แบ่งกินแบ่งทาน
วันที่ 19 มีนาคม 2538
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

แบ่งกินแบ่งทาน

ชุ่มเย็นด้วยการสงเคราะห์ ด้วยการเฉลี่ยเผื่อแผ่กัน ด้วยการเสียสละ นี่เรียกว่าชุ่มเย็นภายนอก สมบัติเงินทองข้าวของมีมานั้น มีมาไว้เพื่อความจำเป็นสำหรับใช้สอยเพื่อเป็นประโยชน์ เก็บไว้ไม่เกิดประโยชน์ เก็บไว้มากเท่าไรก็เสียมากเท่านั้น นี่ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า พิจารณาดูไม่มีใครผิด เช่น เราเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารเป็นสักกี่หมื่นล้านก็ตาม เจ้าของตายไปแล้วก็ทิ้งอยู่นั้นละกี่หมื่นล้านก็ทิ้งไว้อย่างนั้น คนนั้นมาก็มาเป็นเปรตเป็นผีแทนกัน เฝ้ากองทรัพย์สมบัติอยู่นั้น ตายไปอีกก็ไปเป็นเปรตเป็นผีเฝ้าต่อกันไปเรื่อย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรในเงินจำนวนหมื่นแสนล้านนั้น เก็บไว้เพื่อให้เจ้าของเป็นเปรตเป็นผีนอนเฝ้ากองสมบัติเหล่านั้น นี่เรียกว่ามีสิ่งของใช้ไม่เป็น พลอยให้เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเอง เกิดความเสียหายมาก

ในครั้งพุทธกาลท่านแสดงไว้ว่า พวกยักษ์พวกเปรตพวกผีนี้มีจำนวนมาก เพราะสมบัติฆ่าตัวเองมีมากต่อมาก ดังที่กล่าวมาแล้วนี้แหละเรียกว่าสมบัติฆ่าตัวเอง สมบัติไม่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง แล้วสุดท้ายก็มาฆ่าตัวเอง ตายแล้วเป็นห่วงเป็นใย เป็นเปรตเป็นผีมาเฝ้าอยู่นั้น ถ้าบาปไม่มากนักก็เป็นเปรตเป็นผีมาเฝ้ากองสมบัติ ถ้าบาปมากก็จมไปเลย ๆ สมบัติก็กองอยู่นั้นแหละ คนอื่นมาก็มายึดมาครองว่าเป็นสมบัติของตัวเอง แล้วสุดท้ายก็ตายจมไปด้วยกัน ๆ สมบัติก็เป็นยาพิษฝังไว้นั้นแหละเป็นเหยื่อล่อว่า เรามีเงินเท่านั้นมีสมบัติเท่านี้ เป็นเหยื่อล่อให้ภูมิใจ ภูมิใจในความเป็นเปรตเป็นผีของตัวเอง เวลาตายแล้วก็เป็นเปรตเป็นผีเฝ้ากองสมบัติเงินทองข้าวของ นี้เรียกว่าแห้งแล้งมาก มหาเศรษฐีถ้าเก็บไว้เป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าแห้งแล้งมาก

คนทุกข์คนจนมีเท่าไรเฉลี่ยเผื่อแผ่กันไปตามเกิดตามมี เหมือนมนุษย์อยู่ด้วยกันเห็นคุณค่าแห่งการอยู่ร่วมกัน เห็นโทษแห่งการพลัดพรากจากกัน เห็นโทษแห่งการอยู่คนเดียวเปลี่ยวใจเปลี่ยวกาย เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันแล้วมีความเสียสละให้อภัยซึ่งกันและกัน นี้เรียกว่าชุ่มเย็น เราอยู่ในโลกนี้ก็ชุ่มเย็น อยู่ไหนเราก็อาศัยมนุษย์ด้วยกันนั่นแหละ อยู่นี้ก็มีเพื่อนฝูงเต็มศาลานี่ ออกจากนี้ไปแล้วยังแยกยังแยะออกไปมีเพื่อนมีฝูงไปเรื่อย ต่างบ้านต่างเรือนก็มีเพื่อนฝูงไปเรื่อย ๆ ติดสอยห้อยตามกันไปเกี่ยวพันกันไปอย่างนี้ มนุษย์แยกจากกันไม่ได้ จากคนนี้จากหมู่นี้จากคณะนี้ก็ไปสู่คนนั้นหมู่นั้นคณะนั้นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้

เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มีการเสียสละ ความเสียสละนี้เป็นน้ำใจอันลึกซึ้งมีต่อกันจนกระทั่งวันตายก็กินไม่หมด เห็นบุญเห็นคุณซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น นี่แหละอยู่แถวจังหวัดหนองคายนี่ เขาจ้างคนไปฆ่ากัน นี่เราพูดถึงเรื่องบุญเรื่องคุณให้ฟัง พอรับปากรับคำกันเรียบร้อยแล้วก็ไปดูลาดเลาไปดูตัวคนที่จะฆ่านั้น เป็นคนชนิดใดหน้าตายังไงไปดู พอเดินเข้าไปฉากไปฉากมาไปดูว่าคนนี้แหละ พอมองเห็นเท่านี้ โอ๊ย นี่พ่อของผมขึ้นเลยทีเดียว เหมือนพ่อของผมคนที่สอง นี้ละตัวบุญมหาคุณแก่ผม ผมไม่ตายมีชีวิตชีวามาจนกระทั่งป่านนี้เพราะผู้นี้แหละ พ่อคนนี้เป็นผู้ชุบเลี้ยงผม ถ้าจะให้ฆ่าคนนี้แล้วก็ต้องฆ่าพ่อผมด้วยฆ่าผมด้วย ผมฆ่าไม่ลง เดินถอยหลังกรูดไปเลย

นั่นละอำนาจแห่งคุณ ฟังเอาซิ ฆ่าไม่ลงมิหนำซ้ำยังย้อนกลับมากระซิบอีก บอกว่าเวลานี้เขาจ้างคนมาฆ่าคุณพ่อแล้วนะ ให้คุณพ่อรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี แต่ไม่บอกว่าเขาจ้างผมมาฆ่า ไม่ว่า บอกว่าเขาจ้างคนมาฆ่าแล้วให้รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี นั่นยังกลับมีคุณสองซ้ำสามซ้ำต่อกัน นี่ละอำนาจแห่งคุณมีการเสียสละมีแก่ใจ มีให้อภัยซึ่งกันและกันมีคุณค่าอย่างนี้ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้

สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่ ตามคำภาษาโบราณเราท่านว่าแบ่งกินแบ่งทาน คำว่าทานไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ทานให้พระให้เจ้าก็ได้ ทานให้ผู้ให้คนให้สัตว์เดรัจฉาน อะไรที่มีความจำเป็นเราเสียสละเฉลี่ยเผื่อแผ่ไปตามเกิดตามมีนั้นเรียกว่าทาน นี่ก็เป็นสมบัติอันดีงามความชุ่มเย็นแก่จิตใจเราประเภทหนึ่ง ทีนี้ภายในใจของเราก็เป็นผู้รักศีลรักธรรม เป็นผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้ดี

วันหนึ่งให้ได้ทานไม่มากก็น้อย ระลึกถึงทานก่อน เกิดขึ้นมานี้เราเกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งการให้ทาน บุญกุศลเกิดขึ้นจากการให้ทาน การรักษาคุณงามความดีต่าง ๆ แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อตื่นตามาเช้าให้ระลึกถึงทานก่อนอย่างอื่น ต่อไปก็คิดถึงหน้าที่การงานในกาลต่อไป เรื่องทานเรื่องการกุศลเรื่องคุณงามความดีนี้ให้ระลึกไว้ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาทีแรก ไหว้พระสวดมนต์เรียบร้อยก่อนจะไปทำหน้าที่การงานอะไรค่อยไป กลับมาตอนค่ำตอนเย็นหรือไปกลางวี่กลางวันก็ให้ระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไว้ภายในจิตใจอย่าปล่อยอย่าวาง นี่ชื่อว่าผู้สร้างความดี

อยู่ที่ไหนเราก็สร้างความดีได้ เหมือนการสร้างความชั่ว อยู่ที่ไหนสร้างได้ทั้งนั้น อยู่ในบ้านในเรือน อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนสร้างความชั่วได้ คิดทางใจนอนอยู่ก็คิดได้ คิดอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรแก่ผู้หนึ่งผู้ใดแก่ใครก็ตามเรียกว่าความชั่ว นอนอยู่ก็คิดได้ เพราะฉะนั้นเวลาเรานอนเราก็ระลึกถึงพุทโธ นั่งอยู่ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ระลึกถึงคุณงามความดี ระลึกถึงอรรถถึงธรรมอยู่เสมอมันจึงสม่ำเสมอ ไม่แพ้ความชั่วทั้งหลายเสียโดยถ่ายเดียว นี่เรียกว่าการสร้างความดีภายในจิตใจ

วันหนึ่ง ๆ ถ้าวัตถุสิ่งของเงินทองเราพอมีพอให้ทาน เราอย่าเสียดาย ให้แบ่งกินไว้ด้วยให้แบ่งทานด้วยในวันหนึ่ง ๆ นี่ชื่อว่าสม่ำเสมอ ภายในใจของเราก็มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง คือ บุญกุศลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความชุ่มเย็น อยู่ในโลกนี้ก็ชุ่มเย็น คนที่มีการเสียสละไปที่ไหนมีเพื่อนมีฝูงมาก ถึงจะเป็นคนทุกข์คนจนก็ตามใคร ๆ ก็เมตตาสงสาร เพราะความเสียสละ เพราะความให้อภัยไม่ถือโกรธ ถือสีถือสากันง่าย ๆ ไปที่ไหนคนติด

ถ้าคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เห็นแก่ใจเจ้าของอย่างเดียวนั้นไปที่ไหนคนไม่ติด เขาเบื่อเขาหน่ายจะตายไปแล้ว พูดไม่เกรงใจคน คำว่าไม่เกรงใจคนคือเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เกรงใจคนให้เป็นไปตามธรรมนั้นเป็นประเภทหนึ่ง ไม่เกรงใจคนแต่เอาตามใจตัวเองนี้เป็นประเภทหนึ่ง คนที่เอาตามใจตัวเองเอาตามอารมณ์ของตัวเองนี้ไปไหนไม่ค่อยมีเพื่อนมีฝูง ไปที่ไหนแตกฮือ ๆ ไม่มีใครใกล้ชิดติดพันได้แหละคนประเภทนั้น ให้เราระมัดระวังรักษากิริยาอาการแห่งการแสดงออกอย่างนี้ให้ดี

ใจเขาก็มีใจเราก็มี เราผิดใจได้เขาก็ผิดใจได้ เราสะเทือนใจได้เขาก็สะเทือนใจได้ เพราะฉะนั้นการพูดจาต่อกันจึงควรใช้กิริยามารยาทอันนิ่มนวล อันถูกต้องด้วยเหตุด้วยผลต่อกันแล้วไม่กระทบกระเทือน ต่างคนต่างระมัดระวังรักษา มีเหตุผลเป็นหลักการแห่งการพูดการจาการกระทำ การสมานซึ่งกันและกัน คบค้าสมาคมซึ่งกันและกันมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์พูดนี้เป็นความชุ่มเย็น ไปที่ไหนมีเพื่อนมีฝูงมาก และเป็นคนรักศีลรักธรรมอยู่ตลอดเวลา ไปไหนให้ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ อย่างนี้ชื่อว่าสร้างความชุ่มเย็นแก่ใจตัวเอง

ใจมีความชุ่มเย็นอยู่ในโลกนี้ก็ชุ่มเย็น ตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ คำว่าสวรรค์นั้นไม่ได้เหมือนพื้นเพของมนุษย์เรา ร่างกายของพวกเทวบุตรเทวดาอยู่แดนสวรรค์ก็ไม่เหมือนร่างกายของเรานี้ ร่างกายเป็นทิพย์ จิตใจก็เป็นทิพย์ไปตาม ๆ กัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์ เช่น เราให้ทานมากน้อยในมนุษย์นี้ วัตถุสิ่งของเงินทองที่เราให้ทานนี้เป็นส่วนหยาบ เป็นการแสดงออกซึ่งสมบัติทิพย์ จะกลายเป็นสมบัติทิพย์อันละเอียดลอออยู่บนสวรรค์คอยเจ้าของอยู่โน้นแหละ เจ้าของยังไม่ไปก็คอยอยู่นั้น สมบัติทั้งหลายคอยเจ้าของ พอตายแล้วก็เข้าเป็นผู้ครอบครองทันที ๆ เลย นี่เรียกว่าเป็นผู้ชุ่มเย็น อยู่ในโลกนี้ก็ชุ่มเย็น ตายไปแล้วก็ไปเสวยความสุขความเจริญสมบัติของตัวเองที่สร้างไว้แล้วตั้งแต่โลกนี้บนสวรรค์ ไปไหนก็ชุ่มเย็น ๆ จากนั้นก็เลื่อนชั้นเป็นลำดับ ๆ ขึ้นไป เมื่อบุญกุศลมีมากมีมากเข้าไปโดยลำดับก็หนุนเราให้มีความสุขความเจริญชุ่มเย็นไปเรื่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย อายุก็ยืนนานไปเรื่อย

คำว่าอายุนี้มนุษย์เราอายุร้อยปีนี้ เป็นวันหนึ่งหรือคืนหนึ่งในสวรรค์เท่านั้น สวรรค์ก็เป็นเพียงชั้นจาตุมฯ ชั้นจาตุมนี้ร้อยวันของมนุษย์เรานี้จะเป็นวันหนึ่งของสวรรค์ชั้นจาตุม แล้วสูงขึ้นไปกว่านั้นยิ่งยืดยาวขึ้นไปอีก ตั้งสองร้อยสามร้อยปีจึงจะเป็นวันหนึ่งของสวรรค์ จนกระทั่งถึงพรหมโลกต้องเป็นหมื่น ๆ ปีถึงจะเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งในพรหมโลก นี่อายุยืนนานต่างกันอย่างนั้น ผิดกันมาก ร่างกายก็เหมือนกันแดนสวรรค์นี้เทวดามีรูปร่างชนิดนี้ สวรรค์ชั้นต่อไปโดยลำดับลำดาก็มีกายทิพย์ละเอียดลงไปโดยลำดับ มีกายทิพย์ละเอียดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหมมีความละเอียดลออ ชีวิตจิตใจก็ยืนนานไปโดยลำดับ ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดลออไปตามความดีของตนที่สร้างเอาไว้ จากนั้นก็พุ่งเข้าสู่นิพพาน

คำว่านิพพานนั้นไม่มีอะไรคาดได้แล้ว หมดสิ่งที่จะคาดหมาย ในแดนสมมุตินี้คาดไม่ถึง นี่อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลสร้างเราให้เป็นผู้ชุ่มเย็นในโลกนี้ กับเพื่อนกับฝูงมนุษย์มนาด้วยกันก็มีความชุ่มเย็น ตายไปแล้วก็ชุ่มเย็น บนสวรรค์ พรหมโลก ตลอดถึงนิพพาน เพราะอำนาจแห่งการสร้างความดี จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายรักษาความดีไว้ให้ดี ระวังความชั่วช้าลามกมันมาในแง่ต่างๆ มาทุกเวล่ำเวลา ทางตาก็มา ทางหูก็มา ทางจมูกทางลิ้นทางกาย มันมาได้หมดความชั่ว เพราะฉะนั้นความดีของเราจึงระมัดระวังรอบด้าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมควรดูค่อยดู สมควรฟังค่อยฟัง สมควรจับจ่ายใช้สอย สมควรกินค่อยกิน ไม่สมควรอย่ากินสุ่มสี่สุ่มห้าเสียตัวเองไม่ใช่เสียใครแหละ เป็นนิสัย เป็นคนชินชาต่อนิสัยอันไม่ดีแล้วก็เลยกลายเป็นคนใจรั่ว นอกจากใจรั่วแล้วก็ใจแตก มนุษย์มนาเขาเรียกว่าแหวกแนว ใจแตกเป็นมนุษย์แหวกแนว ให้ระมัดระวังให้ดี

การรักษาตัวนั้นแหละ ธรรมะพระพุทธเจ้าท่านยกย่องสรรเสริญยิ่งนัก รักษาสมบัติเงินทองข้าวของอันใดก็ตาม สู้รักษาตัวไม่ได้ ถ้ารักษาตัวได้ดีในคุณธรรมทั้งหลายแล้ว สมบัติเงินทองข้าวของก็เป็นอันว่าเรารักษาด้วยความชอบธรรมไปในทำนองเดียวกัน เพราะฉะนั้นการรักษาตัวจึงเป็นอันดับหนึ่งแห่งการรักษาทั้งหลาย เรารักษาตัวจิตใจของเรานี้แหละเป็นสำคัญมาก รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจของเราด้วยดีแล้ว สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อย เราก็รู้จักประมาณในการเก็บรักษาในการใช้จ่ายประการต่าง ๆ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่เรา เพราะฉะนั้นการรักษาเราจึงสำคัญยิ่งกว่าการรักษาสิ่งทั้งหลาย ให้พากันพยายามรักษาตัวอย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว

การปล่อยตัวไม่ดีเลย เวลานี้กิเลสตัณหากำลังเป็นมรสุมคลื่นใหญ่ คลื่นใหญ่เท่ามหาสมุทรทะเลนี่แหละ มันทับมันถมพวกเราทั้งหลาย ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องต้านทานจะเสียคนได้อย่างง่ายดาย ง่ายดายมากทีเดียว คำว่าเจริญมันมีแต่ฟืนแต่ไฟเจริญ น้ำไม่ได้เจริญ น้ำดับไฟไม่เจริญ มีแต่ฟืนแต่ไฟแสดงขึ้นมาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่อยากทั้งหมด อยากแล้วก็มารบกวนเจ้าของให้ต้องวิ่งเต้นขวนขวาย วิ่งเต้นขวนขวายมาแล้วก็มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองไม่ใช่เป็นของดีเลย จึงขอให้ระมัดระวังด้วยกัน

ลูกเล็กเด็กแดงก็พยายามอบรมสั่งสอน เพราะวันหนึ่ง ๆ พ่อแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน ไม่อยู่ตอนเช้าก็อยู่ตอนเย็น กลางวี่กลางวันไปทำงานทำการให้พี่เลี้ยงหรือคนดูแลรักษาแทน แต่เวลาขากลับมาก็ให้ความอบอุ่นแก่ลูกแก่เต้าของตนเอง แนะนำสั่งสอนอบรมในทางที่ถูกที่ดี เวลาไปวัดไปวาก็เอาไปด้วย ให้พาใส่บาตรทำบุญจังหัน แล้วเด็กนี้ก็จะได้ตัวอย่างอันดีจากพ่อจากแม่ไปแล้วกลายเป็นเด็กดี ดีด้วยศีลด้วยธรรมนี้ดีเลิศนะ ดีด้วยการเสกสรรปั้นยอนั้นไม่ค่อยดีแหละ บางทีเป็นเปรตเป็นผีก็ยอกันขึ้นเป็นเหมือนเทวบุตรเทวดาใช้ไม่ได้เลย ให้ระมัดระวังอันนี้ไม่ดี

เจ้าของทำตัวของเราให้ดีใครจะยอก็ตามไม่ยอก็ตาม อยู่ไหนดีไปหมด ให้ทำตัวของเราให้ดีอย่างนี้ วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติตัวเองเป็นประจำวันนะ การรักษาตัวเป็นสมบัติอันล้นค่า ให้รักษาเป็นประจำวัน ๆ ไป ตา หู จมูก ลิ้น กายจะสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นความเสียหายอยู่เรื่อยไป การระมัดระวังด้วยสติปัญญาของเรา เรียกว่าสติธรรม ปัญญาธรรม จึงควรที่จะระมัดระวังรักษาตลอดรอบตัวว่างั้น คือเรารักษาอยู่รอบตัวของเราแล้ว เราก็ปลอดภัยไร้ความทุกข์ทั้งหลายมีแต่ความสุขความเจริญ ต่อไปก็ชิน มีความเคยชินต่อการระวังรักษา บุคคลนั้นก็มีเหตุมีผลมีหลักใจ คนมีหลักใจไปไหนไม่เสียง่ายแหละ คนใจลอยคนใจรั่วนั่นเสียง่ายที่สุด มีอะไร ๆ มาเสียหมด คนนั้นพาให้เสีย เราเป็นคนดีมีอะไรมาก็ดีหมด เพราะตัวเราพาให้ดี พากันจำให้ดี วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก