พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านลำบากมากจริง ๆ เวลาพูดไปสัมผัสท่านเล่าให้ฟัง บิณฑบาตเขาว่าเป็นพระธรรมกรรมฐานท่านฉันแต่ถั่วแต่งา เขาไม่มีถั่วมีงาก็มีแต่ข้าวเปล่า ๆ ฉันแต่ข้าวเปล่า ๆ ท่านว่า เขาเข้าใจเอานะว่าฉันแต่ถั่วแต่งา ธรรมดาพระก็ฉันธรรมดาเหมือนกัน ไปไหนท่านไปองค์เดียวนี่ท่านไม่ค่อยมีหมู่มีเพื่อน ท่านไม่เอา ไปอยู่กับท่านก็ไล่หนีไปให้ไปอยู่ที่อื่น ท่านอยู่ของท่านองค์เดียว ให้ไปอยู่ทางนั้นบ้างทางโน้นบ้างบ้านใกล้เคียงกัน ท่านไม่ให้อยู่กับท่าน ท่านมักจะไปองค์เดียว ครั้นต่อมาเพื่อนฝูงมากเข้า ๆ รุมท่าน จึงได้อยู่กับหมู่กับเพื่อนเรื่อยมา แต่ก่อนท่านอยู่องค์เดียวทั้งนั้น
นั่นละท่านผู้ฝึกหัดอบรมตัวให้ดีต้องได้รับความทุกข์ความลำบาก เพราะกิเลสมันหนามันแน่นมันมีอำนาจมากฉลาดมากแก้ไม่ตกง่าย ๆ แหละ แก้อะไรแก้ตกง่ายแก้กิเลสแก้ตกยาก เหนียวมากทีเดียว ท่านได้ปรากฏชื่อลือนามกระเทือนประเทศไทยก็คือหลวงปู่มั่นเรานี่ จากนั้นก็ลูกศิษย์ของท่านมีเยอะ จะทำตัวให้ดีต้องฝึกต้องดัดเจ้าของมาก ๆ ไม่ดัดไม่ได้นะ เราจะอยู่ธรรมดา ๆ ให้เป็นคนดีมีแต่เลวลงเรื่อย ๆ ทางดีไม่มีมีแต่เลวลง ๆ จึงต้องฝืนกันเรื่อย ๆ ไม่ฝืนไม่ได้ คือถ้าปล่อยตามเรื่องมันเป็นเรื่องของน้ำไหลลงข้างล่าง น้ำไม่ไหลขึ้นข้างบนแหละมันไหลลงข้างล่าง กิเลสมันดึงลงมันดึงดูด ถ้าปล่อยตามเรื่องแล้วกิเลสก็ดึงดูดไปเรื่อย ๆ ถ้าฝืนก็เหมือนกับเราทดน้ำ ฝืนเอาไว้ ๆ ฝืนหนักเข้า ๆ มันก็อ่อนของมันเอง ถ้าไม่ฝืนไม่ได้นะ
ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสไม่ว่าจะเป็นพระต้องฝืนทั้งนั้นแหละ ฆราวาสก็ฝืนไปแบบฆราวาส ให้อยู่ในกรอบแห่งความเป็นฆราวาสที่ดีงาม พระก็ฝืนให้ตรงแน่วตามหลักธรรมหลักวินัย หลักธรรมหลักวินัยเป็นหลักต้านทานความชั่ว ธรรมก็ดีวินัยก็ดีเป็นรั้วกั้นความชั่วไม่ให้เข้ามา ถ้าออกนอกรั้วไปเมื่อไรก็เป็นอันว่าเสร็จให้กิเลส รั้วกั้นนั้นกั้นความชั่วทั้งหลายเป็นอันตรายต่อจิตใจและตัวของเราเอง
เวลาพระกรรมฐานครูบาอาจารย์ท่านเล่าเรื่องปฏิปทาของท่านให้ฟัง น่าฟังนะ แต่ละองค์นี้อุบายวิธีการไม่เหมือนกันนะ องค์หนึ่งหนักทางหนึ่ง ๆ หนักการทรมานเจ้าของนะ หากมีวิธีการละ ท่านได้อุบายจากวิธีการใดท่านก็เอาวิธีการนั้นมาใช้เรื่อย ๆ หนักเรื่อยไป เพราะกิเลสหมอบด้วยวิธีการอันนั้นท่านก็เอาอย่างนั้นมาใช้ ที่ได้เล่าได้ฟังกันถนัดชัดเจนมากก็คือหลวงปู่คำดีกับหลวงปู่ขาว ท่านอาจารย์ฝั้นก็ไม่ค่อยได้คุยกันอะไรมากนัก กับหลวงปู่แหวนนี่ไม่ได้คุยเลย หลวงปู่ขาวกับหลวงปู่คำดีนี้ได้คุยกันถนัดชัดเจนมาก มีเวลานี่นะ ถึงได้รู้ว่าท่านเด็ดมากทั้งสององค์นี้เด็ดจริง ๆ
ท่านเล่าถึงเรื่องงูจะเป็นงูเทวดาหรือเป็นงูอะไรก็ไม่ทราบท่านว่า ท่านอาจารย์คำดีท่านไปพักอยู่ที่ร่องกวาง อำเภอภูเวียง มันเป็นหินและเป็นร่องน้ำ กวางมันเคยลงไปนอนในน้ำเลยเรียกว่าร่องกวาง ท่านก็ไปอยู่ถ้ำนั้น ท่านอยู่ ๕ ปีท่านฝึกท่าน ไม่เกี่ยวกับใครเลย ท่านว่าทรมานตน พอดี ๕ โมงเย็นทีแรกมีหนูตัวหนึ่งตัวกับหางยาวเท่ากัน ท่านเดินจงกรมอยู่มันก็ด้อมแด้ม ๆ มาข้าง ๆ ลงมาหาคน มันอะไรก็ไม่ทราบท่านว่า เหมือนกับมันเคยอยู่กับคนมาตั้งกัปตั้งกัลป์มันเชื่องมากหนูตัวนี้ ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยเห็นมันเลยเพิ่งเห็นวันนั้น ไม่เคยมาเกี่ยวข้องกับเรา พอมาวันนั้นแล้วมันลงมาหาเรา
เราก็ดูมันมาอะไร ยืนดูมันก็เฉย ทีนี้พอคนเดินจงกรมไปมันก็เดินไปตาม คนเดินกลับมามันก็กลับมาตาม สุดท้ายเราเดินจงกรมมันก็เดินด้วยกับเรา พอเราหยุดมันก็หยุด เราหยุดตรงไหนมันก็หยุดตรงนั้น เดินไปถึงกลางทางจงกรมเราหยุดยืนมันก็หยุดอยู่เฉย พอเราก้าวมันก็ก้าว เราก็ว่า เอ๊ หนูตัวนี้เป็นยังไงแปลกแล้วไม่ใช่ธรรมดา มันเดินกลับไปกลับมากับเราอยู่อย่างนั้นที่มันแปลกมากน่ะ พอเราหยุดมันก็หยุด ท่านเลยเอามือไปจับหางมันลองดึงดูจะเป็นยังไง มันก็บืน ๆ แล้วกลับมาดมมือเรา ท่านก็ระวังอยู่กลัวมันจะกัด มันดมมือเสร็จแล้วก็ไปบืน ๆ พอบืนไปเห็นเราไม่ปล่อยมันก็กลับมาดมอีก มันแปลกเหลือเกินอัศจรรย์หนูตัวนี้ พอปล่อยแทนที่จะไปไหนไม่ไป ปล่อยแล้วก็อยู่นั่นแหละ พอเราเดินจงกรมก็ไปด้วย มันคงจะว่าอย่ามายุ่งคนทำความเพียรรู้ไหม พระนี่ชอบยุ่งจริงคงว่างั้นแหละนะ
พอจวนมืดงูใหญ่มาแล้วเสียงดังลั่น เสียงยาว ๆ มันหน้าแล้งใบไม้มันกรอบ เสียงดังซ่า ๆ ๆ ยาว ๆ ไม้ที่มันผ่านนี่หักต๊อบแต๊บ ๆ ตัวมันหนัก ใกล้เข้ามา ๆ ตรงแน่วมาหาเรา มันจะโผล่แล้วและท่านเชื่อแน่แล้วว่าเป็นเสียงงู แน่ใจว่าเป็นงู ท่านก็ปุบปับเอาไฟจุดตะเกียงโคมรั้วแล้วหันหน้ามา ที่ไหนได้มันมาขดเป็นกองเท่าสุ่มอยู่ตรงกลางทางจงกรมเลยนะ ท่านเอาไฟมาส่องดู โถ อยู่ตรงกลางทางจงกรมเลยนะ มันสองตัวพันกันอยู่นั้นเป็นกองขึ้นมาเหมือนสุ่มสุ่มปลานี่ ท่านก็มายืนดูใกล้ ๆ ตั้งแต่มันมามันยังมาอย่างนี้ได้เห็นเราไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไร ก็เลยเอาไฟส่องดู มันก็กองอยู่นั้นเลย จากนั้นท่านก็ไม่กล้าเดินจงกรมเพราะมันอยู่กึ่งกลางทางจงกรม ท่านเลยไปภาวนา
ประมาณสัก ๔ ทุ่มกว่า ๆ ออกจากที่ภาวนาแล้ว ไฟท่านหรี่เอาไว้ใต้แคร่ของท่าน แคร่นี้มีรูอยู่รูหนึ่งใต้แคร่ รูถ้ำเป็นรูเข้าไปข้างใน ท่านเอาตะเกียงไปดูมันไม่เห็นกองงูนั้นเลย เดินฉายไปที่ไหนก็ไม่เห็น ฉายไปไหนก็หายเงียบ พอมองเข้าไปใต้แคร่เห็นหางมันเข้าไปตรงรูนั้นแหละ มันจะเข้าไปตัวเดียวหรือสองตัวก็ไม่ทราบแต่เห็นหางมันพ้นออกมา มันเข้าไปยังไม่หมด ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งจากมาไม่เคยเห็นงูอีกเลย แปลกอยู่ และหนูตัวนั้นก็ไม่เคยเห็นอีก มีวันเดียวเท่านั้นมาพร้อมกัน หนูก็มาพร้อมกันงูก็มาพร้อมกัน จากนั้นมาไม่เห็นอีกเลยจนกระทั่งจากไป นี่ท่านพูดถึงเรื่องมันแปลกประหลาดเรื่องงู ทำไมตั้งหน้าตั้งตามาจากโน้นแล้วตรงแน่วเข้ามามาขดอยู่ตรงกลางทางจงกรม เหมือนเทพมาทดลองว่าเราจะกลัวไหมหรือมีแสดงอาการอะไรบ้าง แล้วจากวันนั้นมาไม่เคยเห็นอีกเลยจนกระทั่งจากไป หนูตัวนั้นก็เหมือนกันเห็นวันเดียวเท่านั้น
นี่ละครูบาอาจารย์ท่านฝึกท่านทรมานท่านสมบุกสมบัน พระกรรมฐานมักจะพบสิ่งแปลก ๆ ต่าง ๆ มากกว่าคนธรรมดา เพราะท่านไปซอกแซกซิกแซ็ก ส่วนมากไปหาที่กลัว ๆ ที่ธรรมดาท่านไม่ค่อยไปฝึกจิตยาก ที่ไหนที่มันกลัว ๆ ฝึกจิตง่ายท่านมักจะไปอย่างนั้น ถ้าว่าเสือนี่ก็กรรมฐานละเจอ อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเล่าให้ฟัง ไม่ใช่องค์ท่านเองนะเป็นเพื่อนของท่าน ไปภาวนาฝั่งแม่น้ำโขงทางโน้น เสือไม่ใช่เสือเล็กเสือน้อยนะเสือโคร่งด้วยนะ ถ้าเป็นเสือกินหมาก็ยังพอได้คิดบ้างว่ามันมาแอบอยู่คอยจะกินหมากับคน แต่นี้เสือโคร่งมันไม่เกี่ยวข้องกับหมาแหละ วันนั้นท่านเดินจงกรมอยู่คนละแห่ง หลวงปู่มั่นเราอยู่บ้านโน้นแล้วองค์นี้ท่านอยู่บ้านนี้เป็นบ้านป่า เขาไปทำที่ให้ท่านเดินจงกรม
ประมาณ ๓ ทุ่มท่านเดินจงกรมอยู่เดินกลับไปกลับมา ข้าง ๆ ทางมองเป็นลักษณะขาว ๆ แปลกตา เดินผ่านไปผ่านมาทีแรกก็ไม่เห็น ครั้นต่อมามันอยู่ข้าง ๆ ห่างจากทางจงกรมไปวาเดียวเท่านั้น พอเดินไปถึงนั้นท่านก็มองไป ที่ไหนได้เสือโคร่งทั้งตัว แต่มันไม่หมอบนะ คือเสือนี่ถ้ามันจะทำอะไร ๆ มันต้องหมอบเหมือนแมว แต่นี่มันนั่งแบบหมานั่งดูคนอยู่ ท่านก็มองดู โอ้โห เสือนี่ ทีแรกขนลุกซู่ จะว่ากลัวก็ไม่เชิงหากแปลกอยู่ที่ว่าขนมีลุกซู่ ท่านก็เดินจงกรมเรื่อย ๆ เดินกลับไปกลับมา
ครั้นท่านระลึกขึ้นได้ว่ามันมาเฝ้าเราหาอะไรหนอเสือตัวนี้ ทำไมไม่ไปหาอยู่หากินที่ไหนมาเฝ้าเราทำไม พอท่านคิดเท่านั้น เสียงเฮ่อ ๆ ขึ้นเลยมันคำราม อ้าว ถ้าไม่ไปหากินจะเฝ้าอันตรายให้ก็ดี ท่านนึกตอบกันอีก จากนั้นมันก็เฉยท่านก็เดินจงกรมเรื่อย จนกระทั่งเข้าที่พักที่แคร่เสือตัวนั้นก็ยังอยู่ที่นั่น จนกระทั่งตี ๓ ออกเดินจงกรมอีกเสือตัวนั้นหายเงียบไปเลยไม่เห็น จนกระทั่งหนีก็ไม่มาอีก มาหนเดียวเท่านั้น มันเหมือนกับเสือเทพ มันมองเห็นใจเราอยู่นี่ พอเราว่าจะมานั่งเฝ้านั่งแหงนดูกันอยู่ทำไม อยากไปหากินอะไรทำไมไม่ไป ท่านนึกเท่านั้นมันก็คำรามขึ้นเลย พอท่านคิดแก้ว่าถ้าไม่ไปจะมาเฝ้าอันตรายให้ก็ยิ่งดีมันก็อยู่เฉย อย่างนั้นละไม่น่าเชื่อยังไงก็เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ส่วนมากพระกรรมฐานไปมักจะเจอเสือบ่อย ๆ มีแต่องค์เด็ด ๆ ละไปอยู่อย่างนั้น
หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยพูดให้เราฟังนะว่าท่านกลัวอย่างนั้นกลัวอย่างนี้ ท่านเล่าธรรมดา พอเรื่องราวเกี่ยวข้องไปถึงท่านเล่าธรรมดาไปเลย ท่านไม่มีสะทกสะท้านท่านไม่มีลักษณะว่าท่านกลัวอะไรนะ ท่านไม่บอกด้วยไม่พูดว่ากลัวอะไร ท่านอาจารย์เสาร์ท่านอาจารย์มั่นสององค์นี่ หลวงปู่มั่นสำคัญมากที่สุดเพราะสมบุกสมบันมาก ไปอยู่เชียงใหม่ ๑๑ ปีอยู่แต่ในป่าในเขา กลางวันเดินจงกรมอยู่กวางยังวิ่งผ่านทางจงกรมให้เห็นนะ กลางวันนี่แหละไม่ใช่กลางคืน เดินจงกรมอยู่กลางวันนี่กวางก็วิ่งผ่านทางจงกรมมานี่ มันหากินธรรมดามาเจอคนเข้ามันคงวิ่งผ่านท่า ท่านไปอยู่แต่อย่างนั้น