น้ำค้างแต่ก่อนกับทุกวันนี้ผิดกันมากนะ น้ำค้างเหมือนห่าฝน พอตี ๔ ตี ๕ จะเหมือนห่าฝนมันตกจากใบไม้ลงดินตุบตับ ๆ ซ่า ๆ ๆ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมี น้ำค้างไม่มีมันแปลกกันตรงนี้ หรือเป็นเพราะแต่ก่อนมีดงมีป่ามันเย็นให้มีน้ำค้างหรือไง นี่ไม่มี กลางคืนเดินจงกรมไม่ได้ตัวแข็งไปเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องนั่งมาก ๆ กลางคืนนั่งมาก นอนก็ไม่หลับต้องลุกขึ้นมานั่ง สุดท้ายก็แจ้งสว่างเอาเฉย ๆ นอนไม่หลับเลย
ได้สงสัยหมูป่านะ เรานั่งภาวนาอยู่แคร่นี้ เขามาหากินตามนี้ กลางคืนนะ หมูป่าเป็นฝูง ๆ มา มันไม่หนาวเหรอพวกนี้ ไอ้เราหนาวจะตาย อยู่ในแคร่ยังหนาวจะตาย เขาหากินสบาย เขามาเป็นฝูงนะเป็นฝูง ๆ มา อย่างนั้นละแต่ก่อนสัตว์ป่าเต็มไปอยู่ไหน เขาหากินสบายไม่ปรากฏว่าหนาวนะ มันหนาวแต่มนุษย์ แสดงว่าจะหนาวมากจริง ๆ นะคือเรายังหนุ่มน้อยอยู่นี่ อาบน้ำได้อาบแต่วัน ตะวันขนาดนี้อาบแล้ว ๆ ถ้าค่ำกว่านั้นอาบไม่ได้มันจะชัก นี่แสดงว่าหนาวมากอยู่ เช้ามาก็เดินจงกรมพอค่ำเข้ามา ๆ นี้มันจะเย็นเข้า ๆ ตัวแข็งละเดินก้าวไม่ออกมันจะชัก เข้าแคร่เข้าไปก็ไปชักอยู่ในแคร่ แต่แปลกมันไม่เข็ดนะมีแปลกอันเดียวนี่ ไม่เคยสนใจ ไม่เข็ดไม่หลาบ
เวลาเรานั่งภาวนาจิตเข้าข้างในมันไม่หนาว เหมือนไม่ใช่หน้าหนาวหน้าอะไร เพราะจิตไม่ออกมามันอยู่ข้างใน พอเราออกจากที่ภาวนาแล้วจะเริ่มหนาว ๆ เรื่อย นอนก็นอนไม่หลับ แต่สำคัญที่มันไม่มีผ้าห่มเท่านั้นเอง ยังไงก็ตามมันต้องหนาวกว่านี้อยู่โดยดีแหละ เพราะน้ำค้างมันเหมือนห่าฝน ตามเนื้อตัวเหล่านี้แตกหมด ฝ่าเท้าก็เหมือนกัน ตกกระไปหมดทั้งตัว แสดงว่าหนาวมากอยู่ เข้ามาอยู่ในวงหมู่คณะก็มีผ้าห่ม เช่นอย่างอยู่หนองผืออย่างนี้ผ้าห่มมีไม่อดก็ได้ห่ม แต่ยังไงก็ไม่ห่มมากแหละ ดัดอยู่ในตัวนั่นแหละ พอออกไปแล้วตัดออกหมด ผ้าห่มไม่มี มีผ้า ๓ ผืน จีวร สบง ผ้าสังฆาฯ กับผ้าอาบน้ำผืนหนึ่ง กลางคืนก็ซ้อนผ้าสังฆาฯ กับผ้าจีวรใส่กัน ก็ให้เท่านั้นแหละ ตลอดรุ่ง ไปอย่างนั้นจะเอาผ้าห่มไปได้ยังไง ตั้งแต่บริขารเท่านั้นก็พอแล้วกับบาตรลูกหนึ่ง
แต่ก่อนมีดงร้อยเปอร์เซ็นต์มันไม่เป็นอย่างนี้ ไปไหนมีแต่ดงแต่ป่า คิดดูซิเรานั่งภาวนาหมูมันมาหากินอึกทึก มันมาหากินข้าง ๆ แคร่เรา เราปัดกวาดบริเวณเราอยู่พอดี ๆ มันก็มาหากินข้าง ๆ เป็นป่าทั้งหมดนี่ หมูป่าไม่อด(ไม่อด = มีมาก) พวกเก้งพวกหมูป่าไม่อด กลางวันก็เจอมัน เราเดินจงกรมนี้กลางวันมันก็มา มันมาหากินของมัน แต่ชอบกลมันไม่ค่อยกลัวพระนะ ผ้าเหลืองนี่สำคัญนะมันฝังใจสัตว์มากทีเดียวนะ ผ้าเหลืองนี้สัตว์ไม่ค่อยกลัวแหละ ถ้าเป็นสียักษ์นี้ โห กลัวมาก สีพระมันไม่กลัว ดีไม่ดีรุมมาอยู่ด้วย
คือสัตว์แต่ละตัว ๆ นี้แน่ใจว่าเคยบวชมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เพราะตายเกิด ๆ มากี่กัปกี่กัลป์อยู่อย่างนี้ ๆ เรื่อยไปนะนี่ ออกจากนี้ก็จะเกิดไปเรื่อยไปข้างหน้า มาข้างหลังฉันใดไปข้างหน้าฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่ตัดตัวเชื้อมันออกเสียก่อนแล้วยังไงต้องเป็นอยู่นี้ตลอด เกิดแล้วตาย ๆ ๆ อยู่อย่างนั้นตลอด
ดูเข้าไปในอริยสัจถึงชัดเจน นี่ละอริยสัจคือแก่นของศาสนา แก่นของภพของชาติ แก่นของการตัดภพตัดชาติอยู่ในนั้นหมดเลย เข้าไปนั้นแล้วหายสงสัยแหละ มันตัดขาดสะบั้นจริง ๆ นี่ ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อกันมันก็รู้ว่าหมดเชื้อที่จะสืบต่อไปข้างหน้า ข้างหลังหมด เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่มีอะไรเข้ามาเจือปน มีอันเดียวเท่านั้น มันก็รู้ได้ชัดละซิว่าหมดแล้วเรื่องความเกิดความตายต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านตั้งแต่วันตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้ บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมา ทุกข์ในใจของท่านจะไม่มีตลอดไปเลยจนกระทั่งวันนิพพาน แล้วท่านไม่นิพพานก็เหมือนกันอีก ทุกข์ก็มีแต่ทุกข์ทางกายซึ่งไม่กระเทือนถึงใจ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยเจ็บหัวตัวร้อนมันเหมือนกันกับธรรมดาของโลก เพราะอันนี้เป็นสมมุติด้วยกัน ธาตุขันธ์เป็นสมมุติเหมือนกัน มีเจ็บไข้ได้ป่วยหิวกระหายเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าไม่เข้าไปซึมซาบภายในจิตใจเท่านั้น ถ้าธรรมดามันเข้าละ ใจกับอันนี้เป็นอันเดียวกันหมดร่างนี่ ความรู้นั้นกับร่างกายนี้ซ่านไปถึงกันหมด ประสานกันได้สบาย ๆ
ทีนี้พอจิตบริสุทธิ์แล้วนี้มันไม่เข้าแหละ มันก็มีอยู่ตามธาตุขันธ์เท่านั้นเองไม่เข้า จึงเหมือนกับว่าน้ำตกลงบนใบบัว ท่านว่า น้ำตกลงบนใบบัวตกแล้วมันก็กลิ้งตกไป ตกลงมาปั๊บแล้วกลิ้งตกไป ๆ น้ำก็ไม่ตั้งใจจะซึมใบบัว ใบบัวก็ไม่ตั้งใจจะรับน้ำ ไม่มีใครมีความหมายแหละไม่มีความรู้สึก มันหากเป็นของมันอย่างนั้นเอง จิตที่บริสุทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น อะไรเข้ามานี้มันเป็นหลักธรรมชาติของมัน กลิ้งตกไปเหมือนใบบัวไม่ต้องบังคับ ไม่มีการบังคับกัน
อย่างนั้นซิพระพุทธเจ้าผู้ท่านสิ้นกิเลสแล้วท่านมองดูพวกเราจึงเป็นเหมือนกับสัตว์จริง ๆ ไม่พ้นอะไรกับสัตว์เลย มันต่างกันขนาดนั้นละ คือท่านพ้นไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จึงมามองดูพวกกอดกองทุกข์อยู่นี่ เต็มโลกเต็มสงสารมีแต่พวกกอดกองทุกข์ทั้งนั้นนะ เต็มโลกสามโลกธาตุนี่มีแต่พวกกอดกองทุกข์ตลอดหมดเลย แล้วผู้ที่พ้นไปแล้วท่านดูถ้าจะพูดแบบโลก ๆ ก็สนุกดู คือดูไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการดูนั้น ที่จะเข้าซึมซาบถึงจิตของท่านไม่มีแล้ว ท่านไม่มีทุกข์แล้วท่านก็สนุกดู
เป็นยังไงวิเศษขนาดไหนความบริสุทธิ์ หรือนิพพานวิเศษขนาดไหนดูเทียบเอาอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วปึ๋งออกมาเท่านั้นละ หลุดผึงออกไปเลยจากโลกกอดกองทุกข์นี่ ดีดผึงออกไปแล้วก็มองลงมา ถ้าเราจะเทียบว่ามองลงนะ มันผิดกันอย่างนั้นละ
เหยื่อของวัฏจักรนี้มันพิลึกนะ เหยื่อล่อนี่แหม มันล่อได้หมดเลย ไม่มีรายใดที่จะพ้นจากมันไปได้มันล่อได้หมด ส่วนหยาบก็มีเครื่องล่อ ส่วนกลางมีเครื่องล่อ ส่วนละเอียดมีเครื่องล่อ มีล่อไปตลอดสายเลย
เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายถึงพ้นไปได้ยาก ติดแต่เครื่องล่อเครื่องลวงของมันนั่นแหละ ติดทางหูทางตาทางจมูกทางลิ้นทางกาย รอบมีแต่เครื่องล่อทั้งนั้น พอมองเห็นปั๊บติดแล้ว ดีก็ติดชั่วก็ติด ดีใจเสียใจมันติด ๆ ๆ ติดตลอด หูก็เหมือนกันพอได้ยินพับติดแล้ว ๆ มีแต่เครื่องล่อของธรรมชาตินี้ เวลาปอกออกจากใจหมดแล้วมันไม่เป็นเครื่องล่อ มันเป็นทางเดินเฉย ๆ ดูก็ดูไปธรรมดา หูฟังไปธรรมดา ไม่มีเครื่องล่อเข้ามาหลอกลวงจิตใจได้ต่างกันตรงนั้น
แต่ก่อนเป็นเครื่องล่อทั้งหมด คือตาก็ธรรมดาเรานี้แหละ แต่เครื่องล่อมันอยู่ในใจมันรับกันกับข้างนอกทันที ๆ ประสานกัน พอตาเห็นรูปพับประสานแล้ว หูได้ยินเสียงพับประสานแล้ว ๆ มันเป็นทางประสาน ตา หู จมูก ลิ้น กายอย่างนี้เป็นทางประสานให้กิเลสเข้าสู่ใจ ประสาน ๆ ทีนี้พอใจหมดกิเลสแล้วไม่มีอะไรประสาน เพราะข้างในไม่มีออกมามันหมดแล้วไม่มีออกมา ข้างนอกก็จะเข้าไปยังไง ประสานกันได้ยังไง ประสานไม่ได้ สักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยินเท่านั้น
นี่ละคำสอนของพระพุทธเจ้าเลิศหรือไม่เลิศขนาดนี้แหละ ขนาดที่หลุดพ้นไปเลยเพราะคำสอนพระพุทธเจ้านี่ ตรัสรู้แล้ววิธีการยังไงที่ได้ตรัสรู้เพราะเหตุผลกลไกอะไร ก็นำวิธีการนั้นมาสอนพวกเรา เช่น สร้างความดีนี้เป็นทางเดินที่จะก้าวเข้าสู่ความหลุดพ้น ไม่ว่าความดีประเภทใดรวมตัวเข้ามา ๆ มีพลังเข้ามาเรื่อย ๆ หนุนเข้าเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็พ้นไปได้ ถ้าความชั่วมีแต่กดลง มีมากมีน้อยกดลงทั้งนั้น กดลงให้ต่ำลง ๆ ทุกข์มากต่ำมาก ๆ เรื่อยไป ต่างกันอย่างนั้นนะ
แต่เครื่องล่อของวัฏจักรนี้มันพิลึกนะ น่าอ่อนใจเหมือนกัน อย่างที่ว่ามันล่อเป็นชั้น ๆ ๆ ส่วนหยาบเครื่องล่อหยาบ ส่วนกลางเครื่องล่อก็ขนาดเดียวกัน ส่วนละเอียดเครื่องล่อละเอียด ละเอียด ๆ จนสุด หมดกิเลสแล้วถึงจะหมดเครื่องล่อเครื่องหลอก ถ้ายังมีอยู่ภายในจิตใจมากน้อยต้องล่อต้องหลอกจนได้แหละ ยิ่งตัวกษัตริย์วัฏจักรจริง ๆ คืออวิชชาจริง ๆ แล้ว นั้นแหละตัวล่อ จอมกษัตริย์ตัวสุดท้ายนะ เครื่องล่ออันสุดท้ายนี่เป็นตัวอัศจรรย์ที่สุดแหละ เห็นไหมพิจารณาซิ มันมีจนสุดขีดของมัน
พอพ้นจากนั้นไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรนี่ ไม่มีอะไรล่อ เป็นอิสระเต็มที่ ทุกอย่างไม่มีสองเข้ามาเทียบ อันเดียว ๆ ไม่มีสองเข้ามาเทียบ ไม่มีคู่แข่งก็ไม่ได้รบกัน ไม่ได้รบกันก็ไม่เป็นทุกข์ละซิ เพราะไม่มีคู่แข่ง ถ้ามีคู่แข่งมากน้อยก็ต้องมีทุกข์มากน้อยอยู่นั้นแหละ เช่นอย่างประกอบความเพียรอย่างนี้ ประกอบความเพียรคือต่อสู้นั่นเองจะเป็นอะไรไป เราเพียรทำคุณงามความดีมีแต่การต่อสู้ความชั่วสิ่งหลอกลวงทั้งหลาย อันหนึ่งจะไม่ให้ทำ ๆ อันหนึ่งจะทำ นั่นละมันรบกันตรงนั้น เครื่องล่อมันอยู่ในนั้นหมด ไม่รู้
