เทวดามีจริง
วันที่ 27 ตุลาคม 2537
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

เทวดามีจริง

 

เราชอบหยอกสัตว์เราชอบเล่นกับสัตว์ เล่นกับคนนี่ยุ่งมาก ไม่อยากเล่น แต่ชอบมาให้เล่นด้วยอยู่ตลอด บางคนคว้าได้จีวรก็เอา หยิบจีวรเท่านั้นก็เอา บางทีมาจับขาจับเท้าก็มี มันยังไงกัน เดินไปไหน ๆ ไม่ได้ หมาปีนขึ้นคอเราก็ไม่ว่าเราเฉย อยู่ในวัดนี้เราก็เล่นกับหมาเรานี่ เล่นกับมันสนุกดี ไปวัดภูเขาโน้นก็เล่นกับหมี หมีตายแล้วทั้งสองตัวเลย ตัวหนึ่งเป็นโรคปอดบวมหมอบอก มันไปเล่นน้ำ ถ้ำมันอยู่ติดกับคลองน้ำ มันลงไปเล่นน้ำในคลอง เขาทำรั้วเหล็กไว้ให้ ลงจากถ้ำเล็ก ๆ นั้นมาก็มาเล่นน้ำ เล่น ๆ ไม่ขึ้น เล่นสนุกมาก พอขึ้นไปเลยไม่กินข้าวกินอาหาร เอาอะไรให้กินก็ไม่กิน อยู่ได้ ๒ วันเห็นท่าไม่ดี ท่าน...เลยให้โยมเอามาหาเราที่วัดนี่ เราก็รีบสั่งให้เอาไปให้หมอตรวจ สัตวแพทย์เขาก็รีบรักษาเลย โอ๊ย ไม่ไหวแล้วเขาว่า มันเป็นมากแล้ว อีก ๒ วันก็ตาย เราก็นำไปฝังไว้.......

ตัวหนึ่งถูกเขายิงตาย ตัวนี้ชอบคนมาก ๆ เจอคนไม่ได้ มันทำตัวเป็นภัยต่อมันเองนะ คือธรรมดาหมีใครจะไปคิดอะไร เห็นหมีวิ่งมาเขาก็ว่าจะมากัดเขา บางคนจนได้สู่ขวัญบายศรีกันถูกหมีไล่ หมีไล่หยอก บางคนคิดว่าหมีไล่กัด จนได้สู่ขวัญกัน เห็นใครมันวิ่งใส่ ๆ วิ่งไปเล่นด้วยนะ ทีนี้เขาว่าจะไปกัดเขาน่ะซีเขายิงเอาตาย เราบอกท่าน...ว่าทำยังไงหมีตัวนี้อายุจะไม่ยืนนะ คนจะฆ่าแหละ ดูลักษณะมันบอกในตัวของมันเองเป็นภัยต่อตัวเอง เห็นคนที่ไหนไม่ได้วิ่งใส่เลย ๆ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย มันชอบเล่นมันวิ่งไปหาเขาเลย ไปในบ้านเขาก็ขึ้นบ้านเขา หิวข้าวก็ขึ้นบ้านคว้าเอากระติบข้าวลงมากินแล้วก็ไป ทิ้งไว้นั้นกระติบข้าว ชาวบ้านแถบนั้นเขาไม่สนใจแหละเขารู้เรื่องของมันแล้ว มันขึ้นบ้านไหนขึ้นได้หมดบ้านน้อยนั่น มันหิวข้าวขึ้นไปกิน คว้าเอากระติบข้าวลงมา มันรู้นะกระติบข้าวอยู่ไหน คว้าเอามาดึงออกมากิน กินอิ่มแล้วก็ลง ทิ้งกระติบข้าวไว้แล้วก็ไป ต้องการขึ้นบ้านไหนขึ้นเลย มีอะไรค้นหากินหมด

เห็นคนไม่ได้วิ่งใส่เลย จึงได้บอกท่าน....จะทำยังไงนี่ หมีตัวนี้จะไม่ยืนนะ กิริยามันบอกเป็นภัยต่อมันเองนะ คนแถวนี้ไม่เป็นไร คนอื่นน่ะซี วิ่งไปหาเขาเขานึกว่าจะไปกัดเขา เขายิงตายนะ แล้วถูกอย่างนั้นจริง ๆ เขายิงตายจริง ๆ พอตัวนั้นตายได้ไม่นานตัวนี้ก็ป่วยอีก เอามาให้ทางวัดนี้รักษา รักษาไม่ไหว ก็สัตวแพทย์เขารักษาจะให้ว่าไงมันสุดวิสัยก็เลยตาย ฝังไว้นั่นละ ดูเหมือนจะเป็นเดือนกันยานี้

ตั้งแต่หมี ๒ ตัวตายเราเลยไม่ไปวัดนั้นหลายเดือนแล้ว ๖-๗ เดือนแล้วมั้ง ตั้งแต่หมีตัวนั้นตายไม่ได้ไปอีกเลย แต่ก่อนไปเรื่อยไปหยอกหมีเล่นกับหมี มันน่าเล่นนะ ไปส่งไทยทานด้วย เพราะวัดอยู่ในภูเขาขาดแคลนอาหาร อยู่ในวัดนี่ก็เล่นกับหมาละ พวกหมานี่ยั้วเยี้ย ๆ มันดีนะหมา ๑๐ กว่าตัวนี่ไม่รังแกกันนะ ตัวเล็กตัวใหญ่ไม่รังแกกัน เพราะไม้เรียวซี พอฟังเสียงแฮ่ขึ้นไม้ก็ตีเอา ไม่อะไรกันละ ตัวใหญ่ตัวเล็กอยู่ด้วยกัน ข้าวก็ไม่มีการแย่งกันกิน ตัวไหนมากินแล้วก็ไป ๆ ยั้วเยี้ย ๆ ไม่สนใจแย่งกันนะ กินด้วยกันนั่นแหละ มีเท่าไรรุมกินด้วยกัน พระดูแลให้อาหารตอนเช้าตอนเย็น เลี้ยงไว้..สงสาร ไม่รู้ภาษีภาษาอะไร นี่ละกรรมของสัตว์ แล้วแต่จะไปเกิดเป็นอะไรเกิดได้ทั้งนั้น เกิดเป็นสัตว์เป็นอะไร ๆ ทุกชนิดเป็นไปได้หมด อำนาจแห่งกรรมนี้ไสไปได้หมด หญิงเป็นชาย ชายเป็นหญิงได้ทั้งนั้น เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเปลี่ยนรูปร่างเปลี่ยนเพศเปลี่ยนวัยเปลี่ยนอะไรเปลี่ยนไปได้หมด

เปลี่ยนวัยเปลี่ยนยังไง อย่างเทวดาเป็นอุบัติเทพ ปุ๊บเดียวขึ้นแล้วเป็นเทวดาโดยสมบูรณ์แล้ว เรียกเปลี่ยนวัย ธรรมดาต้องเป็นเด็กแล้วเป็นผู้ใหญ่ไปเรื่อย ๆ นี่ไม่ละ ปุ๊บเดียวเป็นเลยอุบัติเทพ สมมุติเทพก็คือเทวดาโดยสมมุติที่สมมุติให้เป็นผู้ใหญ่ผู้โต ให้เป็นพ่อบ้านพ่อเมืองมิ่งบ้านมิ่งเมือง เช่น พระเจ้าแผ่นดินเป็นต้น เรียกว่าสมมุติเทพ เทวดาอุบัติเทพคืออุบัติขึ้นแล้วใหญ่โตทันที เรียกอุบัติเทพ วิสุทธิเทพได้แก่พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสแล้ว เป็นเทพที่บริสุทธิ์ อันนี้ยอดท่านบอกไว้ บรรดาเทพทั้งหลายวิสุทธิเทพ.....ยอด

พวกเรามันเห็นศาสนาเป็นตะกั่วไปหมดแล้วเดี๋ยวนี้ เราถึงได้เตือน ๆ มันจะตายฉิบหายกันหมด เห็นศาสนาเป็นตะกั่วแล้วเสร็จหมดนะ เห็นขี้เป็นทองคำทั้งแท่ง เห็นศาสนาเป็นตะกั่วแล้ว เห็นขี้เป็นทองคำ เวลานี้กำลังเป็น นี่ละเห็นไหมอำนาจของกิเลสไม่ให้รู้ตัวนะ มันหลอกยังไงเป็นไปได้หมด ของดีเสกสรรเป็นของชั่ว ของชั่วเสกสรรเป็นของดี พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปได้หมดกิเลส ร้อยสันพันคมตามไม่ทัน มีธรรมเท่านั้นตามทัน นอกนั้นตามไม่ทัน ในโลกอันนี้ไม่มีอะไรตามทันเพราะมันเป็นเจ้าอำนาจหมด โลกทั้งสามโลกอันนี้เป็นเจ้าอำนาจครอบไว้หมด ไม่มีใครจะเหนืออำนาจมันได้ ความรู้ความฉลาดแหลมคมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับมันหมด มีธรรมเท่านั้นเหนือ จึงว่าโลกุตรธรรม เหนือโลก ส่องลงมาได้หมดทะลุปรุโปร่งหมดเลย

เดี๋ยวนี้โลกเรากำลังเห็นทองคำเป็นขมิ้นไปแล้ว ทองคำสีเหลืองเหมือนขมิ้น ถือเป็นขมิ้นไปเลยไม่ได้ถือเป็นทองคำ เหลือง ๆ ขี้นั้นถือเป็นทองคำเป็นบ้าดิ้นดีดกัน ทะเยอทะยานเสียจน....กิเลสมันไม่ให้อยู่เฉย ๆ นะ ดูหัวใจนั่นน่ะรู้หมด อยู่ตรงนั้น คือมันไม่ให้สัตว์โลกอยู่สบาย ๆ ต้องให้ดีดให้ดิ้นให้ฟัดให้เกาอยู่อย่างนั้น เกาโน้นเกานี้อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ มันเป็นบ้าถ้าอยู่เฉย ๆ ถ้าเป็นบ้าแบบดิ้นละได้ บ้าแบบอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ บ้า ๒ ประเภท

ดูซิมนุษย์เราจะอยู่เฉย ๆ อยู่ไม่ได้นะ มีอยู่เฉยได้แต่ผู้นั่งสมาธิภาวนา นั่งอยู่เหมือนหัวตอ นิ่งเงียบเลย นั่นเห็นไหมกิเลสเข้าไปยุ่งไม่ได้ นั่งภาวนารักษาจิต จิตสงบเข้าแล้วกิเลสก็สงบอยู่ภายในไม่ดีดไม่ดิ้น พอออกจากนั้นแล้วก็ดีดก็ดิ้น อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นทุกอย่าง อย่างนั้นอย่างนี้ยุ่งไปหมด วุ่นวี่วุ่นวายไม่มีอะไรเกินกิเลสกวนมนุษย์กวนสัตว์โลก เราไม่เห็นนั่นซิจะทำยังไง ให้พากันปรับปรุงตัวเองนะทุกคน ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นจะฉิบหายจริง ๆ นะ นี่พูดด้วยความแน่ใจไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่ได้มาหลอกหลอนโลก คำพระพุทธเจ้าเป็นคำที่แน่ใจจะว่าไง

การอยู่การกินการใช้การสอยทุกอย่างขอให้มีความระมัดระวัง ให้มีประมาณในตัวเอง กินก็ให้รู้จักประมาณ อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อคะนองด้วยการกิน การใช้เหมือนกันอย่าฟุ้งเฟ้อเห่อคะนองจนเกินไป มันทำความทุกข์ให้เจ้าของทั้งนั้นแหละสิ่งเหล่านี้ เมื่อต้องการอะไรต้องวิ่งเต้นต้องดีดต้องดิ้นนั่นละความทุกข์ อะไรไม่จำเป็นไม่ดีดกับมันก็ไม่ทุกข์ ไม่ดีดไม่ดิ้นก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าดีดดิ้นเท่าไรยิ่งเป็นทุกข์มาก

คนหนึ่งเนื้อที่บ้านที่อยู่อยากได้อย่างน้อยขอให้ได้สัก ๑๐ ไร่ ที่อยู่ของบ้าน ๆ หนึ่ง ให้มันกว้าง คือทุกอย่างกิเลสมันต้องกว้าน ไม่มีคำว่าพอ มีแต่กว้านเรื่อย เพราะฉะนั้นทุกข์จึงตามเรื่อย ๆ กว้านมากกว้านน้อยทุกข์มีมากมีน้อยไปตาม ๆ กัน ความรู้จักประมาณ ความพอดีทั้งเขาทั้งเราโลกนี้ก็ไม่ร้อน อันนี้คนหนึ่งไม่ดีดคนหนึ่งดีด คนหนึ่งอยู่เฉย ๆ คนหนึ่งมายุมาแหย่ ตกลงมันก็เป็นตมเป็นโคลนไปด้วยกันหมดเลยโลกอันนี้ เพราะคนชั่วก็ยิ่งมีมากคนดีมีน้อยกำลังต้านทานไม่พอ

เมื่อวานนี้เดินเข้าไปข้างในครัวตอนบ่าย ๔ โมง พูดไปสัมผัสเรื่องเทวบุตรเทวดา เลยพูดให้ฟัง พระผู้ท่านเชี่ยวชาญท่านชำนิชำนาญในสมัยปัจจุบันนี้เองยังมีอยู่แต่เหมือนท่านไม่รู้ พระท่านรู้เหมือนไม่รู้ ไม่เหมือนฆราวาสไม่เหมือนคนทั้งหลาย พระท่านรู้ก็เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมด๊าธรรมดา อันใดจะเป็นประโยชน์แก่ใครก็หยิบออกมา ๆ พูด เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า พระท่านอดข้าวภาวนา อดไปหลายวันเทวดากลัวท่านหิวกลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่นท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐาก มองเห็นกันเดินไปเดินมาเห็นอยู่ อากัปกิริยาแสดงอะไรเห็นอยู่เหมือนคน เห็นอยู่ชัด ๆ ในเวลาเงียบ ๆ นั้น

ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ก็เห็นอยู่ หลับตาก็เห็นลืมตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้นชัด ๆ เหมือนคนธรรมดา โอ๊ย อย่างนี้ไม่ได้นะเดี๋ยวเขาโจมตีพระแหลกนะ โจมตียังไง ก็มองเห็นกันอยู่นี้ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้ยังไง เทวดาเป็นผู้หญิง มีเหรอหลักธรรมหลักวินัย โอ๊ย ก็ทำให้เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละคนอื่นมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น เอาอาหารทิพย์มาให้ดื่ม พูดกันด้วยภาษาใจไม่ได้พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พระท่านบอกว่ากินไม่ได้ เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา บางทีก็นำอาหารทิพย์มาหากลางคืน นี่เวลานี้กลางคืนไม่กินก็อ้างไปเสีย แล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหารก็พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ยากลำบากกลัวเป็นกลัวตาย ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวทิพย์แหละมาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป ไม่เอาถ้ากลัวตายไม่ต้องอด พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น

กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูง ๆ บนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียว มารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้าเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้างว่าเสือว่าอะไรเทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์พวกเปรต พวกผีอะไรไม่ให้เข้ามา เทวดารักษาอยู่ นี่อย่างนี้ก็มีฟังเอา แต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ....เบา เบาเหมือนสำลี ลงมาเหมือนสำลีปลิวลงมา ขึ้นก็เหมือนสำลี เดินแบบธรรมดาเรานี้ก็ได้ ได้ทุกแบบ แบบสำลีมาก็มี แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้ยังไง ๆ อิริยาบถใดควรจะใช้ยังไงใช้ได้ทั้งนั้น

ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกล ๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระละซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตายก็มานิมนต์พระท่านไปกุสลาให้ ใครตายก็ตามในเขาต้องมานิมนต์ท่านไป กุสลา ธมฺมา ทีนี้พอคนตายทางพระนี้รู้แล้วนี่ โห แล้วกันพรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว ไม่ได้กินข้าวนะเป็นเวลาพระท่านอดอาหารภาวนา ก็ต้องเดินทางไปกุสลาให้เขาในหมู่บ้านนู่น เอาอีกแล้วคนตายแล้วตายในบ้านโน้น รู้แล้วทางนี้คนตายในบ้านอีกแล้ว บางทีก็รู้ขึ้นภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่าคนตายแล้วนะอย่างนั้นก็มี มีได้หลายทาง มาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี บอกอะไรก็จริงทั้งนั้น พอประมาณสัก ๑๐ โมงเช้าเขาขึ้นภูเขามาแล้ว มาอะไรล่ะ คอยฟังคำตอบ มานิมนต์ไปโปรดสัตว์ แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีผิดไม่มีเคลื่อนเลย พอตื่นนอนขึ้นมาเอาแล้ววันนี้เตรียมกุสลาแล้ววันนี้ พอ ๙ โมงเช้าหรือ ๑๐ โมงเช้าคนโผล่ขึ้นไปแล้ว อะไรล่ะโยม โอ๊ย นิมนต์ไปโปรดสัตว์

พวกเรามันพวกตาบอดไม่เห็น ท่านผู้ตาดีท่านเห็นธรรมดาเหมือนเราตาดีเห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ละสิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมดผิดที่ตรงไหน นี่ละเครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนามีอยู่หมดเลย ตั้งแต่อริยสัจเป็นต้นเป็นแกน ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปหาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรตพวกผีพวกอะไร ๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา ต้นศาสนาคืออริยสัจ กิ่งก้านสาขาแตกออกไป ออกไปจากอันนี้หมด ถ้ากิ่งก้านสาขาเหล่านั้นไม่จริง อริยสัจอันเป็นแกนของศาสนาก็ไม่จริง กิ่งนั้นไม่จริงต้นไม้นี้ก็ไม่จริง เพราะกิ่งไม้นั้นเป็นกิ่งก้านของต้นไม้นี้และจะมาหาต้นไม้นี้ ออกมาจากต้นไม้นี้ กิ่งนั้นเป็นกิ่งของต้นไม้นี้ ถ้าปฏิเสธกิ่งก็ต้องปฏิเสธต้นด้วย ถ้าปฏิเสธต้นไม่ได้ก็ปฏิเสธกิ่งไม่ได้

นี่ก็เหมือนกันสิ่งเหล่านี้เป็นเครือเป็นกิ่งของศาสนาทั้งนั้นที่ท่านแสดงไว้ พวกเปรตพวกผีพวกนรกอเวจีที่ออกไปจากนี้กระจายมองไปเห็นหมด เหมือนอย่างอริยสัจนี้เป็นต้นเป็นแกนแล้วก็ยืนตัวอยู่ที่นี่ มองไปรอบด้านรอบสาขาก็เห็นหมด ท่านนำธรรมมาสอนอย่างนั้นสอนโลก พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเล่น ๆ เมื่อไร จึงว่าไม่ใช่ของเล่นไม่ใช่ขมิ้น เห็นทองคำทั้งแท่งเป็นขมิ้นไปได้เหรอ

สอนโลกก็ล้วนแล้วแต่สิ่งที่โลกไม่เห็น พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นนำมาสอนโลกทั้งนั้น เพราะมันโง่จึงได้มาสอนพูดง่าย ๆ ว่างั้น ไม่เห็นจึงได้มาบอกให้เห็นให้รู้ให้ละให้บำเพ็ญ สิ่งใดที่เป็นภัยไม่เห็นก็บอก อย่าทำอย่างนั้นมันจะไปตรงนั้น อย่าทำอันนี้มันจะไปตรงนี้ ให้ทำอย่างนั้นจะไปตรงนั้น ท่านสอนไว้หมด สอนไว้ตรงไหนจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ เพราะฉะนั้นให้ฟังให้ดีนะคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีเคลื่อนคลาดนะ อย่าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตายแล้วสิ่งทั้งหลายจะลบล้างไปนะ ไฟอยู่ในเตามันก็ร้อน เรานั่งเฝ้าเตาไฟอยู่มันก็ร้อน เราออกมาจากเตาไฟแล้วไฟก็ร้อนอยู่นั้น ไฟเป็นไฟไม่สำคัญที่คนจะเข้าคนจะออกจากเตาไฟ ไฟเป็นไฟอยู่งั้น นี่นรกเป็นนรก สวรรค์เป็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นพรหมโลก นิพพานอยู่อย่างนั้นตลอด แล้วมีตลอดไปธรรมชาตินี้เป็นหลักธรรมชาติ เป็นขึ้นจากกรรมของสัตว์ผู้เกี่ยวข้องเอง

ถ้าใครหูหนวกตาบอดพวกปทปรมะ หูหนวกตาบอดมืดตื้อแปดทิศแปดด้านแล้วก็ไม่ยอมฟังเสียงพระพุทธเจ้า ยอมฟังแต่เสียงกิเลสอย่างเดียว จริงจังกับกิเลสอย่างเดียว ตายแล้วก็ลงนรกจริง ๆ จริงเหมือนกันนั่นแหละ นรกก็จริงเผาเอาแหลกไม่มีเนื้อมีหนังติดตัวแต่ไม่ตาย สัตว์นรกนี้เป็นสัตว์ที่เสวยกรรม ไม่ให้ตายนะ เปื่อยไปหมดยังเหลือแต่กระดูกก็ไม่ตาย ดิ้นอยู่นั้นแหละ จนกระทั่งหมดกรรมเมื่อไรถึงจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติขึ้นมา ถ้าไม่หมดตราบใดก็ยังอยู่ตราบนั้น กรรมมหันตทุกข์ กรรมที่หนักมากเป็นประเภทหนึ่ง กรรมที่อ่อนลงมาเป็นประเภทหนึ่งเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ เป็นหลักธรรมชาติที่เป็นของเขาเองใครไปแตะไม่ได้นะ

วันนี้ก็พูดเท่านั้นแหละ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก