คนไม่กลัวทุกข์ได้แต่ทุกข์นั่นแหละ คนไม่กลัวบาปได้แต่บาป เพราะของเหล่านี้มีอยู่ในโลก มีมาดั้งเดิมมีมาประจำแต่ไหนแต่ไรมา เพราะฉะนั้นศาสนาจึงต้องมีเป็นน้ำดับไฟ ชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านี้ ไฟคือพวกบาปพวกกรรม คนไม่มีบาปก็คือคนบุญ ใจสะอาด อยู่ไหนก็สะดวกสบาย ตายไปแล้วก็เป็นสุข คนทำบาปทำกรรมนี่อยู่ในโลกก็เป็นทุกข์ ตายไปแล้วก็เป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ฟังแต่ว่าทุก ๆ พระองค์มาตรัสรู้องค์ไหนจะต้องแสดงเรื่องบาปเรื่องกรรม กรรมแปลว่าการกระทำของสัตว์เพื่อจะเป็นบาปเป็นบุญ ขึ้นต้นขึ้นกรรมนี้แหละก่อน เป็นบาปเป็นกรรมเพราะการกระทำไม่ดี แล้วก็เป็นผลขึ้นมาให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน ดูอย่างพระเทวทัตที่ทำลายพระพุทธเจ้า เพียงเท่านั้นก็เป็นบาปเป็นกรรมหนักหนา ท่านแสดงไว้ในตำรานี่ โอ๋ย สะดุ้ง ๆ นะอ่านในตำรา แหลมหลาวเหล็กบาปกรรมไม่เหมือนเหล็กธรรมดา ทุกข์ด้วยอำนาจแห่งบาปแห่งกรรมในนรกไม่ได้ทุกข์ธรรมดาเหมือนเราทุกข์ ทุกข์ผิดแปลกไปหมด ไฟนรกก็ไม่เหมือนไฟธรรมดา เผาก็ไม่เผาธรรมดา ฟังแต่ว่าไม่เหมือนเรา ๆ ท่านก็เอาไฟมาเทียบเท่านั้นแหละ อันนั้นลึกซึ้งและละเอียดมากยิ่งกว่าไฟอันนี้อีก ไฟในเตาเรานี้ไม่เหมือน แต่ไม่มีอะไรจะเทียบก็เทียบไปอย่างนั้นแหละ ไฟนรกแหลมเอามากเทียว
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นับจากพระองค์แรกมาเลย ตรัสรู้องค์ไหนขึ้นมาจะมาแสดงเรื่องบาปเรื่องกรรม กรรมคือการทำของสัตว์ สัตว์เคลื่อนไหวตลอดเวลาเป็นการกระทำ เคลื่อนไหวทางใจทางกาย ถ้าเป็นคนก็ทางวาจา ที่เรียกว่ากรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แปลว่าการกระทำ แล้วก็เป็นบาปเป็นบุญขึ้นจากนั้น ผลของบาปของบุญก็เป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นในนั้นมากน้อยตามกรรมของตัวที่ทำลงไป
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่มีเว้น สอนแบบเดียวกันหมด สอนเรื่องนรกก็ดี สอนเรื่องสวรรค์ก็ดี พรหมโลกนิพพานก็ดี เรื่องบาปเรื่องกรรมก็ดี สอนแบบเดียวกันไม่มีเคลื่อนคลาดกันเลยทุก ๆ พระองค์ เพราะเห็นอย่างเดียวกันนี่จะเอาอะไรมาสอน ก็ต้องสอนอย่างที่เห็นอย่างเดียวกันนำมาสอน เห็นอยู่มีอยู่อย่างนั้น นำอันนี้มาสอนโลก
เพราะโลกจะเป็นผู้เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ บาปบุญคุณโทษนรกสวรรค์ นี้เป็นโลกคือหมู่สัตว์นั่นแหละเป็นผู้ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ จึงนำธรรมะมาสอนโลกนี้ให้รู้บาปรู้บุญรู้ดีรู้ชั่วรู้สุขรู้ทุกข์ เพื่อให้ได้ละเว้นในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย เราไม่เห็นท่านเห็นท่านมาบอก เราไม่รู้ท่านรู้ท่านมาบอก มาบอกสอนเรา ถ้าใครดื้อด้านหาญทำลงไปก็ไปโดนเอาอย่างนั้นแหละไม่เป็นอย่างอื่น ต้องโดนเอา ๆ ถ้าใครเชื่อคนนั้นก็ค่อยหลบภัยไปได้โดยลำดับ ๆ จนกระทั่งพ้นภัยไปได้โดยสิ้นเชิงดังพระอรหันต์ท่าน นี่คือผู้เชื่อพระพุทธเจ้า ใครไม่เชื่อก็จมลงไปเรื่อย ๆ
กิเลสมันไม่ให้เชื่อ ฟังเอานะ กิเลสเป็นข้าศึกของธรรม เป็นข้าศึกของความจริง กิเลสเป็นตัวจอมปลอมมันลบล้างความจริง เช่นว่านรกมีมันก็บอกว่าไม่มี มันหลอกสัตว์โลก สัตว์โลกก็ไม่เห็นอยู่แล้วก็ยิ่งเชื่อได้ง่าย ๆ ว่าสวรรค์ว่าบาปว่าบุญไม่เห็น เจ้าของก็ทำอยู่อย่างนั้นละหากไม่เห็น มันมืดหรือไม่มืดมนุษย์เรา ทำอยู่หลับตาทำไม่เห็น ถ้าลืมตาทำก็รู้ว่าสิ่งนี้ดีนี้ชั่วไม่ทำ แต่มันหลับตาทำจึงไม่เห็น มันมืดหัวใจ ไม่เห็นในหัวใจนั่นแหละจึงทำ ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรม อย่างฆ่าแกงกันอย่างนี้เป็นบาปเป็นกรรม มันลืมตาทำ ตานอกมันลืมตาในมันหลับ มันไม่เห็นบาปเห็นกรรมก็ไปจมเอา ๆ อย่างนั้นแหละ
มันหนามันแน่นจริง ๆ เรื่องกิเลส ไม่ใช่หนาธรรมดา หนาจนสัตว์โลกหลับตลอดเวลาไม่มีเวลาตื่น ตื่นก็ตื่นแต่ร่างเฉย ๆ หัวใจไม่ตื่น ไม่ตื่นบาปตื่นกรรมไม่กลัวบาปกลัวกรรม มันก็ทำแต่บาปขนเอาแต่กองทุกข์มาใส่หัวใจเจ้าของ ตายแล้วก็จมลงไป ๆ นิมนต์พระมาทั่วประเทศไทยมา กุสลา ธมฺมา ๆ ลม ๆ แล้วไปอย่างนั้นละ ผู้นั้นมันจมไปแล้วกุสลา ธมฺมา ก็ไม่มีความหมายอะไรถ้าเจ้าของไม่ กุสลา ธมฺมา เจ้าของเสียตั้งแต่เวลามีชีวิตอยู่
กุสลา แปลว่า ธรรมยังบุคคลให้ฉลาด สร้างแต่ความดี แปลว่าอย่างนั้น อกุสลา ธมฺมา ธรรมที่ยังคนให้โง่ สร้างแต่ความชั่วช้าลามก เขาสร้างความดีเต็มบ้านเต็มเมืองไม่มองไม่ดู ชอบใจแต่สิ่งนี้จะทำแต่สิ่งนี้อย่างเดียว ๆ สิ่งนี้คือความชั่ว ตายแล้วก็ขนเอาแต่ความชั่วมาเผาตัวเอง พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ เพราะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้สด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกันหมดในบรรดาธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ ไม่มีอะไรจืดจาง ไม่มีอะไรเบาบางลงไป มีน้ำหนักเท่ากันตลอดเวลา
เพราะสิ่งที่กล่าวถึงนั้นมีอยู่ตลอดเวลา ว่าบาปว่าบุญก็มีอยู่กับบุคคล ใครเอื้อมออกไปทำก็เป็นบาปทันทีเพราะทำบาป ทำบุญก็เป็นบุญ ทำบาปเป็นบาป ใครไม่กลัวก็ตกลงไป ๆ เรื่อย ๆ อย่างที่พระอานนท์ทูลถามคนไปสวรรค์กับคนลงนรกมีมากต่างกันอย่างไรบ้าง พระองค์ทรงแสดงว่า คนไปสวรรค์เท่ากับเขาโค คือโคตัวหนึ่งมันมี ๒ เขาเท่านั้นแหละ คนไปสวรรค์เท่ากับเขาโคแต่คนลงนรกเท่ากับขนโค ฟังซิ ขนมันมากไหมขนโค เขาโคมี ๒ เขา ขนโคเต็มตัว นี่ละคนหลั่งไหลลงนรกเป็นอย่างนั้นละ เพราะไม่กลัวบาปกลัวกรรม ดูหัวใจใดก็มีแต่หัวใจกล้าหาญต่อบาปต่อกรรม มีแต่หัวใจขนโค ๆ ทั้งนั้น ไม่มีหัวใจเขาโคเลยจะว่าไง พวกเราพวกขนโค พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงให้เป็นเขาโคซิ มันแก้ได้เวลานี้ตายแล้วแก้ไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาสอนก็สอนแบบเดียวกันนี้ เพราะสอนตามสิ่งที่มี จะให้เลิศเลอไปยิ่งกว่านี้ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมอยู่แล้วจะเอาอะไรมาแข่ง ท่านสอนว่าอย่างไรก็จริงอย่างนั้น
คิดดูอย่างที่พระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นพระราชบิดาของพระนางพิมพายโสธรา เป็นพ่อตาของพระพุทธเจ้าเรา ลูกชายไปก่อกรรมก่อเวรกับพระพุทธเจ้าอยู่ในเพศของพระ พระเจ้าสุปปพุทธะที่เป็นพ่อตาก็ก่อกรรมก่อเวรอยู่ข้างนอก จนกระทั่งสุดท้ายจะไปไม่ไหวจริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงออกอุทาน โอ้โห กรรมของสัตว์ พระเจ้าตาของเรานี้สร้างกรรมหนักมากตายแล้วจะถูกแผ่นดินสูบ สูบที่ไหน พระเจ้าสุปปพุทธะก็ทราบว่าจะถูกแผ่นดินสูบ จะสูบเราที่ไหนได้ จะสูบภายใน ๗ วัน เอ้า วันคำรบ ๕ คำรบ ๖ เราจะขึ้นไปอยู่บนหอปราสาทชั้น ๗ แล้วแผ่นดินจะสูบเราได้ยังไง
เรื่องก็ย้อนมาถึงพระพุทธเจ้าอีก ว่าพระเจ้าสุปปพุทธะพูดท้าทายพระองค์ว่า คำพูดของพระพุทธเจ้าไม่จริง ว่าพระเจ้าสุปปพุทธะจะขึ้นไปอยู่ชั้น ๗ แผ่นดินจะสูบได้ยังไง เพราะฉะนั้นคำพูดของพระพุทธเจ้านี้จึงเป็นคำพูดที่เป็นโมฆะ โกหกเชื่อถือไม่ได้ ทางนี้ก็ออกรับกันเลย อย่าว่าแต่อยู่เพียงชั้น ๗ เลย ให้ไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ก็ไปเถอะ ไม่มีใครเหนือกรรมได้ในโลกนี้ พระเจ้าสุปปพุทธะซึ่งเป็นพระเจ้าตาของเรานั้นจะต้องถูกแผ่นดินสูบ ที่เชิงบันไดหอปราสาทนั้นในวันคำรบ ๗ ตอนเช้าแน่นอนไม่สงสัย นั่นปักลงไปเลยเทียวว่าภายในวันคำรบ ๗ ที่เชิงบันได บอกเชิงบันไดด้วยตอนเช้า บอกขนาดนั้นแหละ
ทีนี้สะดุ้งละ ทางนี้ก็นำข่าวไปกราบทูลว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างนั้น เออ คราวนี้จะรู้สึกโทษสักนิดหนึ่ง ตามปกติพระพุทธเจ้านี้รับสั่งอะไรแล้วไม่เคยเคลื่อนคลาด รับสั่งอย่างไรแล้วเป็นอย่างนั้น ๆ นี่เรื่องของเรานี้จะเป็นเรื่องเคลื่อนคลาดไปได้เหรอ ทำให้คิดแล้วนะ อ่อนใจแล้วที่นี่ จะยังไงเราก็จะขึ้นหอปราสาทชั้น ๗ แล้วแผ่นดินจะสูบเราด้วยวิธีใด อยากรู้วิธีแผ่นดินสูบ ขึ้นไปอยู่หอปราสาทชั้น ๗
ทีนี้มีม้ามงคลตัวหนึ่งซี ม้าทรงของพระราชาอยู่ท้องพระโรงคึกคะนองใหญ่วันนั้น ตั้งแต่เช้ามืดเลยเทียว ถีบคอกปึ๊ง ๆ ๆ เสียงลั่น เสียงอะไร เสียงม้าพระองค์นั่นแหละ เสียงม้ามงคล เอ้อ ม้านี่วันนี้ก็ชอบกลนะ คือธรรมดาม้านี้เวลาคึกคะนองขึ้นมานี่พระองค์ทรงลูบหลังเท่านั้น พระเจ้าสุปปพุทธะเจ้าของนั่นแหละลูบหลังแล้วก็สงบทันทีเลย วันนั้นอยู่หอปราสาทชั้น ๗ ละซิ ม้าก็คึกคะนองอยู่ข้างล่างลูบหลังไม่ได้ซิ เสียงมันดังขึ้นเรื่อย ๆ จวนเวลาเข้ามาเท่าไรเสียงนั้นก็ยิ่งดัง
เสียงกรรมนั่นแหละไม่ใช่เสียงอะไร ม้าเป็นแต่เพียงตัวเหตุอันหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นตัวนิมิตเครื่องหมายต่างหาก เครื่องหมายของกรรม ก็ยิ่งคึกคะนองขึ้นเหมือนท้องพระโรงจะแตกทีเดียว ก็โผล่ออกมาหน้าต่างละซีพระเจ้าสุปปพุทธะ โผล่ออกมาหน้าต่างมองลงไป พอโผล่ออกมาก็หล่นตูมเลยตกลงไปเชิงบันไดนั้นแผ่นดินสูบ ในเวลาที่ว่าสถานที่ที่ว่าด้วยไม่ผิดพลาดเลย
นั่นแหละคำพูดของพระพุทธเจ้าจึงได้มีพระนามว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นี้แม่นยำเหมือนกันหมด ไม่มีเคลื่อนคลาดเลย เรียกว่า เอกนามกึ คืออะไรแปลว่าหนึ่งไม่มีสอง แปลแล้วว่าอย่างนั้นนะ อะไรคือหนึ่งไม่มีสอง คือพระพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติครั้งละพระองค์เท่านั้นไม่มีสองเป็นคู่แข่งกันเลย เพราะการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสอนโลกนี้ เป็นของที่ยากมากที่สุด ผู้ไม่สละเอาเสียจริง ๆ แล้วเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ต้องขาดวรรคขาดตอนล้มเหลวไปในกลางคันไปเสียไม่ได้ถึงจุดหมายปลายทาง เป็นของยากขนาดนั้นความมาเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ส่วนมากมักล้มเหลว ตั้งความปรารถนาพุทธภูมิไว้ก็ล้มเหลว ๆ
ยกตัวอย่างไม่ใช่เป็นการดูถูกพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานะ เรายกเอาเป็นข้อเทียบเคียง ท่านก็ปรารถนาเป็นพุทธภูมิเหมือนกันพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี่ ครั้นปรารถนาไป ๆ พอภาวนาเข้าไปจะถึงเข้าด้ายเข้าเข็มจิตมันประหวัด ๆ ถึงพุทธภูมิ แล้วถอยออกมาเสีย พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไรมันจะประหวัดถึงพุทธภูมิแล้วถอยออกมาเสีย ทีนี้ท่านก็เลยทอดธุระ เป็นพระพุทธเจ้าก็ดีเป็นสาวกก็ดี เป็นผู้สิ้นกิเลสด้วยกัน ก็ถึงนิพพานด้วยกัน เอาละเป็นสาวกก็เอาละ ไม่เป็นพระพุทธเจ้า เลยปล่อย เห็นไหม ท่านเลยปล่อยเสียไม่เอา
เรายกเป็นข้อเปรียบเทียบ ความยากความลำบากมันยากลำบากขนาดนั้นละ ทางสาวกง่ายกว่า เลยหมุนมาทางสาวก เอ้า เป็นสาวกก็สิ้นทุกข์เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า พอปล่อยจากนั้นแล้วจิตก็หมุนติ้วเข้าเลยท่านก็ผ่านไปเลย นี่ละความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นของเกิดได้ยาก อุบัติได้ยาก จึงเป็นได้ทีละพระองค์ ๆ เท่านั้น นี่ก็เรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสองคือพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาเป็นศาสดาสอนโลกนี้ ได้เพียงครั้งละองค์เท่านั้น ไม่มากกว่านั้นเพราะเป็นของที่อุบัติได้ยากมากที่สุด ไม่มีอะไรยากมากยิ่งกว่าความอุบัติของพระพุทธเจ้า
เอกนามกึ อันที่สองก็คือ พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จะเหมือนกันหมด ไม่มีความเคลื่อนคลาดเลย ทรงเล็งญาณดูยังไง ๆ ว่าเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น นี่ที่สอง แล้วก็พระวาจาอีก ทรงรับสั่งอย่างไรแล้วเป็นอย่างที่รับสั่งไม่เป็นอื่น เรียกว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง คืออะไร ก็คือพระพุทธเจ้าทรงอุบัตินี้หนึ่ง พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าหนึ่ง พระวาจาที่รับสั่งอะไรแล้วไม่มีเคลื่อนคลาดหนึ่ง เช่นอย่างสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนี้ ก็ชอบไม่มีเคลื่อนคลาด สด ๆ ร้อน ๆ เป็นศาสดาแทนพระองค์ได้โดยสมบูรณ์เหมือนกัน เรียกว่า เอกนามกึ
นี่พูดถึงเรื่องอำนาจแห่งกรรมมันทำ เป็นอย่างนั้นแหละ เป็นไปอย่างนั้นแหละ พระเจ้าสุปปพุทธะก็เป็นไปอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นได้อีกเหมือนกัน เราไม่เชื่ออย่างพระพุทธเจ้าเราจะเชื่อใคร ก็แสดงว่าเราหนาที่สุดนะ องค์ศาสดาองค์เอก เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเคารพนับถือเชื่อหมดเลย แต่เราเป็นมนุษย์ตัวเท่าหนูนี่เชื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยึดพระพุทธเจ้ามาเป็นสรณะของตัวเองด้วยความเชื่อถือและปฏิบัติตามเท่านี้ก็ไม่ได้แล้ว แสดงว่าพวกเรานี่หนามากจริง ๆ นะ ให้ไปพิจารณาตัวเอง
มันฝืนอยู่ตรงไหนแก้ตรงนั้น ฝืนตรงไหนคือกิเลสนั่นแหละ คือมารของเราเองมาทำลายเรา ให้เราแก้ตรงนั้น แก้จนกระทั่งถูกต้อง ๆ เพราะมารไม่มีอยู่ที่ไหน กิเลสมารก็กิเลสของเราเองมาเป็นมารสำหรับตัวเราเอง ให้พยายามแก้ไขกัน ถ้าลงเชื่อถือพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้วก็แสดงว่าหมดคุณค่าเสียจริง ๆ มนุษย์คนหนึ่ง ๆ ก็คือเรานี่แหละที่หมดคุณค่ามากที่สุดไม่มีใครเกินถ้าเชื่อคนอย่างพระพุทธเจ้าไม่ได้ โลกทั้งโลกเขาเชื่อพระพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น เขายึดพระพุทธเจ้าเป็น สรณํ คจฺฉามิ แต่เรายึดไม่ได้ ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำอย่างไร มันเลยทุกอย่างแล้วนะ ให้แก้ไขตัวเอง
คำพูดของพระพุทธเจ้าเป็นเขตเป็นแดนเป็นฝั่งเป็นฝาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ทุกอย่าง ไม่มีเคลื่อนคลาดจากหลักความจริง ๆ จึงเรียกว่าเป็นฝั่งเป็นฝา กิเลสไม่มีฝั่งมีฝา ลุกลามตลอดเหมือนไฟได้เชื้อ ลุกลามไปตลอด ไม้ก็ไม่มีลำเป็นลำตายไหม้ได้หมด แม้ที่สุดเหล็กก็ไหม้ได้ กิเลสเป็นอย่างนั้น กินไม่เลือกคือกิเลส กินไม่เลือก กินไม่พอ กินไม่อิ่ม คือกิเลส อะไร ๆ ก็ไม่อิ่ม อะไร ๆ ก็ไม่พอไม่เลือก เอ้า ไสเข้าไปซิเข้าไปหาไฟ ไม่เลือกเผาแหลกหมด อะไรแหลกหมด
นี่ละไฟกิเลสตัณหามันอยู่ภายในจิตใจของใครมันก็กินไม่เลือกเหมือนกัน กินได้หมดกินไม่เลือก กินไม่อิ่มกินไม่พอ หิวโหยตลอดเวลา ความหิวโหยมันสร้างกองทุกข์ให้มากขนาดไหนก็ไม่รู้ตัวเอง หิวอยู่เรื่อย ๆ ทุกข์อยู่เรื่อย ๆ ตลอดไป พยายามสร้างธรรมะให้มีความอิ่มพอขึ้นภายในจิตใจ จิตใจจะได้เอิบอิ่ม อยู่ที่ไหนก็สะดวกสบายคนมีบุญ
วาระสุดท้ายมันทิ้งด้วยกันนั่นแหละหมดโลกอันนี้ ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้นะ ตายด้วยกันทั้งนั้น เวลามีชีวิตอยู่อะไรที่เป็นเครื่องเกี่ยวข้องกับเราที่เราจะนำมาเป็นประโยชน์ ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมให้รีบทำ ขวนขวายทำเสียในบัดนี้ ตายแล้วสลัดปัดทิ้งหมดทุกอย่างนะไม่มีอะไรเหลือ ไม่ว่าญาติมิตรเพื่อนฝูงศฤงคารบริวาร ทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของ ผลที่สุดร่างกายเจ้าของก็ทิ้ง เอาไปไม่ได้เลย ทิ้งหมด นั่นละเรียกว่าตัดสิทธิ์ตัดขาดตัดญาติตัดมิตรสาโลหิตติดพันขนาดไหนตัดหมด ผลที่สุดร่างกายก็ตัด ไม่มีอะไรเหลือเลยเวลานั้นก็คือเวลาตาย
เวลานี้เรายังไม่ตาย ให้พยายามสร้างคุณงามความดีไว้ ฝึกฝนอบรมตนให้ดี จิตใจไม่มีธรรมเป็นเครื่องยึดหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ คิดเมื่อไรพับอย่างนี้ให้มันเกิดความอบอุ่นซิ พอคิดถึงเรื่องตายนี้มันดีดดิ้น มันจะเป็นจะตายเวลานั้นแล้วพอคิดถึงเรื่องความตาย ทั้ง ๆ ที่กลัวตายแล้วมันดิ้นจะตายเวลานั้นด้วยซ้ำ มันกลัว นั่นแสดงว่าจิตไม่พอความดี ได้สร้างความชั่วไว้มากตายแล้วจมจริง ๆ ให้พยายามสร้างความดี พอระลึกถึงความตายนี้กระหยิ่ม ๆ ที่จะเร่งภาวนาความตายให้มากเข้า ให้ได้สติสตังมากขึ้น ๆ แล้วก็อบอุ่น
ถ้าธรรมมีภายในจิตใจมากน้อยจะเป็นความอบอุ่นขึ้นมา พอคิดถึงเรื่องความเป็นความตายจิตของเรามีที่เกาะที่ยึดแล้วมันเย็นนะ สบาย....เย็นมีสรณะ ถ้าไม่มีสรณะมีแต่ความชั่วช้าลามกอย่างเดียว พอคิดถึงเรื่องความตายมันจะเดือดร้อนมากที่สุดเลยนะ เงินทองข้าวของมีมากมีน้อยไม่ได้ไปคิดแหละ มันคิดแต่เรื่องเจ้าของจะตาย คือมันเดือดร้อนมาก ไม่มีที่เกาะที่ยึด
มันต่างกันนะคนมีบุญกับคนมีบาป คนมีบาปคิดถึงเรื่องตายไม่ได้ ไม่ให้คิดไม่ให้พูดถึงทั้ง ๆ ที่เจ้าของก็จะตายอยู่นั่นแหละหากไม่ให้พูดถึง พอพูดถึงมันเป็นไฟขึ้นมาทันทีในหัวใจ อย่างนี้แล้วยังไงก็แน่นอนที่จะจม พลิกตัวใหม่แก้ไขตัวใหม่ สร้างตัวให้เป็นคนดี สร้างคุณงามความดีด้วยการให้ทาน การรักษาศีล การภาวนาละชั่วทำดีไปโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าแก้ตัวเอง ทีนี้มาระลึกดูอีกความตายของเราเป็นยังไง ถ้ามันยังเดือดร้อนอยู่อีก เอาอีกเอาไม่ถอยความดีสร้างไม่ถอย
แล้วมาคำนวณอีกมาวัดมาตวงดู ถ้ามันยังมีความเดือดร้อนในเรื่องความตายอีก เอาอีก สร้างความดีให้พอ พอย้อนมาคิดทีนี้ เอาละที่นี่พอคิดถึงเรื่องความตาย ที่เกาะมีพร้อมแล้ว ที่ยึดมีพร้อมแล้ว สมมุติว่าอันนี้ขาดจับอันนี้ปุ๊บ อันนี้พังจับอันนี้ปุ๊บ มีที่ยึดที่จับ ร่างกายพังจับบุญจับกุศลปุ๊บ อบอุ่นที่นี่ เมื่ออบอุ่นแล้วทีนี้ก็สร้างความดีเรื่อยไป ยิ่งอบอุ่น ระลึกถึงความตายทั้งวันยิ่งสร้างความดีขึ้นทั้งวัน สร้างสติสตังขึ้นทั้งวันภายในจิตใจ ความตายที่เคยเป็นภัยต่อตนเองกลับมาเป็นบุญเป็นคุณไปแล้วที่นี่ เย็นไปหมดเลย
พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็ยังนึกถึง ได้เขียนไว้แล้วในหนังสือ เราพูดออกจากเทปนั่นก็มาเขียนใส่หนังสือแล้วว่ายังไม่อยากตายก็ยังมี หลวงตาบัวยังไม่อยากตาย นู่น ไปอยู่ภูเขาทางอำเภอบ้านผือ ลงมาจากภูเขามาพักอยู่ตีนเขา ที่ว่าเขาเป็นโรค ที่นั่นเขาเรียกโรคขัดอก เป็นโรคไข้ขัดอก เป็นสองวันสามวันตาย ๆ ถ้าใครเลย ๔ วันไปแล้วไม่ตาย มันจะตายอยู่ภายในสองวันกับสามวัน เป็นวันแรกก็ยังไม่ตาย พอวันที่สองเข้ามานี่ส่วนมากตาย วันที่สองที่สามตาย ถ้าที่สี่ที่ห้าไปแล้วก็ผ่านไปได้ มันเป็นเหมือนโรคระบาดนะ เราไปเห็นด้วยตาของเรามันถึงประจักษ์นะ
เขานิมนต์ไป กุสลา ธมฺมา โอ๊ย จะตายมันไม่ได้ภาวนา ไปเฝ้าป่าช้าอยู่นั้น ขนกันมาวันมาก ๘ ศพ วันน้อย ๓ ศพ ขนมาเผามาฝัง มีแต่โรคไข้เจ็บขัดอกทั้งนั้น เหมือนกับโรคระบาดนั่นแหละ สุดท้ายเราเลยไม่ได้มาวัด วัดอยู่ที่พักของเรานั่นแหละ พอตอนบ่ายนิดหนึ่งเขาก็มาเอาไปแหละ เพราะส่วนมากเขาจะเผาศพตอนบ่ายเขาไม่เผาตอนเช้า เป็นประเพณีของภาคอีสาน เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น ตอนเช้าไม่ค่อยเผา-เผาตอนบ่าย ทีนี้ตอนบ่ายเขาก็มาลากเราไป ไปก็ไป กุสลา ธมฺมา คนนี้มันตายมันไปไหนนาทั้งวัน ถามหาแต่คนตายไปกุสลาให้เขา ถามหาคนตายไอ้คนนี้มันตายมันไปไหนนาอยู่อย่างนั้น เลยไม่ได้กลับวัด
เดี๋ยวศพนั้นมาเดี๋ยวศพนี้มาอยู่อย่างนั้น เลยเฝ้าอยู่ป่าช้านั่นซิ เขาเรียกบ้านกะโหม-โพนทอง สองบ้านนี่แหละ บ้านใหญ่หลังคาเรือนเป็นร้อย ๆ ตาย โอ๊ย ตายเหมือนอุบัติเหตุนะ วันมากวันละ ๘ ศพ วันน้อยวันละ ๓ ศพ นี่ก็กุสลาทั้งวัน สุดท้ายก็มาเป็นเจ้าของเอง ไปกุสลาให้เขาทีนี้เวลาเจ้าของจะตายไม่มีใครกุสลาให้ เราต้องกุสลาเราเอง พอเป็นขึ้นมันรู้ อ๋อ เป็นโรคอย่างนี้เองที่ว่าขัดอก เป็นแล้วที่นี่เรา ขัดเข้าข้างในเหมือนหอกเหมือนหลาวแทงประสานกันในหัวอก หายใจแรงไม่ได้นะ ยิ่งจามนี้สลบไปเลย พวกจามนี่ไม่ได้ เวลาเราจามมันพุ่งอย่างนี้สลบไปเลย พอมันเป็นขึ้น โอ๊ย ตายที่นี่ใช่แล้ว อ๋อ โรคขัดอกเป็นอย่างนี้เองมาเป็นเราแล้วที่นี่
ไปกุสลาให้เขาก็บอกเขาที่ป่าช้าเลย ทีนี้มากุสลาให้ไม่ได้แล้วอย่าไปนิมนต์นะ นี่เป็นแล้วเวลานี้ เป็นอย่างนี้แหละ เข้าใจแล้วเรื่องไข้เจ็บขัดอกเป็นอย่างนี้เอง เหมือนหอกเหมือนหลาวก็เล่าให้เขาฟัง มันทิ่ม หายใจแรงก็ไม่ได้ พอบอกเขาแล้วก็กลับไปวัดมันก็เอาใหญ่เลย เราไม่อยากตายตอนนั้น ตอนที่ไม่อยากตายก็บอกว่าไม่อยากตาย แต่ให้เดือดร้อนไม่เดือดร้อน หากยังไม่อยากตาย ความไม่อยากตายนี่มีเป็นอารมณ์ของใจ โห ถ้าเราตายตอนนี้แล้วก็อย่างนั้นแหละ มันไม่สมมักสมหมายถ้าตายตอนนี้ ไม่สมความปรารถนาเต็มภูมิ ยังไม่อยากตาย
แต่ทีนี้เรื่องโรคอันนี้มันไม่ฟังซิอยากตายไม่อยากตาย มันทิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ ๆ สุดท้ายก็ย้อนกลับมา อยากตายไม่อยากตายเมื่อถึงกาลมันแล้วมันจะต้องเป็นของมัน เราจะมัวไปพะวักพะวนกับความอยากตายไม่อยากตายอยู่ทำไม มันเป็นยังไงก็พิจารณาซิ อริยสัจนี้เราเคยพิจารณามาแล้วตั้งแต่สมัยนั้น ๆ เวลานี้ขึ้นเวทีแล้ว เหมือนเวทีที่เราได้สู้กันมาแล้ว ก็เวทนาอันเก่าไม่ใช่หน้าไหนมาจากไหน เอาขึ้นเวทีเลยเป็นกับตายก็รู้กันที่นี่ อย่าไปหมาย
พอว่างั้นก็หมุนจิตเข้ามาปุ๊บใส่กันเปรี้ยง ๆ ปล่อยทิ้งหมดเรื่องเป็นเรื่องตายไม่สนใจ สนใจแต่ความจริง เอาความจริงออกหน้า ๆ จะเป็นก็ตามจะตายก็ตามขอให้รู้ความจริง ให้ตายกับความจริง เป็นก็เป็นกับความจริง ตายก็ตายกับความจริง ไม่ตายกับความกลัวความกล้าอะไร มันก็ใส่กันผึง ๆ ผ่านได้นะ ผ่านได้ในคืนวันนั้นสด ๆ ร้อน ๆ นะ มันจึงทำให้คิดอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าว่าไม่ใช่เป็นโรคระบาดทำไมหามกันออกมาวันหนึ่ง ๗ ศพ ๘ ศพ มันเหมือนโรคระบาดเหมือนโรคอหิวาต์นี่ ถ้าว่าเป็นโรคระบาดเวลาเป็นในเราไม่เห็นเป็นอย่างนั้น
พิจารณาเข้าไป ๆ เวลาทุกขเวทนามันโหมตัวเข้ามาเป็นอย่างนี้นะ มันเหมือนภูเขาทั้ง ๔ ด้านมาทับ เราอยู่ตรงกลาง ทางนี้ก็หมุนเข้ามา ๆ ทับเราอยู่ตรงกลาง ตรงกลางนี้คืออริยสัจมันก็ซัดอยู่ตรงนี้ซิ มันก็เบิกออก ๆ ภูเขา ๔ ทิศนั่นมันเบิกออก ๆ ตามต้อนกันพิจารณากันจนกระทั่งสุดขีด หายไปในปัจจุบันเลย จนกระทั่งแน่ใจว่า เอ้อ ที่นี่ไม่ตาย ขนาดนั้นนะ คือเอาปัจจุบันเลยนะถอนกันในปัจจุบันเลย ด้วยอำนาจแห่งการพิจารณาอริยสัจนี่ แล้วมันถอนกันในปัจจุบันในคืนวันนั้น ๖ ทุ่มกว่า ตั้งแต่หัวค่ำถึงหกทุ่ม มันถอนกันได้ แล้วก็แน่ใจเลยว่าทีนี้ไม่ตาย กำหนดดูตรงไหนไม่มีอะไรมาแผ้วมาพานความรู้ของเราที่สนุกพิจารณาอยู่นี้เลย ว่างไปหมด ร่างกายที่มันเสียดมันแทงนี้หายเงียบหมด แล้วหายไปตั้งแต่บัดนั้นเลยจนกระทั่งถึงป่านนี้จะว่าไง
ถ้าว่าเป็นโรคระบาดมันจะหายได้ยังไง ถ้าว่าไม่เป็นโรคระบาดทำไมมันขนกันมา หรือว่าโรคแบบลักษณะเดียวกัน เหมือนโรคคนแก่ว่างั้นเถอะนะ โรคคนแก่มันก็แก่ด้วยกันตายด้วยกัน อันนี้ไม่ใช่โรคระบาดมันโรคคนแก่ อันนี้มันก็จะเป็นโรคแบบเดียวกันกระมัง โรคที่ว่านี่ มันโรคแบบเดียวกันตายในระยะเดียวกัน ดินฟ้าอากาศคงจะมาผ่านให้เป็นพิษเป็นภัยอันใดอันหนึ่งแล้วขึ้นมาในระยะเดียวกัน ขนกันออกมา ๆ นี้เห็นชัด
นี่พูดถึงเรื่องยังไม่อยากตาย ก็บอกชัดเจนไม่อยากตาย ตอนนั้นยังห่วงยังใยอยู่ แต่จะว่าห่วงสมบัติเงินทองข้าวของไร่นาตะกร้าเหมือนญาติเหมือนโยมก็ไม่ห่วง ห่วงเพื่อนห่วงฝูงอะไรก็ไม่ห่วง ห่วงแต่มันจะค้างอยู่ในทุกข์เท่านั้น มันจะไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ห่วงเท่านั้นยังไม่อยากตาย ขอให้ถึงจุดหมายปลายทางแล้วไปเมื่อไรไปได้ทั้งนั้น นั่นความห่วง ห่วงเท่าไรเรื่องทุกข์ก็ยิ่งโหมตัวเข้ามา ๆ อ้าว ความห่วงเป็นห่วงตายมันเกิดประโยชน์อะไรล่ะ เรื่องทุกขเวทนาประเภทนี้เราก็เคยพิจารณามาแล้ว มันเวทนาหน้าไหน ก็เวทนาหน้าเก่าอริยสัจอันเก่า เอ้า ถึงกันวันนี้ ถึงไหนถึงกัน เป็นก็ตามตายก็ตามเราจะไม่สนใจ จะสนใจแต่ความจริงล้วน ๆ เท่านั้น มันก็ใส่กันเปรี้ยง หมุนติ้ว ก็มันเคยขึ้นเวทีมาแล้วมันจะถอยเมื่อไร พอปล่อยปุ๊บก็เข้ากันเลยซัดกัน มันถึงได้เบิกออก ๆ พอเบิกออกแล้วมันก็หายในปัจจุบัน
ถ้าว่าเป็นโรคระบาดมันจะหายได้เหรอ มันไม่หายนี่มันก็ต้องตาย อันนี้มันหายได้ในปัจจุบันเห็นประจักษ์อยู่อย่างนี้จะว่าไง อันนี้เราเห็นประจักษ์ชัดในเจ้าของ มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ คนทั้งแผ่นดินมาโกหกแบบไหนเราก็ไม่เชื่อ เราจะเชื่อเราคนเดียวนี้เท่านั้น นี่ละที่ว่าอจลศรัทธา เมื่อถึงขั้นตายตัวแล้วเอาอะไรมาถอนก็ไม่ขึ้น นี่ความเชื่อในธรรมหลักปัจจุบันคืออริยสัจ เป็นตายอะไรได้รู้จนชัดเจนแล้วเราจะเชื่ออะไรยิ่งกว่าเชื่ออันนี้ล่ะมันก็ลงได้ซิ
นี่พูดถึงเรื่องความตาย ถ้ามันจะตายจริง ๆ คิดถึงเรื่องความตายมันเดือดร้อนอยู่แล้วให้รีบสร้างความดีนะ ไม่งั้นกิเลสตัวนี้แหละจะไปสังหารเราไปทำลายเรา ไปตามรังควานเรา บีบบังคับเรา เอาบุญเข้าไปแก้ เอาคุณงามความดีเข้าไปแก้ สร้างความดีให้หนาแน่นขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วความกลัวตายนี้จะเบาลง ๆ เบาจริง ๆ นะไม่ใช่พูดเล่น เวลาประจักษ์ในหัวใจแล้วจะไม่กลัวตาย ตายเมื่อไรก็ไปเถอะเป็นแต่เพียงว่าเราไม่ได้บุญมากกุศลมากให้สมภูมิของเราที่ต้องการสมความปรารถนาที่ต้องการเท่านั้น ถ้าเสียใจก็เสียใจเพียงเท่านี้ไม่เป็นความเสียหาย เสียใจอย่างนี้
แต่เสียใจที่ว่าไม่ได้สร้างอะไรไว้เลยนี้เสียหายมาก ยิ่งเดือดร้อนมาก พอตายแล้วก็บึ่งลงเลย ผู้ที่ไม่เสียใจ เอ้า มาเมื่อไรพร้อมที่จะรับเรื่องความตาย เพราะทราบแล้วว่าเกิดกับตายเป็นคู่กันมาตั้งแต่วันเกิดแล้ว จะสงสัยไปไหน จะดิ้นรนไปไหน ตายก็ตายที่นี่ เกิดก็เกิดที่ร่างกายนี้ ตายก็ตายที่นี่ รู้กันที่นี่ มันก็หายห่วง
นี่พูดถึงเรื่องความกลัวตายอย่าว่าแต่โลกเลย เราเองผู้สอนโลกอยู่เวลานี้เราก็กลัวเหมือนกันกลัวตาย คือยังไม่อยากตาย จะว่ากลัวตายจริง ๆ มันก็ไม่กลัวนะ เป็นแต่เพียงยังไม่อยากตาย ให้มันได้อันนั้นเสียก่อนว่างั้นเถอะ แล้วค่อยไปเมื่อไรก็ไปเถอะ แต่นี้มันยังไม่ได้ พอหลังจากนั้นแล้วมันไม่เห็นกลัวนี่ เอ้า พูดจริง ๆ กลัวก็ไม่กลัว กล้าก็ไม่กล้า อยู่ตามหลักธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงกล้าสอนคนละซิ สอนออกมาจากหัวใจจริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างถอดออกมาจากหัวใจมาสอน ใครจะเชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็สุดวิสัย พระพุทธเจ้าท่านโปรดสัตว์จะเรียกว่าสัตว์นี้โปรดไม่ได้แล้ว ไอ้เราก็เป็นสัตว์อยู่แล้วไม่ทราบว่าจะโปรดใครต่อใครได้หรือไม่ได้ก็สุดเท่านั้น กรรมของสัตว์เท่านั้นละ กรรมของเขากรรมของเรา
เอ้า หันหน้าไปไหว้พระ วันนี้เทศน์นานนะ