พอเราจะทำอะไรมันหลอกเสียปั๊บหลงไปตามมันเลย ๆ แม้ที่สุดนั่งภาวนามันก็ยังล่อ หมอนไม่ต้องเสกคาถานะกิเลสล่อแล้วตูมเลย ฟังเสียงหมอนแตกระเบิดดังตูม พอจะนั่งภาวนา เอ้า พักเสียหน่อยก่อน แน่ะ เอาแล้วนะเราไม่รู้ไม่ทันมันนี่นะ จึงว่าสลดสังเวชนะถ้าเราพูดถึงเรื่องกิเลส จึงเป็นคู่เดือดคู่แค้นกันจริง ๆ นะ เดือดจริง ๆ แค้นจริง ๆ กับกิเลสนี่ มันเคยฟัดเคยเหวี่ยงกันมาเสียจนเดนตาย โห หนักจริง ๆ นะ
พูดให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เรื่องกิเลสนี่มันเหนียวมันแน่นมันแก่นตัวฉลาดแหลมคมนี้ไม่มีอะไรเกิน มันถึงได้ครอบโลกธาตุอยู่หมด สามแดนโลกธาตุอยู่ใต้อำนาจของกิเลสนี้ครอบหมดเลย มีพ้นออกไปปุ๊บ ๆ แต่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านหลุดพ้นออกไป ๆ เพราะมันหนาแน่นขนาดนั้นละ แต่ท่านก็สอนอุบายวิธีการยังไงที่จะให้หลุดพ้น สอนพวกเรานี่ นี่ละที่ว่าคำสอน ๆ นั่นแหละคือทางเดินหรือบันไดพาดเอาไว้ให้เราไต่เต้าไปตามนั้น ถ้าไม่มีอันนี้ไม่มีทาง เกิดตาย ๆ อยู่นี้ไม่มีคำว่าอิ่มพอนะ คำว่าเกิดว่าตายนี้มันอิ่มพอแล้วมันจะสุกจะงอมไปเองนี้ไม่มีทาง
กิเลสไม่มีตัวคร่ำคร่าชราไม่มี มีแต่ตัวแข็งแกร่งตลอด ไม่ว่าประเภทใดของกิเลสแข็งแกร่งด้วยกันหมด ต้องมีสิ่งเข้าไปตัดทอนมัน มันถึงจะอ่อนตัวลงได้ คือความดี นอกจากนั้นไม่มี ในสามแดนโลกธาตุนี่ไม่มีอะไรที่จะตัดทอนกิเลสให้อ่อนกำลังลงได้นอกจากความดีเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านถึงได้สอนทางให้พวกเราได้ดำเนินให้ก้าวเดิน
ยากลำบากก็แสดงว่ากิเลสนี่หนามันถึงได้ยากขนาดนี้ ซัดกันเข้าไป มันหนาตรงไหนมันยากตรงนั้นแหละ ยากมาก ๆ ขัดมากขวางมาก นั่นแหละกิเลสหนา ซัดเข้าไปตรงนั้นแล้วก็ค่อยจางออกไป ๆ ต่อไปไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ เมื่อมันชินต่อนิสัย เช่นอย่างการทำบุญให้ทานของพวกเรานี่ นี่เราเคยมาแล้วนี่ได้อะไรมามีแต่อยากทาน ไม่อยากกินไม่อยากใช้ การกินการใช้ไม่เกิดประโยชน์ เจ้าของกินอะไรก็ได้อยู่ยังไงก็ได้ ขอให้ได้ทำบุญให้ทาน นี่คือชนะมันแล้วนี่ ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ เป็นในหัวใจ หัวใจใครก็รู้เอง
ถ้าเราชนะมันได้ตรงไหนแล้วมันเปิดโล่งให้เรา เราก็ไปสบาย ๆ เลย ถ้ายังไม่ชนะตรงไหน มันหนาแน่นตรงไหน ตรงนั้นแหละมันบีบเรา ๆ มากจริง ๆ ให้พากันจำเอานะที่พูดเหล่านี้ มีแต่ทางเดินของกิเลสและทางเดินของธรรมที่ต่อสู้กันแก้กันเพื่อความหลุดพ้นทั้งนั้นแหละ ให้พยายาม ถ้ามันเกิดความขี้เกียจขี้คร้านอยู่ในจุดใด ขึ้นชื่อว่าจะทำความดีแล้วจะมีแหละไม่มากก็น้อยให้รู้ทันที ให้รู้มันทันทีนะไม่งั้นแก้ไม่ตก ถ้าไม่รู้มันแก้กันทันที ต้องแก้กันเรื่อย ๆ ๆ ต่อไปค่อยชินเข้าไป ชำนิชำนาญเข้าไปแล้วคล่องตัว
มันเป็นเนื้อเป็นหนังเอาเสียหมดตัวของเรานี่กิเลสน่ะ กิเลสมาเป็นเนื้อเป็นหนังของเราทั้งหมดเลย ธรรมจึงแย็บออกมาไม่ได้ถูกมันตีเอาตก ๕ ทวีปนี่ซิสำคัญ เวลามันหนามันหนาจริง ๆ นะจิต กิเลสมันปิดบังไม่ให้มองเห็นจิตเลย มันปิดขนาดนั้นละเวลามันหนา เวลามันจางไป ๆ เพราะธรรมซักฟอก ๆ เรื่อยค่อยจางออก ๆ ก็มองเห็นโน้นเห็นนี้เข้าไป มองเห็นบุญเห็นบาป มองเห็นดีเห็นชั่ว ทีนี้ก็ค่อยมีแก่ใจมองโน้นมองนี้หาทางออกแหละ
ถ้าจะปล่อยให้มันเป็นไปเฉย ๆ นี่ โอ๋ย อย่าหวังนะตายเกิด ๆ ดังที่พูดเรื่องสัตว์ทั้งหลายตะกี้นี้แหละ พระไปอยู่ที่ไหนพวกนี้เข้ามาห้อมล้อมนะ อยู่ในป่าลึกขนาดไหนก็ตามมันเคยเห็นที่ไหนเห็นพระเห็นเจ้าอยู่ในป่าลึก ๆ เวลาเราไปมันจะเข้ามาไม่กลัวพระไม่กลัวผ้าเหลือง แสดงว่าสัตว์เหล่านี้เคยเกิดเคยตายเคยบวชเป็นพระเป็นอะไรมา เพราะศาสนานี้มีมาตลอดนี่ จะขาดเป็นวรรคเป็นตอนเท่านั้น แต่มีมาตลอด ถึงจะเป็นวรรคเป็นตอนก็มี ๆ ห่างกันบ้างก็มี มีอยู่ตลอด เช่นอย่างพระพุทธเจ้าเรากับ พระอริยเมตไตรย นี่ก็ห่างกันบ้างช่วงนั้น แต่ช่วงต่อไปก็มี ทีนี้ก็ได้บวชละซิ
มองเห็นพระผ้าเหลืองนี่นอนใจ ตายใจนอนใจ เราเดินจงกรมอยู่หมูมาไม่เห็นสนใจกับเรา ถ้าเป็นกับพวกฆราวาส โถ ได้เมื่อไรมันไม่ให้เห็นเลย ผึงเดียวเท่านั้นละตกกี่ทวีป มันรวดเร็วนะ ถ้ากับพระนี่ไม่นะมันแปลกอยู่ สัตว์ตัวไหน ๆ เหมือนกันนะ แสดงว่าพวกนี้มันเคยกับผ้าเหลืองมาพอแล้ว มันถึงซึ้งเข้าในใจเลยตายใจไม่กลัว
พวกสัตว์พวกงูนี่เหมือนกัน อย่างอยู่ในวัดนี้แต่ก่อน ทุกวันนี้จับออกเพราะคนมามากต่อมากสับปนกัน ได้ระวังกับแขกกับคนนั่นแหละจึงต้องได้จับงูออก แต่ก่อนไม่ได้จับมันก็เพ่นพ่าน ๆ อยู่ตามนี้ กับเรามันไม่สนใจนี่นะกับพระนะ คิดดูซิโรงน้ำร้อนนี่งูจงอางขนาดนี้...ท่านฉันน้ำร้อนอยู่ในโรงน้ำร้อนนี่มันเลื้อยเข้ามาตรงนั้นนะ องค์ไหนก็นั่งดูอยู่ มาทำไมไอ้ขี้ดื้อ มันก็มาของมันเฉย ไปสบายนะ
แต่มันไม่สบายเวลาเข้าไปในครัวแหละ ฟังเสียงโยมแม่ร้อง เราอยู่กุฏิ มันเสียงอะไรพิลึกพิลั่นพวกนี้น่ะ ๕ โมงเย็นเสียงลั่นเทียวในครัว มันไปตรงนั้นไม่สบายพวกบ้านั่นยุ่งมัน มันไม่เป็นไรแหละพวกบ้ายุ่งมันต่างหาก พวกโยมแม่ ฟังเสียงลั่น เราอยู่กุฏินี่ได้ยินมันเสียงอะไรผิดปกติ เราก็เลยเดินเข้าไป มันเสียงอะไรเสียงเหมือนหมากัดกัน จะไม่เหมือนหมากัดกันยังไง บักอางมานี่ทั้งตัว บักอางคืองูจงอาง งูจงอางมานี่ทั้งตัวจะไม่ให้ร้องยังไง มันมาไหนล่ะ ก็มานี่ละคนทำงานอยู่นี่มันเข้ามานี่ละ คนแตกฮือ อ๋อ งูตัวนี้ไอ้ขี้ดื้อมันเคยอยู่กับพระมาพอแล้วแหละมันมาเยี่ยมทางนี้ซิ ทางนี้เป็นบ้าต่างหาก ไม่เป็นบ้ายังไงก็งูทั้งตัวใครก็กลัว โยมแม่เถียงลูก มันไปไหนล่ะ แน่ะเข้าไปในป่า ช่างมันเถอะอย่าไปสนใจมันนะ เราก็สอนอีกอย่าไปขว้างไปปาอย่าไปหยอกไปเล่นมัน มันมาก็ช่างมัน มันไม่ทำไมแหละงูตัวนี้น่ะ มันไปได้หมดนั่นแหละ
จากโน่นจากนี่ตามกุฏิวันหนึ่งเจอไม่รู้กี่ครั้งกับพระนะ องค์นั้นมาก็ไปเจอตรงนั้น องค์นี้ไปก็ไปเจอตรงนั้น เจออยู่ทั้งวัน ๆ มันก็ชินกับพระ พระก็ไม่สนใจกับมัน สมมุติว่ามันอยู่อย่างนี้บางทีก็ผ่านทางหัวไปเสีย บางทีก็ผ่านทางหางไปเสีย มันมาขวางทางเดินไปนี่ เราก็ผ่านไปทางโน้นทางนี้เสีย ไม่หยอกไม่เล่นนะ คือเราสั่งพระไว้หมดห้ามไม่ให้หยอกให้เล่น สัตว์เหล่านี้ไม่ได้ถือการหยอกเล่นเป็นการหยอกเล่นนะ มันจะถือเป็นความจริงทั้งนั้นว่าทำมัน แล้วต่อไปสัตว์เหล่านี้มันเห็นเราก่อนนะ มันจดจ้องเดี๋ยวมันฉกเอานะเราว่างั้น
ทีนี้พระก็ไม่เล่นอะไรกับมัน เจอแล้วก็เฉย ๆ มันก็คุ้นละซี เพราะฉะนั้นมันถึงเข้าไปในครัว ออกมาข้างนอกถูกเขาฆ่า อย่างนั้นแหละเอานิสัยวัดไปใช้ ไปนอนขวางทางอยู่นี้ตะวันตกวัดนี่น่ะทางสายหนึ่งมันไปนั้น มันออกไปจากนี้ ทางโน้นก็ป่าทางนี้ก็ป่า พอออกไปแล้วไปนอนขวางทางอยู่นั่น เขามาเขาเอาปืนยิงเลย เรายังจำไม่ลืมวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๖ โน่นน่ะ จำได้ขนาดนั้นนะ เด็กมาบอก โอ๊ย ไอ้ขี้ดื้อหลวงพ่อเห็นจะตายแล้วแหละ เขายิงเมื่อวานนี้ ยิงที่ไหนล่ะ ยิงตะวันตกวัดนี่ ตัวขนาดไหนเด็กก็บอก โอ๊ย แล้วกัน ตั้งแต่นั้นมาไม่เห็นอีกเลย เงียบไป นั่นตายแล้วถูกเขายิงเอา เอาปืนยิง มันเชื่องขนาดนั้น
งูตัวไหนนิสัยพอ ๆ กันเหมือนกัน เราคล้องเราจับงี้มันไม่มีอากัปกิริยาจะฉกท่าทางโต้ตอบเรานะ มันจะดิ้นจะหนีท่าเดียว เราเอาเชือกคล้องแล้วใส่กระสอบเอาไปปล่อยดงไกล ๆ ใส่รถไป พอเปิดปากกระสอบแล้วเขาก็เลื้อยออกไปธรรมดาเขา บางทีก็ไปปล่อยตามถ้ำกลองเพลทางไปจังหวัดหนองบัวลำภู โอ๊ย มีแต่ตัวใหญ่ ๆ งูจงอาง เขาไม่มีอากัปกิริยากับเรานะ เขามีแต่บืนออกธรรมดาไปธรรมดา อยู่ในวัดก็เหมือนกัน เราคล้องได้อย่างนี้เขาก็ไม่มีอากัปกิริยากับเรา เขาบืนหนีเท่านั้นละ เพราะเขาเคยอยู่กับเรามาแล้ว
นี่สัตว์เหล่านี้มันเคยบวชเป็นพระนะ เพราะตายมากี่กัปกี่กัลป์ จิตวิญญาณดวงหนึ่ง ๆ มีแต่เกิดกับตาย ๆ อยู่ตลอดไปเลย นี่ยังตลอด ๆ ไปนะ แต่คำว่าเกิดไม่แน่นอน เกิดสูงต่ำดีชั่วยึดไปได้หมดอำนาจแห่งกรรม กรรมเป็นเครื่องหนุนให้สูงให้ต่ำ ถ้ากรรมดีก็หนุนขึ้นสูง ถ้ากรรมชั่วก็กดลงทางต่ำ หากเกิดเรื่องเกิด เกิดเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นผู้เป็นคน เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเกิดได้ทั้งนั้น เพราะอำนาจแห่งบุญกรรมพาให้เกิด เชื้ออันหนึ่งที่จะพาให้เกิดคืออวิชชา ให้เกิดแน่ ๆ แต่จะเกิดเป็นอะไรต่ออะไรนั้นเป็นวิบากกรรมอีกหนุนให้เกิด จึงต้องสอนให้ทำความดี ๆ
เวลาจะเป็นจะตายจริง ๆ แล้วจิตจะไม่ไปไหนนะ มันจะวกมาหาเจ้าของแล้วหาความดีความชั่ว ถ้าไม่มีความดีมีแต่ความชั่วเดือดร้อน ตายแล้วก็ไปเลย ถ้ามีความดีพอจำเป็นจำใจมานี้มันจะวิ่งเข้ามาปั๊บ..จิตมีความดีแล้วอบอุ่นใจกับความดี เพราะความดีอยู่กับใจนี่ไปเอง
นี่เราพูดถึงภาคทั่วๆ ไป ภาคจิตตภาวนายิ่งแน่ ภาคนี้ภาคแน่มากภาคจิตตภาวนา เห็นชัด ๆ อยู่ประจักษ์ว่าออกจากนี้จะไปเกิดไหน ทางต่ำไม่ไปว่างั้นเถอะน่า จะไปเกิดชั้นไหนมันบอกอยู่ในนี้หมด เหมือนว่าเข็มทิศบอกอยู่ในนี้ ดูเข็มทิศนี้ ปจฺจตฺตํ มองดูชัด ๆ ยิ่งละเอียดเท่าไรยิ่งแน่ ๆ ต่อภพชั้นนั้น ๆ ที่เป็นชั้นดีนะเรื่อย ๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นออกหมดไม่มีภพมีชาติอีกแล้วก็ยิ่งแน่ อ๋อ นิพพานเป็นอย่างนี้เอง นี่หรือนิพพานเป็นอย่างนี้เอง มันชัดอยู่อย่างนั้น นี่ภาคภาวนา
ภาคภาวนาเป็นภาคที่แน่ที่สุดเลย ไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา ไอ้นี่ตายแล้วมันไปไหนนา อ้าว อย่างนั้นครั้งพุทธกาลไม่มีนะ เดี๋ยวบางคนจะไม่ทราบว่าอันนี้มีมาดั้งเดิม เวลาคนตายนิมนต์พระไป กุสลา มาติกา มีมาหลัง ๆ นี่ คือพระพุทธเจ้าท่านสอนให้พระไปปลงกรรมฐานไม่ใช่ให้ไป กุสลา ธมฺมา อย่างนี้นะ ไป ๆ ดูกรรมฐานจริง ๆ นี่ พระพุทธเจ้าพาเสด็จบางทีนะ พาไปปลงกรรมฐานไปดูกรรมฐาน บางองค์ได้ตรัสรู้ธรรม นั่น กรรมฐานซากอสภ ท่านพาไปอย่างนั้นต่างหากนี่นะ ท่านไม่ได้พาไปแบบ กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ไหนนา ไม่เห็นว่างั้น
เดี๋ยวนี้เห็นมีแต่ไปหา กุสลา กล้วยหอม ตรงไหนมีเมรุมาก ๆ ตรงนั้นละเป็นบ่อเงิน มันไม่ได้ไปหาธรรมนะไปหาเงิน วัดไหนมีเมรุมาก ๆ นั่นละวัดนั้นละวัดหาเงินทั้งนั้นไม่ได้หาธรรมแหละ เรื่องธรรมอย่ามาพูด มีแต่หาเงินนับอยู่ตลอดเวลา นับอยู่ทั้งวัน วันนี้ศพนี้มาแล้วนับกี่ศพ ศพนี้มาแล้วนับอีก มีแต่นับเงินไม่ได้สนใจกับธรรม
นี่เราถึงได้พูดเรื่องวัดอโศการาม ไปย้ำกับพระเมื่อไปเร็ว ๆ นี้นะ นี่ ท่านพ่อลี นะพูดต่อปากต่อคำกัน ท่านพูดนี้ถูกต้องที่สุดเรายอมกราบท่านเลยในคำพูดของท่าน ท่านบอกวัดนี้ห้ามไม่ให้มีเมรุ ถ้ามีเมรุแล้วพระจะเป็นบ้าไปหมด ฟังซิ นี่หลวงพ่อลีท่านพูดท่านเด็ดนี่นะ นิสัยท่านเด็ดขาดมาก ท่านถึงได้เป็นครูเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ท่านเฉียบขาดมาก นิสัยเด็ดเดี่ยว แล้วท่านสั่งอย่างนี้ด้วยนะ วัดนี้เราตายแล้วก็ตามยังมีชีวิตอยู่ก็ตามจะมีเมรุขึ้นไม่ได้ ว่างี้ ถ้ามีเมรุขึ้นพระเป็นบ้าไปหมดเรื่องศีลเรื่องธรรมเข้าป่าเข้ารกไม่มีเหลือเลย จะมีเหลือแต่นั่งนับเงินเท่านั้น
เราไม่ลืมนะท่านพูดให้ฟังชัด ๆ ในพระทั้งหลายอยู่นั้น แต่พระรุ่นนั้นก็คงจะหมดไปยังเหลือแต่เราที่ได้ยินได้ฟังว่างั้นเถอะ ท่านห้ามอย่างเด็ดขาดนะพูดอย่างเฉียบขาด จะมีไม่ได้เป็นอันขาดถ้าไม่อยากให้พระตายหมดวัด ว่างี้นะ ถ้ามีแล้วมันจะนับแต่เงิน ไม่ได้นับศีลนับธรรมนะมันจะนับแต่เงินวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ใครบวชมาก็มาหาแต่เงิน ๆ สถานที่นี่เลยเป็นบ่อหาเงิน เป็นบ่อกิเลสตีตลาดหาเงิน ท่านว่าเราไม่ลืม
เพราะฉะนั้นเวลาเราไปที่นั่นจึงย้ำคำนี้ให้พระทั้งหลายได้ทราบ นี่ท่านพ่อลีพูดอย่างนี้เราจำได้ตั้งแต่วันท่านพูดจนกระทั่งป่านนี้ไม่จืดจาง และขอให้รักษาคำพูดท่านไว้อย่าให้มีเมรุวัดนี้ ให้รักษาคำพูดของท่าน ท่านเป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นมา วัดอโศการาม อย่าให้มีนะ ตายเผาไหนเผาได้แต่พระตายนี่ลำบากนะ พระตายตายทั้งวัดเลยนี่นะ แล้วพระจะเป็นผู้นำเสียด้วยนะ แล้วพระตายแล้วว่าไง ตายด้วยโลกามิสนี่มาทำลาย
สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ บุรุษหรือสตรีก็ตาม ใครก็ตามโง่แล้วตายเพราะลาภสักการะ ลาภสักการะนี้สังหารคนให้ตายมามากต่อมากแล้ว แปลออกมาว่าอย่างงั้น ทีนี้เวลามีเมรุขึ้นมานี้มันจะมาหัวสุมกันอยู่เมรุนั่น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา หมดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง จะไม่สนใจกับศีลกับธรรม นี่ท่านพ่อท่านพูดให้จำให้ดีนะ ผมจำต่อปากต่อคำท่านมานะ อย่าให้มี ถ้าอยากให้มีศีลมีธรรมติดวัดติดวาติดพระติดเณรแล้วอย่าให้มีสิ่งเหล่านี้
ตายแล้วฝังไหนเผาไหนได้ทั้งนั้นแหละไม่เป็นของสำคัญยิ่งกว่าพระตายนะ ถ้าพระตายด้วยอำนาจของ กุสลา ธมฺมา หาเงินหาทองนี้ฉิบหายหมด ตายอันนี้ฉิบหายนะ คนตายทั้งหลายฝังไหนก็ได้ เขาเคยฝังเคยเผากันมาแล้วแต่พระตายกองกันทั้งวัด ๆ นี้ มาหัวสุมตายอยู่นี้ดูไม่ได้นะ ว่าอย่างนี้แหละเราพูด ไปเมื่อคราวที่แล้วนี่ เพราะเราสลดสังเวชจริง ๆ
วัดไหนมีเมรุนี้แหม ไม่มีอะไรมีแต่อันเดียวนี่ โห ทุเรศ พระก็ไม่ต้องบอกละว่าจับเงินหรือไม่จับเงิน ถ้าลงขนาดนี้แล้วจะไปบอกอะไร ไม่บอกก็รู้ ท่านห้ามไม่ให้พระจับเงินจับทองนี่นะ โห อย่าว่าแต่เงินแต่ทอง โคตรเงินก็มาเถอะจะจับหัวมันหมดเลย เข้าใจหรือเปล่าที่พูดนี่ พูดให้ถึงใจ ไม่ได้พูดหยาบพูดให้ถึงใจ ให้ฟังให้ถึงใจทุกคน ๆ ให้รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเอง มันน่าทุเรศจริง ๆ นะ
บิณฑบาต สุดท้ายเวลามันเป็นบ้าเงินพอแล้ว บิณฑบาตถ้ารายไหนไม่มีซองใส่บาตรจะไม่มารับบาตรนะพระ ถ้าที่ไหนไม่มีซองไม่มารับ ที่ไหนมีซองหัวสุมเข้าไป นั่นซองเงิน มาใส่บาตรแล้วก็เอาเงินมาพร้อมน่ะซี นี่ก็ล่อให้พระตายอีกแหละมันหลายแบบไม่รู้จะว่าไง นี่ละอำนาจของกิเลสตีตลาดดูเอา ทันมันเมื่อไร ไม่ทัน ไม่ทันกิเลส
เวลานี้พระพุทธรูปก็กำลังเป็นสินค้าอันใหญ่โต อู๊ย น่าทุเรศ มองเห็นพับอดไม่ได้มันสะดุ้ง ๆ หลายครั้งหลายหนมาเราก็เลยพูดแหละ มันฝังมานานแล้วแหละพระพุทธรูปเป็นสินค้าขายเกลื่อนตลาด ตั้งหน้าตั้งตาออกห้างออกร้านขายจริง ๆ นี่นะพระพุทธรูปขายเป็นสินค้า เราดูแล้วปลงธรรมสังเวช พูดก็ลำบากไม่พูดก็ลำบาก พิจารณาเอาก็แล้วกันนะ ถ้าพูดก็ลำบากประเภทหนึ่ง ไม่พูดก็ลำบากประเภทหนึ่ง
ให้พวกลูกศิษย์ลูกหาพากันไปพิจารณา อย่าไปหาซื้อมานักเลย เอ้า กราบลงไปพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในองค์พระพุทธรูปโดยถ่ายเดียวแหละ อยู่ในหัวใจ พุทธะ ๆ อยู่ในหัวใจ ได้มามาบูชาก็ดี แต่จะไปหาซื้อเอามา ๆ โอ๊ย เรามันทุเรศนะ พระพุทธเจ้าเป็นสินค้านี้ทุเรศ ตรงนั้นละหนัก หนักตรงพระพุทธเจ้าเป็นสินค้าหนักตรงนั้น มันเป็นทุกอย่างนั่นแหละ อย่างไม่เคยมีก็มี ไม่เคยเป็นก็เป็นมาให้เห็น มีแต่เรื่องกิเลสออกทั้งนั้นนะธรรมะไม่ได้ออก ธรรมะนี่ออกไม่ได้
อะไรถ้าไม่ได้ขายอยู่ไม่ได้นะ ต้องได้ขายทั้งนั้น ได้ขาย ๆ ยื่นไปก็ยื่นมา ๆ ให้กันเปล่า ๆ ไม่ได้เหรอมนุษย์มีน้ำใจด้วยกัน เรื่องพระพุทธรูปนี่ใครจะมีใจบุญใจกุศลก็สร้างขึ้นมา เอาแจกจ่ายกันไปบูชาไม่ได้เหรอถ้าไม่ได้เงิน เงินมันเก่งกว่าพระพุทธรูปนี่นะ เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปจึงเป็นสินค้าได้ เงินต้องเหนือพระพุทธรูปแล้วเวลานี้ พระพุทธรูปจึงกลายเป็นสินค้าไปได้ ซื้อขายกันอย่างง่ายดายมากทีเดียวไม่คิดไม่อ่านเลยแหละ
เอาละให้พร วันไหนเทศน์ทุกวัน ๆ