กิเลสกดถ่วงจิตใจ
วันที่ 10 กรกฎาคม. 2538
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

กิเลสกดถ่วงจิตใจ

 

        ทำจิตใจให้สูงขึ้นนะ เวลานี้จิตใจของพวกเรากำลังต่ำมากเชียว  ให้พยายามพยุงจิตใจให้สูงขึ้นด้วยธรรม กิเลสมันกดลงๆ ถ่วงลงกดลงถ่วงลง ต่างคนต่างถูกกดถูกถ่วง ต่างคนต่างได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนตามๆ กันไปหมด กิเลสเข้าตรงไหนเป็นไฟตรงนั้นๆ ธรรมเข้าตรงไหนเป็นน้ำเย็นไปหมด  นี่จิตใจของพวกเรากำลังต่ำมากเวลานี้ถูกกิเลสมันกดมันถ่วง เราไม่รู้นะว่าเป็นกิเลส ไม่รู้ว่ามันกดมันถ่วง มีแต่ความพอใจๆ พอใจกับตัวนั้นแหละ ตัวที่เราไม่รู้มันนั่น  ดึงไปหมด ที่ไหนก็เหมือนกัน  มันกำลังเรืองอำนาจเดี๋ยวนี้

        เราท้อใจนะเราพูดจริง ๆ จวนจะตายเท่าไรให้พูดสักหน่อยว่างั้นเถอะ บางทีนะมันคันฟันว่างั้นก็มี เห็นอยู่ตำตาตำใจอยู่ตลอดเวลากระเทือนอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ จะไม่ให้นำมาพูดสักนิดหนึ่งได้เหรอ ต้องนำมาพูดไม่มากก็ต้องน้อยแหละมันโมโหนี่ กิเลสลากคอคนไปจมในโคลนในนรกอเวจี ดึงจมลง ๆ ให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตานี่จะทนได้หรือมนุษย์เราน่ะ พระพุทธเจ้าท่านเห็นอย่างนั้นแหละ ที่ท่านนำธรรมมาสอนโลก ท่านไม่ได้มาพูดเล่น ๆ พวกเรานี่ทำเล่น ๆ  กับธรรมพระพุทธเจ้า  ถ้าทำกับกิเลสเทวทัตละ โอ๋ย ทำจริงทำจังจริงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถึงได้จมซี

        จวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงโลก  คือไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยจะว่าไง ว่าขนาดนี้แหละ  ผู้ท่านรู้ท่านรู้จริง ๆ ท่านไม่ได้รู้เล่น ๆ นี่นะ รู้ทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ พระพุทธเจ้าพระสาวกท่าน ท่านรู้จริง ๆ นี่ แต่พวกเรามันหลงจริง ๆ มันมืดจริง ๆ เข้ากันไม่ได้นะ สอนเท่าไรดึงเท่าไรก็อย่างนั้นไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ตายแล้วก็ไปจมด้วยกัน ๆ หมด ความจมลงนี้มันไม่เห็น ความอยากละเป็นทางเดินแห่งความจม อยากอะไรมีแต่เรื่องของกิเลสดึงลง ๆ ไม่ใช่อยากในธรรมนะ ถ้าอยากในฝ่ายเป็นธรรมนี้ อันนี้ดึงขึ้น

        ทำให้มีความอยากในธรรมมากขึ้นซิ  อยากในอรรถในธรรมมากขึ้น ๆ แล้วจะได้ฉุดเจ้าของลากเจ้าของขึ้น  ไม่มีอะไรดึงฉุดลากขึ้นนะมีแต่ธรรมเท่านั้นฉุดลากเราขึ้น  นอกนั้นไม่มี นอกนั้นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดครอบโลกธาตุ มีธรรมเท่านั้นจะดึงคนออกจากทุกข์ได้ มีธรรมเท่านั้นดึงออก ๆ นอกนั้นมีแต่ดึงลง ๆ เราถึงเป็นห่วงมากละซี ไม่ว่าชาวบ้านชาววัดเหมือน ๆ กันเดี๋ยวนี้  กิเลสไม่ได้บวชนี่นะ  มันไม่ได้กลัวหัวโล้นนี่  มันกลัวแต่ธรรมเท่านั้นกิเลส  ถ้ามีธรรมฆราวาสมีมันก็กลัว  ถ้าไม่มีธรรมแล้วไม่กลัวทั้งหมด  หัวโล้น ๆ ก็โล้นเถอะ มีสักกี่หัวโล้นเอาแหลกหมดแหละ

        จิตใจต่ำมาก ต่ำมากจริง ๆ ฟังให้ดีนะไม่ได้ต่ำธรรมดานะ เวลานี้ต่ำมากจริง ๆ แล้วยังเพลินในความต่ำทรามของจิตใจตัวเองอีกด้วยนะไม่รู้ตัวอีก  นี่ซิมันซ้อน ๆ อยู่กิเลส มันแทรกมันซ้อนอยู่ในนั้นเราไม่รู้  ไม่ทราบว่ากี่ชั้น ไม่ทันมัน ๆ ไม่รู้ตัวเป็นกิเลสเราเป็นกิเลส ความคิดเป็นกิเลส กิริยาอาการแสดงออกเป็นกิเลส ไม่รู้เลยนี่จะทำยังไง  นักภาวนาท่านเอาสิ่งเหล่านี้มาวิจัย  ท่านจ่อเข้าไปตรงกลางจุดศูนย์กลางของเหตุทั้งหลายคือใจ  มหาเหตุอยู่ตรงนั้น  จ่อเข้าไปตรงนั้นมันจะแตกกระจายออกจากนั้น  มันจะแตกแขนงไปไหน ๆ จับต้นมันนี้ตามมัน  เหมือนกับเถาวัลย์เลื้อยไปไหนตามไปรู้หมด  ต้นมันอยู่ตรงนี้ตามแต่ต้นมันเลื้อยไปตรงไหน ๆ ตามเห็นหมด เพราะจิตเป็นผู้ทำมานี่  มันหยั่งอยู่ในรากของจิตนี่

        นรกถ้าเป็นเหมือนเรือนจำขังมนุษย์นี้แล้วพวกเราไม่ได้อยู่แหละ  ไปสร้างนรก  นรกมันคับมันแคบมันตีบมันตันมันไม่พอคนตกนรก ต้องได้ไปช่วยกันสร้างนรกเหมือนกับเขาไปช่วยปลูกสร้างตึกให้พวกนักโทษนั่นแหละ นักโทษไม่มีที่อยู่มันแน่น นั่นเห็นไหมจิตใจคนต่ำทรามเข้าไปกองอยู่ในนั้น  ก็รู้อยู่สถานที่นั่นเป็นกองทุกข์เป็นที่ทรมานไม่มีใครเคารพนับถือขาดความนับถือ สังคมไม่ยอมรับ ขนาดนั้นมันยังบืนเข้าไปเห็นไหมมันต่ำขนาดไหนจิต  ไม่ต่ำขนาดนั้นไปได้เหรอ เอ้าพิจารณาให้ดีซิ  มันต่ำขนาดนั้นละขนาดเห็นชั่วเป็นดีไปหมด

        นี่นรกไม่ได้สร้าง  อัดแน่นขนาดไหนก็เป็นกรรมของสัตว์ ๆ แน่นอยู่นั้นก็กรรมของสัตว์อยู่นั้น  สด ๆ ร้อน ๆ นะนรกสวรรค์  เหมือนกับกิเลสทั้งหลายสด ๆ ร้อน ๆ ที่เราเห็นอยู่นี่ เหมือนกันนี่  สิ่งที่เป็นทิพย์สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา สิ่งที่มองเห็นด้วยใจก็เห็นกันอย่างนี้ ๆ  อย่างที่เรามองเห็นด้วยตานี่ สด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกันนี้ จะปฏิเสธพระพุทธเจ้าได้เหรอ พระองค์เห็นอย่างนั้น  นำสิ่งเหล่านี้สิ่งที่เห็นมาสอนโลก  จึงเรียกว่าโลกวิทู ๆ รู้แจ้งโลก

        โห จิตใจต่ำนี้มันทำให้เป็นความทุกข์ความทรมานลำบากลำบนมากนะ  ไม่ใช่เป็นของเล่นนะ  อำนาจของกิเลสมันดึงลง ๆ ให้คล้อยตามมันเสียด้วยนะ ไม่มีละที่จะฝืนมัน  เห็นว่ามันเป็นโทษนี้ฝืนดึงตัวออกจากมันนี้ยากนักนะ จิตธรรมดาสามัญเรานี่  มีแต่จะคล้อยตามมันทั้งนั้น ๆ  แม้ผู้ปฏิบัติก็คล้อยตามมันจนได้  ถ้าไม่คล้อยตามมันแล้วตั้งสติอยู่กึ๊ก ๆ นี่ตั้งสติไม่อยู่  ผิด ๆ พลาด ๆ ตกเหวตกบ่อ  เรื่องสติสตังปัญญาไม่มีตกเหวตกบ่อไปหมด  ถูกกิเลสพังเอา ๆ แหลกไปหมด  นั่นละเก่งไหมกิเลสให้คล้อยตามมันได้  โน่นให้ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาถึงได้รู้หมดสิ่งเหล่านี้น่ะ กิเลสออกแง่ไหนมุมใด หลอกสัตว์โลกแง่ไหนมุมใดนี้เห็นหมดเลย  นั่นละท่านถึงฆ่าได้ซิ

        ลงขั้นมหาสติมหาปัญญาเอาไว้ไม่อยู่  กิเลสตัวไหนพังหมด พังเลย ๆ เป็นไฟบรรลัยกัลป์  ธรรมะเป็นไฟบรรลัยกัลป์เผากิเลสแหลกหมด  นั่นละท่านเอาอย่างนั้นมาพูดเทียบเคียงกับพวกเราที่มืด ๆ บอด ๆ กับท่านสว่างกระจ่างแจ้ง เห็นหมดกลมายาของกิเลส ต่างกันอย่างนี้  ถึงขั้นนั่นแล้วไม่อยู่  ไม่มีใครจะกล้าอยู่กับกิเลสได้เลยถึงขั้นมองเห็นมันเป็นยักษ์เป็นผีเป็นโจรเป็นมารเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าเป็นภัยแล้วอยู่ในมันหมดเลย  เห็นขนาดนั้นแล้วจะทนอยู่ได้หรือมนุษย์เรา  ต้องดีดสุดขีด ตายก็ตาย ขาหักก็หัก ขาที่ไม่หักก็จะบืนไป  มันหักหมดทั้งขาหมดทั้งแขนก็จะกลิ้งไปนี่จะว่าไง  อยู่ไม่ได้แล้วอยู่กับกิเลส  นั่นละพระพุทธเจ้าท่านเห็นถึงขนาดนั้นละจึงได้นำมาสั่งสอนสัตว์โลก  ตั้งแต่ขั้นมหาสติมหาปัญญาไปถึงขั้นสังหารกิเลสแหลกไม่มีเหลือ ขั้นอรหัตบุคคลขั้นนี้กิเลสมาแหยมไม่ได้เลยพังหมด

        ใจดวงเดียวนี่แหละ ใจดวงมืด ๆ ฝึกฝนอบรมเข้าไป ๆ มันเกรียงไกร  เหมือนกับพวกนักมวยเขาฝึก  ทีแรกก็ต่อยกระสอบเตะต้นกล้วยเตะกระสอบทรายไปเสียก่อน  พอขึ้นไปก็เตะคนละซีบนเวที  ต่อไปก็เป็นแชมเปี้ยนได้เพราะความฝึก  นี่ก็เหมือนกันเราฝึกเหมือนกัน  กิเลสมันเกรียงไกรฝึกไม่ฝึกมันเกรียงไกรพอแล้วชำนิชำนาญพอแล้วมันครองโลกมานาน  จึงไม่จำเป็นต้องฝึกเรื่องของกิเลสนี่  ฝึกแต่ธรรมที่จะตามต้อนกิเลสเท่านั้นเอง  นอกนั้นไม่ฝึกกิเลสคล่องตัวหมด  ลูกเต้าหลานเหลนปู่ย่าตายายของกิเลสมีแต่พวกคล่องตัวทั้งนั้น หลอกสัตว์โลกเก่งมาก  โลกนี่จมเพราะมันมีมากต่อมาก  อู๊ย  ทุเรศจริง ๆ นะไม่ใช่ธรรมดาเราสลดสังเวช

        ธรรมะที่จะนำมาเทศน์นี้ถ้าจะเทศน์แบบตามกิเลสต้อนกิเลสฟาดกิเลสให้แหลกเหลวนี่ฟังไม่ได้ว่าอย่างนั้นเลย คิดดูซิตั้งแต่เทศน์เป็นบางวันอย่างนี้อย่างเทศน์เมื่อวานหรือวันไหน เทศน์เป็นบางวัน ๆ อย่างนี้เพียงเท่านั้นก็ว่าหยาบโลน  เห็นไหมกิเลสมันเก่งขนาดไหน  มาโจมตีธรรมะว่าหยาบโลน  ธรรมะจะตีหัวมันตีไม่ได้มันบอกว่าหยาบโลน  เราก็พร้อมมันด้วยนะว่าหยาบโลนว่าดุว่าด่า  นั่นเห็นไหมกลมายาของกิเลสมันเก่งไหมทันมันไหมล่ะ

นี่ธรรมะประเภทนี้ธรรมะประเภทสังหารกิเลสนะ แต่กิเลสมันต้อน(ต้อน = กันหรือไล่ให้ไปตามต้องการ)จะว่ายังไง  แล้วกิเลสอยู่กับหัวใจคน คนก็ต้อนคนก็คัดก็ค้านคนก็ไม่พอใจฟัง เป็นอย่างนั้นนะเห็นไหมเก่งไหมกิเลส  ถ้าเอาธรรมะประเภทสังหารกิเลสมาเทศน์นี้แหลกหมด  กิเลสอยู่ในหัวใจของทุกคนฟังไม่ได้ทุกคนจะว่าไง  เพราะกิเลสไม่ให้ฟัง มันจะตีหัวกิเลสนี่ แต่ผู้ต้องการความสัตย์ความจริงแล้วถึงไหนถึงกันเลย  ยิ่งเด็ดยิ่งเผ็ดยิ่งร้อนเท่าไรยิ่งชอบยิ่งฟัง  ฆ่ากิเลสเห็นประจักษ์ต่อหน้าต่อตา

        สลดสังเวชจริง ๆ นะมองไปไหน ๆ หูมีตามีทำไมจะไม่ให้เห็นให้ดู  นั่งในรถไปนี่เหมือนกระสอบ นอนอยู่ในรถก็ตามหัวใจนี่ไม่ใช่กระสอบนี่ดูไปหมดว่าไง หัวใจไม่ได้นอนนี่นะ หัวใจมีอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนเมื่อไร ไม่มี ถ้าสว่างจ้าก็จ้าอยู่อย่างนั้นตลอด ส่องตรงไหนส่องเห็นหมด นั่นละพระพุทธเจ้าพระสาวกท่านที่มาเป็นสรณะของพวกเรา เอาธรรมมาสอนพวกเราท่านเป็นอย่างนั้น  ไม่ได้เหมือนพวกเรานะ  พวกเรามีแต่พวกกิเลสกล่อม ๆ แล้วคอยต้านทานธรรมคัดค้านธรรมเท่านั้นเอง ไปทางกิเลสด้วย กิเลสพาตำหนิธรรมก็ตำหนิ

        น่าทุเรศจริง ๆ นี่นะจะทนกันไปยังไง ตั้งแต่ทนมานี้ถ้าเราระลึกชาติเราได้นี้ โอ๊ย  สลบไปเลยนะ  ถ้าระลึกชาติเราเกิดมาเป็นอะไร ๆ บ้าง  เราคิดย้อนหลังเหมือนเถาวัลย์ยาวเหยียด  เกิดมาตั้งแต่โน้น ๆ จนกระทั่งถึงนี้ จับเอาต้นเถาวัลย์นี้ดึงไปดูไปตามเรื่องความเกิดมาของตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง  ผ่านสุขผ่านทุกข์ผ่านมหันตทุกข์มายังไงมากน้อยเพียงไรดูอีก  แล้วต่อไปนี้มันก็จะไปอย่างนี้อีกแล้วเราจะทนอยู่ได้เหรอ  เราเป็นผู้จะรับเคราะห์รับกรรมทั้งอดีตที่ผ่านมาแล้ว  ทั้งอนาคตที่จะมาอยู่ข้างหน้านี้จะมาแบบเดียวกันนี้  เราจะทนอยู่ได้หรือ  ก็ต้องดีดผึงเลย  ทนไม่ได้  ถ้าจะทนกับกิเลสให้ตายเสียดีกว่ามีเท่านั้น  ต้องตายเท่านั้น  ไม่ตายอยู่ไม่ได้อยู่กับกิเลส  นั่นละผู้ที่ความเพียรกล้าท่านเป็นอย่างนั้นละ

        ความเพียรกล้าคือยังไงก็ถอยไม่ได้แล้ว  จะอยู่กับกิเลสนี้อยู่ไปไม่ได้  ให้ตายเสียดีกว่า  ดีกว่าที่จะมาทนทุกข์ทรมานอยู่กับกิเลส  นั่นละท่านผู้ที่พ้นทุกข์  เวลาถึงขั้นเป็นเป็นอย่างนั้นจิต  จิตที่งุ่ม ๆ ง่าม ๆ ต้วมเตี้ยมนั่นละ  เวลาถึงขั้นเกรียงไกรเกรียงไกรขนาดนั้น  เห็นหมดนี่ภัยรอบด้านตัวเอง ฆ่ากันแหลก ๆ  ตรงไหน ๆ มีแต่ภัย โอ้โห ภัยเพิ่งมาเห็นกันวันนี้เหรอ ๆ  มันเป็นภัยต่อเรามาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วเพิ่งมาเห็นเหรอ  นี่ถ้าพวกเราเห็นอย่างนี้แล้วอย่างไรสลบ  อยู่ไม่ได้เลย

        ทีนี้เวลามาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว  เวลาจะไปอีกก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก  ไปแบบงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมเหมือนกันกับมางุ่มง่ามต้วมเตี้ยมนั่นแหละ แล้วก็ทนทุกข์ทรมานไป เกิดไม่มีที่เกาะที่เกี่ยวไม่มีหลักมีเกณฑ์  เกิดไหนเกิดไปเรื่อย ๆ เกิดตามบุญตามกรรม  ตายไปแล้วก็ไปเกิดใหม่ตามบุญตามกรรม เสวยไปอย่างนั้นตามบุญตามกรรม  เรายังจะให้กิเลสลากไปตามบุญตามกรรมอยู่เหรอ  ไม่เอาธรรมะเข้าไปช่วยจะเอาอะไรไปช่วย นั่นซิแก้ตรงนี้ซิ  พยายามทำตัวให้ดี  นี่ละที่ช่วยแก้ได้มีเท่านี้ นอกนั้นไม่มี

 

เทศน์เท่านั้นละวันนี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก