จงกลัวบาป
วันที่ 31 ธันวาคม 2537
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

จงกลัวบาป

ห่วงลูกห่วงหลานชาวพุทธเรามากขึ้นทุกวัน ๆ เพราะหลวงตาแก่แล้ว การทำประโยชน์ให้โลกรู้สึกว่าลดน้อยเต็มทีเวลานี้ แทบจะว่าไม่ได้ทำ การแนะนำสั่งสอนในที่ต่าง ๆ ซึ่งเคยเทศน์มาแล้วทั่วประเทศไทยหดย่นเข้ามาหมดเวลานี้ ในงานต่าง ๆ ที่เขานิมนต์ไปซึ่งเห็นว่าเป็นกิจจำเป็น งานจำเป็นจริง ๆ แต่ก่อนไปให้ แต่เวลานี้ไปไม่ได้เลย ความไปไม่ได้นี้มากเท่าไรก็เรียกว่าขาดประโยชน์ทางโลกที่จะควรได้รับมากเพียงนั้น เลยเกิดความวิตกกังวลกับพี่น้องลูกหลาน กลัวจะไม่มีศีลมีธรรมติดเนื้อติดตัวติดใจ จะมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ภายในจิตใจทั่วโลกดินแดนนี้ดูไม่ได้เลย นี่เป็นสิ่งที่วิตกมาก

สิ่งภายนอกเราเคยรู้เคยเห็นเคยเป็นมาด้วยกัน เกิดมากับปัจจัยสี่ เครื่องนุ่งห่มใช้สอย อาหารการบริโภค ที่อยู่ที่อาศัย ยาแก้โรคแก้ภัยก็มีสมบูรณ์บริบูรณ์ เวลานี้เมืองไทยเรายิ่งมีมาก หมอก็มีมากขึ้นทุกวัน ๆ ยามีมากขึ้นทุกวันพอทันกันกับเหตุการณ์ คือโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์และสัตว์พอประมาณ สิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยขาดตกบกพร่อง สิ่งที่ขาดตกบกพร่องคือจิตใจที่เหินห่างจากธรรมนี้สำคัญมาก จึงวิตกวิจารณ์ส่วนนี้

เพราะใจเท่านั้นที่จะพาเราไปเราอยู่ เราเป็นเราตายไปไหนภพน้อยภพใหญ่ จะไม่มีสิ่งอื่นสิ่งใด ร่างกายของเรานี้เวลาแตกแล้วสลายทำลายลงไปเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ของเขาตามเดิม ส่วนใจนั้นเป็นใจ ไม่มีป่าช้า พอออกจากร่างนี้แล้วก็ไปสู่ร่างนั่น ออกจากร่างนั่นก็ไปสู่ร่างนี่อยู่อย่างนั้นตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วเวลานี้

เราคนคนหนึ่งเราอย่าได้คิดว่าเกิดมาในชาตินี้หรือเกิดชาติเดียว ตายแล้วก็สูญหายไปเลยอย่างนี้ เป็นความคิดผิดอย่างร้ายแรงมากและเป็นภัยแก่ตัวเองอีกด้วย จึงขอให้ระมัดระวัง ให้เชื่อเถิด พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก ท่านทรงแสดงไว้อย่างไรแล้วเป็นไปอย่างนั้น เรื่องตายแล้วเกิดนี้ ๆ มีประจำสัตว์สังขารมาตลอดเวลา ส่วนตายแล้วสูญนั้นไม่มี แต่กิเลสมันไปเหมาเอาว่าตายแล้วสูญ ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นี่เป็นสิ่งที่หลอกลวงของกิเลสโดยตรง ให้พึงทราบว่านี้คือข้าศึกของใจมนุษย์เรา

คนเราจะทำความเสียหายก็เพราะเชื่อกิเลส ถ้าเชื่อธรรมแล้วไม่ทำความเสียหายอย่างง่ายดาย มีสติยับยั้งตัวเอง เช่น ท่านว่าบาปมี เราก็ต้องระวังบาป นี่ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ทำบาป บุญมีจริงก็อุตส่าห์ขวนขวายทำบุญให้ทานมากน้อยตามกำลังศรัทธาหรือความสามารถของเรา นี่คือผู้เชื่อพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาองค์เอก เคยรื้อขนสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปมากต่อมากแล้ว ส่วนกิเลสนั้นไม่เคยรื้อขนใครให้พ้นจากทุกข์ นอกจากลากลงให้จมลงในกองทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น แต่สัตว์โลกทั้งหลายก็ไม่เข็ดหลาบไม่ขยาดไม่กลัวกิเลส เพราะมันมีคาถาอาคมสำคัญมาก กล่อมสัตว์โลกให้เคลิ้มหลับไปทั้งเป็นนั่นแหละ ท่านเรียกว่าปทปรมะ ก็คือหลับทั้งเป็น ตายทั้งมีชีวิตอยู่นี้แลกิเลสกล่อมสัตว์โลก

และที่ว่าตายแล้วสูญนั้นไม่มี ให้พี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้ ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่เคยแสดงไว้เลยว่าสัตว์โลกตายแล้วสูญ มีแต่ตายแล้วเกิด เกิดนั้นเกิดได้ในที่ต่าง ๆ ท่านว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม มีประณีตเลวทรามต่างกันเพราะอำนาจแห่งกรรมตกแต่ง คำว่ากรรมนั้นคือการกระทำของเราเอง เมื่อทำลงไปแล้ว ผลปรากฏขึ้นมาสะท้อนย้อนกลับมาสู่ตัวของเรา ให้เป็นผลดีผลชั่วตามเหตุที่เราทำเอาไว้

เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงเกิดไม่เหมือนกัน แม้ที่สุดลูกเต้าที่เกิดมาจากพ่อแม่ซึ่งเป็นแบบพิมพ์อันเดียวกัน รูปร่างกลางตัวก็ไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอก็ไม่เหมือนกัน เป็นนิสัยคนละอย่าง ๆ ไม่เหมือนกัน นี่เพราะอำนาจแห่งกรรมของสัตว์ที่ตกแต่งมาแล้วเป็นแกนอยู่ภายในจิตใจ ถึงจะไปเกิดในสถานที่อันเดียวกันคือพ่อแม่คนเดียวกันก็ตาม จริตนิสัยของเด็กนั้นจะไม่เหมือนกัน นี่เพราะอำนาจแห่งกรรมตกแต่งให้แปลกต่างจากกันอย่างนี้

แต่คำว่าตายแล้วสูญนั้นไม่มี มีแต่ตายแล้วเกิด ถ้าผู้สร้างคุณงามความดีแล้วก็เกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ดีเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่หลงศาสนา ไม่ลืมศาสนา ไม่ลืมอรรถลืมธรรม เป็นคนดีคือสร้างความดีเอาไว้ เวลาตายจากมนุษย์นี้ไปสวรรค์ก็ได้ บุญพาไปได้หมด คำว่า"บุญ"ไปสวรรค์ชั้นใดก็ได้ตามอำนาจแห่งบุญกรรมของเราที่สร้างไว้มากน้อย จนกระทั่งถึงพรหมโลกแล้วเตลิดถึงนิพพานพ้นจากทุกข์ไป เพราะอำนาจแห่งกรรมดีของเรานั่นแล ส่วนกรรมชั่วก็ส่งไปได้ในสถานที่ชั่วเหมือนกัน มีอำนาจส่งเช่นเดียวกันกับบุญมีอำนาจส่งคนให้ไปถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้น กรรมชั่วก็เอาให้จมลงดิ่งลงจนกระทั่งถึงกี่กัปกี่กัลป์ ก็ไม่พ้นจากความเป็นสัตว์นรกอยู่ในแดนนรก ให้ไฟนรกเผาอยู่ด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนอยู่นั่นแล ไม่มีเวลาที่จะฟื้นขึ้นมาได้ง่าย ๆ นี่คือกรรมชั่วส่งสัตว์โลกผู้ทำความชั่ว

เพราะฉะนั้นเราจงเป็นผู้กลัวบาป ให้ระมัดระวัง นี้เคยยกตัวอย่างให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เราอยากจะให้พวกเราทั้งหลายนี้มีญาณหยั่งทราบ เหมือนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านผู้เชี่ยวชาญ แล้วเปิดโลกธาตุให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นมาในประมาณสัก ๑๐ นาที คือ ๕ นาทีหนึ่ง เปิดโลกธาตุให้เรามีหูทิพย์ตาทิพย์ เหมือนพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านมองเห็นสัตว์โลกอย่างนั้นเหมือนกัน ใน ๕ นาทีนั้นให้ดูตั้งแต่พื้นมนุษย์นี้ลงไปจนกระทั่งถึงแดนนรกเป็นมหันตทุกข์ เรียกว่านรกที่ต่ำสุด ได้รับความทุกข์ความทรมานมากที่สุดอายุยืนนานที่สุดขึ้นมาโดยลำดับลำดา

นรกมีหลายหลุมหลายขุม ท่านบอกไว้ว่ามีถึง ๒๕ หลุม นรกนะ หลุมหนึ่งเป็นมหันตทุกข์ประเภทที่ฆ่าบิดาฆ่ามารดา ทำสังฆเภทยังสงฆ์ให้แตกจากกัน ประเภทที่ทำลายพระพุทธเจ้าหรือประเภทที่ฆ่าพระอรหันต์ ๕ ประเภทนี้เป็นกรรมที่หนักมากที่สุด ลงในนรกหลุมที่หนึ่ง แน่ะ ท่านบอกไว้หมดอย่างชัดเจน กรรมอันนี้เป็นกรรมที่หนักมากที่สุด ในโลกนี้ไม่มีกรรมใดหนักเสมอเหมือนกรรม ๕ ประการ คือฆ่าบิดาหนึ่ง ฆ่ามารดาหนึ่ง ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายก็ตามหนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์หนึ่ง สังฆเภทยุยงให้สงฆ์แตกจากกัน สงฆ์ท่านมีความสามัคคีกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ ไปยุแหย่ก่อกวนให้ท่านแตกจากกันหนึ่ง

กรรม ๕ ประเภทนี้เป็นกรรมที่หนักมาก ถ้ายังมีสติสตังอยู่บ้างให้รีบหยุดทันที เหยียบเบรกจนตัวโก่ง จนกระทั่งรถมันจะหกคะเมนไปก็ให้หกคะเมนเถอะ ยังสู้เราตกนรกไม่ได้ ตกนรกนี้ตกหนักมากที่สุด ยิ่งกว่ารถคว่ำรถหกคะเมนเสียอีกเพราะการเหยียบเบรกนั้น ถ้ายังมีสติอยู่อย่าได้ทำเป็นอันขาด นี่เป็นนรกประเภทที่หนึ่ง ประเภทที่สองก็ฆ่าสัตว์ที่มีบุญมีคุณ เช่น ฆ่าวัวฆ่าควาย หรือฆ่าคนก็ตาม ผู้มีบุญมีคุณแก่ตนเป็นรองลำดับลงมา เป็นนรกหลุมที่ ๒ ที่ ๓ มาจนกระทั่งถึง ๒๕ หลุม

นี้เป็นสถานที่เกิดของสัตว์ผู้ตายแล้วไม่สูญทั้งนั้น ไม่มีคำว่าสูญ ถ้าตายแล้วสูญไม่จำเป็นต้องมีนรก ไม่จำเป็นต้องมีสวรรค์พรหมโลกนิพพานไว้สำหรับรับรองจิตวิญญาณของสัตว์ผู้สร้างความดีความชั่วนี้เลย แต่นี้สัตว์ผู้สร้างความดีความชั่วมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกธาตุ เมื่อตายลงไปแล้วมันไม่สูญได้เสวยกรรมตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ที่ว่าสถานที่ที่จะบรรจุสิ่งที่สูญไม่เคยมีเพราะไม่มีอะไรสูญ ในโลกนี้ไม่สูญ มันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาคือธาตุดินนี้แปรไปเป็นอะไรก็ไปได้ แต่มันก็อยู่ในธาตุดินนี้แหละไม่เป็นที่อื่น น้ำกลายไปเป็นน้ำอะไรก็ได้ น้ำหุงต้มแกงน้ำโกโก้กาแฟก็ได้ แต่ก็เป็นน้ำธรรมชาติของมันอยู่นั่นแลไม่แปรเป็นอื่น

นี่เรื่องจิตของเราก็เหมือนกัน ถึงจะออกจากร่างนี้แล้วไปเกิดที่ใดก็คือจิตดวงนี้ ไม่มีคำว่าฉิบหาย ไปเข้าร่างใดก็คือจิตอันนี้อยู่นั่นแล จึงต้องได้ระวัง ให้เราได้เห็นนรกทั้ง ๒๕ หลุม แล้วออกจากนั้นมาแล้วก็เห็นเปรตเห็นผีสัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่เสวยกรรมตามอำนาจแห่งวิบากกรรมของตนที่สร้างเอาไว้นั้นน่ะสัก ๕ นาที เปิดดูให้ชัดเจนตั้งแต่นรกหลุมแรกขึ้นมา สัตว์ตกนรกนั้นเสวยกรรมอย่างไร ประเภทที่หนึ่งเสวยกรรมยังไง นรกที่หนึ่ง ไฟนรกเผา ประเภทที่หนึ่งนั้นเผาแบบไหน มีความร้อนชนิดไหน มีความร้อนประมาณเท่าไร แล้วคำว่าหลุมนรกหลุมที่หนึ่งนั้นเป็นหลุมประเภทใด ให้เห็นอย่างชัดเจนในเวลา ๕ นาที แล้วก็ย้อนดูขึ้นมา ๆ นรกจนกระทั่งถึงมนุษย์เราได้ ๕ นาที

แล้วก็ให้ดูตั้งแต่มนุษย์นี้ขึ้นไปสวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น ตลอดถึงนิพพานให้เห็นประจักษ์เช่นเดียวกับฝ่ายชั่ว ๕ นาทีแล้วก็ปิดกึ๊กเลย เหมือนกระทะครอบหัวนั้นแหละ พอปิดกึ๊กแล้วประหนึ่งว่าสะดุ้งตัวกลับฟื้นขึ้นมา เพราะตอนนั้นญาณหยั่งทราบเปิดโอกาสให้โลกธาตุได้เปิดเผยหมด ให้เราเห็นตามสิ่งที่มีที่เป็นทั้งหลายที่โลกว่าไม่มี ๆ นั่นน่ะ ให้ได้เห็นประจักษ์กับตาของเราแต่ละดวง ๆ อย่างละ ๕ นาที ๆ ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว แล้วตัวของเราจะเป็นยังไง อย่างน้อยต้องสลบ ดีไม่ดีตาย เพราะไม่เคยเห็นประเภทอย่างนั้น ถ้าว่าสัตว์นรกก็สลบไปเลยแหละ เมื่อไปเห็นแล้ว มันไม่เหมือนกับที่เราคาดเอาไว้

คาดเอาไว้ส่วนมากว่านรกไม่มี หรือคาดเอาไว้นรกจะเหมือนเรือนจำเขาขังนักโทษในเรือนจำนี้เท่านั้น ไม่ได้เห็นว่าเป็นความทุกข์ความทรมานขนาดไหนพอจะถึงใจ ต่อเมื่อเราไปเจอด้วยตาของเราจริง ๆ แล้ว เป็นอย่างนั้นสัก ๕ นาที แล้วก็ดูตั้งแต่มนุษย์เราถึงพวกรุกขเทวดา อากาศเทวดาจนกระทั่งถึงเทวดา ๖ ชั้น ถึงพรหม ๑๖ ชั้น ตลอดถึงนิพพาน ให้ประจักษ์ใจอีก ๕ นาที

พอกลับมาแล้ว คน ๆ ที่เห็นนั้นแล้วจ้างให้ทำบาปทำกรรมอีกก็ไม่ทำ คอขาดก็ยอมตาย ถึงใคร ๆ เขาจะฆ่าว่าถ้าไม่ทำบาปเสียอย่างเดียวเท่านั้น เขาจะฆ่าก็ยอมตายไปเลย ยังไงก็ไม่ยอมทำบาป เพราะได้เห็นแล้วโทษแห่งการทำบาปนั้นเป็นอย่างไร ๆ ได้เห็นแล้วในแดนนรกทุกขั้นทุกภูมิมาโดยลำดับลำดา แล้วตัวของเราเองจะไปเป็นตัวประกันในนรกเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ ถึงตายในชีวิตนี้ก็ชั่วระยะคอขาดเท่านั้น ๑ นาทีไม่นาน ความทุกข์ทรมานในเวลาคอขาด เพราะถูกเขาตัดคอ คอขาดเพียง ๑ นาที ก็หมดปัญหาไป ส่วนไปจมอยู่ในนรกนั้นกี่กัปกี่กัลป์ไม่มีหมดปัญหา ไม่ให้ตายด้วยนะ จะตายก็ไม่ให้ตาย ให้ทรมานอยู่อย่างนั้น เหมือนจะตายแต่ไม่ตายอยู่ตลอดเวลากี่กัปกี่กัลป์จนกว่าจะสิ้นโทษสิ้นกรรมนั้นเมื่อไรแล้วก็เลื่อนขึ้นมานรกอันดับสอง อันดับสาม เลื่อนขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ใช่จะผุดโผล่ขึ้นมาทีเดียวเลยนะ ไม่เหมือนคนติดคุกติดตะราง ติดกี่ปีกี่เดือนก็ตามเมื่อหมดโทษแล้วเขาตัดออกจากเรือนจำทันที ถึงบ้านเลย ไม่ต้องไปติดอยู่ที่ไหนอีก แต่ส่วนสัตว์ทั้งหลายที่ตกนรกนี้ ตกในขั้นนี้แล้วภูมินี้แล้ว ก็เลื่อนขึ้นมา ๆ ตามอำนาจแห่งกรรมของตนจนกระทั่งถึงมาเป็นเปรตเป็นผีอีกเป็นลำดับลำดา จนกว่าจะมาเป็นมนุษย์นี้นานแสนนานขนาดไหน

นี่แหละเราได้เห็นประจักษ์นัยน์ตาของเราในเวลา ๕ นาทีที่ท่านเปิดโลกธาตุให้เห็นแล้ว กลับไปดูทางสิ่งที่เลิศเลอทั้งหลายตั้งแต่สวรรค์พรหมโลกขึ้นถึงนิพพานแล้วประจักษ์ใจทั้งสองอย่างถึงใจทั้งสองอย่าง การทำดีก็ถึงใจเพราะได้เห็นแล้ว ความดียังสัตว์ให้ได้รับความสุขความเจริญขนาดไหนเห็นประจักษ์กับใจ แล้วความชั่วทำสัตว์ให้ได้รับความทุกข์ความทรมานขนาดไหน ประจักษ์ใจทั้งสองอย่างนี้ เข้าถึงใจแล้ว ตายก็ยอมเลย การทำความชั่วนี้ทำไม่ลง ถึงจะคอขาดก็ยอมขาด แต่การทำความดีไม่ถอย ถึงจะตายก็ไม่ยอมเหมือนกัน นี่แหละอำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วนำมาสอนโลกดังที่ว่าเปิด ๑๐ นาทีนี้แล

นี่พระพุทธเจ้าเปิดตลอดเวลาตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว เห็นแดนนรก เห็นตลอดเวลามาจนกระทั่งวันนิพพาน แล้วแดนนรกก็มีอยู่อย่างนั้น นิพพานก็เหมือนกัน ตั้งแต่มนุษย์นี้ขึ้นถึงนิพพานพระองค์ก็ทรงไว้หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว นำมาสอนโลกด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ท่านเรียกว่าโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในโลกทั้งหลาย นำมาสอนด้วยความสัตย์ความจริง เราทั้งหลายได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงควรจะถึงใจ อย่าถึงใจแต่เรื่องของกิเลส

เรื่องของกิเลสไม่ว่าประเภทใดถึงใจทั้งนั้นมนุษย์เรา ถ้าว่าเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วไม่ค่อยถึงใจ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ไปแต่พอเป็นกิริยาไปวัดไปวา ทำคุณงามความดีก็สักแต่ว่ากิริยาก็มี มันไม่ถึงใจ ถ้าเรื่องของกิเลสแล้วถึงใจทุกอย่าง ทำด้วยความเต็มอกเต็มใจ ทำด้วยความพอใจ เพราะฉะนั้นเวลาทุกข์มันจึงทุกข์เต็มที่เต็มฐาน เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มขอบเขตจักรวาล มีแต่กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง เพราะสัตว์ทั้งหลายทำบาปด้วยความจงใจตามกิเลสตัณหาด้วยความจงใจด้วยความพอใจ การทำบุญมีเจตนาน้อย เมื่อยังไม่ถึงขั้นที่มีเจตนาอย่างรุนแรงเป็นอย่างนั้น

การสร้างความดีนี้มีอยู่สองขั้น สามขั้นด้วยกัน ขั้นเริ่มแรกขั้นล้มลุกคลุกคลานนี้ต้องอาศัยคนอื่น มีครูบาอาจารย์เป็นผู้ฉุดผู้ลากไปเสียก่อน มันไม่อยากไป กิเลสดึงเอาไว้ กิเลสเป็นเครื่องดึงดูดเป็นแม่เหล็กอันสำคัญดึงดูดเอาไว้ ถ้าเราจะสร้างคุณงามความดีนี้ กิเลสไม่อยากให้สร้างแล้วก็กีดขวางเอาไว้ จะทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนารักษากายวาจาของตน กิเลสปิดทางหมดไม่ให้รักษา มันปิดกั้นไว้ เปิดทางความชั่วช้าลามกไว้หมดเลยให้เราทำตามอำนาจของกิเลสนั้นแหละ ถ้าทำตามเรื่องของกิเลสแล้วเปิดโล่ง ๆ ไม่มีวันมีคืน ถ้าเป็นประตูก็เปิดโล่งไว้เลยทีเดียว ถ้าเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วมันจะสกัดลัดกั้น นี่เป็นขั้นเริ่มแรกของการบำเพ็ญธรรม ของการบำเพ็ญคุณงามความดี

ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ว่า ในเบื้องต้นที่เราสร้างคุณงามความดีต้องตะเกียกตะกายต้องฝ่าต้องฝืนต้องบุกกันกับกิเลสตัวสำคัญ ๆ กิเลสความโลภก็โลภไม่พอ โลภจนวันตาย ก็เอาธรรมเข้าไปให้มีเมืองพอบ้าง นี่ความโกรธ โกรธเขาทำไม โกรธเขา เขาก็โกรธเรา มันก็พอ ๆ กัน ก่อนที่จะไปโกรธเขา มันโกรธเราแล้วทำลายเราแล้ว

แล้วราคะตัณหาก็เหมือนกัน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่มีเมืองพอ มีเมียคนหนึ่งแล้วไม่พอ ๒ เมีย ๓ เมีย ๑๐ ผัว ๒๐ ผัวเข้าไป กินไม่อิ่มกินไม่พอ พวกนี้ตายทิ้งเปล่า ๆ ด้วยความหิวโหย พระพุทธเจ้าก็เอาธรรมะมาสกัดลัดกั้นเอาไว้เป็นศีลข้อที่ ๓ ว่ากาเมสุ มิจฉาจาร ให้กินแต่ความพอดี นี้วันหนึ่ง ๆ เรารับประทานหมดประมาณเท่าไร ให้รับประทานเพียงเท่านั้นไม่ให้มากกว่านั้น เช่น วันหนึ่งเราซื้ออาหารมารับประทานหมดไป ๑๐๐ บาท วันนี้ก็ ๑๐๐ บาท วันที่สองไม่ต้องให้เป็น ๒๐๐ ขึ้นมา ให้มัน ๑๐๐ บาท ให้มีอยู่ขนาดนั้น เพราะท้องไม่ได้ท้องใหญ่ท้องโตขนาดไหน ท้องเท่าเก่า กินก็กินเท่าเก่า ให้ความพอดีเท่าเก่า มีเมียคนเดียวมีผัวคนเดียว เท่าเก่า ๆ ไม่ต้องเอาที่ไหนมาเพิ่ม นี่เรียกว่าธรรม ท่านบีบบังคับเข้าไว้ให้อยู่ในกฎแห่งความพอดี แล้วจะมีความสุขความเจริญ ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแล้วจะไม่มีเมืองพอแล้วตายทิ้งเปล่า ๆ มนุษย์เรา

เรื่องของการสร้างความดีนี้มันยาก ต้องฝ่าฝืนเหล่าที่กล่าวมานี้ทั้งนั้น บึกบึนเพราะกิเลสมันดึงเราอยู่ตลอดเวลาไม่มีคำว่าอ่อนข้อ กิเลสนี่ไม่มีคำว่าอ่อนข้อ แต่ธรรมอ่อนได้ในเมื่อยังไม่เข้มแข็ง ไม่มีกำลังพอต้องอ่อนได้ ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายได้โดยไม่ต้องสงสัย นี่ผู้ฝึกหัดบำเพ็ญธรรมเบื้องต้นเป็นอย่างนี้ เมื่อฝึกไปนานเข้า ๆ ก็เกิดความเคยชินต่อการทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนา เข้าวัดเข้าวา สร้างกุศลผลบุญต่าง ๆ ในสาธารณประโยชน์ สร้างได้หมด ๆ ต่อไปหนักเข้าไป ๆ ไม่สร้างอยู่ไม่ได้ นั่น หนักเข้าไป

ทีนี้ย่นเข้ามาถึงผู้ภาวนา ผู้ภาวนาเบื้องต้นก็ล้มลุกคลุกคลานมีแต่กิเลสลากไปให้ถลอกปอกเปิกไปหมด เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา จิตก็อยู่ ๕ ทวีปโน่น มันไปเที่ยวเสีย ๕ ทวีป เจ้าของเดินเถ่ออยู่เฉย ๆ ไม่มีสติสตังอะไรเลย นี่ในเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น ครั้นต่อมาฝึกหัดเข้าไปไม่หยุดไม่ถอย จิตมีความเที่ยงตรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะได้รับการบำรุงรักษาเยียวยาอยู่ตลอดเวลา จิตก็มีความเข้มแข็งขึ้น ๆ จนกระทั่งจิตมีความแกล้วกล้าสามารถ ทีนี้กิเลสเข้ามาแหยมไม่ได้เลย กิเลสตัวไหนมาฟันขาดทะลุ ๆ ขาดสะบั้นไปหมด ๆ จนกระทั่งทะลุถึงพระนิพพานได้เพราะอำนาจแห่งความแกล้วกล้าสามารถของการบำเพ็ญตน

การบำเพ็ญคุณงามความดีของพวกเราทั้งหลายก็ให้ทำอย่างนั้น ให้พยายามเข้มแข็งขึ้นไปข้างหน้า อย่าอ่อนแอลงไปใช้ไม่ได้ ถ้าอ่อนแอลงไปแสดงว่ากิเลสได้ทีแล้วนั่น เราจะจมกับมันแน่ ๆ ต้องให้มีความเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งที่เราจะเห็นประจักษ์แห่งบุญกุศลของเราในปัจจุบันขณะที่เรากำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลืออยู่นั้น เราจะเห็นประจักษ์ภายในจิตของเราจากบุญทั้งหลายที่มารวมตัวอยู่ในจุดนั้นซึ่งเราสร้างไว้แล้วจะรวมตัว เช่น ขณะที่จะตายมองเห็นเงินก็แล้ว มองเห็นทองก็แล้ว มองเห็นญาติมิตรสามีภรรยาก็แล้ว มองเห็นสมบัติพัสถานอันใดมากน้อยเพียงไรก็แล้ว แล้วไม่มีสิ่งใดที่จะมาช่วยได้เลย ย้อนเข้ามาดูจิตเท่านั้นละแน่นปึ๋ง ๆ เพราะอำนาจแห่งบุญเข้ามาช่วย นี้แลอันช่วยเหลือโดยแท้ นี่เราเรียกร้องหาความช่วยเหลือปรากฏขึ้นจากการทำบุญให้ทานที่เราสร้างไว้ด้วยความตะเกียกตะกายนั้นแลมารวมตัวอยู่ในจุดเดียวกันนี้ ไปอย่างสบายหายห่วง

ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ อย่าได้อ่อนข้อย่อหย่อนกับมันเรื่องกิเลสตัณหา มันเคยทรมานสัตว์โลกให้ได้รับความทุกข์ความทรมานมานานต่อนานแสนนานแล้ว เราอย่าไปชินชากับมัน กิเลสไม่ใช่เป็นของชินชาได้ เหมือนไฟเจอเข้าเมื่อไรร้อนเมื่อนั้น จี้เข้าเมื่อไรร้อนเมื่อนั้น กิเลสจี้เข้าตรงไหนร้อนเมื่อนั้นละคนเรา จึงอย่าไปชินชากับมัน ให้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญตนให้มีความอดความทน มีความสัตย์ความจริงต่อตนเอง อย่าเหลาะแหละ

จิตใจให้ตั้งให้ดี จะไปทำหน้าที่การงานอะไรก็ทำด้วยความจงใจ อย่าทำด้วยความเหลาะแหละโลเลใช้ไม่ได้เลย จะทำคุณงามความดีก็ให้ทำด้วยความจริงใจ อย่าเหลาะแหละ ทำหน้าที่การงานอะไรก็ให้จริงใจอย่าเหลาะแหละ ให้มีสติเป็นของสำคัญมาก สตินี่เป็นธรรมอันเลิศ ต้องแนบอยู่กับใจของตัวเอง จะทำหน้าที่การงานใดให้มีสติ เดินไปเดินมาทำหน้าที่การงานภายนอกภายในให้มีสติ แม้ที่สุดสนทนากันกับเรื่องอะไรก็ให้มีสติ ความมีสติจะมีความพอดี ๆ ตลอด ไม่ผาดโผนโจนทะยานจนเสียเนื้อเสียตัว เพราะสติยับยั้งเอาไว้

สติเป็นเบรก สติเป็นห้ามล้อ สติเป็นคันเร่ง ถ้าตรงไหนที่ควรจะดีนี่สติจะเร่งให้หน้าที่การงานนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม นี่ท่านเรียกว่าธรรมเป็นที่พึ่งของใจ คือ สติ สติธรรม ปัญญาธรรม มีพุทโธด้วย มีสติกำกับใจด้วย ยิ่งเย็นยิ่งสบาย ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

วันนี้เลยไม่ได้พูดถึงปีใหม่ปีเก่า วันนี้สิ้นปีเก่านะ สิ้นปีนี้สิ้นวันนี้ละ แล้วผู้ที่จะไปรื่นเริงบันเทิงก็อย่าให้เกินเนื้อเกินตัว ให้อยู่พอประมาณ ตามธรรมดาโลกเรามีหัวใจก็อยากรื่นเริงบันเทิงกับเขาบ้างเป็นธรรมดา แต่อย่าให้เลยเถิดนะ อันรื่นเริงไปสะแตกไปฟัดสุรานี้มันดูไม่ได้นะ เข้าใจไหมสะแตกสุราน่ะ ฟัดสุราเข้าไปกินแล้วเป็นบ้าขี้ทะลักออกไม่รู้ตัวยังว่าเป็นของดีอยู่เหรอ เอาละนี่เป็นกัณฑ์ที่สองแล้ว

ต่อไปนี้ให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก