ป่าเขาสถานที่บำเพ็ญชั้นเอก
วันที่ 29 กรกฎาคม. 2537
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

ป่าเขาสถานที่บำเพ็ญชั้นเอก

มันเป็นอยู่ใน ๆ ลึก ๆ พอมองเห็นป่าเห็นเขาแล้วใจมันคึกคัก ๆ เพราะมันเคยอย่างนั้น ตั้งแต่ออกปฏิบัติมามีแต่เข้าอยู่ในป่าในเขา ๆ เป็นประจำเรื่อยมา อยู่ในป่านั้นความรู้สึกของเรามันรวมตัวรู้ตัว ถ้าป่าคนป่าสิ่งของทรัพย์สินเงินทองแล้วมันเป็นบ้านะ ป่านี้ทำคนให้เป็นบ้าได้ ป่าคนก็ทำคนให้เป็นบ้าได้ ป่าสมบัติเงินทองข้าวของศฤงคารบริวารต่าง ๆ ก็ทำคนให้เป็นบ้าได้ แต่ป่าล้วน ๆ ไม่ทำคนให้เป็นบ้า ทำคนให้รู้สึกตัวในการบำเพ็ญธรรมได้ดีตามลำดับของป่านั้น ๆ

เราไปอยู่ในป่าลึกเท่าไรยิ่งรู้สึกตัวเด่นขึ้น ๆ หมดทั้งโลกมีแต่ความรู้ครอบหมด นั่นฟังซิคือความรู้มารวมตัวแล้วกระจายออกครอบไปหมด ความรู้ไม่รวมตัวมันส่ายไปโน้นส่ายไปนี้ แบกไว้กับสิ่งนั้นแบกไว้กับสิ่งนี้กระจายหมดหาตัวจริงไม่ได้ แต่หลอกเจ้าของได้ทั้งวัน ให้เป็นบ้ากับมันได้ ป่าเหล่านั้นมันต่างกันกับป่าไม้ อยู่ในป่าไม้ได้ยินเสียงนกเสียงกาเสียงสัตว์เสียงเนื้อมันร้องโก๊กเก๊ก ๆ ยิ่งเป็นความรื่นเริงอยู่ในใจนั่นแหละ

พูดไม่ถูกนะรื่นเริงนี่มันไม่ได้รื่นเริงแบบโลก มันรื่นเริงแบบธรรม มันทำให้คิด เสียงโก๊กเก๊ก ๆ ต่างคนต่างตัวต่างอยู่หากินเพราะปากเพราะท้อง มันคิดของมันพิจารณาเป็นธรรมทั้งนั้น สัตว์ก็มีความทุกข์โลกอันนี้มีความทุกข์ด้วยกันไม่ว่าคนว่าสัตว์ มีความทุกข์ความลำบากเหมือน ๆ กัน หาอยู่หากินทั้งเสี่ยงภัยเสี่ยงอันตรายมากยิ่งกว่ามนุษย์ด้วย มนุษย์นี่ไม่ค่อยได้เสี่ยงเพราะมีกฎหมายบ้านเมืองครอบเอาไว้ ไม่งั้นก็ร้ายยิ่งกว่าสัตว์นะ

เวลาเราไปอยู่ในป่าในเขาจิตใจรวมตัวเข้ามามารู้เด่นอยู่ที่ตัวเองนี่ มองดูอะไรก็ชัดเจน เมื่อจิตเด่นแล้วก็ฉายแสงออกไปด้วยความมีสติก็รู้ ตามองเห็นอะไรสติถึงสติทันสติตามทันพร้อม ๆ ความรู้สึกรอบตัว ๆ รู้สึกด้วยสติกับความรู้สึกธรรมดาต่างกัน จิตใจก็เยือกเย็น ทำให้สงบก็ได้ง่าย ทำให้เกิดทางด้านปัญญาก็คล่องตัว นั่นละท่านถึงสอนให้อยู่ในป่า

เวลานี้ป่าถูกทำลายเสียแหลกหมดจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว เมืองไทยเรานี่เป็นเมืองป่านะ สมบูรณ์ทั้งทุ่งทั้งป่า ทุ่งก็หาได้ทั่วไป อยากดูทุ่งกว้าง ๆ ก็โน่นลงไปทุ่งอยุธยาสุดสายตา ออกจากนั้นมาอยากดูดงดูป่าก็หันมาทางตะวันออกจังหวัดสระบุรี หันไปไหนหันรอบตัวมีแต่ป่าแต่เขาเลือกดูได้ เวลานี้ถูกทำลายซิป่า ภูเขาก็กลายเป็นภูเขาโล้นไปแล้ว ยิ่งไปทางนครสวรรค์มีแต่ภูเขาโล้นนะ มองเห็นก้อนหินธรรมดานี่ มีแต่ก้อนหินเต็มไปหมดในภูเขาไม่มีต้นไม้เลย ต้นก็ต้นเท่าพุ่มมะเขือนี่ มาทางนี้แต่ก่อนก็ดงหนาป่าทึบ

เราลืมเรื่องนี้ลืมตัวสนิทเหมือนกันนะ เราไม่นึกว่าป่านี้จะถูกทำลายขนาดนี้ ตลอดสัตว์ต่าง ๆ ที่เต็มอยู่ในป่าโดยหลักธรรมชาติของเขา สัตว์ป่ายั้วเยี้ย ๆ ไปไหนมีแต่สัตว์ป่าเต็มดง เราก็ไม่คิดว่าสัตว์เหล่านี้จะฉิบหาย ป่าเหล่านี้จะฉิบหาย บทเวลามันจะเป็นขึ้นมาด้วยอำนาจของมนุษย์เป็นยักษ์เป็นผีนี้ทำลายแหลกหมด ถึงได้มาระลึกทีหลัง โอ้โห ทุ่งสุดสายหูสายตาเวลานี้ แต่ก่อนป่าสุดสายตาแหละ เดี๋ยวนี้กลายเป็นทุ่งไปหมด

เมื่อวานนี้เข้าไปในป่าในเขาภูเสิงเคิง อ.หนองวัวซอ มองดูอะไรเป็นธรรมชาติ ๆ จิตมันก็รู้ตัวพอมองเห็น จิตเมื่อไม่มีอะไรมายุ่งกวนใจแล้วใจก็สงัด สงัดแล้วความรู้ของใจก็เด่น ภาวนาจิตลงได้ง่าย ยังมีสัตว์เยอะอยู่แถวนั้น พวกอีเก้ง พวกหมู อีเห็น สัตว์เล็กน้อยมีเยอะ กวางไม่มี ช้างก็หนีหมดแล้วไม่มี เขาไปทิ้งระเบิดตรงนั้น เวลาเขาไปทิ้งที่เวียดนามทิ้งไม่ได้กลับมาก็มาโยนลงนั้นเสียก่อน แล้วจึงมาลงสนาม พวกช้างแตกกระเจิงไปหมด น่าจะข้ามไปทางฝั่งลาว

ได้สอนพระเมื่อวานนี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะศาสนาจะมีแต่ชื่อแล้วนะต่อไปนี้ มีแต่ชื่อในตำรับตำราใส่ตู้ใส่หีบแล้วก็ล็อกเอาไว้ ออกทำงานไม่ได้..ธรรม มีอยู่ในตำราเท่านั้น เพราะคนไม่สนใจปฏิบัติ สนใจกับกิเลสเสียอย่างเดียว กิเลสก็ออกตีตลาดแหลกเหลวไปหมดเลย ไปที่ไหนมีแต่อันเดียวนี้มันน่าทุเรศจริง ๆ นะ เพราะธรรมไม่ได้แสดงตัว มีแต่กิเลสแสดง ๆ ตลอด ไปอยู่อย่างนั้นธรรมได้แสดง อยู่อย่างนั้นธรรมได้ทำงาน ออกแสดงตัว กิเลสไม่ค่อยเข้าไปกวน

ตาเห็นรูปก็ต้นไม้ภูเขาไปเสีย หูฟังเสียงก็เสียงนกเสียงกาเสียงอะไรไปเสีย จมูกก็มีแต่กลิ่นดอกไม้ ลิ้นก็สัมผัสสัมพันธ์กับผลหมากรากไม้ไปเสีย ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไร กายสัมผัสสัมพันธ์กับอากาศสบาย ๆ เงียบ จิตใจก็สัมผัสสัมพันธ์กับธรรม เมื่อได้รับการบำรุงและรักษาอยู่ตลอดแล้วไม่ว่าอะไรเจริญได้ทั้งนั้น ชั่วก็เจริญได้ง่ายถ้าบำรุงส่งเสริมมัน ดีก็เจริญได้ง่ายเหมือนกันเมื่อไม่มีอะไรทำลายไม่มีอะไรรบกวน และบำรุงส่งเสริมอยู่โดยสม่ำเสมอ

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรู้ในป่า พระองค์ไหนก็ดูเหมือนเป็นอย่างนั้นนะตามตำราอนาคตวงศ์ของท่าน เข้าป่าไปตรัสรู้ในป่า...พระพุทธเจ้า ป่านั้นป่านี้ อย่างพระอริยเมตไตรยนี้ก็ ตรัสรู้ในป่าเหมือนกันแต่ไม่นาน ท่านตรัสรู้เร็ว หากแต่ว่าตรัสรู้ในป่านะ ป่าเป็นที่เหมาะสม คนไม่เคยอยู่ในป่า พระไม่เคยภาวนาในป่าดูถูกป่าดูถูกพระป่า แม้ว่าต่างคนต่างดูถูกกันก็ไม่น่าจะผิด พระอยู่ในบ้านก็ดูถูกพระป่า ติฉินนินทาพระป่าว่าเที่ยวนั่งหลับหูหลับตาได้ภาษีภาษาอะไร งมงาย ดูซีเรียนหนังสือในตำรับตำรามาแล้วไปเห็นอย่างนั้นว่างมงาย คิดยกโทษกัน นี่เป็นเรื่องของกิเลสนะ กิเลสอยู่ในใจของคนของพระก็ดูถูกกันได้แบบนี้

ทีนี้พระอยู่ในป่าบางรายท่านก็มีก็จะดูถูกพระบ้านอีกเหมือนกัน พวกนี้เป็นพวกหนอนแทะกระดาษ หาเฝ้าแต่กองกระดูกหมูกระดูกวัว อรรถธรรมมีไม่สนใจ ไปนั้นอีกนะ เรียนหนังสือมาก็เป็นหนอนแทะกระดาษ ไม่ทราบว่ามรรคผลเป็นยังไง มีแต่ชื่อได้แต่ชื่อมาใส่พุง แล้วก็อวดพุงเจ้าของว่าตัวรู้ตัวฉลาด ได้แต่ชื่อกิเลสตัณหามา ตัวกิเลสไม่ได้ ก็จะว่าไปอย่างนั้น แต่นี่ก็ใกล้ความจริง ใครที่พูดไปแบบไหนก็ใกล้ความจริง แต่ผู้ที่ไปว่าไปอยู่ในป่างมงายนั้นไม่ค่อยมีความจริงเท่าที่ควร...อันนี้ ผู้ที่ตำหนิอย่างนี้ยังมีความจริง มีมูลความจริงอยู่ เพราะตัวอย่างก็มีแล้วอย่างพระโปฐิละที่เคยพูดให้ฟังเสมอ แต่ให้ท่านผู้ฟังผู้อ่านคิดเป็นธรรมเอาเองจะเป็นมงคลแก่ตัวเองไม่มีประมาณ นี่ยกมาพอเป็นคติทั้งสองฝ่ายเท่านั้น

ท่านเรียนจบพระไตรปิฎก...พระโปฐิละ มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุถึงอรหัตบุคคลนะ แต่เวลานั้นท่านลืมตัว ท่านเห่อกับบริษัทบริวารเพื่อนฝูงไปเสีย ลืมอรรถลืมธรรมไป พระพุทธเจ้าทรงหยั่งทราบเรื่องอุปนิสัยสามารถบรรลุธรรม เวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าท่านรับสั่งตีปัญหาใส่เลยแหละ ใส่ปัญหาปั๊บเข้า โปฐิละใบลานเปล่าแปลออกว่างั้น ใบลานเปล่าเธอมาอะไร จากนั้นก็ใบลานเปล่าเธอจงนั่ง ใบลานเปล่าเธอจงยืน เคลื่อนไหวไปมาออกชื่อของโปฐิละมีแต่ใบลานเปล่า ๆ เรียนเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ท่านเมื่อมีนิสัยอยู่ในใจต้องคิดคนเรา ก็ขนาดพระพุทธเจ้าตำหนิเราอย่างนี้หาเหตุผลไม่ได้มีอย่างเหรอ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลก ทรงตำหนิอะไรก็ตาม ชมอะไรก็ตาม ต้องมีเหตุผลไปพร้อม ๆ กัน

นี่ท่านตำหนิเรานี้ต้องมีเหตุผล เรานี้คงจะหลงงมงายเอาเสียมากมายในเรื่องยศเรื่องบริษัทบริวาร เรื่องความรู้ที่จดจำมาจากพระไตรปิฎกจนลืมเนื้อลืมตัว ถึงได้ถูกตำหนิว่าใบลานเปล่า หรือว่าชะรอยเราจะมีอุปนิสัยในมรรคผลนิพพานอยู่เหรอ ท่านถึงตำหนิอย่างนี้เพื่อจะให้ดีดตัวออกไป ท่านแยกเป็นสองประเภท พอกลับไปถึงวัดเท่านั้นบริษัทบริวารลูกศิษย์ลูกหามีตั้ง ๕๐๐ ในตำราว่าอย่างนั้น ท่านไม่ลาใครเลยนะพระโปฐิละ ไม่ลาใคร สะพายบาตร เตรียมบริขาร ๘ แล้วก็ออกเข้าป่าเลย นี่มีมูลความจริง

อย่างสมมุติว่าพระป่าตำหนิพระบ้าน ตำหนิมีเหตุมีผลก็ตำหนิเป็นธรรม ไม่เรียกว่าตำหนิแบบโลก ๆ นี่มีมูลความจริงอยู่ อย่างที่ว่าหนอนแทะกระดาษก็คือเรียนแล้วไม่สนใจปฏิบัติ เป็นหนอนแทะกระดาษเฉย ๆ ก็ถูก มีมูลความจริง ได้ชื่อกิเลสมาก็มาภูมิใจ ตัวกิเลสจับมันไม่ได้ก็ภูมิใจ ภูมิใจลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีเหตุมีผลไม่มีหลักมีเกณฑ์

สอนให้อยู่ป่า ให้อยู่ด้วยการพิจารณา ไม่ใช่ไปอยู่ป่าแบบสัตว์ ถ้าว่าอยู่ป่าแบบสัตว์ที่ว่างมงายก็ถูก ที่เขาตำหนิว่างมงายก็ถูก เพราะไปอยู่แบบสัตว์คิดแบบสัตว์ สัตว์อยู่ในป่าเต็มไปหมดมันก็เป็นสัตว์ของมันไม่เห็นวิเศษวิโสอะไรถ้าไม่อยู่แบบธรรมแบบคน ถ้าไปอยู่แบบอรรถแบบธรรมแล้วก็เป็นความเลิศประเสริฐดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน สำเร็จมาจากป่าทั้งนั้น พอไปเห็นเมื่อวานนี้ก็รื่นเริง

สถานที่นี่เป็นชั้นเอกแหละในการบำเพ็ญ ไม่มีคนไปยุ่งกวน พอเข้าไปนี้ตื่นตัวทันทีเลย จิตมันจะตื่นตัวของมันเองนะ พอไปถูกเครื่องสัมผัสสัมพันธ์มีแต่ป่าแต่เขาเครื่องชำระกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เครื่องสั่งสมกิเลส มองเห็นอะไร ๆ นี่จิตใจมันตื่นเต้นเป็นไปทางอรรถทางธรรม ความเพียรก็ขยันไม่ขี้เกียจขี้คร้านนะ อยู่ในป่าผิดกันนะ เวลาเข้ามาอยู่ในป่าธรรมดากับป่าชั้นเอกอย่างที่ว่านั้นต่างกัน อยู่ในป่าธรรมดาเป็นอีกอย่างหนึ่ง

เช่นอย่างอยู่วัดป่าบ้านตาดนี่ เป็นป่าตลาดคน อันนี้ตัวขี้เกียจขี้คร้านเต็มอยู่ในนี้หมด อย่าว่าแต่พระเลยฆราวาสมาเต็มครัวมีแต่พวกกองขี้เกียจ ขี้เกียจขี้คร้านคลังขี้เกียจอยู่ในนั้นหมด มาทางนี้ก็ได้คลังใหญ่ ธนาคารโลก คลังใหญ่คลังขี้เกียจ เข้าไปในครัวก็คลังขี้เกียจ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนั้นเสียซิ

อยู่ในป่าในเขาลึก ๆ นี้ความขี้เกียจไม่มีนะ ไม่มีก็บอกว่าไม่มี มันหายหน้าไปไหนไม่รู้นะ เพราะความตื่นตัวความตื่นเต้น ความระมัดระวังตัวมันจ่อของมันอยู่เป็นสติ ไปที่ไหนก็เหมือนเสือจะงับอยู่ตลอดเวลา อ้าว เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่ ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นนี้แหม เป็นอันดับหนึ่งเลยในโลกปัจจุบันนี้นะ ไม่มีใครที่จะสมบุกสมบันลำบากลำบนมากยิ่งกว่าหลวงปู่มั่นเรา ท่านลำบากมาก ท่านบุกเบิกมาให้พวกเราทั้งหลายได้พอลืมหูลืมตา จึงน่ากราบไหว้บูชาท่านอย่างถึงใจนะ ท่านเอาจริงเอาจังทุกอย่าง เด็ดเดี่ยว เฉียบขาด นั่นละเฉียบขาดในทางที่ดีดูเอาซิ เป็นจอมปราชญ์ขึ้นมานั่น เฉียบขาดในทางที่ชั่วนี้เลวมากที่สุดเลย

นั่นท่านเฉียบขาดในทางที่ดี ท่านเด็ดขาดมาก เข้มข้นทุกอย่าง การเทศนาว่าการเสียงนี้เหมือนฟ้าดินถล่ม นั่นอำนาจของธรรมออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ ใจที่บริสุทธิ์นั้นแลบรรจุธรรมไว้เต็มเอี๊ยดเทียว พอเปิดก๊อกไขก๊อกเท่านั้นก็พุ่งเลย ฟังเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอเพราะธรรมบริสุทธิ์ ก่อนที่ท่านจะได้ธรรมมาสอนพวกเรานี้ท่านแทบเป็นแทบตาย เดนตายมาว่างั้นเถอะ เดนตายมาแล้วจึงได้มาสอนพวกเรา

อยู่ในป่าในเขามันตื่นเต้น เวลาเข้าในป่า ป่าอย่างที่ว่านะไม่ใช่ป่าอย่างนี้ ป่าแต่ก่อนเป็นป่าพวกสัตว์พวกเสือเนื้อร้ายเต็มไปหมดจริง ๆ นี่นะ ป่าไหนก็ป่าเถอะแต่ก่อน พวกสัตว์พวกเนื้อเต็มอยู่หมด ก้าวเข้าไปนี่ปั๊บเป็นป่าแล้ว ก้าวเข้าทางนี้ปั๊บเป็นป่าแล้วมีสัตว์แล้ว พวกสัตว์พวกเนื้อพวกอีเก้ง พวกหมู พอลึกเข้าไปก็พวกกวาง พวกช้าง พวกเสือ เสือมีอยู่ทั่วไป สัตว์มีอยู่ที่ไหนเสือมีอยู่ที่นั่น มีอยู่ทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ระวังตัวด้วยหลักธรรมชาติ ทั้งวันทั้งคืนมันจ่ออยู่ตลอดเวลาระวังจิตไม่ให้เผลอ เอาธรรมเข้าเป็นเครื่องกำกับจิต เป็นเครื่องรักษาจิตตลอดเลย

ความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมดถ้าไปอยู่ที่เช่นนั้น ทีนี้ความเพียรก็ก้าวแล้ว ความเพียรก้าวจิตใจก็ก้าว เจริญ จิตใจสงบเย็น กลางคืนดึก ๆ สงัดฟังเสียงนกยูงร้อง กลางวี่กลางวันไม่เคยเห็นตัวมันนะ เราเห็นสักครั้งสองครั้งเท่านั้นมั้งนกยูงนะ ไม่เจอมันบ่อยนักเหมือนสัตว์อื่น ๆ พวกหมูพวกอีเก้งนี้เจอบ่อย บางทีมันก็จุ้นจ้าน ๆ มาทางจงกรม มันไม่กลัวคน มันมาอาศัยคนมาอยู่รอบ ๆ คนเดินจงกรมอยู่มันก็มาหากิน

พวกหมูพวกอีเก้งนี้คุ้นง่ายนะ คุ้นง่ายมากเทียว มันมาเหมือนสัตว์บ้านมาหาเราหาขุดอะไรกิน ซูดซีด ๆ มา เราก็เดินจงกรมเฉย เขาก็ไปของเขาทั้ง ๆ ที่เขาก็เห็นเราอยู่ เขาไม่สนใจนะ นั่นเห็นไหมพระกับโยมผิดกัน ต่างสี ผ้าเหลืองเป็นผ้าที่ครองโลกมานาน พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ครองผ้าเหลืองทั้งนั้น ผ้ากาสาวพัสตร์ สัตว์เหล่านี้เคยเกิดเป็นมนุษย์เคยบวชเป็นพระเป็นเณรมาในศาสนานั้น ๆ มาตั้งมากมาย เพราะฉะนั้นเวลาเห็นพระมันถึงตายใจเลย ๆ

ทีนี้จิตใจของเราเมื่อไปอยู่ในที่เช่นนั้นก็ตื่นตัวตลอด บางทีก็เสียงเสืออาว ๆ ขึ้นแล้ว อาว ๆ ขึ้นข้างทางจงกรม โถ เสียงเสือมันไม่เหมือนเสียงเพลงลูกทุ่งละซี มันจะงับหัวเอาประมาทได้เหรอ เสียงอาว ๆ ขึ้นข้าง ๆ ไม่รู้มันมาตั้งแต่เมื่อไร ตอนมันหยุดเสียงคำรามมันอาวตามภาษาของมันแล้ว นั่นละมันน่ากลัวตอนนั้น ไม่ทราบมันจะมาแบบไหนซิ ได้ยินเสียงมันอยู่มันอยู่ตรงนั้นก็ค่อยยังชั่วนะ พอเงียบเสียงไปแล้วไม่ทราบจะมาแบบไหน มันก็เหมือนแมว นี่ก็ยิ่งตั้งท่าแล้ว เราก็ไปหาที่อย่างนั้นนี่นะ เราตั้งใจไปหาที่กลัว ๆ เมื่อเจอเข้าไปแล้วจะเป็นยังไง ความตั้งใจนี้มันจะล้มระนาวไปไหม ไม่ล้ม สู้เลย ก็เรามาอย่างนี้สู้เลย ขึ้นเวทีต้องต่อยซิ ทีนี้จิตใจมันก็ดีดของมัน ๆ เวลามาอยู่ป่าธรรมดา ๆ ขี้เกียจนะ มีขี้เกียจ นอนก็มาก กินก็ชักจะมากถ้าไม่ตีปากเอาไว้นะ ต้องได้ตีปากเอาไว้...กิน ไม่งั้นมันจะงับ ๆ ๆ ก้างมันก็จะกลืน กระดูกมันก็จะกลืนจะไม่เคี้ยวนี่นะ กิเลสมันพากลืนไอ้เราไม่อยากกลืนแหละ กิเลสพากลืน ตัวโลภพากลืน นั่นเป็นอย่างนั้นนะเวลามาอยู่ที่ธรรมดา

พอก้าวเข้าป่าสิ่งเหล่านี้หายหมดอีกแหละ มันหากเป็นของมันเองนะ ไม่ต้องบีบบังคับกันแหละมันหากเป็นของมันเอง พอก้าวเข้าสถานที่ที่เหมาะสมกันแล้วกับที่จะทรมานตนนั้น อะไรมันก็พร้อมหมดเลย ความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมด การนอนก็น้อยมาก หลับพอตื่นนี้ดีดผึง ๆ เลย กลางวันถ้าหากว่าพัก...งีบเดียว นอกนั้นมีแต่ความเพียร กลางคืนเอากันมากหน่อย สงัดเท่าไรยิ่งเร่ง ๆ ๆ จิตใจก็เบิกออก ๆ คือกิเลสมันปิดมันกั้นอันนี้นะ มันเกาะมันกำเอาไว้ไม่ให้จิตนี้ฉายแสงออกมาได้ จิตเราปุถุชน ถึงจะรู้จะเห็นอะไรอย่างนี้ก็เหมือนกัน ตาจะสว่างก็ตามแต่ตาใจมันมืดน่ะซี แล้วมันก็บีบอยู่นี้ด้วย ความโลภบีบเข้ามา ความโกรธก็บีบ ราคะตัณหาก็บีบ ความหลงบีบอยู่แล้ว มันบีบอยู่ตลอดเวลา

ถ้าขยายออกบ้างเล็กน้อยพอทางนี้ขยายออก ทางนี้บีบเข้า เช่นอย่างความโลภขยายออกหน่อย ความโกรธบีบเข้า ราคะตัณหาบีบเข้า พอราคะตัณหาสงบตัวลงบ้าง ทางนี้ความโลภ ความโกรธ หงุดหงิดในใจเพราะความคิดเจ้าของนั่นแหละหลอกเจ้าของให้เกิดความหงุดหงิด เคียดแค้นในใจ อยู่คนเดียวก็เป็นนะมันคิดของมัน อันนี้ก็บีบเข้า ๆ หาความสุขไม่ได้ อยู่ในป่ามันถึงได้เห็นชัดซี ถ้าอยู่อย่างนี้มันไม่เห็นไม่รู้ เพราะสิ่งเหล่านี้มาเป็นเราเสียหมด ความโลภก็เป็นเรา ความโกรธเป็นเรา ราคะตัณหาเป็นเรา อะไร ๆ ก็มีแต่เรา ๆ ไม่เห็นว่าเป็นกิเลสเลย นั่นละกิเลสมาเป็นเราแล้วเป็นอย่างนั้น เมื่อกิเลสมาเป็นเราแล้วอะไรก็เป็นเรา เมื่อเป็นเราแล้วมันก็ไปสุดเหวี่ยง ความผิดความพลาดความประมาทต่าง ๆ ไปสุดเหวี่ยง ถ้ายังเห็นว่ากิเลสมาแทรกเรายังมีฟัดมีเหวี่ยงยังมีแยกมีแยะกันนะ แต่นี้มาเป็นเราเสียหมดนั่นซิมันลำบาก

เวลาเราไปอยู่อย่างนั้นมันค่อยขยายออกนะ สิ่งเหล่านี้ค่อยขยายออก ไปอยู่ที่กลัวเท่าไรความกลัวนั้นก็เป็นธรรม ความกลัวนั้นเป็นเหตุให้ตั้งสติ เป็นธรรมอันหนึ่ง เราตั้งสติพับ ๆ ตั้งทั้งวันทั้งคืนตั้งไปตั้งมารักษากันอยู่ตลอดเวลาจิตก็แน่นขึ้นมา ๆ เรื่อย แน่นหนามั่นคง ทั้งสว่างกระจ่างแจ้งออก ขยายตัวออกเรื่อย ๆ ๆ เพียงขั้นสมาธิก็พอกินแล้ว คนทุกข์ ๆ จน ๆ อย่างพวกเรานี่เพียงได้สมาธิเท่านั้นดีไม่ดีกินกระทั่งวันตาย มันติดสมาธิไม่อยากออกหาธรรมที่เลิศกว่านั้น ติดสมาธินี่มันพออยู่พอกินนี่ คำว่าติดสมาธิเป็นยังไง มันอิ่มอารมณ์ อารมณ์รูป จะเป็นรูปหญิงรูปชายรูปอะไรก็ตามที่เคยเสริมราคะตัณหานั่นมันสงบตัว ไม่ไปยุ่ง รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมาเสริมกิเลสตัณหาของเรานี้มันสงบตัวในใจนี้ จึงเรียกว่าอิ่ม

จิตเป็นสมาธิแล้วพิจารณาทางด้านปัญญาได้ เพราะมันอิ่มอารมณ์แล้วเราพาออกพิจารณาอะไรมันก็ไม่เถลไถล ถ้ามันกำลังหิวโหยนี่พาออกไปพิจารณามันเปิดเลย เตลิดเปิดเปิงไปเลยไม่ได้ไปทางช่องปัญญานะ มันไปช่องสัญญาอารมณ์ก่อกิเลสตัณหาขึ้นมาพันเจ้าของเข้าไปอีก ท่านจึงสอนให้อบรม สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาเมื่อสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก ย่อมเดินได้คล่องตัว ถ้าพูดถึงเรื่องศีล-ศีลก็บริสุทธิ์ สมาธิก็เป็นได้ง่ายไม่เป็นสัญญาอารมณ์ พอจิตเป็นสมาธิแล้วจิตก็อิ่มตัวอิ่มอารมณ์ พาออกทางด้านปัญญาก็ออก ๆ ทีนี้ก็ขยายละ

ด้านปัญญาเป็นด้านที่ขยายกว้างขวางมากหาประมาณไม่ได้นะปัญญา สมาธิยังมีประมาณ มีประมาณยังไง เมื่อจิตเป็นสมาธิเต็มภูมิแล้วทำยังไงให้เลยนั้นก็ไม่เลย เหมือนน้ำอยู่ขอบปากแก้ว เต็มแก้วแล้วจะเอาน้ำมหาสมุทรทะเลมาเทมันก็ล้นออกหมดไม่ขังอีกต่อไป อยู่ปากแก้ว นี่สมาธิก็มีขอบเขตของมัน แต่ปัญญานี้ไม่นะ ปัญญานี้ออกเรื่อยกระจายออกเรื่อยเหมือนท้องฟ้ามหาสมุทร ปัญญาฆ่ากิเลสก็มี ปัญญาที่ดูโลกดูสงสารดูสภาพความเป็นจริงของโลกของสงสารที่สัตว์ทั้งหลายติดข้องกันอยู่ แล้วท่านเป็นผู้พ้นไปแล้วท่านสนุกดูถ้าจะว่าสนุก ก็มี

แต่คนเราจะสนุกยังไงเมื่อมองลงไปที่ไหนก็เห็นแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้สัตว์โลกอยู่ ด้วยวิบากกรรมเต็มไปหมดท้องฟ้ามหาสมุทร ที่ไหน ๆ มีแต่สัตว์เสวยกรรมอยู่ทั้งนั้นเกลื่อนไปหมดในโลกอันนี้ แล้วท่านจะไปสนุกดูยังไง ก็ดูด้วยความสลดสังเวช แต่คำว่าสนุกคือว่าไม่มีอะไรมาปิดมาบัง ไม่มีอะไรมาบีบบังคับ ท่านสนุกดูอย่างนี้ต่างหากนะ ไม่มีอะไรมากีดมาขวาง ท่านสนุกดู

อย่างนั้นละพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านผู้ที่ท่านพ้นไปแล้ว จิตใจของท่านความรู้อันนี้แหละ เวลากิเลสได้ออกหมดไม่มีอะไรเหลือแล้วจะผิดกันคนละโลกคาดไม่ถูกเลย คนมีกิเลสไปคาดคนที่สิ้นกิเลสแล้วคาดตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่ถูก เพราะไม่อยู่ในสถานที่โลกสมมุติอยู่ ธรรมชาตินี้ไม่อยู่ในสถานที่โลกสมมุติอยู่ ทีนี้เราอยู่ในวงสมมุติถึงคาดก็เป็นสมมุติ ทำอะไรก็เป็นสมมุติมันอยู่ในวงสมมุติ อันนั้นนอกสมมุติแล้วมันจะเข้ากันได้ยังไง นี่ซิถ้าอยากรู้ก็ทำให้เป็นเองในจิตเจ้าของซิ พอทำขึ้นมาเมื่อเป็นแล้วไม่ต้องถามใครก็รู้เอง อ๋อ ๆ มีแต่อ๋อ ๆ เรื่อย หนองอ้อ อ้ออย่างนี้เหรอ ๆ ปัญญาอย่างนี้เหรอ ปัญญาประเภทใดควรแก่กิเลสประเภทใดมันหมุนติ้ว ๆ ๆ

ที่ท่านนำมาพูดเหมือนกับว่าโลกอันนี้มีสมมุติ อันนั้นไม่มีสมมุติ ต้องทำให้เป็นกรุยหมายป้ายทาง พอโลกทั้งหลายได้คาดไว้ ท่านก็นำมาเทียบมาเคียงไปอย่างนั้น จะให้ตรงกับความจริงของธรรมชาตินี้จริง ๆ ยังไงก็ตรงไม่ได้ คาดหมายแล้วพอก้าวเข้าไป เมื่อผู้ปฏิบัติไปตามกรุยหมายป้ายทางแล้วก็เจอเอง พอเจอเองแล้วรู้เองที่นี่ อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง ๆ

ธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ นะ แต่เวลานี้กิเลสมันปิดบังเอาเสียจน ปกคลุมเอาเลย เหมือนกับน้ำในบึงจอกแหนปกคลุมเอาอย่างหนาแน่นทีเดียว มองลงไปนี้ไม่เห็นน้ำเลยนะ เห็นแต่จอกแต่แหนเต็ม ปกคลุมอยู่นี่

มองลงไปในบึงนี้ทั้ง ๆ ที่น้ำเต็มใสสะอาดอยู่นั่น ประหนึ่งว่าไม่มีน้ำเพราะมองไม่เห็น เห็นแต่จอกแต่แหนเต็มอยู่ข้างบนนี้หมดปกคลุมไปหมด แล้วเปิดจอกเปิดแหนออก ขนจอกขนแหนออกก็เห็น เห็นมากเห็นน้อยตักดื่ม ตักดื่มเป็นยังไงรสชาติเป็นยังไงรู้แล้วเป็นสักขีพยานแล้ว ทีนี้เอาใหญ่เลย ถึงจอกแหนจะมาปกคลุมหุ้มห่อตามเดิมก็ตาม ความเชื่อแน่ว่าน้ำนี้มีน้ำนี้ใสสะอาด น้ำนี้อาบดื่มจืดสนิทดีนี้มันฝังลึกแล้ว เรียกว่า อจลศรัทธา ท่านเรียกอจลศรัทธา

ถึงจิตจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกก็ตาม บางครั้งบางคราวมันมีปิดมีบัง บางครั้งบางคราวมันเหมือนมีเมฆหมอกมาปิดมาบังตะวัน พระอาทิตย์นี่แหละมองไม่เห็น มองเห็นจาง ๆ ไม่ได้เห็นเต็มดวง ทีนี้กิเลสมาปิดคลุมจิตใจไม่ให้เห็นชัดเจนอย่างที่เห็นฝังลึกลงทีแรกนั้นก็ตามนะ จิตใจมันฝังแล้วเป็นอจลศรัทธา ทีนี้มีแต่จะขยับเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เปิดออกเรื่อย ๆ ขยับเรื่อยเปิดออกเรื่อยก็จ้านั่นซิ อ๋อ บึงนี้มีแต่น้ำ จอกแหนหายซากไปหมดแล้ว นี่หัวใจดวงนี้มีแต่ธรรมกิเลสหายซากไปหมดแล้ว ความเทียบเทียบว่าอย่างนั้น

ทีนี้เมื่อมีแต่ธรรมแล้วก็จ้าละซิ คำว่าจ้านี่เราก็คาดอีกนะพวกบ้านี่ พวกเรามันพวกบ้าคาดเดา พอว่าจ้าก็อ๋อคงจะเป็นเหมือนตะเกียงเจ้าพายุนะ มันเอาตะเกียงเจ้าพายุมาอวดแล้ว มันเป็นอย่างนั้นนะ ให้มันเป็นในเจ้าของแล้วคำว่าจ้านี้มันก็ไม่ถูกนะ มันจำเพาะพอเหมาะพอดีกับความเป็นของผู้เป็นนั่นแหละ คาดไม่ถูก นี่ละที่ว่าธรรมอัศจรรย์ เราเอาแต่คำว่าอัศจรรย์ไปใส่นี้เพียงคาดเฉย ๆ เป็นเครื่องเปรียบเทียบนะ อัศจรรย์อันนั้นไม่ได้เหมือนอย่างนี้อีกแหละมันเป็นอย่างนั้น

จึงสอนให้อบรมจิตใจ จิตใจเป็นสำคัญมาก จิตใจนี่เป็นเหมือนบึง กิเลสตัณหาเป็นเหมือนจอกเหมือนแหนปกคลุมธรรมอยู่ในใจมันไม่ให้มองเห็นได้ ไม่ให้เห็นความเพียรความดิบความดีบุญกุศลผลความดีทั้งหลายว่าเป็นของเลิศของประเสริฐ มีแต่กิเลสพาให้เลิศพาให้ประเสริฐแล้วจมไปเรื่อย ๆ

เวลานี้กิเลสกำลังเสกสรรพาให้เลิศให้ประเสริฐนะ เหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า มันปั้นมันแต่งมันปรุงเจ้าของ โลกทั้งหลายก็เป็นโลกโง่ที่สุดเสียด้วย ดิ้นตามมันจนขาหักขาขาดไป ยังไม่รู้ตัวว่าวิ่งตามกิเลส นี่ซิมันน่าทุเรศ เพราะฉะนั้นใครที่รู้เนื้อรู้ตัวให้รีบแก้ไขดัดแปลงนะ จอกแหนมันกำลังปิดบังจิตใจน้ำอรรถน้ำธรรมไม่ปรากฏ เปิดออก-เปิดออกเรื่อย ๆ มันจะค่อยจางออกไป แหนก็ขนขึ้นเรื่อยมันก็ค่อยหมดไปละซิ จอกแหนขนเรื่อยขนขึ้นเรื่อย ต่อไปก็มองเห็นน้ำ สนุกอาบดื่มใช้สอยละ

นี่เราก็สงสารจะทำยังไง บางทีว่าจะไม่พูดอะไรนะนี่ มองไปตาใสแป๋วเหมือนตาแมว มันก็ได้พูดอยู่นั่นแหละจะว่าไง เราไม่ได้พูดอวดเราหนา เราไม่มีเจตนาที่อวด พูดตามหลักความเป็นจริงแห่งเมตตาธรรม เราพูดด้วยความเมตตาต่างหากไม่ได้พูดด้วยความอวดดิบอวดดี ตามีกี่ตา หูมีกี่หู จ่อเข้ามาปากเดียวนี้หมด ทางนี้มันก็เริ่มละซิก็ต้องพูดอะไรบ้างจะว่าไง ได้นิดหนึ่งก็เอา ๆ ขึ้นชื่อว่าของดีมีค่ามาก แน่ะ มันก็หมายเอาอันนั้นนะที่อุตส่าห์พยายามบึกบึน ของดีไม่เหมือนของชั่ว ของชั่วเต็มบ้านเต็มเมืองก็มีแต่กีดแต่ขวางไม่ใช่เป็นประโยชน์อะไร ถ้าของดีมีนิดหนึ่งเท่านี้ก็เป็นประโยชน์แก่โลกมากมาย ความดีที่เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟังนิดหน่อยเท่านั้นก็ตาม เป็นสาระอันสำคัญแล้วฝังลึกในใจด้วย ธรรมบางข้อนี้ไม่ลืม ได้ยินครูบาอาจารย์แสดงให้ฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้มันฝังลึกไม่ลืม นี่เตือนเจ้าของอยู่เรื่อย ๆ เป็นความดีกินไม่มีสิ้นสุด กินไม่หมด อย่างงั้นนะ

ให้พากันภาวนาให้ใจมีหลักยึดนะมันจึงไม่ว้าเหว่ ถ้าใจไม่มีหลักนี่ว้าเหว่ เช่น อยู่กับครูบาอาจารย์จิตใจก็ไปอยู่กับท่านหมดเสียไม่เป็นตัวของตัว ไม่เป็นเนื้อเป็นหนังของตัว ไปเกาะอยู่กับท่านเสียหมด จิตใจไม่มีหลักยึด แต่ก็ยังดีที่มีครูบาอาจารย์เป็นหลักยึด แต่ทีนี้ดีไม่ได้ดีชั้นเดียวซิดีหลายชั้น ให้เรามีหลักของเราด้วยมีครูบาอาจารย์เป็นหลักยึดด้วย ดีขั้นต่อไป ต่อไปให้เราเป็นตัวของเรา ครูบาอาจารย์ยกเทิดทูนไว้กราบไหว้บูชาแต่เรานี่เต็มตัวของเราแล้ว อย่างนั้นก็ให้มีซิมีหลายขั้นหลายตอน

ดังพระพุทธเจ้าและสาวก สาวกกราบพระพุทธเจ้านี้กราบอย่างแนบสนิทเลย แต่สาวกไม่ได้หวังพึ่งพระพุทธเจ้าอีกต่อไปเป็นตัวของตัวพอแล้ว แล้วคุณค่าของพระพุทธเจ้าเต็มอยู่ในหัวใจสาวกหมดเลย สาวกไม่ได้ให้พระพุทธเจ้าเป็นตัวประกันเหมือนแต่ก่อน เพราะเจ้าของประกันเจ้าของเต็มภูมิแล้ว คำว่าดีนี้มีหลายขั้นหลายภูมิ เราไปไหนไม่ได้ก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ เกาะครูบาอาจารย์ เกาะครูบาอาจารย์ก็เพื่อมาเกาะเจ้าของ ถ้าเจ้าของได้หลักบ้างอาศัยครูบาอาจารย์บ้าง เจ้าของได้หลักเข้าไปเรื่อย อาศัยครูบาอาจารย์ไปด้วย ต่อไปเจ้าของได้หลักเต็มที่แล้วก็ปล่อยความเกาะครูบาอาจารย์เสีย ยกไว้แต่บุญคุณกราบท่านอย่างแนบสนิทเลย เราก็เป็นตัวของตัว

เราก็เอามาจากเจ้าของซึ่งเคยเป็นมาแล้วนะ อยู่กับครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น จิตใจอยู่กับท่านหมด เวลาภาวนายังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจิตใจอยู่กับท่านหมด เจ้าของเหมือนไม่มีลมหายใจไปหายใจจมูกท่าน เจ้าของเหมือนไม่มีจมูก พอสู้เข้าไปฟัดเข้าไปเรื่อย ๆ มันก็มีแววออกมาเรื่อย ๆ ค่อยเห็นเหตุเห็นผลเรื่อย เกาะท่านก็เกาะ เกาะอันนี้ก็เกาะ ก็เป็นหลักเข้าไปเรื่อย

ทีนี้จะให้พรนะ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก