กลัวถ้าไปสวรรค์คนมาก เมืองสวรรค์จะเต็ม เมืองสวรรค์ไม่เต็ม พรหมโลกไม่เต็ม นิพพานไม่เต็ม แม้ที่สุดนรกก็ไม่เต็ม มีเท่าไรรับได้หมดแต่แน่นเท่านั้น นรกนี้ไม่เต็มแต่แน่น คือแน่นอัดด้วยกรรมของสัตว์ นรกไม่เป็นทุกข์แต่สัตว์เป็นทุกข์ แน่นอัดกันหมด เพราะคนชอบทำความชั่วมากกว่าความดีแล้วก็ไปนรกมากกว่า อัดแน่น ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสไม่มีอะไรเกินนรก พระพุทธเจ้าทรงเมตตาเต็มพระทัย ฉุดลากขึ้นมายังบืน ( บืน = เสือกไป,คืบไปด้วยความลำบากยากแค้น )ลงไปอยู่ พวกเราอย่าพากันบืนลงไปนะ ให้บืนขึ้น - บืนขึ้นได้เป็นสุข บืนลงเป็นทุกข์อย่าบืนลง สิ่งไหนชั่วท่านสอนแล้วอย่าทำ
ไม่มีใครตาดีหูเร็วยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เพราะนั้นเป็นตาทิพย์ด้วย หูทิพย์ด้วย ตาทิพย์สว่างจ้าไม่เหมือนตาภายนอก มีกระดาษใบเดียวแผ่นเดียวมาปิดบังไม่เห็นแล้วตานอก แต่ตาในปิดเท่าไรไม่อยู่ทะลุหมดเลย พระพุทธเจ้าสอนโลกด้วยความทะลุทุกอย่างจึงเรียกว่าโลกวิทู รู้แจ้งโลก รู้แจ้งหมดทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง เวลานี้กิเลสมันปิดนะ กิเลสมันปิดมันบัง อันไหนที่จะเป็นความดีมันจะเปลี่ยนให้เป็นชั่ว อะไรไม่ดีมันจะยกยอว่าดีทั้งนั้น ๆ สัตว์โลกเราก็โง่ด้วยเชื่อมันง่ายนิดเดียว เชื่อพระพุทธเจ้าเชื่อยาก เพราะฉะนั้นคนจึงไปทางดีมีความสุขน้อย น้อยมากทีเดียว
เราโง่ต้องเชื่อท่านผู้ฉลาดคือจอมปราชญ์ พระพุทธเจ้าจอมปราชญ์ทุก ๆ พระองค์สอนแบบเดียวกันหมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีแบบเดียวกันอย่างเดียวกันมาดั้งเดิม พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาก็จ้ามองเห็นหมด ก็นำสิ่งที่ดีที่ชั่วซึ่งทรงเห็นแล้วมาสอนโลกให้รู้ เพราะพวกเราไม่รู้เดินงุ่มง่ามต้วมเตี้ยม ตาก็หลับหูก็ปิด ตาบอดหูหนวกด้วย โดนอันนั้นชนอันนี้ไปเรื่อย ส่วนมากชนแต่ความทุกข์ความทรมาน จึงให้ทำความดี อย่างหนังสือที่แจกนี้เอาไปอ่าน อ่านหนังสือด้วยอ่านตัวเองด้วยเทียบกัน อันไหนไม่ดีท่านสอนว่ายังไงนั้นละถูกต้อง เราปฏิบัติตามนั้นเลย แก้ไขดัดแปลงตนเองไปด้วย
ฝ่าฝืนซิความชั่วมันมีกำลังมากมันฉุดลากเราไปได้อย่างง่ายดาย แต่จะไปความดีนี้ไปยาก ไปทางชั่วนี้ไหลลงเลยนะให้พากันระมัดระวังให้มาก เวลานี้ของปลอมกำลังกลายเป็นของจริงขึ้นมามากเข้า ๆ โดยลำดับ ของจริงกิเลสกลบไว้ ทั้งให้เป็นของปลอมไม่ให้เห็นเป็นของจริงด้วย ถ้าเห็นกิเลสก็เป่าพรู๊ดเดียวให้เป็นของปลอม ไอ้เราก็เชื่อมันง่ายด้วย เชื่อเร็วเสียด้วย ของจริงมันไม่ให้เห็น เห็นมันก็ปิดเอาไว้เสีย เอาของปลอมขึ้นมาหลอกโลก เพราะฉะนั้นโลกถึงมีแต่ความทุกข์ความลำบากมาก
วันนี้วันศุกร์ สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมขึ้นซึ่งบุญนำมาซึ่งความสุข นี่เป็นพุทธภาษิตเป็นพระวาจาของพระพุทธเจ้า ท่านสอนพุทธบริษัทของท่าน พระพุทธเจ้าท่านรักพุทธบริษัทท่านรักมากจริง ๆ นะ ศาสนาที่ยังเหลืออยู่ทุกวันนี้ก็เหลือเพื่อพุทธบริษัท คือภิกษุ แต่ก่อนมีภิกษุณี ท่านว่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกได้แก่ผู้ชาย อุบาสิกาได้แก่ฝ่ายหญิง นี้เรียกว่าพุทธบริษัทคือลูกเต้าเหล่ากอของพระพุทธเจ้า ท่านทรงพระเมตตาสงสารมากมาย พระโอวาทที่ประทานไว้นี้ก็เพื่อลูกของท่านนั้นแหละ
เราเป็นลูกของท่านจงเป็นลูกที่ดีให้เชื่อครูเชื่อพ่อของเราได้แก่พระพุทธเจ้า พ่อของเราเป็นผู้สิ้นกิเลส เป็นผู้เลิศประเสริฐในโลกทั้งสามนี้ไม่มีใครเสมอเหมือนแล้ว จึงเรียกว่าศาสดาเอกคือไม่มีใครเสมอ มีหนึ่งไม่มีสองเข้ามาเป็นเครื่องทาบหรือเป็นเครื่องเทียบเคียงเป็นคู่แข่งขันได้เลย ท่านประทานพระโอวาทไว้นี้ เพราะเป็นความห่วงใยโลก ได้แก่โลกนอกจากพุทธบริษัทนี้แล้ว ยังพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม
ในสามแดนโลกธาตุนี้อยู่ในข่ายแห่งความเมตตาของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ท่านทรงแนะนำสั่งสอนทุกวิถีทางที่จะเป็นไปได้ในเวลายังทรงพระชนม์อยู่ เวลาสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ประกาศธรรมสอนเอาไว้ ดังที่เราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาและได้ดำเนินตามท่าน เป็นเยี่ยงอย่างอันดีแก่ตัวของเราด้วย และแก่กุลบุตรสุดท้ายภายหลังจะได้ถือเป็นคติตัวอย่างอันดีงามด้วยในทางที่ดี
ตะกี้นี้ได้ยกขึ้นว่า สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมขึ้นซึ่งบุญย่อมนำมาซึ่งความสุข การสั่งสมบุญก็คือการทำความดีนั้นแหละ การทำความดีคือการสั่งสมบุญสั่งสมกุศลขึ้น เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราเวลาว่างจึงมีการไปวัดไปวา ทำบุญให้ทานในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหัวใจ ใจนี้สำคัญมากยิ่งกว่าร่างกาย ร่างกายมีอายุ เรียกว่าอายุขัยของแต่ละราย ๆ เท่านั้น หมดปัญหานี้แล้วส่วนผสมได้แก่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เราเรียกว่าคนว่าสัตว์นี้ก็สลายตัวลงไปสู่ธาตุเดิมของเขา ธาตุเดิมคือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ นี่คือธาตุต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนผสมมีจิตเป็นผู้เข้าครองในธาตุอันนี้ ก็กลายเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เวลาหมดสภาพความเป็นอยู่ไม่สามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้แล้วก็สลายตัวลงไป โลกเรียกว่าตาย
ร่างกายนี้เมื่อสลายลงไปแล้วก็ไม่ตาย ตายจากคำว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล จากคำว่าเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลเท่านั้น ส่วนธาตุเดิมนี้ไม่ตาย ดินสลายลงไปเป็นดินตามเดิม เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ตามเดิม ใจก็ออกเสาะแสวงหาที่พึ่ง ถ้าใจได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้ก็ไม่ต้องแสวงหา เพราะได้สร้างไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ไม่ได้สร้าง สัตว์ที่ไม่ได้สร้าง ถึงจะเสาะแสวงเท่าไรก็ไม่มีโอกาสจะได้พบได้เห็นสิ่งที่สมหวังดังใจหมาย
เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายในเมื่อมีชีวิตอยู่ให้พยายามขวนขวายให้เสมอกันกับส่วนร่างกาย อย่างน้อยเสมอกัน มากกว่านั้นให้ทางจิตใจมากกว่าหนักแน่นกว่า เพราะใจนี้ยังจะดำเนินหรือหมุนเวียนไปตามวัฏจักรคือความหมุนไปตลอดอนันตกาล เพราะใจไม่เคยตาย พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านรู้ชัดในเรื่องความเกิดความตายของสัตว์ ในองค์อริยสัจเป็นเครื่องประกาศสอนความรู้ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด พระพุทธเจ้าทรงทราบสัตว์ว่าการตายของสัตว์การเกิดของสัตว์นี้เป็นภาระอันหนักมาก แต่คำว่าความสูญของสัตว์นี้ไม่เคยมี เพราะสัตว์ไม่เคยสูญ ตายแล้วไม่เคยสูญไม่เคยมีแม้รายเดียว มีแต่ตายแล้วก็เกิด ๆ ทั้งสัตว์ทั้งบุคคลภพต่าง ๆ ภูมิต่าง ๆ เป็นภูมิที่เกิดที่ตายของสัตว์โลกด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีภูมิใดจะคงเส้นคงวาอยู่ได้นอกจากนิพพาน นิพพานท่านไม่เรียกว่าภูมิเสีย ท่านเรียกว่านิพพานคือดับรอบหมดเลย ในบรรดาสิ่งที่เป็นสมมุติอันจะพาให้หมุนเกิดแก่เจ็บตายต่อไปนั้นไม่มีแล้วในจิตของท่านผู้ถึงนิพพานแล้ว ได้แก่จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ท่าน ท่านเหล่านี้เป็นไปจากความดีทั้งนั้น ความดีเป็นแม่พิมพ์ ความดีเป็นพืชอันสำคัญที่จะสร้างคนให้ดีจนกระทั่งถึงขั้นดีเลิศ ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านล้วนแล้วแต่เลิศไปจากความดีคือการสร้างบุญสร้างกุศล เพราะจิตใจเป็นของไม่ตาย แต่ต้องหมุนต้องเวียนเพราะมีเชื้ออยู่ภายในนั้น
เชื้ออันนี้เราจะเรียนสักเท่าไรเราก็ไม่มีความหมายเพียงการเรียนเท่านั้น เราจะเรียนถึงนิพพานก็ไปตั้งเวทีรบกับนิพพานอยู่นั้นแล รบยังไง ก็สงสัยว่านิพพานมีหรือไม่มีนานั่นซิ นี่อย่างน้อยนะ มากกว่านั้นก็ว่านิพพานไม่มี ทั้ง ๆ ที่เรียนจบถึงนิพพานก็ไปสงสัยในนิพพานจนได้ลำพังความจดจำจากการเล่าเรียน เรียนถึงบาปสงสัยบาป เรียนไปถึงบุญสงสัยบุญ เรียนเรื่องนรกสงสัยนรก เรียนเรื่องสวรรค์สงสัยสวรรค์ เรียนไปถึงไหนสงสัยไปถึงนั้น นี่คือความจำ สร้างความกังวลวุ่นวาย สร้างความไม่แน่ใจให้เจ้าของอยู่ตลอดเวลา
เรียนมากเรียนน้อยไม่สำคัญ เรื่องความสงสัยนี้จะติดตามไปเหมือนไฟได้เชื้อ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีภาคปฏิบัติได้แก่การทำจริง เช่นเดียวกับแปลนบ้านเรา เราทำแปลนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราไม่สร้างเป็นบ้านเป็นเรือนจะเก็บไว้ในห้องเต็มห้อง ก็มีแต่ห้องแปลนแบบแปลนแผนผังเท่านั้น ไม่สำเร็จเป็นตึกรามบ้านช่องให้เลย ต่อเมื่อเราได้นำแปลนนั้นมากางออกแล้วปฏิบัติตามแปลนที่บอกไว้นั้น ก็จะกลายเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามบ้านช่อง กี่ห้องกี่หับตามแปลนที่บอกไว้แล้วนั้นทุกประการอันนั้นฉันใด ในธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ต้องมีภาคปฏิบัติไปด้วยจึงจะเกิดผล
ท่านสอนไว้ว่าปริยัติ ได้แก่การศึกษาเล่าเรียนให้รู้จักเข็มทิศทางเดินแล้วปฏิบัติ ได้แก่ปฏิบัติดำเนินตาม เช่นเดียวกับเขาสร้างบ้านสร้างเรือนตามแปลนที่เรียนมาแล้วนั้นแล ปฏิเวธสำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา นี่ก็สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลเป็นสวรรค์เป็นนิพพานขึ้นมาภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นธรรมะนี้จึงต้องไปพิสูจน์กันทางด้านปฏิบัติ แต่เพียงเรียนเฉย ๆ ไม่ว่าใครทั้งนั้น จะเรียนจบพระไตรปิฎกก็ตาม ความสงสัยจะเต็มอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วย้อนเข้ามาก็มาเต็มอยู่ในหัวใจของผู้เรียนนั้นแลไม่ได้สำเร็จประโยชน์อะไรถ้าไม่ปฏิบัติ
เมื่อได้ปฏิบัติแล้วท่านสอนว่าสมาธิเป็นยังไง และวิธีการทำสมาธิเป็นยังไง เช่นท่านสอนว่าให้ภาวนา คือจิตใจของเรามันส่ายแส่เร่ร่อนหาที่เกาะที่ยึดอยู่ตลอดเวลาทั้งหญิงทั้งชายไม่เลือกไม่เว้น จะเรียนมากเรียนน้อยก็ตาม ความคิดความปรุงส่ายแส่นี้มีเหมือนกันหมด ทีนี้เราต้องการความจริง เช่นท่านว่าสมาธิคือความสงบใจ ความสงบใจกับความสุขของใจเป็นอันเดียวกันอยู่ด้วยกัน ถ้าจิตสงบใจก็เป็นสุข
แล้วสมาธิเป็นยังไง ท่านสอนวิธีการทำสมาธิว่าให้เจริญภาวนา ทำใจให้อยู่กับธรรมบทเดียวบทใดบทหนึ่งก็ได้ เราจะกำหนดคำบริกรรมว่าพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออัฏฐิ ๆ แปลว่ากระดูก ในตัวของเรานี้เป็นกองกระดูกป่าช้าผีดิบ บริกรรมยังไงก็ได้ไม่ผิด ขอให้จิตของเราอยู่กับคำบริกรรมอย่าส่ายแส่เร่ร่อนไปที่อื่น แล้วจิตกับธรรมจะประสานกันเข้า ๆ แล้วจะเป็นพลังขึ้นมาภายในจิตใจ เมื่อเป็นพลังขึ้นมาแล้วความรู้นั้นจะเด่น เด่นขึ้นภายในใจในร่างกายของเรานี้แหละในท่ามกลางหัวอก พูดกันอย่างนี้เลย
ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะทราบที่อยู่ของจิตอยู่ที่ตรงไหน อยู่ในท่ามกลางหัวอกนี้ เพราะความรู้เด่น - เด่นอยู่ที่นี่ ความสว่างไสวสว่างอยู่ที่นี่ ความเป็นสมาธิคือความแน่นหนามั่นคงของใจ เป็นความสุขของใจ ก็อยู่ในท่ามกลางหัวอก ไม่อยู่บนสมอง บนสมองนั้นเป็นสถานที่ทำงานของความจำ เราเรียนมากเรียนน้อยจะไปทำงานอยู่ที่สมองจนกระทั่งสมองทื่อ เมื่อเรียนมาก ๆ จำมาก ๆ เข้าไป แต่ทางภาคปฏิบัตินี้ปฏิบัติมากเท่าไรยิ่งจะมาปรากฏเด่นในท่ามกลางหัวอกนี้แหละ ความสงบก็สงบเข้าที่นี่ ความฟุ้งซ่านวุ่นวายก็ฟุ้งซ่านวุ่นวายออกจากที่นี่ เวลาความสว่างไสวเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นในท่ามกลางหัวอก ความสุขเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นในที่นี่
คำว่าสมาธิที่เราเคยเรียนเคยจำในตำรับตำรา ซึ่งท่านชี้บอกเข้ามาในหัวใจเรานี้ เราได้ปรากฏแล้วในภาคปฏิบัติของเรา ว่าใจเป็นความสงบแน่วแน่อยู่ภายในตัวเอง เป็นความสุขอันรื่นเริงบันเทิงผิดกับความสุขทั้งหลายที่เราเคยผ่านมาเป็นไหน ๆ อ๋อ นี่สมาธิเป็นอย่างนี้ นี่เรียกว่าสำเร็จเป็นแปลนบ้านขึ้นมาแล้ว เป็นหลังหนึ่งแล้วหรือเป็นชั้นหนึ่งแล้ว พอทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ คำว่าสมาธิมีหลายขั้นหลายตอน เราเจริญมากเท่าไรจิตยิ่งมีความสงบเย็นเข้าไป ๆ ละเอียดลออเข้าไปเรื่อย ๆ ก็เท่ากับเราปลูกบ้านเป็นสองชั้นสามชั้นขึ้นไปแล้ว
จากสมาธิแล้วก้าวขึ้นสู่ปัญญา ปัญญาเป็นยังไงท่านสอนไว้ในตำรับตำราว่าปัญญา ๆ คือความคล่องแคล่วว่องไวของความคิดความอ่าน ความเฉลียวฉลาดรวดเร็ว ทั้งทางโลกและทางธรรมท่านเรียกปัญญา แต่เป็นโลกิยปัญญา โลกุตรปัญญาต่างกันเท่านั้น โลกิยปัญญาดังที่โลกทั้งหลายเขาใช้กัน ใช้ละเอียดลออขนาดไหนก็ได้ทางโลก แต่อยู่ในวิสัยของโลกเท่านั้นไม่นอกเหนือจากโลกนี้ไปได้ ส่วนปัญญาที่ว่าโลกุตรปัญญานั้น ปัญญานี้เป็นปัญญาที่ทำจิตใจให้เหนือโลกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความสว่างกระจ่างแจ้งเห็นตามหลักความจริงในธาตุในขันธ์ในสัตว์ในบุคคล ตลอดถึงนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพานกระจ่างแจ้งขึ้นภายในจิตใจนี้แล
พระพุทธเจ้าท่านสอนโลกท่านสอนด้วยความรู้จริง ๆ แต่เราไม่ได้ปฏิบัติ เราเรียนเฉย ๆ ไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ความจริง แล้วก็ตำหนิติเตียนหรือลบล้างธรรมนั้นว่าไม่มี ว่าธรรมนี้เป็นโมฆะ หรือผู้ปฏิบัติธรรมผู้ทำภาวนาเป็นการงมงาย เป็นบุคคลงมงายไปเสียทั้ง ๆ ที่เจ้าของงมงายเสียจนกระทั่งหมดราคาแล้วยังเหลือแต่ลมหายใจฝอด ๆ ก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในข้อนี้ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าอยากรู้ของจริงความจริงก็จงปฏิบัติเอง อย่างมเงาด้วยความจำอยู่เฉย ๆ
สมัยนี้สมัยคนฉลาดมีมากมาตำหนิติเตียนธรรมของจอมปราชญ์ ว่าเป็นธรรมงมงาย เป็นบุคคลงมงาย บุคคลใดเข้ามาหาศีลหาธรรมมาปฏิบัติคุณงามความดีทั้งหลาย หาว่าพวกนี้งมงาย ๆ เจ้าของยังเหลือแต่ลมหายใจฝอด ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะฉะนั้นเราจงแยกในหัวใจของเราว่าเวลานี้เราเป็นคนประเภทไหน เราเป็นคนประเภทเข้าวัดเข้าวางมงาย หรือเป็นประเภททันสมัยนั้นเป็นของดีให้เราคิดดู ถ้าจิตของเราไปทางชั่วช้าลามกนั้นว่าเป็นของทันสมัย เป็นจรวดดาวเทียมไปแล้ว ให้พึงทราบว่านี่เรายังเหลือแต่ลมหายใจนะเวลานี้ จะแก้ยังไงให้รีบแก้ ให้แก้เข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมนี้จะไม่เป็นของงมงายตามหลักความจริงตามหลักธรรมชาติที่จอมปราชญ์สอนไว้
นี่พูดถึงเรื่องการภาวนา ท่านรู้จริง ๆ ท่านเห็นจริง ๆ ธรรมะนี้ออกมาจากท่านผู้รู้จริงเห็นจริงไม่ได้มาสอนแบบงมงาย พอพุทธบริษัทของเราจะเป็นผู้งมงายเมื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้แล้วก็ให้รู้ในวงศาสนาพุทธเรานี้เถอะ
คำว่านรกเป็นยังไง เมื่อเราไม่เห็นก็เหมือนไม่มีนรก เหมือนอย่างเรือนจำเวลานี้เราอยู่ที่นี่ไม่เห็นเรือนจำ ประหนึ่งเรือนจำนั้นไม่มี ไม่มีในหัวใจเราทั้ง ๆ ที่ความจริงนั้นเรือนจำมีอยู่ ทีนี้เวลาก้าวไปเจอเรือนจำแล้วเป็นยังไง อ๋อ เรือนจำเป็นอย่างนี้ นี่แหละพระจิตของพระพุทธเจ้า และญาณหยั่งทราบของพระอรหันต์ท่านเป็นบางท่านบางองค์ ไม่ได้หมายถึงทั่วไป รับทราบสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น อ๋อ นรกที่คาดคะเนกันอย่างนั้นอย่างนี้นี้ไม่มีความหมายเลย ความหมายจริง ๆ แล้วดังที่รู้ที่เห็นอยู่เวลานี้ คาดไม่ถูก เป็นผู้รู้เท่านั้นรู้เองเห็นเองเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ปรากฏขึ้นแล้วในหัวใจนี้
คำว่านรกก็จะสด ๆ ร้อน ๆ เพราะเจ้าของเจออยู่เห็นอยู่ดูอยู่เวลานี้ แล้วนรกจะหายไปไหน จะถูกลบล้างไปไหนเมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ ใครจะว่านรกนี้ไม่มีสามแดนโลกธาตุก็ตาม เราผู้ดูนรกเราผู้รู้นรกเราผู้เห็นนรกนี้ย่อมเชื่อเราอย่างเต็มหัวใจยิ่งกว่าจะเชื่อใครในโลกนี้ นั้นแหละพระพุทธเจ้าของเราเป็นพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว จึงไม่ยอมเชื่อใครทั้งนั้น เพราะเหล่านั้นเป็นเรื่องงมงายทั้งหมด พูดกันสุ่มสี่สุ่มห้า แต่พระองค์ไม่ได้เป็นความรู้สุ่มสี่สุ่มห้า ทรงรู้แจ้งเห็นจริงประจักษ์ภายในพระจิตของพระองค์จริง ๆ แล้วจึงนำมาประกาศสอนโลก ทั้งฝ่ายคุณทั้งฝ่ายโทษเป็นความจริงเสมอกันหมด
นี่ผู้ภาวนา เราพูดถึงเรื่องผู้ภาวนา เมื่อภาวนาแจ่มแจ้งขึ้นไปถึงขั้นปัญญา ย่อมจะสว่างกระจ่างแจ้ง ไม่มีประมาณคำว่าปัญญา ละเอียดลออมากที่สุด เป็นกับผู้ใดผู้นั้นก็รู้ตัวเอง เพียงคาดคะเนนั้นคาดไม่ถูกเดาไม่ถูก ออกจากปัญญาแล้วก็เป็นการฆ่ากิเลสไปพร้อม ๆ กัน กิเลสเป็นเครื่องปิดบังความจริงทั้งหลาย เช่น นรกมีกิเลสบอกว่าไม่มี บาปมีกิเลสบอกว่าไม่มี บุญมีกิเลสบอกว่าไม่มี กิเลสโกหกไปเรื่อย ๆ กิเลสไม่มีอย่างอื่นเป็นงานทำ มีแต่งานโกหกหลอกลวงโลกเท่านั้นเป็นงานของกิเลส ทั่วโลกดินแดนนี้มีแต่กิเลสเป็นผู้ครอบงำไว้หมด เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงงมงาย เพราะกิเลสหลอกลวงให้งมงายจึงต้องงมงาย
ทีนี้เวลาภาวนาเข้าไปบาปมีก็รู้ว่าบาปมี เห็นบาป นรกมีรู้ว่านรกมี บุญมีรู้ว่ามี กิเลสมีมากมีน้อยรู้ไปโดยลำดับ ตั้งแต่ยังไม่ภาวนาก็รู้แล้วว่ากิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เป็นกิเลส ดังพระพุทธเจ้าของเราท่านทรงชำระเรื่อยไปจนกระทั่งสิ้นกิเลสถึงแดนนิพพาน หมดกิเลสแล้วไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็ไม่มีอะไรโกหกอีกต่อไป สว่างกระจ่างแจ้งเป็นโลกวิทู ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านแสดงไว้ว่า ญาณํ อุทปาทิ พระญาณหยั่งทราบอันแหลมคมได้เกิดขึ้นแล้วในพระพุทธเจ้า ปญฺญา อุทปาทิ ปัญญาก็เกิดขึ้นแล้ว วิชฺชา อุทปาทิ วิชชาสามวิชชาแปดเกิดขึ้นแล้ว อาโลโก อุทปาทิ ความสว่างกระจ่างแจ้งทั้งกลางวันกลางคืน ได้เกิดขึ้นแล้วภายในพระทัยของพระพุทธเจ้า ญาณหยั่งทราบของเราว่าการเกิดตายของเราไม่มีอีกแล้ว ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้วนี้ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต
เพราะฉะนั้นเบญจวัคคีย์ทั้งห้า มีอัญญาโกณฑัญญะเป็นต้น จึงได้แสดงอุทานออกมาว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเมื่อเกิดแล้วดับทั้งนั้น คือเกิดแล้วต้องตาย ปรากฏขึ้นมาแล้วต้องสลายไปทั้งนั้น นี่เป็นญาณหยั่งทราบภายในจิตใจอันลึกซึ้งของพระอัญญาโกณฑัญญะที่รู้ตามเห็นตามพระพุทธเจ้า นี่คือจิตตภาวนา สามารถทำจิตใจให้ขยายเป็นวงกว้างขวางออกไปมากมายไม่เหมือนความรู้ทางโลก
ความรู้ทางโลกนี่เป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นจากกิเลส กิเลสเป็นเจ้าของกิเลสเป็นเจ้าอำนาจ กิเลสเป็นผู้บงการทุกสิ่งทุกอย่าง โลกเราจะเรียนวิชาความรู้แขนงใดมาก็ตาม วิชาเหล่านั้นเป็นบริษัทบริวารเป็นเครื่องมือของกิเลส ที่จะบงการให้นำไปใช้ในทางนั้น ๆ ทั้งนั้น ส่วนความรู้ของพระพุทธเจ้านอกสมมุติ เพราะฉะนั้นความรู้ของพระพุทธเจ้าสาวกอรหันต์ท่าน กับความรู้ของสามัญชนทั่ว ๆ ไปที่เรียนรู้มามากน้อยนั้นจึงเทียบกันไม่ได้เลย เพราะความรู้อันหนึ่งอยู่ในเรือนจำ อยู่ในกรอบของเรือนจำคือสถานที่คุมขังของกิเลส
วัฏจักรนี้เป็นเหมือนเรือนจำครอบสัตว์โลกทั้งหลายไว้ในนี้ ความรู้ก็ให้อยู่ในกรอบอันนี้ ออกจากกรอบนี้ไม่ได้เพราะเป็นโลกิยวิชา เป็นวิชาความรู้อยู่ในกรอบแห่งวัฏจักรวัฏวนซึ่งเท่ากับความรู้อยู่ในเรือนจำ ส่วนวิชาของพระพุทธเจ้าวิชาของพระอรหันต์ท่านเป็นโลกุตรวิชา เป็นวิชาที่เหนือจากเรือนจำ นอกจากเรือนจำไปแล้ว สามารถมองทะลุปรุโปร่งทั้งภายในเรือนจำทั้งภายนอกเรือนจำ เวิ้งว้างกว้างขวางไม่มีประมาณก็คือความรู้ของท่านผู้สิ้นกิเลส จะอยู่เฉย ๆ ก็สิ้นกิเลส หลับตื่นลืมตาก็สิ้นกิเลส จะพูดหรือไม่พูดก็สิ้นกิเลส มีชีวิตอยู่ก็สิ้นกิเลส นิพพานไปแล้วสละธาตุขันธ์ซึ่งเป็นความรับผิดชอบมาตั้งแต่วันเกิดก็สิ้นกิเลสตลอดเวลา ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง
คือ จิตนั้นเมื่อไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อันเป็นเรื่องของสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วก็เที่ยงเท่านั้นเอง พระนิพพานจึงไม่ใช่ อตฺตา จึงไม่ใช่ อนตฺตา ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เพราะ อตฺตา ก็เป็นสมมุติประเภทหนึ่ง อนตฺตา ก็เป็นสมมุติประเภทหนึ่ง ผู้พิจารณาเพื่อถึงพระนิพพานต้องพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อันเป็นทางเดินก้าวเข้าถึงนิพพานแล้วหมดปัญหาตลอดอนันตกาล นั่นคือเมืองพอ
ไม่มีอะไรที่จะพอยิ่งกว่าคำว่านิพพาน เลิศเข้าไปใส่ก็ไม่ติด ต่ำช้าเลวทรามเข้าไปติดไปทาบก็ไม่ติด เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งนั้น ที่พอเหมาะพอดีก็คือคำว่าพอ ๆ ใครปรากฏเข้าแล้วพอ ทุกคนพอ เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมจะไม่เห็นโทษของความโลภ ความโลภก็เป็นของไม่พอ ความโกรธเป็นของไม่ดี ราคะตัณหาเป็นสิ่งที่ไม่ดีมาพอกพูนจิตใจให้กระดิกพลิกแพลงให้เดือดร้อนให้วุ่นวายกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ตลอดเวลาเพราะสิ่งเหล่านี้ เมื่อหมดสิ่งเหล่านี้แล้วพอ ไม่หมุนไม่กลิ้งไม่พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปไหน จึงเรียกวิวัฏฏะ คือไม่หมุนอีกแล้ว นี่อำนาจของการภาวนา ที่สอนเมื่อสักครู่นี้เพื่อให้จิตของเราได้ยึดเป็นแนวทาง
หลักใจเป็นของสำคัญ ร่างกายของเราก็ให้เสาะแสวงหาตามมีตามเกิด ที่ควรจะได้มาหล่อเลี้ยงร่างกาย เพราะเราอยู่กับโลก ร่างกายนี้มีความบกพร่องต้องการสิ่งเยียวยาอยู่ตลอดเวลา เราต้องหามาเยียวยารักษา ก็ให้ทราบว่านี้เป็นส่วนร่างกาย ใจนั้นเป็นของสำคัญมีความขาดตกบกพร่องตลอดเวลา เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ เจ้าของคือใคร สติกับปัญญา ถ้าเราไม่ฉลาดก็รักษาใจไม่ได้ ให้ใจไปทำความชั่วช้าเสียหายต่าง ๆ แล้วขนเอาทุกข์มาบีบบังคับมาเผาลนจิตใจให้เดือดร้อนมากขึ้นนั้นแล
ถ้าใจมีความเฉลียวฉลาด สติตั้งลงไปตรงไหนจะเป็นธรรมขึ้นมา ปัญญาพินิจพิจารณาใคร่ครวญแล้วเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำจะเป็นโทษเป็นภัยแก่ตัวเองให้ละเว้นสิ่งนั้นเสีย นั้นท่านเรียกว่าปัญญาเป็นเจ้าของของใจ ใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ ดังที่เรามาปฏิบัติศีลธรรมเวลานี้ มาทำบุญให้ทานมากน้อยตามกำลังความสามารถของเรา นี้แลเรียกว่ามาช่วยจิตใจ
จิตใจเราเรียกร้องหาความช่วยเหลือ อย่างอื่นไม่เอา ต้นไม้ภูเขาสมบัติเงินทองข้าวของอะไรไม่เอาทั้งนั้น เอาแต่บุญ ที่ซึมซาบได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น บาปทำลงไปแล้วยังไงก็ติดตาม บุญทำลงไปแล้วยังไงก็หนุนเจ้าของ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เลือกเฟ้น คัดบาปออก เสาะแสวงหาคุณงามความดีคือบุญ ด้วยความช่วยเหลือใจจากอำนาจของสติปัญญา เราจะเป็นผู้สง่างาม
ใจจึงเป็นของสำคัญมาก ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้มองดูใจ วันหนึ่ง ๆ อย่ามองแต่ความเพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของร่างกายและเป็นเรื่องของจิตใจที่จะผูกมัดเราให้จมอยู่ในวัฏฏะอีกเป็นเวลานานแสนนาน ถ้าเราไม่มีธรรมเป็นเครื่องระลึกภายในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา หรือเป็นเวลาใดก็ได้ในวันหนึ่ง ๆ อย่าให้ขาดธรรม
ความตายเป็นของสำคัญมาก พอเจริญมรณัสสติขึ้นมานี้ จะโลภมากขนาดไหนก็ตามคนเรา จะโกรธจะเคียดแค้นก่อกรรมก่อเวรให้ใครมากน้อยเพียงไรก็ตาม พอระลึกถึงความตายนี้เขากับเรามีความเสมอภาคกัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร เราไปทำลายเขามาแล้วเราโกรธให้เขาแล้ว เขาก็ต้องตายเราก็ต้องตาย พอระลึกถึงความตายนี้เหมือนกับเหยียบเบรกห้ามล้อเอาไว้ รถมันก็ไม่วิ่งลงเหวลงบ่อลงคลองไปเสียอย่างง่ายดายเราก็ปลอดภัย อันนี้เมื่อระลึกถึงความตายได้บ้างคนเราย่อมรู้ดีรู้ชั่ว รู้หนักรู้เบารู้บุญรู้บาป แล้วย่อมคัดเลือกเอาได้และทำแต่สิ่งที่ดีงาม
นี่ละวันนี้แสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายเห็นความสำคัญของใจ ใจเป็นของสำคัญมาก เพราะฉะนั้นจึงให้คู่เคียงกันไปในการดำเนินการครองชีพของเรา แล้วส่วนที่ควรจะให้หนักก็คือเรื่องของใจอย่าปล่อยอย่าวาง ไปทำการทำงานการทำมาหาเลี้ยงชีพประเภทใดก็ตาม ให้ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ระลึกถึงอรรถถึงธรรมให้ระลึกเสมอ ให้สร้างความดีไปในตัวนั้นแหละ เราทำงานอะไรเราก็สร้างความดีได้ ตั้งแต่เราทำงานอย่างอื่นอย่างใดอยู่เรายังสร้างความชั่วได้ โลภยังโลภได้โกรธได้เคียดแค้นได้ รักได้ชังได้ อันนี้ระลึกถึงธรรมทำไมระลึกไม่ได้หัวใจดวงเดียวกัน เมื่อเราระลึกได้เราก็ระลึกอยู่เสมออย่าปล่อยอย่าวางอย่าลดอย่าละอย่าลืม
เวลาจนตรอกมีนะคนเราทั้งสัตว์ทั้งบุคคล แต่สัตว์เขาไม่รู้ภาษีภาษาอะไรก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเขา ส่วนใจของมนุษย์เรานี้เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเรารู้เรื่องราวได้ดี จึงควรระลึกถึงตัวเสมอวันหนึ่ง ๆ ให้ระลึกถึงความดีงาม ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ภายในใจ เรื่องความชั่วช้าลามกทั้งหลายจะเกิดน้อยมาก ไม่ได้เกิดมากเหมือนเราปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมแหละ อันนี้เป็นของสำคัญ
ให้เสาะแสวงหาคุณงามความดีเข้าสู่ใจ ที่เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลานี้เรื่อย ๆ ไป อย่าปล่อยอย่าวางอย่าลดอย่าละ นี้คือสมบัติของพระพุทธเจ้าที่ประทานให้พวกเราทั้งหลาย ท่านสอนไว้ว่า ให้มีกินมีทาน ให้ได้กินด้วยได้ทานด้วย นี่เหมาะสมกับชาวพุทธผู้รู้บุญรู้บาป นี่เป็นคำสอนของจอมปราชญ์ทั้งหลายท่านแสดงไว้ว่า ให้มีทั้งกินทั้งทาน อย่ามีแต่กินเฉย ๆ ใช้เฉย ๆ ทิ้งไปเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ ให้มีการให้ทานเสียสละ จะสละด้วยวิธีการใดก็ตาม สละเพื่อหมู่ใด ชุมนุมชนหรือบุคคลใดก็ตาม เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ๆ เป็นความดีเป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมาแก่เรา แล้วเวลาจนตรอกจนมุมเราไม่ต้องถามหา ความดีเหล่านี้จะมาเอง เทียบปั๊บเข้าในตัวเอง ๆ เพราะเราสร้างอยู่ที่ใจ ความดีเหล่านี้จะเข้าถึงใจปั๊บ ๆ ๆ เลยทีเดียวไม่ไปที่อื่น ไม่ต้องวิ่งเต้นขวนขวายหาที่ใดแหละ ขอให้สร้างเถอะ
เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด ใครล่มจมก็ให้เห็นเสียทีในโลกนี้ไม่เคยปรากฏว่าผู้เชื่อพระพุทธเจ้าถึงความล่มจมฉิบหายป่นปี้ไม่เคยมี มีแต่คนที่ดื้อดึงฝ่าฝืนพระพุทธเจ้านั่นแหละมักจะล่มจมกันมากมายก่ายกอง เราอย่าให้ล่มจม มันไม่ล่มจมแบบหนึ่งมันล่มจมแบบหนึ่งจนได้นะ ให้ระวังมันจะล่มจมแบบไหน ความคิดความอ่านมันจะพาเราไปล่มไปจมที่ไหน ถ้ามันเพลิดมันเพลินลืมเนื้อลืมตัวนั่นละมันจะพาไปจมในนรก ให้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราไปในทางที่ดีเสมอ เรียกว่ารถมีทั้งเบรกมีทั้งพวงมาลัยหมุนไปตามหน้าที่การงานที่ชอบธรรม เรียกว่าพวงมาลัย เบรกห้ามล้ออันไหนมันชั่วให้ห้ามล้อ อันไหนดี..เร่ง เหยียบคันเร่งลงไป ความดีของเราทำลงไปจะไม่เสียท่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
วันนี้ได้แสดงธรรมให้ท่านทั้งหลายฟังพอเป็นข้อคิดอ่านไตร่ตรอง ขอให้นำไปฝังไว้ภายในจิตใจตลอดเวลา แล้วจะเป็นสิริมงคลแก่ตนทั้งยืนทั้งเดินทั้งนั่งทั้งนอนตลอดอิริยาบถต่าง ๆ และขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
ต่อไปนี้ให้พร