วัด...ที่พึ่งที่ร่มเย็นทางใจ
วันที่ 16 ธันวาคม 2537
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

วัด...ที่พึ่งที่ร่มเย็นทางใจ

ต้องได้เทศน์ทุกเช้า ๆ ไม่มีเว้น เราน่ะเหนื่อย กลางวี่กลางวันยังมีอีกนะ กลางวี่กลางวันมาเรื่อย ๆ จนเย็น พอค่ำแล้วปิดฉากไม่รับแขก ใครมาจากไหนก็ไม่รับ ๕ โมงครึ่งไปแล้ว ตั้งแต่ ๕ โมงยังมีรับอยู่บ้าง ทั้งรับทั้งขู่ละประมาณ ๕ โมงกว่า เพราะทุกวันนี้ ๕ โมงมันค่ำนี่นะไม่เหมือนแต่ก่อน เดือนมีนา เมษา กลางวันมาก เดือนเหล่านี้กลางวันน้อย พอ ๕ โมงนี่ค่ำแล้ว ชักจะไม่รับแขกแล้ว ๕ โมง ใครมามากมาน้อยเท่าไรก็ไม่รับ รักษากฎระเบียบของวัดของธรรมวินัยไว้ เอาตามโลกนั้นหาประมาณไม่ได้นะ ฟังแต่ว่าโลก โลกก็คือโลกเลก โลเลหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้

ธรรมต้องมีหลักมีเกณฑ์ ให้ความร่มเย็นแก่โลกคือธรรม โลกต้องอาศัยธรรม ดังที่พูดเมื่อวานนี้มีบ้านที่ไหนไม่มีวัด...โศกเศร้าเหงาหงอย ถ้ามีวัดก็พอเป็นที่พึ่งที่ร่มเย็นทางใจ อย่างเขาไล่พระออกจากป่า เขามาฟ้องเราเขาจะให้เราไปไล่พระออกจากป่า นายใหญ่ ๆ เสียด้วยนะมานี่ สามนายสี่นาย พันโทพันเอกมา ทีแรกเขาไปหาท่านเจ้าคุณก่อน ท่านเจ้าคุณท่านทิ้งมาหาเราล่ะซี ให้ไปไล่พระออกจากป่า ทิ้งมาหาเราว่าท่านอาจารย์มหาบัวไม่ให้หนี เขาก็ตามเข้ามาละซี ก็ดีเขาตามเข้ามาหาต้นตอนี้ดี ไม่งั้นเรื่องมันจะยืดเยื้อไปนานนะ ดีไม่ดีอาจถูกไล่จริง ๆ ก็ได้ มาหาเราเขาก็ไล่เบี้ยเข้ามา

ได้ทราบว่าท่านไม่ให้พระที่อยู่ที่นั่นหนีใช่ไหม ใครมาบอกว่าอย่างนั้นล่ะ ท่านเจ้าคุณธรรม.. วัดนั้น...ว่าท่านอาจารย์มหาบัวไม่ให้หนี จากนั้นมาต่างคนก็ต่างไล่เบี้ยกัน แล้วเหตุที่จะไล่พระเป็นยังไง พระไปฉกลักปล้นขโมยอะไรของใครบ้าง ทำความเสียหายยังไงถึงต้องไล่พระออกจากป่า เขาว่าพระทำลายป่า ท่านทำยังไงท่านทำลายป่า ท่านไปเลื่อยไม้ว่างั้น เลื่อยไม้มาทำอะไร เอามาทำวัด โห วัดเป็นหัวใจของแผ่นดินหัวใจของประเทศไทยชาวพุทธเรา ที่ไหนไม่มีวัดที่นั่นโศกเศร้าเหงาหงอย ที่ไหนมีวัดที่นั่นเหมือนบ้านมีขื่อมีแปมีหลักมีเกณฑ์มีความชุ่มเย็น จะไล่ท่านไปหาอะไร การสร้างวัดนั้นสร้างเพื่อประโยชน์ของหัวใจของทุกคน ไม่ใช่เพื่อกอบโกยเอาเฉพาะตัวเอง

หากว่าท่านทำอย่างนั้นจริง ๆ ก็ไม่ผิด ไม่ควรที่จะไปไล่ท่านเพราะเหตุแห่งการทำประโยชน์ให้โลก ถ้าอย่างนั้นใครจะทำประโยชน์ให้โลกได้ล่ะ ก็เมื่อพระทำประโยชน์เพื่อโลกแล้วถูกไล่ถูกขับอย่างนี้ แล้วใครจะทำประโยชน์ให้โลกได้ จะไม่ถูกไล่ถูกขับไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองละเหรอ ไล่กันไป นั่นก็ดีมาหาเรา เราก็ชี้แจงถึงเรื่องคุณค่าแห่งการมีวัดมีวามีพระมีเณรมีผู้ปฏิบัติ มีผู้ชักจูงแนะนำสั่งสอนเป็นของดีแล้ว อยู่เหมือนวัวเหมือนควายนี้ก็มีแต่ถูกขึ้นเขียงเรื่อย ๆ นั่นแหละ สัตว์ไม่มีเจ้าของนี่ พวกประชาชนญาติโยมก็มีพุทธศาสนาเป็นหลักเกณฑ์ มีครูบาอาจารย์พระเณรเป็นผู้นำ เป็นความถูกต้องอยู่แล้ว

เอาละจะไปดูนะเราก็บอกอย่างนั้นแหละ เรื่องที่ว่าจะไล่พระหนีจากป่าว่าพระทำลายป่านี่แล้วจะไปดูแหละเราก็บอก ว่างวันไหนเราจะไป แต่ก็พูดให้เป็นที่เข้าใจกันเสียก่อนว่าศาสนากับประชาชนนั้นแยกกันไม่ออก เราทุกคนเวลานี้มาอยู่นี้ก็เป็นชาวพุทธเหมือนกัน ชาวพุทธไล่ชาวพุทธ มือขวาตีมือซ้าย มือซ้ายฟันมือขวาของคนคนเดียวกันใช้ไม่ได้เลย เป็นแขนของคนอื่นมือของคนอื่นค่อยยังชั่ว นี่มือซ้ายไปฟันมือขวา มือขวาฟันมือซ้าย มือขวาฟันขาซ้าย มือซ้ายฟันขาขวา ขาของตัวเองฉิบหายหมดแบบนี้ มีคุณค่าที่ตรงไหนที่น่าชมเชย อันนี้ชาวพุทธด้วยกันมาไล่กันออกจากป่าจากเขา ทั้ง ๆ ที่ผู้หนึ่งทำประโยชน์ให้โลกผู้หนึ่งไปไล่ ไล่เพื่อประโยชน์อะไรล่ะ ว่าไปทำลายป่า เราก็ไปดูจริง ๆ แต่เวลาเราพูดนั้น คือที่มาหาเรานี้ มองดูก็รู้ไม่มีญาณก็ตามเถอะ ก็รู้ว่าลง-ลงจริง ๆ ไม่ใช่ลงธรรมดา ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกสิ่งทุกอย่างเลย เป็นอันว่าถึงเราไม่ไปดูก็ตามไม่ไล่แหละ เราดูก็รู้

แสดงถึงคุณค่าแห่งศาสนาให้ฟัง เวลานี้โลกอยู่ได้เพราะธรรมหนา ไม่ได้อยู่ได้เพราะการบีบบี้สีไฟซึ่งกันและกันอย่างนี้นะ โลกอยู่ได้เพราะธรรม ธรรมให้ความร่มเย็นทั่วหน้ากัน นี่พระท่านเอาไม้มาทำประโยชน์สร้างวัดสร้างวาเพื่อประชาชนได้อยู่ได้อาศัยได้ฟังการอบรม ได้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เมื่อเวลาเดือดร้อนวุ่นวายวิ่งเข้าวัดเข้าวาหาพระเจ้าพระสงฆ์เป็นที่ร่มเย็น แล้วถูกไล่เสียอย่างนี้ทำยังไงล่ะ จะเอาหัวซุกไว้ที่ไหนล่ะ ไล่กันไป ๆ สุดท้ายเราเป็นคนไล่เขา ทีแรกเขาก็มาไล่เบี้ยเราก่อน ต่อมาเราไล่เบี้ย มีแต่เราไล่เรื่อย ๆ ๆ ไล่ตรงไหนติดตรงนั้นซิที่นี่ ติดเรื่อยยอมรับเรื่อยนะ ยอมภายในใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสมากทีเดียว เอาละเวลาว่างเราจะไปดู แต่เราแน่ใจแล้วว่ายังไงก็ไม่ไล่

เราก็ไปดูจริง ๆ เห็นอย่างที่ว่านี่ ไปดูไม้เป็นไม้เขาตัดโค่นทิ้งตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะโน่นละมั้งกว่าจะมาถึงพระพุทธเจ้าโคดมเรา พวกตัวด้วงตัวหนอนมันเจาะมันไชตายมาตั้งกี่ปีแล้วนี่ ไปเลื่อยมานี่ช่องพวกด้วงพวกหนอนมันกัดมันเจาะมันไชแหลกหมดแต่ละแผ่น ๆ ไม่ใช่ไม้สดเอามาเลื่อย เป็นไม้ที่ตายมานานแล้วนี่ เราก็ไปดูไม้แผ่นขนาด..ไหนที่ว่าทำลายป่าถามพระดู ไหนพระเอาไม้มาทำอะไรบ้าง ก็ไม่เห็นทำอะไร มีศาลาเล็ก ๆ นะ ที่ว่าไม้ที่ทำลายป่าน่ะ แล้วมีที่ไหนอีก ไม่มีที่ไหนมีเท่านี้ ไม้เป็นไม้เก่าแก่มาแต่ไหน เขาเลื่อยออกมาปูพอได้นั่งเท่านั้นแหละ ดูเหมือน ๑๕ แผ่น ประมาณหน้า ๙ นิ้ว แต่รอยพวกด้วงพวกหนอนมันเจาะมันไชจนเป็นรูเป็นช่องเต็มไปหมด เป็นไม้เก่าแก่ไม้ตายแล้วเขาเอามาเลื่อย นอกจากนั้นมีที่ไหนอีก ไม่มี มีเท่านี้

แต่เรื่องราวที่เขากระซิบกระซาบตามทางมานั้นเราทราบได้ดีแล้ว เราไม่พูดไม่จำเป็นต้องพูด อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง แล้วพระองค์นั้นก็อยู่จนกระทั่งป่านนี้ละมั้งไม่ได้หนีไปไหน เขาก็ไม่เคยไปเลยว่างั้น ไม่ไปไล่อีก แล้วทุกวันนี้ก็ยิ่งส่งเสริมให้พระรักษาป่า ให้พระอยู่ในป่าไม่ไล่เหมือนแต่ก่อน ก็ยิ่งชุ่มเย็นละ อย่างนั้นละวัดอยู่ที่ไหน มีวัดที่ไหน ๆ เป็นอย่างนั้นละ

เมื่อวานนี้ก็ยังพูดให้ฟังถึงเรื่องโรคฝีดาษ เป็นยังไงอำนาจของศาสนาเห็นอย่างประจักษ์เลย เห็นด้วยตาของเรานี่มันชัดนะ เราได้ยินแต่คำเขาบอกเล่ามาอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาเล่าก็เล่าไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่เต็มใจ ถ้าเจ้าของได้เจอด้วยตาเจ้าของแล้วเล่ามันถนัดชัดเจนมากทีเดียว ถึงใจ ๆ อย่างที่พูดถึงเรื่องเดินผ่านป่าช้าผีดิบ ป่าช้าผีเป็นผีตาย จนกระทั่งดูคนแตกบ้านแตกเรือนไปหมด ไปดูด้วยตาเจ้าของมันเห็นชัดอย่างนั้นมันพูดได้เต็มปากซิ คนตายก็ตายเกลื่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่ในโลกนี่ ก็อย่างเมื่อวานที่พูดให้ฟัง อย่างนั้นแหละอำนาจของอรรถของธรรม ไปอยู่ที่ไหน การปฏิบัติตัวของพระของเณรดีแล้วมีความชุ่มเย็น มีฤทธาศักดานุภาพ

พูดถึงเรื่องเขาเอาปืนมายิงเราก็มี ภาษาภาคอีสานเขาเรียกจาปืนยิง เขาจาเขาพูดเขาร้องตะโกนจะเอาปืนยิงเรา อย่างนั้นก็มี เราดี ๆ อยู่นี่จะเป็นอะไรไป เขาขู่เขาว่าเฉย ๆ เขาไม่ได้ยิง เราก็ภาวนาของเราสบาย ป่านั้นดีนี่ คือในป่าคนไม่ค่อยรบกวนนอกจากนายพรานเขาเข้าไป เราก็ไปอยู่สบาย กลางวันเดินจงกรมอยู่นี้อีเก้งมันมากินน้ำอยู่นะ เราเดินจงกรมมันมีหนองอยู่นี้ อีเก้งมันมากินน้ำเราดูอีเก้ง อ๋อ มากินเวลาเงียบ ๆ กินท่าระวังมากนะ ถ้าทุกวันนี้ประมาณห้าโมงครึ่ง อีเก้งมากินน้ำ รีบกินแล้วรีบเผ่นเลยนะไม่อยู่ เราก็เลยดูมัน อ๋อ นี่เขามาหายิงสัตว์ ๆ เหล่านี้เอง อยู่ที่นั่นส่วนมากเขาไม่ไปไล่เนื้อนะเราไปอยู่ที่นั่น แล้วก็มีอันธพาลนั่นละไปไล่เนื้อ จนได้เป็นเรื่องเหมือนเป็นนิทานมาเล่านี่ละ

พระอยู่ที่ไหนเย็นดังบอกแล้วนี่ พระไปอยู่ที่ไหนสัตว์หลั่งไหลเข้ามา ๆ มีเท่าไรหลั่งไหลเข้ามาหาพระ พวกนี้มันพวกเคยผ้าเหลืองมาแล้ว สัตว์เหล่านี้เคย เพราะเกิดมานี้ตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ตายเกิด ๆ ตายเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติมาเป็นคนก็ได้บวชเป็นพระ ไม่ศาสนาพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งก็ต้องเป็นองค์หนึ่งองค์ใดจนได้ แล้วมันก็ชินหัวใจสัตว์

คิดดูซิตั้งแต่สัตว์ยังหาที่พึ่ง ก็พึ่งศาสนา คนเราไม่เสาะแสวงหาที่พึ่งไม่ได้นะ ที่พึ่งทางใจสำคัญมากนะ เวลานี้โลกข้ามที่พึ่งทางใจจนเหมือนว่าที่พึ่งทางใจไม่มีความหมายเลย ยิ่งกว่าวัตถุสิ่งของเงินทองแร่ธาตุต่าง ๆ เต็มบ้านเต็มเมือง ต่างคนต่างดีดต่างดิ้นต่างไขว่คว้าหา ทั้ง ๆ ที่คว้าตรงไหนก็พัง ๆ ไม่สมหวังสักอย่าง แล้วก็ต่างคนต่างขะมักเขม้นเอาอย่างจริงจังด้วยนะถ้าเป็นเรื่องอย่างนั้น ถ้าเป็นเรื่องศีลเรื่องธรรมเรื่องจะเป็นสารประโยชน์แก่จิตใจนี้ไม่สนใจ เพราะไม่มีผู้บอกผู้สอนผู้แนะให้รู้นี่ ไม่ว่าท่านว่าเรานะ จะไปตำหนิเขาทีเดียวก็ไม่ได้ คือไม่รู้นี่จะว่าไง เกิดมาแต่พ่อแต่แม่ก็พาดิ้นพาดีดแบบนี้ ลูกมาก็แบบเดียวกันหลานมาก็แบบเดียวกัน ไม่มีใครพาดิ้นพาดีดทางด้านอรรถด้านธรรมก็ไม่รู้

นี่ยังดีนะชาวพุทธเราเวลาว่างพ่อแม่ยังพาลูกพาหลานไปวัดไปวาใส่บาตร บางรายก็อุ้มให้ลูกใส่บาตร แม่อุ้มลูกเอาไว้ให้ลูกใส่บาตร นี่ก็ยังมีตัวอย่างอันดีให้เห็น เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็ได้ตัวอย่างอันดีไปใช้ซิเด็ก นี่ที่ไหน ๆ ไม่มีนะ ส่วนมากจะมีเฉพาะเมืองไทยเราได้ใส่บาตรอย่างที่ว่านี่ เด็กก็อุ้มใส่บาตร พ่อแม่พาลูกทำลูกก็ได้เห็นคติตัวอย่าง แล้วพาไปวัดไปวาสวดมนต์ไหว้พระ ลูกก็เห็นพ่อแม่เป็นตัวอย่าง ลูกก็ศึกษาเอาจากนั้นโดยหลักธรรมชาติก็ได้ที่เกาะที่ยึดทางใจ ยิ่งมีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนในทางที่ถูกที่ดีในด้านศีลธรรมด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นความดี

ความดีนี้คนมองไม่เห็นนะ เป็นความดีที่ลึกลับ เมื่อกิเลสยังหนาอยู่เป็นความดีที่ลึกลับ ธรรมก็แทบว่าไม่ได้ยินเพราะกิเลสมันทับถมไปหมดมองไม่เห็น แต่เวลาเปิดขึ้นมาซิ ธรรมเปิดขึ้นมากิเลสหมอบลง ๆ ธรรมเปิดเผยกิเลสลี้ลับเข้าไปแล้วที่นี่มันเปลี่ยนกันนะภายในใจ ใจดวงเดียวนี่เวลามันล้มลุกคลุกคลานจะเป็นจะตายก็เห็นอยู่ชัด ๆ ประจักษ์ตัวเอง เวลาค่อยเปิดออก ๆ ความสงบร่มเย็นค่อยปรากฏภายในจิตใจเพราะการบำเพ็ญเข้าเรื่อย ๆ มันก็เปิดออกเรื่อย กิเลสก็ค่อยยุบยอบลงไป ๆ ที่พึ่งเด่นขึ้นเรื่อย ที่พึ่งทางใจนะ นี่ละที่พึ่งทางใจเด่นขึ้น ๆ

อยู่ที่ไหนสบายหมดเมื่อมีหลักใจ เฉพาะเพียงสมาธิเท่านั้นก็พอนะ สมาธิคือใจสงบไม่ดีดไม่ดิ้นหาเรื่องราวอะไร มากำหนดดูเจ้าของเมื่อไรเย็นฉ่ำ เย็นสบาย มีที่ยึดมีที่เกาะ ตายวันตายคืนก็ไม่สงสัยเพราะหลักได้แล้วติดอยู่กับมือ เหมือนกับว่ากำไว้ในมือนี่ แต่นี้ไม่มีอะไรจะมากำนั่นซิ มีแต่ฟืนแต่ไฟกำไว้ในมือ ไม่มีศีลมีธรรมกำไว้ในมือในหัวใจมันก็ร้อน

เพราะฉะนั้นจึงสอนให้มีการบำเพ็ญ ทีแรกก็อาศัยครูบาอาจารย์เสียก่อน อาศัยตำรับตำราท่านแนะนำชี้แจงยังไงเราก็พยายามทำตามท่านที่สอนเรา อันนี้ครูบาอาจารย์ก็สอนอีกด้วย เราก็เอาวิธีการของท่านไปบำเพ็ญต่อตัวของเราเอง หลายครั้งหลายหนก็เจอกันจนได้นั่นแหละเพราะธรรมมีอยู่นี่ คุ้ยเขี่ยขุดค้นเหมือนเขาไปสุ่มปลานั่นน่ะ สุ่มปลาในหนอง จั๊บตรงนี้ไม่ถูก จั๊บตรงนั้นบ้าง จั๊บหลายครั้งหลายหนก็ถูก เพราะปลาในหนองมี สุ่มไปหลายครั้งหลายหนก็ถูกปลาจนได้นั่นแหละ

อันนี้ธรรมมีอยู่เพียงแต่ว่ากิเลสมันหนาแน่น เหมือนกับว่าน้ำมากกว่าปลา เวลาสุ่มลงไปไม่ค่อยเจอปลา สุ่มหลายครั้งหลายหนก็เจอปลาจนได้ อันนี้กิเลสก็เหมือนกับน้ำ ปลาเหมือนกับธรรม สุ่มลงไปคราวนั้นคราวนี้หลายครั้งหลายหนก็เจอเอา จิตสงบแน่วให้เห็น

อันนี้เราก็เคยได้เล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังก็เพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจ บวชมาใหม่ ๆ แต่เป็นนิสัยชอบภาวนานะ นิสัยนี้มีมาดั้งเดิม ใครสอนไม่สอนก็ไม่ทราบมันหากเป็นอยู่ในจิตนี่ มันแปลก ๆ อยู่อันนี้ ทีนี้เวลาบวชใหม่แล้วก็ฝึกหัดภาวนาแหละ ถามท่านพระครูท่านจะให้ทำยังไงอยากภาวนา ภาวนาพุทโธนั่นแหละ เราก็ภาวนาพุทโธ เอาพุทโธไปภาวนานะ ท่านพูดเท่านั้นแหละไม่มากนะ เราก็เอาพุทโธไปภาวนา พอหยุดเรียนหนังสือจะไว้เวลา ๑ ชั่วโมงทุกคืน ๆ นะ สมมุติว่าเราจะนอนตอนตีหนึ่งอย่างนี้ หกทุ่มเราหยุดเรียนแล้ว ๑ ชั่วโมงนั้นทำภาวนา ถ้าเราจะนอนตีสองอย่างนี้ก็ตีหนึ่งหยุดแล้ว ไว้เวลา ๑ ชั่วโมง ๆ แล้วก็ภาวนาละซิ พุทโธ ๆ ไปเรื่อย ตั้งใจ

มันไม่ได้เรื่องเพราะคนไม่เคยนี่ วันไหนไม่ได้เรื่องก็ช่างมันเราได้ภาวนาได้บุญก็เอา หลายครั้งหลายหนนั่นละสุ่มไปสุ่มมาสุ่มปลานะ สุ่มหลายครั้งหลายหนก็ไปเจอเอาจนได้ จิตสงบเข้ามา ๆ เหมือนเราตากแหไว้นี่แล้วดึงจอมแห ตีนแหมันก็หดเข้าไป ๆ อันนี้กระแสของจิตมันเหมือนกับตีนแห กระจายออกไปข้างนอก พอเรานึกพุทโธ ๆ นี่เหมือนจอมแห นึกพุทโธถี่เข้าไป ๆ แล้วกระแสของจิตค่อยสงบเข้ามา ๆ ความสงบของกระแสจิตนั้นก็เป็นจุดที่ให้เกิดความสนใจอีกจุดหนึ่งเหมือนกัน ยิ่งพุทโธถี่ยิบเข้าไปกระแสของจิตรวมเข้า ๆ หยุดกึ๊กเลย

โห อัศจรรย์นะ อัศจรรย์จริง ๆ นะเพราะเราไม่เคยเห็นตั้งแต่วันเกิดมา มาเจอเอาวันนั้นในเวลานั้นด้วย ตื่นเต้นนะมันไม่เคยเห็นความสุขความอัศจรรย์ความแปลกประหลาดอย่างนั้นมันก็ตื่นเต้น ความตื่นเต้นเลยไปกระเทือนความสงบเสีย เลยถอนออกมา โอ๊ย เสียดาย วันหลังเอาใหม่.....ไม่ได้เรื่อง เอาอยู่นั้นเสียจนกระทั่ง นี่พูดย่อ ๆ นะเวลามันรวมนั้นมันอัศจรรย์จริง ๆ นี่ มันเหมือนเกาะอยู่ในมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นละ เป็นเกาะ จุดที่เป็นจุดที่สงบเป็นจุดที่อัศจรรย์อยู่ในนั้น เป็นจุดที่มีความสุขอยู่ในนั้น ความแปลกประหลาดอยู่ในจุดนั้นหมด

ข้างนอกโลกเหมือนไม่มีนะ มันขาดจากกันหมดเรื่องโลกสงสารนะ มีอันเดียวเท่านั้นเป็นของอัศจรรย์ จึงเป็นเหมือนว่าเกาะในท่ามกลางมหาสมุทร พอเป็นอย่างนั้นแล้วไม่นานมันถอนเสีย วันหลังขนาบใหญ่เลยมันก็ไม่ได้เรื่อง มันไปเป็นสัญญาอารมณ์กับของเก่านั่นน่ะมันไม่ได้ภาวนา มันจะไปทวงเอาหนี้เก่าเลยไม่ได้ภาวนา แต่ไม่หยุดนะทำอยู่อย่างนั้นเป็นประจำ มันไม่ได้ก็ช่างมันเอาใหม่ทำเรื่อย

สรุปความลงแล้วที่เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีนั้นจิตประเภทนี้เป็นให้ ๓ หน เป็นหลักใจฝังลึกนะ อันนี้ละที่ทำให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใสในศาสนา เชื่อในมรรคผลนิพพาน อันนี้เป็นเชื้ออันสำคัญมากนะมันฝังอยู่ลึก ๆ เราเคยเห็นอย่างนั้น ๆ ศาสนาไม่มีมรรคมีผลจะเป็นอย่างนั้นได้เหรอ นั่นมันน่าคิดนะ มันก็คิดละซิ ศาสนาต้องมีมรรคมีผล ไม่มีมรรคมีผลจิตของเราจะเป็นอย่างนั้นได้เหรอ แต่เกิดมาเราไม่เคยเห็นก็มาเป็นเวลาภาวนาซึ่งเกี่ยวกับทางพระศาสนานี่ให้เห็นได้ชัด ๆ อย่างนั้น ศรัทธาก็ฝังลึก ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็น ๓ หน โห เป็นทีไรนี่มันเอิบอิ่มทั้งวันนะ มันเป็นกลางคืน กลางวันวันนั้นมันจะเอิบอิ่มอยู่ทั้งวัน จิตมันจะประหวัด ๆ อยู่ในจุดนั้นละจุดที่มันเป็นแล้วผ่านไปแล้วนะ มันอัศจรรย์ขนาดนั้นซิ ทั้งวันจิตไม่ไปไหนเลยอยู่แต่นั้นเป็นอารมณ์ของจิต

พอออกปฏิบัติแล้วทีนี้จะเอาใหญ่เอานั้นละเป็นตัวประกันเลยนะ เอารวม ๓ หนนั่นเป็นตัวประกันเลย ทีนี้จะเอาใหญ่จะเอาให้ได้อย่างนั้น ไม่ได้ก็ตายเท่านั้น ไม่ตายต้องได้มีเท่านั้น มีสองอย่าง พอออกมาแล้วก็เอาใหญ่ละที่นี่ ไม่มีงานมีการอะไร เรียนก็หยุดหมดแล้ว คำว่าเรียนหยุด - หยุดจริง ๆ ไม่พร่ำเพรื่อนะเรา ไม่เรียนอะไรอีก มีแต่ภาวนาฟาดทั้งวันทั้งคืน ๆ เอาไปเอามามันก็ได้ซี ได้อัน ๓ หนนั่นมารวมเป็นหนเดียว ได้ ๓ หนมารวมเป็นหนเดียวคือไม่เสื่อม ทีนี้ไม่เป็นอย่างนั้น แน่วลงเรื่อย ๆ อัศจรรย์ลงเรื่อย ๆ โถ จิตเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งอดข้าวเข้าไปแล้วยิ่งดีขึ้น ภาวนาเริ่มอดข้าวมาแต่โน้นละเริ่มออกทีแรก ยิ่งดี ๆ ก็เอาใหญ่เลย จนมาเสื่อมที่ว่ามาทำกลดหลังหนึ่ง

แหม จิตเสื่อมจากสมาธินี้ไม่มีอะไรร้อนเท่านะ ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟทั้งวันทั้งคืนเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา เพราะอยากได้อันนั้น เสียอกเสียใจที่อันนั้นหลุดมือไป ทำยังไงมันก็ไม่ได้ ๆ มันถึงได้ร้อนเอามากมายก่ายกอง ทุกข์มากแสนสาหัสที่สุดก็คือทุกข์เวลาจิตเสื่อมจากสมาธินะ อันนี้ทุกข์มากทีเดียว เพราะฉะนั้นเวลามันเกิดขึ้นมาอีกแล้วมันจะเสื่อมลงไปอย่างนั้นก็ต้องตายไปด้วยกัน ไม่ตายเสื่อมไม่ได้ ถ้าเสื่อมต้องตาย เพราะมันเข็ด-เข็ดความทุกข์ความทรมานเจ้าของ ไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาอยู่ในหัวใจ

มันได้ฟื้นกลับคืนมาพอได้คืนมาแล้วทีนี้ก็เหมือนกับนักโทษถูกจองจำ ๕ ประการ มีคอ แขน ขา เป็นต้น ทีนี้จิตก็เป็นเหมือนนักโทษต้องถูกจองจำขนาดนั้น ไปไหนมาไหนต้องบีบบังคับกันตลอดเผลอไม่ได้ จะเสื่อมไปไม่ได้เสื่อมเราต้องตาย ถ้าเราอยากมีชีวิตอยู่จิตเราจะต้องไม่เสื่อม ถ้าเสื่อมเมื่อไรต้องตายไปด้วยกัน เพราะเข็ดหลาบที่จะอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป จะตายแบบไหนก็ไม่รู้แหละมันหากจะตาย เพราะจิตอันนี้ไม่เหมือนจิตใคร ว่าอะไรมันขาดสะบั้นไปเลย ที่ว่าจิตแบบเพชรมันยังเลยเพชรไปอีกจะว่ายังไง ว่าอะไรมันขาดสะบั้น เช่น ภูเขาทั้งลูกนี้มันขาดสะบั้นเลย ทีนี้จิตจะเสื่อมไปไม่ได้ก็ฟัดกันใหญ่ นี่ก็ทุกข์มาก

เวลาจิตเสื่อมต้องอาศัยครูบาอาจารย์ นี่เห็นไหมครูบาอาจารย์เป็นหลักสำคัญมากนะ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร จิตเราเสื่อมอยู่กับท่านพออยู่ได้นะ เวลาออกไปภาวนาคนเดียวที่มันเห็นชัดเจนนะ ยังไม่มีหลักมีเกณฑ์ไปอยู่คนเดียวเป็นไฟเผาตัวเองอยู่ในป่าในเขา จนกระทั่งอยู่อย่างนี้อยู่ไม่ได้ ต้องไปอยู่กับครูบาอาจารย์ ครั้นกลับมาหาท่านก็เย็นสบาย ถึงไม่เจริญมันก็ไม่ดีดไม่ดิ้นไม่เป็นฟืนเป็นไฟ นี่ละอำนาจของธรรมท่านครอบเอาไว้ นี่เมื่อเรายังอาศัยเราไม่ได้เราพึ่งเรายังไม่ได้เราก็พึ่งครูบาอาจารย์ นี่หลักใจเป็นอย่างนั้นนะ จากนั้นเราได้ผลขึ้นมาเราก็พึ่งครูบาอาจารย์ ได้ผลขึ้นมาทั้งพึ่งตัวเองทั้งพึ่งครูบาอาจารย์ หนักเข้า ๆ ทีนี้ก็แน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ เราก็พึ่งเรามากยิ่งกว่าจะไปพึ่งครูบาอาจารย์

เมื่อทางนี้มีความแน่นหนามั่นคงเป็นที่แน่ใจหนักเข้า ๆ เราก็ปล่อยครูบาอาจารย์เข้ามาพึ่งทางนี้มากเข้า ๆ ฟัดจนกระทั่งเต็มที่แล้วครูบาอาจารย์ยกกราบบูชาไว้ แต่หวังจะพึ่งท่านไม่หวัง เมื่อที่พึ่งของตัวเองเต็มที่แล้วก็ปล่อยครูบาอาจารย์ แต่เทิดทูนที่สุดนะ ปล่อยด้วยความเทิดทูน ปล่อยด้วยความเห็นบุญเห็นคุณเป็นกตัญญูว่าอย่างนั้นเถอะ ซึ้งมากที่สุด แต่ที่จะไปเกาะท่านให้ท่านเป็นตัวประกันเหมือนอย่างแต่ก่อนไม่เกาะ แต่เรื่องเทิดทูนท่านเทิดทูนสุดหัวใจ เพราะบุญเพราะคุณท่าน นั่นแหละท่านว่ากตัญญูเป็นอย่างนั้น

นี่ละหลักใจเป็นของสำคัญนะ จึงให้พี่น้องทั้งหลายได้พากันประพฤติปฏิบัติ หลักใจนี้อย่ามองข้ามนะ จุดสำคัญที่โลกเรามองข้ามเรียกว่าทั้งโลกก็ว่าได้นี่นะจะผิดไปไหน มันมียิบแย็บ ๆ เท่าแสงหิ่งห้อยที่จะพาเสาะแสวงหาคุณงามความดีก็คือชาวพุทธเรา เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับพวกวงปฏิบัติมันเหมือนเดือนเหมือนดาวนะ ดาวดวงใหญ่ก็มี ดวงเล็กก็มี ความสว่างของจิตใจที่ได้บำเพ็ญธรรม ความสว่างมากสว่างน้อยต่างกันเหมือนกับดาวบนฟ้า มองไปเห็นไหมดวงใหญ่ก็มีดวงเล็กก็มียิบแย็บ ๆ อยู่นะ นั่นละจิตที่มีธรรมเข้าแฝง ๆ เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีธรรมเข้าแฝงนี้มืดตื๋อไปหมดเลย พากันจำให้ดี

พูดนี้ไม่ได้สงสัยพูดนะ ไม่ได้นำความสงสัยมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟังนะจำให้ดีก็แล้วกัน หลวงตาบัวตายแล้วไม่มีใครเทศน์อย่างนี้นะ นี่ละหลักความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ จิตที่ได้อบรมศีลธรรมแล้วมันเหมือนกับดาวอยู่บนฟ้ามันยิบ ๆ แย็บ ๆ ยิบ ๆ แย็บ ๆ อยู่ จะอยู่เวลาไหนก็ตามสับปนกันอยู่เป็นล้าน ๆ คนก็ตาม จะมียิบ ๆ อยู่ดวงเดียวดวงคนที่สนใจในอรรถในธรรม มันบอกอยู่ในนั้นเสร็จ นั่นละธรรมอยู่ในหัวใจ เจ้าของไม่รู้ก็ตาม แต่หมายถึงพระพุทธเจ้าที่ท่านรู้ท่านมาเล่าให้เราฟัง เข้าใจหรือเปล่า พวกเราจะรู้ภาษีภาษาอะไร เดินไปก็โดนต้นไม้นี่นะ นั่นละจิตที่มีธรรมต่างกัน

เพราะฉะนั้นจึงเสาะแสวงหาที่พึ่งของเราให้หนักแน่นเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วก็อาศัยครูบาอาจารย์เรื่อย พึ่งเราเรื่อยอาศัยท่านเรื่อย พึ่งเราเรื่อย จนกระทั่งได้พึ่งเราหนักเข้า ๆ ค่อยปล่อยครูบาอาจารย์ออกมา ค่อยปล่อยออกมา ๆ ฟาดเสียจนเต็มเหนี่ยวแล้วแน่ว พอตัวแล้วทีนี้กราบท่านอย่างราบเลย อยู่ไหนก็ตามกราบอย่างราบเพราะความเห็นบุญเห็นคุณท่าน แต่จะไปเกาะไปยึดไปพันท่านไม่เกาะ ต่างกันอย่างนั้น นี่ละหลักของใจเป็นอย่างนั้น ให้พากันบำเพ็ญนะ

เราอย่าไปตื่นโลกตื่นสงสาร โลกนี้โลกของกิเลสหลอกสัตว์โลกนะ ไม่ใช่โลกธรรมดาโลกมีพิษมีภัยด้วย มันหลอกลวงสัตว์โลกมาสักเท่าไรแล้วกิเลส ที่ว่ามืดตื๋อ ๆ มีแต่กิเลสทำให้มืดนะ ธรรมท่านยิบ ๆ แย็บ ๆ นั่นละมีมากมีน้อยแสดงอยู่ในหัวใจของผู้บำเพ็ญ ยิบ ๆ แย็บ ๆ แล้วก็ค่อยสว่างจ้าขึ้น ดวงใหญ่ขึ้น ๆ ก็สว่างจ้าเต็มที่

ที่พึ่งของใจสำคัญมากนะ ตายแล้วจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว พากันดีดกันดิ้นเป็นบ้ากับแร่ธาตุต่าง ๆ ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศกระดาษดินสอไปอย่างนั้น ตายแล้วไม่มีอะไรติดตัว ส่วนที่จะได้ติดตัวไม่สนใจนี่ซิ ถึงได้เน้นหนักอยู่นี่ ทั้งดุทั้งด่าทั้งว่าทุกสิ่งทุกอย่าง บางทีโลกเขาจะถือว่าเป็นความหยาบโลนก็มี แต่เราไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น เรามุ่งไปเพื่ออรรถเพื่อธรรม เป็นแถวธรรมทางเดินของธรรมทั้งนั้นที่พูดไปนี้ไม่ใช่ทางเดินของกิเลส ว่าสกปรกโสมมหรือว่าหยาบ ๆ โลน ๆ นั่นเป็นเรื่องของกิเลสมันตีต้อนธรรมะไม่ให้พูดถึงเรื่องของมัน ว่าอย่างนั้นเถอะน่ะ แต่ธรรมนี้ตีเข้าไป ๆ ธรรมเดินแถวธรรมแต่กิเลสเป็นกิเลสอยู่อย่างนั้นจะว่าไง ถ้าว่าไม่อยากให้เขาตำหนิ ทำสกปรกทำไมถ้าไม่อยากให้ว่ากันให้ฟันกัน นี่ก็ฟันกันซิมันสกปรกตรงไหนฟันกันตรงนั้นซิจะว่าไง

เอาละที่นี่ให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก