วก็แห่กันอีก ไม่ทราบว่าความดิบความดีในหัวใจมีเท่าไรไม่ทราบ คนมานับถือก็เอา เรียกร้องหาความสนใจของคนให้นับถือ เจ้าของไม่สนใจดูเจ้าของ แห่กันไปแห่กันมาอย่างนั้นมันถูกที่ไหน ไม่มีในตำรายันได้เลย เราพูดตามหลักเกณฑ์ ทำอะไรไม่มองศาสดาได้เหรอ ต้องมองศาสดาซิ
เรื่องก่อธาตุเจดีย์ก็มีอยู่ ๔ ประเภทท่านแสดงไว้ ๑) พระพุทธเจ้า สมควรก่อเจดีย์ไว้กราบไหว้สักการบูชาทั่วแดนโลกธาตุ ๒) พระปัจเจกพุทธเจ้า ควรสร้างเจดีย์ ที่ควร ๆ บอกไว้ในตำรา ๓) พระอรหันต์ ๔) พระเจ้าจักรพรรดิ มี ๔ ประเภทนี้ควรสร้างพระเจดีย์ไว้ในชุมนุมชน เช่น ทางสี่แพร่ง ในชุมนุมชนให้เขาได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจเป็นสาระสำคัญในหัวใจของโลก ไม่ใช่จะก่อสุ่มสี่สุ่มห้าทำสุ่มสี่สุ่มห้า หลวงตานี่ไม่ได้รับรองนะว่าเป็นอรหันต์ระแหน ใครอย่ามาก่อเจดีย์นะเวลาตายเอาเสื่อเหี้ยนสาดเหี้ยนพันโยนลงเหวโน่น เราเบื่อจริง ๆ นะไม่อยากยุ่ง เราสอนโลกสอนอะไรเราสอนด้วยน้ำใจ ๆ ไม่ต้องการชื่อเสียงเรืองนามอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่เอา
เพราะฉะนั้นทำอะไรเขาจะเขียนชื่อเรา เราบอกให้ลบออกเราไม่เอา เราเอาแต่ประโยชน์ให้โลกเท่านั้นพอ ทำชื่อทำเสียงติดไว้เบ้อเร่อเหมือนโลกเขาละซี ไปตีตลาดไว้หมด ทำที่ไหนให้มีชื่อมีเสียงโด่งดัง ว่าอาจารย์องค์นี้มีชื่อมีเสียง ทำอะไรดังไปหมด แม้ที่สุดทำกระต๊อบทางรถเมล์ก็ต้องทำชื่อไว้ เขียนไว้เต็มไปหมดเห็นไหม พวกบ้านี่ว่างั้นเลย อยากได้แต่ชื่อแต่เสียง เจ้าของไม่สนใจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ขอให้ออกข้างนอกโชว์ให้โลกได้เห็นพอ เจ้าของเป็นขี้หมาก็ช่างมัน เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้
สมัยทุกวันนี้กิเลสตีตลาดธรรมะไม่ได้ออกนะ ถ้าธรรมะแล้วไม่อวด ทำอะไรทำไป จะเป็นประโยชน์แก่โลกมากน้อยอย่างไร เอ้า ทำลงไป นั่นธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าโลกละประกาศลั่น จะมอบของให้แต่ละชิ้นละอันนี้ โถ หนังสือพิมพ์ต้องมานั่งเป็นแถวยืนเป็นแถวถ่ายรูป รูปเท่านี้ละ พอยื่นให้ปั๊บหน้าแหงน อยากตีหน้าผากให้ เอ้า จริง ๆ มันสมบัติอะไรเรื่องของเด็ก จะทำอะไรก็ทำลงไปซีจะให้อะไรก็ให้ไปซี หาประกาศทำไม เอาชื่อเอาเสียงอะไร ชื่อก็มีมาแล้ว นี่ละคือกิเลสตีตลาดดูเอา สมัยทุกวันนี้มีแต่อย่างนั้นนะสลดสังเวชจะตายไปละเรา
ผิดไปที่ไหนที่พูดเหล่านี้ กิริยาอาการแสดงออกมีแต่กิเลสออกทำงาน ๆ บนหัวใจสัตว์ กิริยามารยาทออกมาจากหัวใจแสดงเต็มโลกเต็มสงสารเวลานี้ จนกระทั่งอิดหนาระอาใจพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย โอ๊ย จะทำยังไง จะไม่ท้อยังไงมันเป็นอย่างนั้นทั่วแดนโลกธาตุนี่ มันหนาแน่นขนาดนั้นจะทำยังไง ทรงท้อพระทัยทั้ง ๆ ที่จะเป็นศาสดาสอนโลกอยู่แล้ว นี่ละเทศน์ตามหลักความจริงจริง ๆ ที่มีอยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้ ฟังได้เมื่อไร กิเลสฟังไม่ได้นะ พูดจริง ๆ นะ แต่ธรรมะจะบึ่ง ๆ เลย กิเลสนี่ฟังไม่ได้ เพราะมีแต่กิเลสเต็มโลกธาตุนี่จะว่าไงมันก็ฟังไม่ได้ละซิ ไปไหนก็ต้องประจบประแจงเลียแข้งเลียขากันไป เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น ความจริงไม่มีมีแต่ความจอมปลอมหลอกกันไป ทำไปอย่างนั้นละ ประกาศอย่างนั้นประกาศอย่างนี้ดูแล้วน่าหัวเราะจะตายไป เด็กเขาก็หัวเราะได้
ไปช่วยสงเคราะห์ใครก็ตามนะ ไปนี่ โห หนังสือพิมพ์ออกเกลื่อนเทียวนะ ชิ้นเท่านี้ละยื่นให้กันแล้ว ออกหนังสือพิมพ์ประกาศลั่นโลก ไม่ทราบว่าประกาศหาสมบัติอะไร ของชิ้นเท่านี้ยื่นให้เท่านั้นก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นนี่ไปทำอะไรให้ใครหนังสือพิมพ์มาไม่ได้นะ ชี้หน้าเลยเรา อย่ามาทำนะว่างี้เลย ลูกศิษย์ของเราเต็มบ้านเต็มเมือง ของเหล่านี้เป็นของลูกศิษย์เราทั้งนั้นไม่ใช่ของเรานะ เราทำหน้าที่แทนลูกศิษย์ลูกหาต่างหาก ถ้าจะออกหนังสือพิมพ์ออกให้หมดลูกศิษย์ของเราน่ะ ถ้าออกหมดไม่ได้อย่ามาออกเรื่องของเรา ว่าอย่างนี้เลย
อย่างไปแจกของหนองคาย ๓ วัน ๔ วัน แจกแต่ละครั้งแจกไม่หมด มากหรือไม่มาก รถสิบล้อ ๆ ข้าว เครื่องกระป๋องเต็มรถ ๆ วางกึ๊กลงไปแจก ๓ วันไม่หมด เพราะแจกให้ทั่วถึงกันนี่ไม่ได้แจกสุ่มสี่สุ่มห้า ก่อนที่จะแจกคัดตัวเลขมาหมด ไปสำรวจมาหมดเรียบร้อยแล้วแจกตามนั้นเลย พวกแจกก็แจก พวกมาก็เดินเป็นแถวมาเรื่อย ๆ บางที ๓ วันยังไม่หมดของมากหรือไม่มากฟังซิ พวกหนังสือพิมพ์จะมายุ่งไม่ได้นะ เราไม่ให้มายุ่ง นี่ยกเป็นเอกเทศต่างหากนะ เราไปทุกแห่งแหละ ไฟไหม้ที่ไหนไปละ ฟาดสิบล้อ ๆ กี่คันไปเลย ฟาดลงไปทุ่มกันลงไปเลย อย่างนั้นถึงเรียกว่าช่วยโลก มีมากช่วยมากมีน้อยช่วยน้อย มีกำลังช่วย
ไม่จำเป็นจะต้องประกาศลั่นโลกให้เขาหัวเราะ ประกาศหาอะไร เรื่องความดีเกิดจากการประกาศนั้นมีอะไรบ้าง เอามาบวกลบกันแล้วเป็นผลลบไปเลย มีแต่อวดตัวเฉย ๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร กัดไม่ต้องเห่า ใส่ปั๊บเลยเทียววิ่งหนีเลย อยากเห่า-เห่า ไม่อยากเห่า-เฉย นั่นอย่างนั้นซิ พูดน้อยต่อยมากเป็นอย่างนั้น
นี่อะไรมีแต่เรื่องประกาศลั่นโลกกัน ไปที่ไหนเหมือนกัน โห ของที่จะตกถึงมือแต่ละครั้งนี้วิ่งกันไปวิ่งกันมาประกาศลั่น เราไปดูเห็นด้วยตาเรานี่นะไม่ใช่ไม่เห็น อ๋อ อย่างนี้เขาสงเคราะห์กันสงเคราะห์อย่างนี้เอง มาถามอย่างนั้นมาไล่อย่างนี้ ไล่ไปไล่มาครั้นกลับมาเอามาให้แค่นี้เท่ากำปั้นนี่ อ๋อ อย่างนี้เอง มันทำเป็นนากินของพวกนี้ต่างหาก สงเคราะห์กันสงเคราะห์แบบมีนากินอยู่ อันนี้เอาไปเป็นปลีก ๆ ย่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นเครื่องประกาศนากินอยู่ลึก ๆ ต่างหากนะ น่าทุเรศจริง ๆ นะไม่ได้มีจริงใจกันอะไรเลยทำอะไร โลกเราอยู่ด้วยกันได้ยังไงเป็นอย่างนั้น ไม่ได้มีความเต็มอกเต็มใจจริงใจต่อกัน ทำก็ทำแบบอย่างนั้นแหละไม่ได้มีความจริงใจ
นี่เวลาตายมันจะเป็นนะ ถ้าเป็นอย่างทุกวันนี้ตายแล้วมันจะรุมนะ หลวงตาบัวตายแล้วเอาสาดเหี้ยนเสื่อเหี้ยนพันโยนลงเหวโน่นไม่ให้ใครไปยุ่ง แมลงวันแมลงวนมันยุ่ง อยู่ธรรมดามันก็ยุ่งอยู่แล้วนี่ นี่เราไม่ได้หวังอะไรเราพูดได้เต็มปาก เราไม่ได้หวังอะไรกับโลกอันนี้ สามแดนโลกธาตุจิตของเราไม่เคยไปข้องกับอะไรเลย ว่าให้มันเต็มยศเสียซิ มันหมดทุกสิ่งทุกอย่างมันพอเสียทุกอย่างแล้วเดี๋ยวนี้ มันพอ มีแต่หัวใจของโลกเท่านั้นที่เราดิ้นอยู่เวลานี้ ใครจะคิดก็คิดนะ
ที่ดุด่าว่ากล่าวนี้ท่านทั้งหลายเห็นว่าเป็นอย่างไร เป็นความเสียหายเหรอดุด่าว่ากล่าวเวลานี้ เราพูดด้วยความเมตตาสงสารต่างหากนะ มันจะตายเมื่อไร ลมหายใจหมดมันก็เท่านั้นเอง นี่เราห่วงแต่หัวใจโลก นอกนั้นเราไม่ห่วงอะไรในโลกอันนี้ มีแต่หัวใจโลกเท่านั้น ที่ไหนเราก็บืนไปเพราะความเมตตาสงสาร เรื่องสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยมีอยู่เต็มโลก ที่ไหนไม่อดแหละโลกอันนี้ มันอดแต่หัวใจที่จะมีต่อกันเท่านั้น น้ำใจนี่อดมาก ใครก็มีแต่จะเอา ๆ จะให้ไม่มีนั่นซิ มันอดน้ำใจ แห้งผากน้ำใจ
นี่พูดให้เต็มปาก ฟังซิท่านทั้งหลายฟัง เทศน์มานี้กี่ปีกี่เดือน ๔๐ กว่าปีแล้วนะเทศน์แบบนี้ไม่ค่อยเทศน์ ไม่ค่อยได้ยินแหละ เจ้าของไม่ค่อยเทศน์ ที่ว่ามันพอเสียทุกอย่างแล้วไม่สนใจกับอะไรเลยนี้ไม่เคยออกไม่เคยเทศน์ ออกวันนี้วันเดียว นี่ ๔๐ กว่าปีมาแล้วนี่ได้สั่งสอนโลกนะ พอก็บอกว่าพอ เอา ผิดตรงไหนให้ว่ามาเอาหลวงตาบัวไปใส่คุกใส่ตะรางซิ กิเลสตัวไหนเก่ง พูดความจริงของธรรมพูดไม่ได้มีเหรอ ตั้งแต่กิเลสมันยังแสดงได้ธรรมะมีแสดงไม่ได้มีอย่างเหรอ
เวลาหิวมันก็หิวจิต เวลามันพอจะให้ว่ายังไง พูดพอไม่ได้เหรอ หรือว่าอวดเหรอ อวดก็กิเลสนั่นแหละมาว่าเป็นอะไรไป ธรรมท่านไม่ว่ากันแหละ มีแต่กิเลสแหละมาว่า ตีปากกิเลสเย็บปากกิเลสให้ขาดสะบั้นไปโน่นเป็นไร ธรรมพูดไม่ได้กิเลสเป็นได้มีอย่างเหรอ มันก็เอารัดเอาเปรียบกันเกินไปซิ กิเลสตัวไหน ๆ มาแหยมฟาดให้มันพัง ๆ เพราะฉะนั้นจึงได้พูดเต็มปากละซิ ไม่มีอะไรที่เราจะเคียดแค้นยิ่งกว่าเคียดแค้นให้กิเลสว่าอย่างนั้นเลยนะ เราเคียดจริง ๆ
เพราะเราเคยฟัดกับกิเลสมาเสียจนกระทั่งบางทีจนจะสลบไสล เอาขนาดนั้นนะ ไม่ได้คิดว่าจะมีชีวิตมาสั่งสอนประชาชนญาติโยมนี้ เพราะเราไม่เคยนิสัยของเรา ไม่ได้เคยหวังบริษัทบริวารอะไร ที่จะแนะนำสั่งสอนคนให้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีในหัวใจ ว่าอย่างนั้นเลยนะ แต่เมื่อรุมเข้ามา ๆ จำเป็นก็ต้องได้แจกได้แจงกันอย่างนี้แหละ แล้วเมื่อแจกแจงอย่างนี้แล้วจะไม่ให้พูดยังไงความหนักเบามากน้อยเมื่อเกี่ยวข้องกันแล้ว ก็ต้องพูดละซิ
พูดถึงเรื่องกิเลสนี้หนักจริง ๆ นะในหัวใจของเรา คิดดูอัดในเทปก็ยังมี กำลังฉันจังหันอยู่นี้มีใครมาบอกว่ากองทัพกิเลสมาแล้ว ไหนเท่านั้นไสบาตรออกเลย ตูมเลยไม่มีรอ ยกครูไม่มี ถ้าว่านักมวยก็ต่อยเลย มันเคียดแค้นขนาดนั้น มันทำลายโลกขนาดไหน สามแดนโลกธาตุมันทำลายทั้งนั้นนี่นะ เปิดใจออกให้เห็นหมดซิ พอเปิดออกหมดแล้วทำไมจะไม่เห็นโทษของกิเลส นี่มันไม่เปิดน่ะซิ มีแต่กว้านเข้ามา ๆ เป็นบ้ากับกิเลส หันหน้าให้กิเลส ๆ หันหน้าเข้าศีลเข้าธรรมเมื่อไร พูดแล้วสลดสังเวชจะตายไปนี่นะ
ใครจะรู้ตัวให้รู้นะ ทางออกจากที่คุมขังของวัฏวนมีแต่ศีลแต่ธรรมความดีเท่านั้น นอกนั้นไม่มีทางออก กิเลสมัดไว้หมดไม่มีทางออก กิเลสกลัวแต่ธรรม ใครจะรีบขวนขวายประพฤติตัวให้ดีให้ทำนะ นี่ละทางออกมีเท่านี้ นอกนั้นไม่มี สามแดนโลกธาตุมีแต่ทางปิดของกิเลสทั้งนั้น ไม่มีทางออก หนาแน่นขนาดนั้น โลกมองไม่เห็นมืดมิดปิดทวารเอาขนาดนั้นนะ สิ่งใด ๆ ถ้าเป็นเรื่องชอบใจมีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น มันวางเหยื่อล่อ ๆ ไว้หมดทุกขั้นทุกภูมิให้อยาก ๆ ถ้าไม่อยากแล้วเป็นธรรม การปฏิบัติขั้นเริ่มแรกเป็นอย่างนั้น
เวลากิเลสมีอำนาจมากความอยากอะไรต้องเป็นกิเลสทั้งนั้น คำว่าเป็นธรรมนี้ไม่มี ไม่ค่อยมีและไม่มี จนกว่าว่าธรรมมีกำลังมากเข้าภายในจิตใจแล้ว ทีนี้อยากธรรมนะ ถ้าเป็นอยากเป็นธรรมละที่นี่ อันไม่อยากเป็นกิเลสละที่นี่มันพลิกกัน เปลี่ยนกันเรื่อย ๆ อันไหนอยากเป็นธรรม ๆ เรื่อย เหมือนกับแต่ก่อนอยากเป็นกิเลสทั้งนั้นเวลากิเลสหนานะ เวลาธรรมหนาแน่นขึ้นมาภายในจิตใจแล้วอยากอะไรเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่อยากเป็นกิเลส ๆ พลิกกันไปเรื่อย ๆ ทีนี้ก็เบิกออก ๆ กว้างออก ๆ เห็นกิเลสเป็นข้าศึกเรื่อยไป ๆ เดี๋ยวก็ผึงกันเลยแหลกแตกกระจายไปเลย ไม่มีอะไรมายุ่งในโลกนี้ สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเป็นข้าศึกมีกิเลสตัวเดียวนี้เท่านั้น ว่าอย่างนั้นเลย บอกว่าเท่านั้น ไม่มีอะไร
ใครจะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติก็เอา พระพุทธเจ้าเป็นองค์เล่นเมื่อไร ศาสดาองค์เอกสอนไว้ทุกสิ่งทุกอย่างว่ารู้ว่ามีว่าเป็นอะไรสอนไว้หมดจริงทุกอย่างไม่มีอะไรคลาดเคลื่อนแหละ เรายังเห็นว่าศาสดาเป็นของเล่น เห็นกิเลสเป็นของจริงอยู่เหรอ กิเลสมันหลอกมาสักเท่าไรแล้วควรเข็ดควรหลาบแล้วนี่นะ เอ้า หันหน้าไปไหว้พระ พูดไปพูดมาจะตายละพูดคนเดียว
พูดไป ๆ ทั้งขบขันทั้งอยากหัว(เราะ) ทั้งขึงขังตึงตังทั้งจะตีคนทั้งอยากหัว(เราะ) มันเป็นยังไงนะหลวงตา คึกคักขึงขังเหมือนจะกัดจะฉีก แต่ภายในใจยิ้มอยากหัวเราะ ทำไมเป็นอย่างนั้น พิจารณาซิ ก็ไม่ได้พูดด้วยความโกรธมันก็เป็นอย่างนั้นน่ะซี พูดด้วยพลังของธรรมต่างหาก ไม่ได้พูดด้วยความโกรธ ถ้าความโกรธแล้วไปละ พลังของความโกรธเป็นอย่างนั้น พลังของความโกรธเป็นกิเลส พลังของธรรมนี้เป็นธรรมล้วน ๆ เหมือนฟ้าดินถล่ม ก็เหมือนอย่างฟ้าร้องเปรี้ยง ๆ ฝนตกลงมาเย็น แน่ะเป็นอย่างนั้นนะ
ผู้ภาวนาก็เหมือนกันอยู่ตามแถวนี้แหละ ภาวนาพอเจ็บนั้นปวดนี้บ้างจะตาย หวังอยากให้มันหายนั่นมันหายนี่ ถ้าอยากตายละบอกให้มันหายนะ อยากให้มันหายอยากให้มันหมด นั่นละตัวสมุทัยรู้ไหม ความอยากให้ทุกข์หายนั่นละคืออยากให้ทุกข์เกิด อะไรหายไม่หายก็ตามขอให้รู้ความจริงนี่เท่านั้น นั่นถูกต้อง ฟาดลงไปตรงนั้น ความจริงไม่ตายความรู้ไม่ตาย นั่นละความจริงแท้อยู่ที่ใจไม่เคยตาย สิ่งเหล่านี้เกิดดับทั้งนั้น ทุกข์จะมากขนาดไหนเป็นฟืนเป็นไฟก็ดับ นี่จึงว่าให้เห็นตามความจริง ทุกข์มากอยากให้ทุกข์ดับ โอ๋ย เท่านั้นละ อยากให้ทุกข์ดับเท่าไรก็เท่ากับอยากให้ทุกข์เพิ่มนั่นเอง
นี่ทำมาพอแล้วนี่นะไม่ใช่มาคุยเฉย ๆ ไม่ได้คุยเฉย ๆ เวลามันทุกข์มันพอ ๆ กันหมด เหมือนไฟเผาหมดตัวนี่ มันเต็มที่ของมันนะ ทีนี้ไม่มีทางออกก็อยากให้ทุกข์หายละซี อยากให้ทุกข์หายมันยิ่งเพิ่มขึ้นอีก ทีนี้ก็ปรับใหม่ เอ้า หายไม่หายก็ช่างขอให้รู้ความจริงนี่เท่านั้น ตัดสินปุ๊บเข้าไป กระจายออกเลย ทีนี้ทุกข์จะดับก็ตามไม่ดับก็ตามไม่ได้กระเทือนกันนี่นะ มีอยู่ ๒ ประเภทสำหรับการประพฤติปฏิบัตินะ ประเภทหนึ่งพิจารณาลงเรื่องทุกข์มากน้อยเท่าไรโหมกันเข้า สติปัญญาจะอยู่ไม่ได้เวลานั้น ต้องหมุนเป็นธรรมจักรเลย เราจะทนเฉย ๆ ไม่ใช่ไม่ถูก
ความทุกข์มากตรงไหนแยกทุกข์ออกจากกาย แยกกายออกจากทุกข์ แยกทุกข์ออกจากจิต แยกจิตออกจากกาย แยกกายออกจากจิต มันแยกกันอย่างนั้น อะไรเป็นอะไรให้เห็นชัดเจน หมุนติ้วอยู่ตรงจุดมันเป็นทุกข์มาก ๆ เอาตรงนั้น ๆ ต้องการให้รู้ความจริงเท่านั้นไม่ต้องการให้รู้อะไร อะไรไม่จริงให้มันดับลงไป ๆ อะไรจริงอันนั้นจะยังอยู่ ซัดลงไป ๆ ทีนี้ก็รอบเข้า ๆ ก็ดับพรึบหมดเลย นี่ประการหนึ่งนะ ดับหมด ร่างกายหายเงียบพร้อมกันเลย พอทุกข์นี้ดับหมดความรู้สึกในส่วนร่างกายนี้หายเงียบ ยังเหลืออยู่ธรรมชาติอันหนึ่งที่เป็นของอัศจรรย์ สักแต่ว่ารู้ แต่ว่าไม่สักแต่ว่าธรรมดานะ คือเพียงว่ารู้กับอัศจรรย์อยู่เท่านั้น นี่อันหนึ่ง แต่แย็บออกมานอกนั้นไม่ได้นะ พูดได้เพียงเท่านั้น ละเอียดสุดขนาดนั้น นี่อันหนึ่ง
อันหนึ่งเวลารอบกันแล้วทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ไม่กระเทือนกัน จะเผาไหม้จนกระทั่งล้มตายไปนั้นก็ตามจะไม่กระเทือนจิตเลย นี่เวลาเรียนอริยสัจรู้ความจริงรู้อริยสัจรู้อย่างนี้ นั่นละท่านว่ารู้อริยสัจ รู้ความจำรู้เท่าไรเป็นทุกข์เท่านั้น รู้ด้วยความจริงรู้เท่าไรเปิดทุกข์ออก ๆ แยกทุกข์ออกจากใจ ความสำคัญมั่นหมายนั่นแหละพาให้เป็นทุกข์ อันนั้นเป็นทุกข์อันนี้เป็นทุกข์ เราเป็นทุกข์ แข้งเราเป็นทุกข์ ขาเราเป็นทุกข์ อันไหนเป็นเรา อันไหนเป็นขา ขาเขาว่ายังไง ทุกข์เขาว่ายังไง ไม่ใช่เป็นบ้าแต่เราคนเดียวไปสำคัญเขาเหรอ จึงไม่รู้ตัว มันก็ถอนเข้ามา ทุกข์ก็เป็นทุกข์ กายเป็นกาย จิตก็เป็นจิต ต่างอันต่างจริงแล้วต่างอันต่างอยู่ ถึงจะเผาไหม้กันลงจนกระทั่งตายเวลานั้นก็ไม่กระเทือนจิต นี่ประการหนึ่ง ประการหนึ่งดับพร้อมหมด
ให้มันเป็นตามหลักธรรมชาตินะไปคาดเอาไม่ได้สิ่งเหล่านี้ ต้องเป็นเองตามหลักธรรมชาติ มันจะเป็นแบบไหนก็ช่างในบุคคลคนหนึ่ง จะเป็นแบบเดียวก็ตาม สองแบบสามแบบก็ให้มันเป็นตามหลักธรรมชาติของมันเอง จะไปปรุงไปแต่งไม่ได้นะ อย่างนั้นซิมันถึงชัด พูดก็ชัดพูดอาจหาญ เราเห็นสิ่งใด นี่กระโถน คนตาดีเห็นทั้งนั้นมองมาซิ อาจหาญไหม เห็นไหม เห็นธรรมก็เห็นอย่างนี้ คนตาบอดมีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ คนไม่เห็นไม่สำคัญ สำคัญคนตาดีเห็นเท่านั้นพอ มองมาซิ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าประกาศท้าทายอยู่เหมือนกระโถนนี่ เห็นอยู่อย่างนี้ เมื่อจ่อเข้าไปถึงกันแล้วเห็นอย่างนี้จะว่าไง แล้วนำมาพูดไม่ได้ยังไงเห็นอยู่นี่รู้อยู่นี่