ทุกอย่างอ่อนลง ๆ นะ หลักศาสนานั้นคงเส้นคงวา แต่ผู้ปฏิบัติศาสนานั้นอ่อนลง ๆ เราพูดถึงพระเรานี้ลงไป พระก็อ่อนลง ๆ กฐินตามพุทธบัญญัติจริง ๆ วัดที่จะรับกฐินได้ต้องมีพระจำพรรษาอยู่ตั้งแต่ ๕ องค์ขึ้นไปและไม่ขาดพรรษาด้วย รับกฐินได้ พระคันถรจนาจารย์ก็มาตีความหมายออกมาอีก ขยายออกมาอีก พระที่จำพรรษาไม่ครบ ๕ องค์ก็ได้ นิมนต์วัดอื่นมาเป็นสังฆปูรกะให้เต็ม ๕ องค์ก็ได้ ย่นเข้ามาแล้ว ทีนี้พระวัดหนึ่งมี ๒ องค์ก็เอาพระวัดอื่นมาเป็นสังฆปูรกะตั้ง ๓ องค์ เข้าไปอีกแล้วเดี๋ยวนี้ ก็อย่างนั้นแล้วอ่อนลง ๆ
ทีนี้การตัดเย็บย้อมจีวรให้เสร็จในวันนั้นตามหลักพระวินัย ทั้งตัดทั้งเย็บทั้งย้อมให้เสร็จในวันเดียว อันนี้สังฆมนตรี แต่ก่อนเป็นสังฆมนตรีนี่มาประชุมอนุโลมกัน ผ้าที่สำเร็จรูปมาก็ให้เป็นกฐินได้ นั่นเห็นไหมอ่อนลง ๆ แต่ก่อนต้องตัดต้องเย็บต้องย้อมให้เสร็จในวันนั้นไม่งั้นไม่เป็นกฐิน เมื่อตั้งสังฆมนตรีขึ้นมา ๙ ปี ๑๐ ปีย้อนหลัง ก็มาประชุมกันว่าผ้าสำเร็จรูปก็เป็นกฐินได้ คือเขาตัดเย็บย้อมมาแล้ว เช่นอย่างผ้าไตรอย่างนี้เอามาถวายก็ให้เป็นผ้ากฐินได้ แน่ะ อ่อนลง ๆ
กิเลสไม่ทราบว่ามันอ่อนลง ๆ หรือเป็นยังไง คือกิเลสแข็งขึ้นนั่นเองธรรมะถึงได้อ่อนลง กิเลสไม่แข็งธรรมะอ่อนไม่ได้ นี่กิเลสมันแข็งมันกดธรรมะลง อย่างนี้ละพูดตามพุทธบัญญัติ ผู้ไม่เคยได้ยินพุทธบัญญัติของพระก็ให้รู้เสีย เรื่องกฐินพุทธบัญญัติจริง ๆ พระต้องจำพรรษา ๕ องค์เต็ม ไม่ขาดพรรษาด้วย รับกฐินได้ นี่เป็นพุทธบัญญัติ พระคันถรจนาจารย์หรืออรรถกถาจารย์ก็มาแยกออกอีกว่า พระจำพรรษาไม่ครบ ๕ องค์ก็ตาม นิมนต์พระวัดอื่นเข้ามาเป็นสังฆปูรกะได้ ก็เป็นกฐินได้
ต่อจากนั้นมาผ้าสำเร็จรูป คือผ้านั้นต้องให้เย็บให้ย้อมตามพุทธบัญญัติ ให้เย็บให้ย้อมเสร็จในวันนั้น ตัดเย็บย้อมเสร็จในวันนั้นถึงจะเป็นกฐินอันสมบูรณ์ได้ นี่มหาเถรสมาคมก็ย่นลงมาอีกแล้ว ว่าผ้าสำเร็จรูปแล้วก็เป็นกฐินได้ แน่ะอย่างนั้นแล้วอ่อนลง ๆ ต่อไปนี้เห็นต้นฝ้ายต้นหญ้าในสวนเขาก็จะว่าเป็นกฐินได้ต่อไปนี้ โยม ๆ ฝ้ายนี่กำลังจะออกดอกเป็นกฐินได้แล้วนะ จะไปละนะต่อไปนี้ โห พูดแล้วเราทุเรศนะ อำนาจของกิเลสนี้รุนแรงขึ้นโดยลำดับลำดา ธรรมะนับวันอ่อนลง ๆ พากันนอนใจอยู่ไม่ได้นะ นี่ออกมาจากการดูตำรับตำราและการพิจารณาตามเต็มกำลังความสามารถแล้ว กำลังของกิเลสนี้แรงขึ้นทุกวัน รุนแรงทุกวัน ธรรมะอ่อนลง
แม้แต่ผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหลักศีลธรรมวินัยคือพระนี้ ก็ไม่เห็นมีหน้าที่การงานอะไรพอที่จะให้ลดหย่อนกันอย่างนั้นก็ยังหย่อนลง หน้าที่การงานอะไรของพระทุกวันนี้ยิ่ง......จักรมีสักกี่ล้าน ๆ ๆ คันในเมืองไทยเรา เย็บวันหนึ่งให้ได้สักกี่ตัวก็ได้ เย็บสบงผืนหนึ่งชั่วโมงเดียวเท่านั้นแหละ นี่เคยเย็บมาแล้วนี่ไม่ใช่คุย เคยเย็บมาแล้วสบงผืนหนึ่งเย็บชั่วโมงเดียวเสร็จ นี่ใช้จักรเย็บด้วย แต่ก่อนเย็บด้วยมือนะไม่ได้เย็บด้วยจักร ถึงขนาดนั้นยังให้เสร็จในวันนั้นถึงจะเป็นกฐินอันสมบูรณ์ได้
อยู่นี้มีอะไรจำเป็นของพระล่ะพอจะไปลดหย่อนขนาดนั้น พิจารณาดูซิ ถ้าไม่ใช่ความอ่อนแอของพระ ท้อแท้เหลวไหลโลเลของพระแล้วจะเป็นอะไร ตำหนิหมดนั่นแหละทั้งเขาทั้งเรา พระไม่พอ ๕ องค์ก็จะเป็นกฐินหาอะไร พุทธบัญญัติมีอยู่ศาสดามีอยู่ เอาใครไปแทนศาสดา เอาอรรถกถาจารย์นั่นหรือไปแทนศาสดา จะเป็นศาสดาได้เหรอ ศาสดาเป็นศาสดา อรรถกถาเกจิอาจารย์ก็เป็นเกจิอาจารย์ไป จะเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้าได้ยังไง นี่ถ้าพูดตามหลักธรรมวินัยก็ต้องเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ยังไง เราถือ สรณํ คจฺฉามิ คือพระพุทธเจ้า สรณํ คจฺฉามิว่ายังไง เราก็ต้องเอาตามนั้น ไม่เห็นมีเหตุผลกลไกอะไรที่จะไปลดหย่อนผ่อนผันกันอย่างนั้น ไม่ครบองค์ก็อย่ารับซิ ไม่รับกฐินมันจะตายก็ให้ตายดูซิน่ะ ก็เท่านั้น คนเราตั้งหน้าเข้าไปรักษาธรรมวินัยแล้วนี่ ลดหย่อนให้กิเลสหัวเราะทำไม
ผ้าก็สำเร็จรูปมาแล้วด้วย มีแต่มาตัดมาเย็บมาย้อม ตัดเย็บย้อมวันเดียวจะเอาสักกี่ผืน....สบง คือผ้า ๓ ผืนนี้ตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ เป็นสังฆาฏิ จีวร สบง ๓ ผืนนี้ตัวใดตัวหนึ่ง ถ้าเราจะตัดเย็บเป็นกฐินตัวใดก็เป็นได้ใน ๓ ผืนนี้ ตามหลักพระวินัยมีอย่างนั้น ส่วนมากเพื่อง่าย ๆ ก็เอาสบง ตัดสบง มิหนำซ้ำเลยไม่ต้องตัด เขาตัดมาให้คนขายเป็นเจ้าคัมภีร์ มาสำเร็จรูปเอาเลย ก็อย่างนั้นแล้ว หาเหตุผลที่จะหย่อนยานลงเพื่ออย่างนี้มันไม่มีนี่นะ เราก็เป็นพระเหมือนกันจึงทำให้อ่อนใจนะ มีความจำเป็นอะไร มันก็ต้องเพราะเหตุใดเข้าไปซิ เพราะเหตุนั้นชี้แจงกันออกมาตามเหตุตามผล นี่ไม่มี เพราะเหตุใดไม่มี ทำไมจึงเพราะเหตุนั้นขึ้นมา อยู่ ๆ ก็ไปหย่อนยานเอาเลยไม่มีสาเหตุ นี่ละอ่อนลงอย่างนี้แหละ ทุกอย่างอ่อนลง ๆ
หลักธรรมวินัยของศาสดาที่เป็นองค์แทนพระองค์ก็หมดไป ๆ อย่างนี้ พูดแล้วทุเรศนะ เพราะความรุ่มร้อน เพราะการหย่อนยานในธรรมในวินัยทั้งของพระของฆราวาสนะ มันรุ่มร้อนมากขึ้นทุกวัน ๆ ก็เห็นกันอยู่ผลของมัน พอธรรมะอ่อนลงกิเลสมีความรุนแรงขึ้น ผลของมันก็คือความทุกข์มันก็ไปทุกหย่อมหญ้าเวลานี้เห็นไหม นี่ละโทษแห่งความหย่อนยานในศาสนาเป็นอย่างนี้ ถ้าต่างคนต่างมีการปฏิบัติศาสนาหรือเคร่งครัดศาสนาแล้วความสงบร่มเย็นจะมีมากขึ้น ๆ นี่ผลของศาสนาก็เห็นอยู่นี่ แต่ไม่ทำตามจะทำยังไง มันดื้อด้านขนาดนั้นแหละ กิเลสมันอยู่ในคน คนจึงกลายเป็นคนดื้อด้านไปหมด ไม่ว่าพระว่าเณรดื้อด้านไปตาม ๆ กันหมด หาญสู้พระพุทธเจ้าซิ บวชมาแทนที่จะส่งเสริมพุทธศาสนากลับเข้าไปเป็นเทวทัตทำลายศาสนากันไปหมด ไม่ว่าท่านว่าเรามันพอ ๆ กันจะว่าไง เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
นี่ถ้าไม่มีศาสนาติดตัวแล้วหมดนะ เดี๋ยวไปหาแย่งหางหมาเรามีอยู่ ๑๐ ตัวไม่ได้นะ หางมันจำเพาะนะ มีตัวละหาง ๆ เท่านั้น ใครมาแย่งหางหมาเราไม่ได้นะ เราจะฟาดช่วยหมาด้วยนะ อ้าวทำตัวไม่มีศาสนาก็เป็นเหมือนหมา แต่ทีนี้เป็นหมาไม่มีหางละซิ เหตุที่หมาเราจะเดือดร้อนมาแย่งหางหมาเรา เราก็จะช่วยหมาเราซี ไม่ช่วย-ช่วยคนหย่อนยาน เราจะช่วยหมาเราให้ไล่กัดให้หลงทิศหลงทางไปละซิ มันน่าสลดสังเวชเอาจริง ๆ นี่นะ สิ่งใดที่จะเป็นความเสียหายไม่ต้องคิดถึงเหตุถึงผล เรื่องของกิเลสไม่มีละเรื่องเหตุเรื่องผล ถ้าธรรมมีเหตุมีผล เรื่องกิเลสแล้วไม่มี นี่ซิมันจึงทำให้คนหน้าด้าน คนไม่มีเหตุผลก็หน้าด้านเท่านั้นเอง
มันน่าอ่อนใจจริง ๆ นะเรื่องกิเลสหนาขึ้น ๆ แข็งขึ้น ๆ เรื่องธรรมะอ่อนลง ๆ จนจะไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้บ้านเรือนเราก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ไปหมด คิดดูซิคนแต่ก่อนทำลายกันง่าย ๆ เหรอ ไม่ได้ทำนะแต่ก่อน มีความอดทนมีความให้อภัย ความเฉลี่ยเผื่อแผ่ ต่างคนต่างเป็นคนนิสัยกว้างขวาง ให้อภัยกัน เดี๋ยวนี้มีที่ไหนเวลานี้ เอะอะฆ่ากันแล้ว ๆ คือไม่มีอรรถมีธรรม ไม่มีน้ำใจต่อกันเลย จะให้สมใจ สมใจกิเลสมันก็สมใจฟืนไฟนั่นแล้ว สร้างความทุกข์ให้ทั้งเขาทั้งเราจะมีเหลืออะไร เอะอะฆ่ากันแล้ว ๆ โห น่าทุเรศจริง ๆ นะ นี่ละความไม่มีธรรมก่อเหตุฉิบหายวายปวงได้อย่างง่ายดายอย่างนี้เอง
คับแคบตีบตันก็นับวันเข้าเดี๋ยวนี้ พ่อแม่กับลูกก็ต้องได้ซื้อกัน อะไร ๆ ก็ซื้อกัน เวลามันดูดนมแม่ไม่เห็นซื้อนมแม่ หือ ใครดูดนมแม่ได้ซื้อนมแม่ไหม ครั้นเวลาโตขึ้นมาแล้วขายของให้แม่มีอย่างเหรอ เดี๋ยวนี้มันเป็นแล้วนะ แม่กับลูกก็ซื้อขายกันแล้วเดี๋ยวนี้ แคบไหมมนุษย์เรา มันใจดำขนาดไหน มองดูตัวผู้ขายซิผู้มันเลว เลวมากนะเวลานี้ พ่อแม่กับลูกซื้อกันได้ลงคอนี่แสดงว่าเลวมาก กิเลสเห็นแก่ได้อย่างเดียว การซื้อการขายก็เป็นธรรมดาของโลกที่อยู่กัน ประสานกัน คนหนึ่งได้หนึ่ง ๆ แลกเปลี่ยนกันเป็นธรรมดา แต่พ่อแม่กับลูกนี่น่ะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน นมแม่เป็นนมแม่ไม่เห็นเอาอะไรมาเปลี่ยน ทุกวันนี้เขาเอานมวัวน่ะซี ต่อไปเขาจะเอานมหมามาให้กินมันก็ยิ่งจะเลวลงไป ๆ เรากลัวเหลือเกินนะเขาจะเอานมหมามาให้กินแล้วมันจะเป็นหมากันไปหมดบ้านหมดเมืองนั่นแหละ
กินนมแม่แล้วยังขายของให้แม่ได้ลงคอนี้ โอ๊ย สลดสังเวชนะ พ่อแม่กับลูกซื้อขายกันนี่มันสลดสังเวชจริง ๆ เรียกว่าใจดำมากจนไม่มองเห็นพ่อเห็นแม่ ลูกเต้าเหล่ากอของคนโบร่ำโบราณเรามีแต่กินนมแม่ทั้งนั้นแหละ ไม่ได้กินนมวัวนมหมาเหมือนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นคนจึงไม่ค่อยเป็นวัวเป็นหมา เดี๋ยวนี้คนเป็นหมาได้ง่ายนะเพราะกินนมสัตว์ มันก็ออกมาจากร่างกายของสัตว์ คิดดูซิแม่มีโรคอะไรนี่ลูกไปกินนมนี้ก็ติดไปด้วยเสียไปด้วย นั่นเกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนั้น อันนี้แม่เป็นหมาเป็นวัวเป็นควายนี้ คนไปกินนมมันก็เป็นวัวเป็นควายเข้าไปในนิสัยลักษณะในหัวใจจนได้นั่นแหละ แต่กินนมคนแท้ ๆ มันก็ยังแหวกแนวไปเป็นหมาได้ นี่ยิ่งกินนมหมาด้วยแล้วมันจะเป็นอะไรไม่รู้ มันจะกลายเป็นหนอนไปแล้วนะ พิจารณานะพูดให้ฟังนี่ มันหย่อนมันยานมันหลวมเหลวไหลขนาดนั้นเวลานี้
เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธแท้ ๆ เอาสมบัติจากพุทธศาสนามาประดับตนให้เป็นความสงบของบ้านเมืองมันเอามาไม่ได้นี้ทำยังไง แล้วศาสนาอยู่กับผู้ใดเวลานี้ คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ละเอียดลออสุขุมคัมภีรภาพมากทีเดียว ผู้ใดมาปฏิบัติสวยงามไปหมดไม่ว่าหญิงว่าชายนักบวชและฆราวาส ทีนี้มันไม่เอามาปฏิบัตินั่นซี เอามาประดับร้านเฉย ๆ ศาสนาประดับร้าน เวลานี้ศาสนากลายเป็นเครื่องลายครามเป็นของประดับร้านประดับกุฏิไปแล้วนะ เครื่องลายครามแขวนเต็ม นี่ศาสนาเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามศาสนา เห็นศาสนาเป็นทาสเป็นทาสีทาสาไปแล้ว เห็นกิเลสเป็นเจ้าใหญ่นายโตไปแล้วเวลานี้ ใครเดินเข้าไปมียศใหญ่ ๆ บ้าง เดินเข้าไปในวัดในวา โห ฟังเสียงอ้วด ๆ ๆ กิเลสมันแผลงฤทธิ์นะ มองดูแล้วสลดสังเวชนะ
พระก็มีหูมีตามีใจเหมือนกันทำไมดูโยมไม่ได้ โยมยังดูพระได้ ไปวัดใด ๆ ไปตรวจตราพาที เหมือนเรานี่มีอำนาจวาสนาบรรดาศักดิ์เอาเสียใหญ่โตเหนือธรรมะของพระพุทธเจ้า เหนือพระเหนือเณร ไปดูเหมือนกับว่าไปตรวจวิชาพวกพระพวกเณรเป็นยังไงกัน แต่เวลาพระดูตับเจ้าของไม่เห็นรู้ พระท่านก็คนนี่ ดูตับได้นี่ ตับคนก็มีเหมือนกันกับตับพระนี่
ให้พากันสำนึกตัวนะ หลวงตาตายแล้วไม่มีใครเทศน์อย่างนี้นะ ไม่มีที่จะเทศน์ให้ฟังซอกแซกซิกแซ็กตามกิริยาของกิเลสที่มันออกแสดง นี่ละกิริยาของกิเลสมันออกแสดง เราเทศน์ไปตามเรื่องของมัน ตามรอยมันเพื่อจะแก้กัน นี่เทศน์ซอกแซกซิกแซ็กไปเพราะกิเลสมันเป็นแบบนั้น เราก็เทศน์ซอกแซกซิกแซ็กตามแก้ตามไขกิเลสไป ใครจะว่าเทศน์หยาบนั้นยิ่งเป็นหมาตัวใหญ่ หมา ๑๐ ตัวเราสู้ไม่ได้ประเภทนี้ เพราะเทศน์สอนเพื่อให้รู้เรื่องรู้ราวความหยาบของกิเลส มันมีความละเอียดที่ไหน มันมีแต่ความหยาบโลนทั้งนั้น ธรรมะตามเข้าไปแก้กันทำไมธรรมะจึงหยาบโลน กิเลสเป็นของละเอียดลออเป็นของสวยของงามนักหรือ พิจารณาซิ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไม่ยอมรับความจริงแล้วหมด ศาสนาหมดในหัวใจคนไม่ยอมรับความจริง การแก้ไม่ตรงกับความจริงจะไปแก้ที่ไหน มันจะหายได้ยังไง
อ่อนลง ๆ ทางวัดทางวาก็ไปแบบคนละแบบ ๆ ทุเรศนะ ศาสนาเสื่อม-เสื่อมอย่างนี้เอง ๆ แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิด ทุกวันมันอดไม่ได้นะ มันคิด คิดก็บอกว่าคิดซิจะว่าไง ศาสนาเสื่อม-เสื่อมอย่างนี้เอง ว่า ๕,๐๐๐ ปีศาสนาหมด เรานึกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าหมดไปไม่มีอะไรเหลือเลย พวกเรานี้เอื้อมมือเอื้อมเปล่า ๆ คว้าน้ำเหลว ๆ เพราะศาสนาที่จะให้ปฏิบัติไม่มี ทั้ง ๆ ที่ชาวพุทธเราพอใจอยู่อย่างนี้ แต่ก่อนเราคิดไปอย่างนั้น ครั้นแล้วไม่เป็นอย่างนั้น
คำว่าศาสนาหมดนั้นหมดจากหัวใจคน คัมภีร์ใบลานไว้ยังไงก็อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เสื่อมไม่เสียไปไหน ไม่สูญไม่หายไปไหน ล็อกกุญแจไว้อย่างนั้น ปล่อยให้กิเลสเพ่นพ่าน ๆ ในหัวใจของสัตว์โลก ไม่ยอมรับบุญรับบาปว่ามีว่าเป็น ว่าเป็นความจริงอะไร อยากทำอะไรก็ทำตามอำนาจของกิเลสพาทำ ๆ ไม่มีหิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมต่อนรกอเวจี มีแต่ความอยากเต็มล้นหัวใจ อันนี้เองถึงมารู้ว่าศาสนาหมดอย่างนี้เอง กิเลสเข้าแทนที่หัวใจ ธรรมไม่มีถูกกิเลสเข้าไปแทนที่หมด คัมภีร์ใบลานเต็มอยู่นั้น แต่คัมภีร์ในหัวใจคนไม่มีนั่นซิ ศาสนาหมด-หมดด้วยความไม่ยอมรับนับถือไม่ยอมเชื่อ หมดตรงนี้
เวลานี้หมดเข้า ๆ เห็นไหมล่ะวัดวาอาวาสไปบ้านไหนก็มีทุกบ้านทุกเมือง แล้วเป็นยังไงคนถึงเลวนักหนา ถ้าจะเอาศาสนาเอาวัดเอาวาเป็นสรณะเป็นที่ยึดของจิตของใจ ของกายวาจาหน้าที่การงานความประพฤติแล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ก็แสดงว่าคนไม่ยึดไม่สนใจน่ะซิ สร้างหลวงตาไว้องค์หนึ่งประจำวัด ตายแล้วก็นิมนต์ไปกุสลา ธมฺมา เท่านั้นไม่เห็นมีอะไร มันน่าทุเรศจริง ๆ นะ นี่ละศาสนาหมดให้พากันพิจารณาเอา หมดที่หัวใจคน
ให้ย่นเข้ามาหาตัวของเรา อย่าไปว่าหมดจากหัวใจคนนั้นคนนี้นะ ดูหัวใจเรานั่นซิ ธรรมะท่านสอนลงนี้ โอปนยิโก น้อมเข้ามานี้มาสอนตัวเอง วันหนึ่ง ๆ จิตใจของเราหนักแน่นในทางธรรมกับทางโลกต่างกันอย่างไรบ้าง หนักไปทางไหนมาก จิตในวาระหนึ่ง ๆ คิดไปทางโลกกับทางธรรมมากน้อยต่างกันอย่างไรบ้าง ต้องคิดอย่างนั้นซิ เดินจงกรมอยู่มันคิดไปหาโลกกี่ครั้งกี่หน มันคิดหาธรรมกี่ครั้งทั้ง ๆ ที่เดินจงกรมอยู่นั้น เดินจงกรมหย็อก ๆ ๆ จิตไป ๕ ทวีป กิเลสเอาไปถลุงหมด นั่นละศาสนาหมด หมดอยู่ในทางจงกรมก็หมด หมดอยู่ในที่ภาวนาก็หมด หมดได้ทุกกาลสถานที่อิริยาบถ กิเลสเข้าตีได้หมด ใครจะว่ากิเลสไม่แหลมคมได้เหรอ ไม่งั้นครองโลกไม่ได้นะ กิเลสครองไตรโลกธาตุนี่ เพราะมันฉลาด
นี่พวกเราโง่ลงเท่าไร ๆ ก็คือกิเลสทำให้โง่ ตัวกิเลสนั้นฉลาดแหลมคมมากจึงทำคนให้โง่ ทำคนให้เซ่อ ๆ ซ่า ๆ เหมือนสัตว์สาราสิงได้ เปิดหัวใจออกไปให้เห็นซิ พระพุทธเจ้าท่านเห็นอย่างนั้นนะท่านเอามาสอนโลก ท่านเห็นหมดทุกแง่ทุกมุมของกิเลส หมดทั้งโคตรทั้งแซ่ปู่ย่าตายายของกิเลส และฆ่ามันหมด ทีนี้มันอยู่ในหัวใจใดทำไมจะไม่เห็นไม่รู้ รู้หมดเห็นหมด นั่นละท่านสอนโลกท่านสอนอย่างนั้น ไม่ได้สอนแบบด้นเดานี่นะ ท่านสอนด้วยความจริง ท่านรู้จริงเห็นจริง
พวกเราไม่ได้จริง ถ้ากับธรรมแล้วฟังก็ฟังเล่น ๆ ไปยังงั้น ทำก็ทำเล่น ๆ ไม่จริง อะไรขึ้นชื่อว่าการทำบุญให้ทานทุกอย่าง ที่เรียกว่าความดี ๆ แล้ว กิเลสจะทำให้เป็นของเล่นไปหมด ไม่เป็นของจริงของจังอะไรแหละ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วพันกันเลย ๆ ไม่ว่าจะมาแง่ไหนมุมใดสนใจทั้งนั้นถ้าเรื่องของกิเลส เวลานี้กิเลสกำลังมีราคาคนจึงสนใจกันมาก ถ้ากิเลสไม่มีราคาสนใจหาอะไรฟังแต่ว่ากิเลส ก็เท่านั้นเอง ธรรมเป็นของเลิศก็เลิศมาแต่กาลไหนกาลไร ทำไมจึงมาเลวในเวลานี้ธรรมถ้าไม่ใช่กิเลสพาให้เลว
เอาเท่านั้นละ