นี่อย่างของนี่ดูเอา นี่เครื่องกินของทาน ท่านว่าได้กินด้วยได้ทานด้วยถูกต้องเหมาะสม มีแต่กินมีแต่กว้านเอาไว้ มีแต่หึงแต่หวงอย่างเดียวนั่นเป็นกองทุกข์ ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไป มีแต่เอาไว้ให้ลูกให้หลานให้เหลนแย่งกัน ไม่เกิดประโยชน์อะไร พ่อแม่พาตระหนี่แล้วก็เลยตระหนี่ตาม ๆ กันไป ตายไปแล้วก็ยังมาเป็นเปรตเป็นผีเฝ้าทรัพย์สมบัติอีก ถ้าไม่กรรมหนักกว่านั้นมาเป็นเปรตจนได้แหละ
พระพุทธเจ้าจอมศาสดาจอมปราชญ์เป็นผู้สอนอย่างนั้นทุกองค์ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นนักเสียสละ ไม่มีพระองค์ใดที่ขัดแย้งจากบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ให้เป็นความตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เสียสละแก่โลก ไม่มี จอมปราชญ์เดินทางเดียวกันหมด จากนั้นก็สอนโลกให้เป็นผู้เสียสละ ท่านถึงบอกว่าแบ่งกินแบ่งทาน นี่คือคำของจอมปราชญ์ท่าน
อย่ามีแต่กินเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ เพียงพุงเดียวนี่กินไปถึงวันตายเท่านั้นก็หมดปัญหาแล้ว แต่ใจไม่หมดละซี ยังปัญหาเต็มตัว ตายแล้วก็ไปเกิดใหม่อีก เกิดใหม่คุณงามความดีไม่มีขนให้แต่พุงธาตุขันธ์อันนี้เสีย พอตายแล้วมันก็จมไปหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว ไม่มีความดีติดใจไปก็ไม่ได้รับความสุข มีแต่ความทุกข์ความทรมานอย่างเดียว เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ทั้งได้กินได้ทาน แบ่งสันปันส่วนให้เหมาะสม
ส่วนมากมีแต่กินนะ มีแต่กินแต่ใช้แต่หึงแต่หวงมากยิ่งกว่าจะสละทำบุญให้ทาน สมบัติอันสำคัญที่จะเข้าสู่ใจนี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไปแล้วเดี๋ยวนี้ กิเลสมีอำนาจมากเห็นความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นสารคุณอันมากมายก่ายกอง โลกจึงมักสั่งสมกัน ตายแล้วก็ขอให้มี ฟังซิน่ะ เรื่องกิเลสมันยอมใครเมื่อไร ตายก็ตามเถอะขอให้มี มีชื่อมีเสียงก็ยังดี ประสาชื่อมีประโยชน์อะไร คนไม่ดีแล้วชื่อดีขนาดไหนก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นจึงทำตัวให้ดี
ชื่อเขาจะว่านายตดนายขี้ก็ช่างเถอะน่ะ ชื่อนั่น ขอให้เราเป็นคนดีก็พอ อย่างในเรือนจำนั่นน่ะ นายสุข นายทุกข์ไม่มีนะอยู่นั่นน่ะ มีนายสุข นางสุข นายทุกข์ไม่มี นางสวรรค์ นายพรหม พรหมโลกแล้วไปอยู่ในเรือนจำ อย่างงั้นแหละชื่อมันไม่เกิดประโยชน์อะไรถ้าคนไม่ดีเสียอย่างเดียว ความชั่วทำคนให้เกิดความทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นจงจำคำนักปราชญ์ไว้ให้ดี
เวลาเราจะทำบุญให้ทานนี่ กิเลสมันจะถือว่าการทำบุญให้ทานเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าเป็นอาหารก็เป็นอาหารเศษเดน ถ้าเป็นต้นไม้ก็เป็นสะเก็ดของต้นไม้ ไม่ใช่เนื้อใช่หนังต้นไม้ออกเป็นทาน ในหัวใจเป็นอย่างงั้น กิเลสมันหนาแน่นเข้าไปทุกวัน ๆ อันใดที่กว้านเข้ามาตามความต้องการของกิเลส อันนั้นเป็นคุณทั้งนั้น ถึงจะเป็นโทษขนาดไหน มหันตโทษ มันก็ถือว่าเป็นคุณสำหรับความเสกสรรของกิเลสหลอกคน ต้มตุ๋นคนให้เชื่อและงมงายไปตามมัน
ส่วนปราชญ์ที่สอนไว้กิเลสมันไม่ให้เชื่อนั่นซิ ท่านว่าให้แบ่งกินแบ่งทาน มีแต่กินแต่ใช้แต่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมอย่างเดียวไม่ถูก จะเป็นคนจนตรอกในอนาคต จำให้ดีนะคำนี้ อันไหนที่พอจะทำบุญให้ทานนี้ จิตใจมันเหนียวมันแน่น มันไม่อยากให้หลุดออกจากมือไปได้แหละ นี่กิเลสตัวนี้มันทรมานเรา ตายแล้วไม่ได้อะไรเลย กระดูกก็ไม่ได้ ตายแล้วทิ้งเกลื่อนตามถนนหนทาง นี่ดูซิศาลาเรานี่คนนั่งเต็มอยู่นี่ นี่จะตายกันหมดนะไม่มีเว้น แม้แต่หลวงตาบัวก็ไม่เว้น จะตายกันหมด เป็นแต่เพียงว่าต่างวาระกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นจงระลึกถึงความเป็นและความตายไว้เสมออย่าประมาท
ความเป็นอยู่แห่งชีวิตในอัตภาพนี้ เราจะเสาะแสวงหาอะไรมาเป็นผลเป็นประโยชน์สำหรับธาตุขันธ์ของเราพอครองชีพไป อย่าโลภเสียจนบ้านเมืองเขาเดือดร้อนไปหมด เดี๋ยวว่านายทุน เดี๋ยวว่าเจ้าพ่อใหญ่ รุกป่านั้นรุกป่านี้ รุกป่าช้า รุกป่าสาธารณะ นั่นเห็นไหมตัวกินบ้านกินเมือง ตัวทำลายบ้านเมือง ใหญ่เท่าไรยิ่งโลภมาก ยิ่งก่อความเดือดร้อนเสียหายให้โลกได้รับความกระทบกระเทือนมาก ใหญ่ประเภทนี้เขาเรียกใหญ่ผีใหญ่ยักษ์ อย่าพากันใหญ่อย่างนั้นนะ ให้ใหญ่ด้วยศีลด้วยธรรมใหญ่ด้วยความเป็นคนดี อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก
อะไรเป็นที่ของเขาก็รู้ ของเราก็รู้ ไปรุกล้ำหาอะไร ไปบุกรุกเขาหาอะไร อันความโลภนี้มันไม่พอแหละ สมมุติว่าบุกรุกได้ตรงนี้แล้วมันก็จะเอาตรงนั้น แล้วมันจะเอาตรงนั้น นี่ละความโลภมันไม่เคยมีความพอดีละ มีแต่โลภเรื่อย ๆ โลภจนตาย จำเอาไว้สิ่งนี้ อย่าให้มันมาบังคับจิตใจเราจนลืมเนื้อลืมตัว จนตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์
ความโลภมันอยู่ไหนไม่ดีนะ ความตระหนี่ถี่เหนียวกับความโลภมันเป็นเพื่อนกัน เป็นสหายกัน คนใดตระหนี่มากโลภมากเห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ได้มาก ไปอยู่ไหนก็ขวางบ้านขวางเมืองเขา พระก็เป็นได้ อยู่ในวัดก็ขวางวัด ไปในบ้านในเรือนก็มีแต่ประจบประแจง ขอเขาท่านั้นท่านี้ ร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม อันนั้นขาดอันนี้ขาด ไม่มีวันพอดีและสมบูรณ์เลย ไปบ้านใดเรือนใดมีแต่ขอเขา อาตมาขาดอันนั้น อาตมาขาดอันนี้ นี่ละความโลภกับความตระหนี่ ได้มาแล้วก็หึงหวง จะจ่ายจะใช้อะไรใช้ไม่ได้ จะแจกพระแจกเณรก็แจกไม่ได้ ขนไว้ในตู้ในหีบเสียจนกระทั่งเปื่อย เราเห็นเองนะไม่ใช่มาพูดเล่น ๆ เราก็เป็นนักเที่ยวทั่วประเทศไทยนี่ เข้านอกออกในได้หมดไม่ว่าวัดราษฎร์วัดหลวงวัดอะไร เข้าหมดเห็นหมด จึงนำมาพูดได้อย่างสบายน่ะซิ
ฟังซิ ผ้าไตรจีวรบริขารต่าง ๆ ที่เขามาถวาย ขนเอาไว้ กว้านเอาไว้ ๆ จนกระทั่งเปื่อย เวลาเอามาใช้-ใช้ไม่ได้เลย มันเปื่อย นานหรือไม่นานก็ฟังซิ จีวรมีแล้วไม่ได้ใช้จนเปื่อยหมดเลย โอ๊ย สลดสังเวช เราเลยไม่ลืม ปักหัวใจอย่างลึก โห พระอย่างนี้ก็มี พระขี้โลภถึงขนาดนี้ก็มี ไม่มองหน้ามองหลังไม่มองใครทั้งนั้น ขอให้ได้โลภ ใช้ไม่ได้ก็ตามขอให้เห็นมันเปื่อยต่อหน้านี้ก็พอใจแล้ว นั่นฟังซิ สลดสังเวชบ้างไหมชาวพุทธเรา
ความเห็นแก่ได้ก็อยู่ในนั้นอีกด้วยนะ เห็นแก่ได้ โลภก็โลภมาก เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวนี่มาก อยู่ในวัดก็วัดแตก เพื่อนฝูงไม่ค่อยมีนะ อยู่ในวัดนั่น พระเณรไม่ค่อยไปเกี่ยวข้องไม่ค่อยไปติด อยู่คนเดียว ๆ ได้อยู่กับความตระหนี่ก็พอใจแล้วคนประเภทนั้นนะ ตายแล้วเอาความตระหนี่มัดคอไปเลยพระประเภทนั้น เราบวชก็จริงแต่กิเลสมันไม่ได้บวชละซิ มันเคยโลภมันก็โลภ มันเคยตระหนี่ถี่เหนียวมันก็ตระหนี่ถี่เหนียว มันเคยมีนิสัยเป็นยังไงมักจะเป็นอย่างนั้นไม่ค่อยจะสนใจแก้แหละ
ที่เขาสนใจแก้มีอยู่ที่อำเภอศรีสงคราม เราเคยได้เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อันนี้เป็นคติดีนี่ อีตาคนนั้นแกมีสองผัวเมียเท่านั้นแหละ อายุแกในราว ๕๐ นี่แหละ เงินทองข้าวของในสมัยนั้นเขาเรียกว่าค้าเงินหมื่น คนถ้าลงมีเงินหมื่นแล้วร่ำลือกัน เงินล้านสมัยนี้สู้ไม่ได้ สู้เงินหมื่นแต่สมัยก่อนไม่ได้นะ นี่เขามีเงินเป็นหมื่น ๆ เวลาจะทำบุญให้ทานก็ไม่อยากทำ ไปซื้อของ เมียให้ไปซื้อของไปจ่ายตลาดนะ ถือตะกร้าเปล่าไปฉันใดถือตะกร้าเปล่า ๆ นั้นละมาฉันนั้น ซื้อไม่ลง ตระหนี่ถี่เหนียวจะซื้ออะไรมากินซื้อไม่ลง ซื้อไม่ได้ ความตระหนี่ไม่ยอมให้ซื้อ
แต่มีดีอันหนึ่งพอกลับมาแล้ว ทำไมไม่ได้อะไรมา เมียถาม โอ๊ย ข้อยซื้อไม่ลง เจ้าไปซื้อซะไป๋ ให้เมียไปซื้อนะ พอเมียไปซื้อ ซื้อมาเท่าไรไม่เคยถามนะ ราคาเท่าไร อันนั้นราคาเท่าไร ๆ กินได้สบาย นี่อันหนึ่งดีอันหนึ่งนะ คือเจ้าของไม่เชื่อตัวเอง ไปซื้อมันซื้อไม่ลง กลับมาแล้วให้เมียไปซื้อ เมียไปซื้อบางทีทำประชดผัวด้วย คือซื้อมาก ๆ ผัวก็ไม่ว่าอะไรนะ พอใจ ถ้าเมียไปซื้อมามากเท่าไรหมดเท่าไรไม่เคยถาม นี่ข้อหนึ่งที่เป็นคติอันดี
แล้วอีกข้อหนึ่ง วันนั้นเผอิญเราเดินกรรมฐานไปทางนั้น เขานิมนต์ฉันในงาน มันหากมีแหละไปที่นั่นที่นี่หากมีงานจนได้นั่นแหละ เขาก็มานิมนต์เราไปในงาน ร่วมงานด้วยเราก็ไป ไปแล้วเขานิมนต์เราเป็นองค์เทศน์ เราก็เทศน์ให้ฟังธรรมดา ๆ นี่แหละ เทศน์ไปโดนเอาใจดำแกยังไงไม่รู้นะวันนั้น ไปทำงานทำการอะไรไม่พูดทั้งวัน นั่งก็ขรึม เดินก็ขรึม อะไรขรึมหมด เคร่งขรึมตลอดเวลาผิดความสังเกตของหมู่เพื่อน ก็เลยถาม
อ้าว เป็นยังไงแต่ก่อนก็เห็นมีรื่นเริงบันเทิง วันนี้ทำไมถึงเงียบ ๆ ตลอด เป็นอะไรได้รับความทุกข์ความทรมานอะไรบ้างถึงเป็นอย่างนี้ อ๋อ เรื่องความทุกข์ก็ถูก หรือความสุขก็ไม่น่าจะผิด แกว่า มันเป็นยังไงว่าไปซิ ก็เมื่อเช้านี้ยังไงไปในงานเขา เขาทำบุญบ้าน แล้วไปทำบุญให้ทานเสร็จแล้ว ท่านมหาบัวเป็นองค์เทศน์ว่างั้น ท่านเทศน์ถึงเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว แล้วพูดถึงเรื่องความเสียสละ แล้วความตระหนี่ถี่เหนียวมันมากองอยู่กับเราหมด แกว่างั้นนะ แล้วเวลาตายไม่ได้อะไร ท่านก็เทศน์ว่าตายไม่ได้อะไร เราก็พิจารณาดู ตายเราจะเอาอะไรไป เราก็ไม่ได้อะไร ตรงนี้ละเศร้าโศก เงินทองข้าวของมีมากมีน้อยเท่าไรก็ไม่เป็นประโยชน์
ลูกก็ไม่มี มีแต่ผัวเมียสองเฒ่าเท่านั้นแหละ เลยเกิดความโศกเศร้าเหงาหงอย แล้วพลิกใจ แต่นี้ต่อไปจะไม่เป็นคนประเภทนี้อีกแกว่า นี่ละที่เป็นคติ จะเป็นนักทำบุญให้ทาน เอ้า หมดก็หมด เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ตระหนี่เราก็เคยตระหนี่มาแล้วความสุขก็ไม่เห็นมีเท่าไร ก็เหมือนโลก ๆ เขาดี ๆ นี่เอง ดีไม่ดีทุกข์กว่าเขาอีก
เพราะเรามีสมบัติมากด้วย เราตระหนี่ถี่เหนียวมากต้องหึงหวงมาก เป็นทุกข์กว่าโลกเขามาก คราวนี้จะต้องแบ่งให้กินให้ทานให้สม่ำเสมอดั่งที่ท่านว่า ตั้งแต่นั้นมา ทีนี้เอา เมียจะไปจ่ายตลาดก็ไป ผัวไปจ่ายตลาดจ่ายได้สบายเลย ทำไมแกพลิกได้ขนาดนั้น แล้วการทำบุญให้ทานนี่จนเป็นหัวหน้าเขาเลย จากนั้นมาแล้วเป็นหัวหน้า มีงานอะไร ๆ เขาต้องมาเชื้อเชิญแก แต่ก่อนแกไม่ค่อยมีญาติมิตรเพื่อนฝูงอะไรแหละ เพราะความตระหนี่นั่นแหละมันตีออกไม่ให้มีใครมาติดมาพันได้แหละ ความเห็นแก่ตัวใครก็ไม่อยากเข้าไปใกล้ชิดติดพัน ทีนี้พอเป็นนักเสียสละตั้งแต่บัดนั้นมาแล้วก็เป็นหัวหน้าเลย มีงานอะไรเขาก็ต้องมาเชื้อเชิญไป
แล้วเผอิญงานศพของหลวงปู่ตื้อนี่ หลวงปู่ตื้อ บ้านข่า เราก็นึกว่าแกตายไป ๕ ทวีปแล้วนะ เราไปนั้นแกเข้ามา แกบวชเป็นพระ แกเข้ามามากราบ ท่านจำผมได้ไหม ผมก็ชื่อว่าอย่างนั้น ๆ แกเล่าให้ฟัง พอว่าชื่ออย่างนั้น จากนั้นแกก็เล่าเรื่องของแกให้ฟังล่ะซิ เราถึงได้รู้ชัดเจนด้วย แล้วชาวบ้านเขาก็เล่าให้ฟังด้วยว่าแกเป็นคนใหม่ อันนี้เราทราบมาก่อนหน้าที่แกเล่าแล้วแหละว่าแกเป็นคนใหม่ เวลานี้แกก็ออกบวชแล้ว สละเมียออกบวช ไปเลย
แกมาเล่าให้ฟัง ผมได้เป็นผู้เป็นคนมาก็เพราะท่านมหา ผมกราบท่านไม่ลืมเลย อยู่ไหนก็ตามผมไม่นึกว่าผมจะได้พบท่านมหาอีก วันนี้ยังมาพบกันจนได้ บุญผมมี ท่านมหาเป็นคนลากผมขึ้นจากนรกผมไม่ได้ลืมเลยนะ ผมเป็นผู้เป็นคนมาทุกวันนี้ เพราะท่านมหาเทศน์อยู่ที่บ้านนั้น ๆ บอกชัดเจนเลย เทศน์เรื่องที่ว่านี่แหละ ผมเป็นผู้เป็นคนมาตั้งแต่บัดนั้น
เวลานี้ผมชื่นบานหรรษาภายในจิตใจ การทำบุญให้ทานผมก็ไม่อัดไม่อั้น ทานเสียเต็มที่แล้วก็มาบวช เสียสละไปหมดเลยแกว่าอย่างนั้น ความตระหนี่ถี่เหนียวก็เคยตระหนี่ ความเสียสละก็เคยเสียสละ ผมนี่เต็มภูมิเดี๋ยวนี้แกพูด แกบอกว่าแกเต็มภูมิทั้งสอง คือความตระหนี่แกก็เต็มภูมิของแก เคยเต็มภูมิมาแล้ว ความเสียสละก็เสียสละเสียจนบวช นี่เป็นคติได้เป็นอย่างดีขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ อันนี้เป็นคติสด ๆ ร้อน ๆ ไปเผาศพหลวงปู่ตื้อนี่ แกมาหามาเล่าเรื่องให้ฟัง ยกบุญยกคุณกราบแล้วกราบเล่า แกเห็นบุญเห็นคุณ ถ้าไม่ใช่ท่านมหาไปเทศน์ผมตายเลยเชียว มันจะตกนรกหลุมไหนก็ไม่รู้แหละนะแกว่าอย่างนั้น
การทำบุญให้ทานทำเถิด ที่เราจะจนได้ตกนรกหมกไหม้หรือได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะการทำบุญให้ทานนี้ให้เห็นเสียที ไม่เคยเห็น ปราชญ์องค์ไหนก็ไม่เคยมีที่จะล่มจมเพราะความเสียสละ และไม่เคยสอนผู้ใดว่าให้ละเว้นการให้ทานมันจะฉิบหาย ไม่เคยมี มีแต่สอนทั้งกินทั้งทานเป็นคู่เคียงกันไป ท่านสอนเป็นคู่กันเลย ทั้งกินทั้งทาน คือธาตุขันธ์ก็เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องวิ่งเต้นขวนขวายหามาเยียวยาเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับธาตุกับขันธ์ก็หามาเยียวยา อันใดที่มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกับด้านจิตใจซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โตมากก็ให้สร้าง แต่ทางอาหารของใจได้แก่บุญ ให้สร้างคุณงามความดีคือบุญไว้ให้เป็นผู้ไม่จนตรอก มีสมบัติทั้งสอง สมบัติภายนอกคือส่วนร่างกายนี้ บำรุงร่างกายก็ให้มี สมบัติภายในเป็นเครื่องบำรุงจิตใจได้แก่บุญได้แก่กุศลก็ให้มี เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วอยู่ก็สบาย ตายไปก็สบาย นี่ละธรรมะของจอมปราชญ์ พากันจำให้ดี ระลึกไว้จนถึงวันตาย จะตายด้วยความผาสุกเย็นใจ
ส่วนธรรมะของกิเลสไม่ว่าอย่างนั้นนะ มันพลิก กูกินคนเดียวมันสบาย เหมือนอย่างเศรษฐีที่ว่า เจ้าก็บ่ต้องกินหรอกขนมเบื้อง กินผู้เดียวแต่ข้อย เห็นไหมล่ะ แต่ก็ยังมีนิสัยนะ จนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลได้นะ อย่างนั้นละกิเลสมันบาง ๆ มันปิด เหมือนกระดาษปิดตาเรานี่ ปิดบาง ๆ มันก็มองไม่เห็น กิเลสบาง ๆ เท่านั้นมาปิดแกให้ลืมเนื้อลืมตัวไปหมดเลย จนพระโมคคัลลาน์ไปทรมานเอาได้แล้วก็พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเทศนาให้ฟังแล้วได้สำเร็จพระโสดาขึ้น แน่ะ ก็เป็นอย่างงั้นแหละคนมีนิสัยอยู่แล้ว ก็เพิ่มความดีขึ้นทันทีทันใด
นี่เราก็ได้ทราบทุกด้านทุกทางแล้ว ดีก็ได้ทราบ ชั่วก็ได้ทราบ จากบุคคลอื่นมาเป็นคติเครื่องเตือนใจเรา ทีนี้ก็ให้นำไปปฏิบัติ แก้ไขดัดแปลงตัวของเรา อย่าไปตื่นโลกตื่นสงสารจนเกินไป มันมีแต่เกิดกับตายเท่านั้นแหละ ความดิ้นรนกระวนกระวาย ดิ้นทั่วโลกดินแดน ไม่ว่าเมืองในไม่ว่าเมืองนอกไม่ว่าเมืองไหน ดีดดิ้นเป็นบ้ากันอยู่ แล้วไปถามซิรายไหนได้รับความสุขความเจริญความสบาย ที่เราเห่อ ๆ เป็นบ้ากับเขานั่น มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น นั้นยิ่งไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งด้วยแล้ว ยิ่งหมุนเป็นกงจักรเลยเทียว
ตื่นตามาเช้านี้ไม่ได้มองเห็นกันแหละ พ่อแม่กับลูกมองไม่เห็นหน้ากัน ต่างคนต่างวิ่ง ๆ บ้านเขาเจริญ - เจริญด้วยกงจักรนั่นแหละ พิจารณาซิ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ หาความสงบเย็นใจหาความสุขไม่ได้ เช่นอย่างเราเป็นชาวพุทธ เวลาทำการทำงานงานหนักมาก ๆ มา มันจะเป็นจะตายก็วิ่งเข้าห้องพระนะ ไหว้พระสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกถึงทาน ศีล ภาวนาของตนที่ได้บำเพ็ญมา จิตใจเย็นฉ่ำอยู่ในภายใน เวลานั้นรู้สึกสบายแสนสบาย
ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกถึงคุณงามความดีที่เราได้สร้างมามากน้อย ระลึกตรงไหนก็เต็มหัวใจ ๆ เพราะเราได้ทำไว้ทุกอย่าง ๆ แล้ว นั้นละเป็นเครื่องหนุนเรา นี่ละผู้มีธรรมในใจ ชาวพุทธเป็นชาวพุทธแท้ ๆ เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ชาวพุทธแต่ชื่อเฉย ๆ นะ ชาวพุทธทำตามกิริยาของศาสดาพาทำแล้วจะเย็นใจ สบาย ไม่มีเวลาไหนเป็นเวลาปลงวาง ก็เวลาเข้าห้องพระนั้นแหละเป็นเวลาที่ปลงวางทุกข์ทั้งหลาย มีแต่ความสุข มีแต่อรรถแต่ธรรมเต็มหัวใจ กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจในห้องพระประธานแล้วเย็นสบาย พากันจำเอานะ วันหนึ่ง ๆ ให้เข้าไปปลงความทุกข์ให้ได้ในห้องพระนะ
เอาละพอ