ใส่บาตร
วันที่ 7 สิงหาคม 2537
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

ใส่บาตร

 

พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชไม่เห็นใครไปลาดยางให้พระพุทธเจ้า มีไหมในตำราว่าพระพุทธเจ้าไปที่ไหนลาดยางไปพร้อม ๆ ไม่เห็นมี ต่อไปนี้เราจะต้องได้ถือไม้ติดตัวไปด้วย ไปบิณฑบาตต้องถือไม้ติดตัวไปด้วย เราบอกให้ถอดรองเท้า พอถอดปั๊บ-ปุ๊บขึ้นเหยียบแล้ว ขึ้นเหยียบอยู่บนรองเท้านะ พวกเพื่อน ๆ ละบอกให้ถอดรองเท้า ถอดปั๊บขึ้นเหยียบปุ๊บอยู่ข้างบนไม่ยอมลงนะ ตีขาน่ะซีตรงนั้นน่ะ มันพิลึกกึกกือ กลัวเท้าสกปรกมากกว่าหัวใจสกปรก หัวใจสกปรกมอมแมมเท้าสะอาดใช้ไม่ได้

พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตทุกพระองค์ไม่ปรากฏใส่รองเท้า พระสาวกอรหัตอรหันต์ของพวกเราเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราทรงลำบากลำบนมอมแมมทุกอย่างเพื่อเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม พวกเรามีแต่โก้แต่เก๋ ไปที่ไหนให้กิเลสแห่ไป ให้กิเลสหามไปมันดูไม่ได้นะ กิริยาแสดงออกตรงไหนไม่มีกิเลสออกหน้าไม่เห็นมีนี่ มีแต่กิเลสออกหน้า กิเลสดันออกไป ๆ ธรรมดันออกไปไม่เห็นมี มีแต่กิเลสมันดันออกไป ๆ

ดังที่ว่าตะกี้นี้แหละใส่รองเท้า โอ๊ย สวยงามที่สุดเลย เท้าน่ะเกลี้ยงเกลาที่สุด อะไรแตะไม่ได้เท้า สกปรกนิดหนึ่งไม่ได้ บอกให้ถอดรองเท้า นี่ฝ่ายธรรมนะ ฝ่ายธรรมให้ถอดรองเท้า ฝ่ายกิเลสถอดปั๊บขึ้นเหยียบปุ๊บเลย โน่นเห็นไหมลวดลายกิเลสเร็วไหมเราไม่รู้ นี่ซิเราจึงสลดสังเวช โถ กิเลสนี่แหลมคมเอาเหลือประมาณนะ แหลมคมจริง ๆ เราจึงได้ยอม ทุกวันนี้มายอมกิเลสว่าแหลมคม ยอมรับว่าแหลมคมจริง ละเอียดลออจริง แต่ก่อนก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่ทราบจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ เพราะตัวเรามันก็เป็นกิเลสทั้งตัวนี่ อะไรขึ้นชื่อว่ากิเลสมาอยู่ในตัวเราหมด ทีนี้เวลาจะทำอะไรก็กลัวกระเทือนเรา ๆ เพราะกิเลสมาเป็นเราเสียแล้วนี่มันก็ไม่รู้ละซี เอะอะก็มีแต่กลัวกระเทือนเรา ๆ กิเลสมาเป็นเรา แตะเราไม่ได้ กิเลสสนุกเหยียบย่ำทำลายแหละ

เรามีแต่จะถือไม้ไปบิณฑบาตด้วยเท่านั้นแหละ ถือไม้ติดตัวไปด้วย บอกถอดรองเท้า ถอดปั๊บขึ้นปุ๊บเหยียบข้างบนตีปุ๊บเลย เอาขาหักแหละ มันทำไมเก่งนักกิเลส ตีกิเลสต่างหากนะเราไม่ได้ตีคน แต่ทีนี้กิเลสมันอยู่กับคน ถูกคนหรือไม่ถูกคนเราไม่รับทราบด้วย เราตีกิเลสต่างหาก ฟาดจนคนขาหักแหละ เพราะขากิเลสมันอยู่กับคน ตีให้ขากิเลสหักสักที

โอ๊ย ละเอียดมากนะ พิจารณาไปเท่าไรยิ่งเห็นความละเอียดแหลมคม ไม่งั้นครอบโลกธาตุไม่ได้ สามแดนโลกธาตุนี้กิเลสครอบไว้หมด เป็นเจ้าอำนาจครอบไว้ไม่ให้รู้ พวกเราเหมือนควายตัวหนึ่ง ๆ ควายแต่ละตัว ๆ พวกเรานี่เป็นยังไง ผิดกันไหม ควายกับคนมันต่างกัน คนเป็นผู้ควบคุมควาย ควายนั่นไล่ไปไหนต้อนไปไหนก็ไปเรื่อย กัดหญ้าไป ต้อนไปสู่ที่ฆ่ายังกัดหญ้าไปสนุก หยอกเล่นคะนองกันไป ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปฆ่า นี่กิเลสมันต้อนไปก็เหมือนกันนั่นแหละ ต้อนพวกเราไปนี่เหมือนกันเลยไม่มีอะไรผิดกัน จะแยกเปอร์เซ็นต์แยกไม่ออก ร้อยทั้งร้อยเลย กิเลสขนาดนั้นแหละ

ให้เปิดออกซิหัวใจ มันจะออกในแง่ใดมุมใด ๆ มันเคยต้มตุ๋นพระพุทธเจ้ามาสักเท่าไร สาวกอรหันต์ท่านมาเท่าไร ๆ เวลาท่านเปิดออกแล้วฆ่ามันพินาศฉิบหาย มันออกอยู่ตรงไหนรู้หมดเห็นหมดปิดไม่อยู่เลย ท่านเอาความสังเวชนั้นแหละมาสอนพวกเรา พวกเรายังสบายอยู่ บอกถอดรองเท้า ถอดปั๊บขึ้นเหยียบปุ๊บสบาย โถ มันยังไงกันนี่ มันหนาขนาดนั้นมนุษย์เรา ยังไม่รู้เจ้าของหนา

กิเลสมันท้าทายธรรมเห็นไหม ดีไม่ดีดูถูกผู้แนะนำผู้สั่งสอนอีกด้วยซ้ำ กิเลสเก่งไหม นี่เราก็ไม่รู้ว่าเป็นกิเลสนั่นซี มันละเอียดขนาดนั้นแหละ มันเยาะเย้ยธรรมอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เวลานี้กิเลสกำลังเยาะเย้ยธรรม เยาะเย้ยหมดหัวโล้น ๆ ก็เยาะเย้ย พระเณรเถรชีไม่กลัวทั้งนั้นแหละเหยียบหัวไปหมด หัวโล้นไม่กลัวกลัวแต่ธรรมอย่างเดียว ถ้าใครมีธรรมกิเลสไม่แหยมนะ มันกลัว ถ้าไม่มีธรรมละเหยียบแหลกเลย อันนี้ที่สลดสังเวชมากนะ

เราก็ตัวเท่าหนูนี่มันก็อดพูดไม่ได้ ยิ่งเฒ่าแก่มามันจะไม่ได้พูด บางทีถึงกับบอกว่าคันฟันก็ยังมี มันเห็นอยู่ไม่พูดมีอย่างเหรอ นี่ซิมันโมโห เอาเสียบ้างซิ มันเหยียบหัวคน ๆ เจ้าของยังไม่รู้ ลากออกจากเหยียบหัวคน ๆ ยังเคียดยังโกรธให้อีก มันบ้าสองชั้นสามชั้นมนุษย์เรา เห็นไหมกิเลสเก่งไหม ไม่เก่งขนาดนั้นมันเหยียบหัวสัตว์ได้เหรอ สามแดนโลกธาตุมันครอบไว้หมดทั้งนั้นแหละ พวกเรานี้พวกอยู่ในเรือนจำของวัฏจักร มันครอบไว้หมดไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย เหมือนควายตัวหนึ่ง ๆ ไม่ผิดอะไรเลยนะ พูดเท่าไรมันก็ไม่ถึงใจนะ

อยากเปิดให้เห็น เป็นยังไงเหมือนไหมจริงไหม หรือหาเรื่องอุตริมาว่าอย่างนั้นเหรอ ความฉลาดแหลมคมอ้อยอิ่งของกิเลสมีทุกอย่างครอบไว้หมดไม่ให้รู้ ๆ ทั้งนั้นแหละ ว่าอะไรเป็นกิเลสไม่รู้เลย ถ้าเป็นเรื่องของธรรมกิเลสตีปั๊วะ ๆ เลย เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงปฏิบัติยากลำบากในขั้นเริ่มแรกของการบำเพ็ญ เพราะกิเลสมันกีดไว้แล้วขวางไว้แล้วเราไม่เห็นมันน่ะซี พอจะบำเพ็ญคุณงามความดีนี้จะมีแหละอุปสรรคสร้างขึ้นในตัวเอง ไม่มีก็สร้างขึ้นมา กิเลสให้สร้างว่าไง

ขอแต่เราบำเพ็ญธรรมเถอะ ว่าจะทำแบบไหนก็ตาม สังเกตดูในหัวใจเจ้าของ เราไม่ได้พูดให้ใครเราพูดให้ทุกคนฟังทุกคน กิเลสมีอยู่กับหัวใจทุกคนดูให้รู้ มันแหลมคมไหม สลดสังเวชจริง ๆ นะเราไม่ได้พูดธรรมดา เพราะฉะนั้นการสอนเวลาเผ็ด ๆ เวลาร้อน ๆ ร้อนด้วยอำนาจของธรรมต่างหากปราบหัวกิเลส เราไม่ได้ร้อนด้วยอำนาจของกิเลส ถ้าร้อนด้วยกิเลสจะไปปราบหัวกิเลสลงคอเหรอ กิเลสต่อกิเลสปราบกันได้หรือ ต้องเอาธรรมปราบซิ ร้อนด้วยอำนาจของธรรมซิ

พอจะทำความดีอะไรมันสร้างทันทีนะ เร็วที่สุดเลยปั๊บเอาแล้ว ๆ นี่ถ้าเราไม่มีเครื่องมือธรรมสูงกว่ามันเทียบไม่ได้นะ เอามาเทียบไม่ได้ ไม่เห็นโทษของมันเอามาเทียบได้หรือ ต้องเห็นโทษของมันซิ ยังไม่เห็นโทษของมันไม่รู้เนื้อรู้ตัวทั้งนั้นแหละ จะทำอะไรขึ้นชื่อว่าความดีนี้จะถูกกีดถูกขวางถูกขยี้ขยำไม่ให้ออกได้ง่าย ๆ นะ สมมุติว่าเงินบาทหนึ่งนี้เราจะเอาไปให้ทาน เงินเราอยู่ในธนาคารมีเท่าไร เป็นล้าน ๆ เงินบาทหนึ่งที่จะนำออกให้ทานสำหรับคนตระหนี่ถี่เหนียวนั้นหวงมาก เสียดายมาก เข้าใจไหมที่พูดอยู่นี้ จะเอาเงินบาทหนึ่งออกทานนี้ โถ เงินบาทหนึ่งนี้มีราคามีคุณค่ามากยิ่งกว่าเงินเป็นล้าน ๆ ที่ฝากไว้ในธนาคารเป็นไหน ๆ เก่งไหมกิเลสน่ะ

เห็นไหมคุณค่าของกิเลสมันแสดงตัวของมันขึ้นขนาดนั้นละ เงินบาทหนึ่งเอาออกไม่ได้นี่ขนาดนั้นละ เรารู้เสียใครไม่รู้รู้เสียวันนี้น่ะ พูดให้ฟังชัด ๆ อย่างนี้ละ นี่กิเลสเหยียบหัวคนเหยียบอย่างนี้เอง เอากิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลสไปแล้วมันตีไม่ออกซี ตีกิเลสก็ถูกเรา ตีเราถูกกิเลส กิเลสมันอยู่กับเรามันตีไม่ถูกซิ เลยไม่ตีเสียปล่อยให้มันขยี้ขยำเอา โอ๊ย พูดแล้วน่าทุเรศสงสารนะ ตายแล้วไปเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารทุกอย่าง อย่างน้อยเป็นเปรตเป็นผีมาเฝ้ากองทรัพย์สมบัติอยู่ ไม่ได้อะไรเลย กิเลสหลอกคนขนาดนั้น ยังไม่เห็นโทษของมันอีกโง่ไหมมนุษย์เรา หรือยังหยิ่งว่าฉลาดอยู่หรือ เราโง่ต่อกิเลสมากทีเดียว ถ้ายังไม่รู้ก็ให้รู้เสียแต่บัดนี้ มันจะไม่ได้เหยียบหัวใจเราไปนาน

พระพุทธเจ้าชี้ ชี้บอก ไปบิณฑบาตกับพระอานนท์ เสด็จบิณฑบาตไป พุดโธ่ ตาย อานนท์ ชี้แล้ว ไอ้หมาดำตัวนี้น่ะมันก็คือนันทเศรษฐีนั่นเอง ตายแล้วห่วงใยทรัพย์สมบัติ ฝังไว้ที่ไหน ๆ ไม่ยอมบอกลูกบอกหลานให้ทราบเลย ไปฝังคนเดียว ตายแล้วมันห่วงใย มาเกิด ๆ กับลูกเต้าอีกด้วยนะ มาเกิดเป็นหมาดำ แล้วทำยังไง หมาดำตัวนี้ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องแล้วจะให้ประโยชน์นะ ปฏิบัติยังไง พระอานนท์ก็เป็นคนฉลาดนี่ว่าไง เกิดวันเดียวกันกับพระพุทธเจ้าด้วย ปฏิบัติกับหมาตัวนี้อย่างนี้นะ ถ้าอยากได้เงินกับหมาตัวนี้ เวลานี้นันทเศรษฐีเอาเงินไปฝังไว้ตามดิน ไหกระเทียม เงินเหรียญ แต่ก่อนเงินเหรียญฝังเป็นไห ๆ ไปเลยเทียว

ให้บอกเตือนลูกเขา ให้ลูกเขาปฏิบัติต่อหมาตัวนี้เหมือนกับปฏิบัติต่อนันทเศรษฐี คือต้องประจบประแจง ต้องคุณพ่ออย่างนั้นคุณพ่ออย่างนี้ พอยกมือไหว้-ไหว้ พอยกมือกราบ-กราบหมาตัวนี้นะ ว่างั้นนะ ให้ยกหมาตัวนี้เหมือนพ่อนะ แล้วประจบประแจงคุณพ่อเอาเงินฝังไว้ที่ไหน ลูกจนเต็มทีเวลานี้ไม่มีเงิน คุณพ่อฝังไว้ที่ไหนเมตตาลูกหน่อย พาลูกไปหาเอาเงินที่ฝังไว้หน่อย ประจบประแจงมีอะไรปรนปรือปรนนิบัติไอ้ดำทุกอย่าง

หมาดำตัวนี้เป็นนันทเศรษฐีขึ้นมาทันที แล้วก็ปฏิบัติอย่างนั้นจริง ๆ แล้วมันรู้ภาษาคนด้วย ก็พึ่งตายไปไม่กี่ปี พอตายแล้วไปเกิดเป็นหมาดำมันก็รู้ภาษาคนได้ดีซี พอพูดประจบประแจงอะไร ๆ มันรู้เรื่องหมด แล้วก็พาไปหาขุด ลูกประจบประแจงไปไหนก็ตามรุมอุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อ ไอ้ดำเป็นพ่อพวกนั้น อุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อแล้ว พ่อก็สงสารลูกจะว่าไง ก็พาไปหาเงินละซีที่นี่ ฝังไว้ที่ไหนบ้างคุณพ่อ ไปก็ไปตะกุย ๆ ขุดลงไปนี้ได้ไหหนึ่งแล้วเงิน ที่ไหนอีกคุณพ่อพาไปอีกนะ ไปก็ไปตะกุย ๆ ขุดอีก ที่ไหนอีกคุณพ่อ ขุดเอาจนหมดได้เงินมาหมดเลย

นี่เห็นไหมตายแล้วมาเป็นอย่างนี้ มันตระหนี่ถี่เหนียว ให้ทานให้ไม่ได้ เวลาเป็นเปรตเป็นได้ เปรตยังดีกว่านันทเศรษฐีเสียอีก ดีกว่าศีลกว่าทานดีกว่ามรรคผลนิพพาน ดีกว่าสวรรค์นิพพานพรหมโลกเสียอีก เปรตตัวนี้ แต่นี้มันเป็นเปรตหมาดำ มันยังไม่รุนแรงอะไรนัก นี่ละอำนาจของความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นอย่างนี้ละ มันเอาให้อยู่หมัดนะ มันไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่าความตระหนี่นี้เป็นภัยหรือไม่เป็นภัยต่อตัวเองและใคร ๆ ก็ตาม ทั้ง ๆ ที่มันเป็นภัยต่อตัวเอง แต่ตัวเองจะกินก็กินไม่ลง อันนี้ก็มีแล้วนี่ นิทานชาดกเหมือนกันกับหมาดำตัวนี้นะ ออกมาจากชาดก นี่มันเป็นนิทานสอนต่อกัน

เศรษฐีคนนี้เป็นเศรษฐีบ้านอยู่ ๗ ชั้น แล้วไปเที่ยวบ้านเขาไปเจอเขาทำขนมเลี้ยงกันอึกทึก เพราะเขาไม่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวนี่ เขาทำขนมเลี้ยงกัน นี่ก็น้ำลายแตกปากอยากกินขนม เขาก็เชิญเข้าไปกินเลี้ยง ไม่ยอมไปกิน ถ้าไปกินของเขาแล้วเขาจะไปกินของเราจึงไม่ยอมไปกิน อดมาจะตาย มาบ้านก็มานอนแซ่วละซี เมียก็ถามเป็นอะไร เจ้าเป็นอะไรไม่สบายหรือ ไม่สบายตายอะไรคนหิวขนม ขนมอะไร เงินเรานี่จะทำกินเลี้ยงทั้งเมืองก็ได้นี่ประสาขนม อย่ามาพูดนะเรื่องทั้งเมืองทั้งแมงอย่ามาพูดนะ คือคนทั้งเมืองพูดไม่ได้ แล้วทำไง

ถ้าอย่างงั้นทำขนมเลี้ยงเฉพาะในครัวเรือนของเรานะ อย่ามาพูดครัวบ้านก็อย่าพูด แล้วอย่างงั้นฉันกับคุณสองคนกินด้วยกันได้ไหม คุณก็ไม่ต้องกิน กินแต่ผมคนเดียว ในตำราบอกอย่างนั้นนี่ นี่ความตระหนี่เข้าใจไหม คุณก็ไม่ต้องกินกินแต่ผมคนเดียว เอ้อ ถ้าอย่างนั้นเอากินคนเดียว แล้วจะทำยังไงทำขนมแล้วคนถึงจะไม่เห็น นู่นขึ้นไปทำอยู่ชั้นบนนู้น ให้ไปทำอยู่ชั้นบน ทำก็ปิดประตู ปิดบันไดปิดประตูขึ้นไปเรื่อย ชั้นไหนก็ปิดประตูเรื่อย ๆ ขึ้นไปทำขนม ขนมเบื้อง ขึ้นไปทำอยู่บนชั้น ๗ นั่นแหละ

ทีนี้ไปเผลอยังไงไม่รู้หน้าต่างเปิดไว้น่ะซี เปิดหน้าต่างเอาไว้ พระพุทธเจ้าท่านเล็งญาณอยู่โน่นพระเชตวัน นั่นเห็นไหมมีอุปนิสัยสามารถจะบรรลุอริยธรรมนะ แล้วกิเลสบาง ๆ เหมือนกระดาษมันปิดหน้าเท่านี้ทำให้จมลงขนาดนั้นเห็นไหม นี่ละกิเลสตัวนี้มันปิดปั๊บเดียวเท่านั้น ทำให้ตระหนี่ถี่เหนียวเสียจนแกะไม่ออกเลย ไปโมคคัลลาน์ให้ไปโปรดเศรษฐีคนนี้มันจะตายจมละนะ เดี๋ยวนี้เวลานี้กำลังเริ่มสร้างขวากสร้างหนามสร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้ตนเอง ให้รีบไปนะไปเดี๋ยวนี้ ให้ไปทรมานเอาเศรษฐีคนนี้ให้เป็นคนกลับคืนมาหน่อยเถอะ เราจะรออยู่นี่แหละคอยกินขนมว่างั้นนะ พระพุทธเจ้าบอกว่าเราจะรออยู่นี่คอยกินขนม

พระโมคคัลลาน์เข้าฌานปั๊บนี่ก็บึ่งเลย เหาะมาก็มาตรงนั้นแหละ ตรงหน้าต่างนั่นแหละ พอมาถึงนั่นแล้ว ทำไมเหาะมาหยุดอยู่กลางอากาศก็ได้ เห็นไหมฤทธาศักดานุภาพเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนเรือบินหยุดไม่ได้นะกลางอากาศ อันนี้เหาะมาพอมาถึงหน้าต่างพอดีกับขนมเบื้อง พอบึ่งมาถึงนี่หยุดกึ๊กแล้วก็ผ่านไป แล้วเหาะมาอีกดูอีก โอ๊ย หัวโล้นมาแต่ไหนอีก ขึ้นมาทำข้างบนสูงขนาดนี้แล้วยังมาได้อยู่นี่ หัวโล้นมาจากไหนว่างั้นนะ คือพูดด้วยความเคียดแค้น เราก็พยายามทำอยู่ข้างบนไม่ให้ใครมากินยังมาจนได้นี่ พอครั้งที่สามมาก็บึ่งเข้าหน้าต่างปุ๊บเลยพระโมคคัลลาน์

เอ้า ตักให้มันเสีย แล้วก็เอาช้อนมาตัก ตักเท่าไรก็ไม่ออกมันติดกับช้อน ดึงก็ไม่ออกมันจะไปทั้งกะละมังนี่ เอาช้อนตักดึงเท่าไรก็ไม่ออก ไถกะละมังครืด ๆ ไปน่ะซี อู๊ย ให้มันหมดเสียไม่ต้องกินแล้วพวกเรา ให้มันหมดเสีย ก็ไส เอ้าเอาหมดเสีย บอกว่าอาตมาไม่ได้มาหาเอาขนมนี่นะ นั่นเห็นไหมเวลาท่านตอบ คุณน่ะกำลังจะจมลงนรกอยู่เวลานี้เพราะขนมอันนี้เองไม่ใช่เพราะอะไรนะ สงสารคุณแล้วมาโปรดเฉย ๆ นะ เมตตาสงสารมาให้รู้โทษของความตระหนี่ มันกำลังจะเอาคุณลงจมนรก คุณเป็นผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้อยู่ แต่ทำไมจึงให้ขนมเบื้องเพียงเท่านี้มาเหยียบย่ำทำลายเสียจนจะให้จมสด ๆ ร้อน ๆ นี้มีอย่างเหรอ แล้วรีบมาแนะนำสั่งสอนให้รู้เรื่องรู้ราว

พอว่างั้นจิตก็ยิ้มแย้มแจ่มใสพลิกขึ้นทันทีเลย แล้วก็ขอถวายที่นี่ ไม่ได้ว่าให้มันนะ ขอถวาย อาตมาไม่เอา ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เอาเฉพาะหัวใจคุณเท่านั้น หัวใจคุณจะจมเวลานี้ นอกนั้นอาตมาไม่ต้องการอะไรทั้งหมด แล้วก็เทศน์ให้ฟัง เทศน์เรื่องคุณค่าแห่งการเสียสละ คุณค่าแห่งการทำบุญให้ทาน ว่าเป็นเศรษฐีนี่ก็เพราะการทำบุญให้ทานไม่ใช่เพราะความตระหนี่นี่นะ ทำไมจึงเอาความตระหนี่มากีดมาขวางเอานักหนาเมื่อเป็นเศรษฐีมาแล้ว แล้วเอาความตระหนี่มาทำลายมีอย่างเหรอ

พอสอนให้รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็ขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์ เสร็จจากนั้นแล้วก็ขอถวายอาหาร ท่านบอกไม่เอาเท่าไรไม่ยอมที่นี่ ยกหมดเลย ท่านก็ว่าถ้าอย่างนั้นเอาไปวัดเชตวัน พระพุทธเจ้าท่านทรงรออยู่แล้วเวลานี้ว่างั้นนะ ไปก็พระพุทธเจ้ารออยู่จริง ๆ ขนมเบื้องกะละมังหนึ่งกินทั้งวัดไม่หมดเลย เพราะอำนาจของฤทธาศักดานุภาพแห่งบุญแห่งกุศลนี่ว่าไง พอเสร็จแล้วก็เทศน์ให้เศรษฐีฟังสำเร็จเป็นพระโสดาบันขึ้นมา เป็นอริยบุคคลขึ้นมา เห็นไหมนั่นละความตระหนี่มันเก่งไหม มันเอาคนจะให้จมจริง ๆ ถ้าไม่ได้พระโมคคัลลาน์และพระพุทธเจ้าแล้วเป็นเสร็จเลย นี่พระโมคคัลลาน์อยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนพวกเรานี่ หรือจะเอาให้จมหมดทั้งศาลาหรือพร้อมทั้งหลวงตาบัวด้วยหรือ มันพิลึกนะ

พากันจำเอานะธรรมพระพุทธเจ้าพูดอะไรไม่มีสอง ฟังแต่ว่าไม่มีสองสด ๆ ร้อน ๆ เป็นแต่เพียงว่ากิเลสมันฉากหน้าฉากหลังมันไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวดังที่เราเป็น ดังเศรษฐีคนนั้นเป็นขนาดนั้นแหละ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวจนจะจมลงนรกเพราะความตระหนี่ถี่เหนียว นี่เรายกมาเพียง ๒ นิทานมาในชาดกนะ เราได้อ่านได้ดูในชาดกเห็น อ่านแล้วอ่านเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นละมันน่าคิดน่าอ่านมาก นี่ละเริ่มต้นแห่งความตระหนี่มันเป็นอย่างนั้นละ

เรื่องใส่รองเท้านี่ให้จำเอานะ ต่อไปนี้เราจะได้เอาไม้ติดมือไปด้วย ใครมันเก่งนักจะฟาดมันขาหัก มันเป็นยังไงกิเลสตัวนี้ เท้าเปื้อนไม่ได้หัวใจเปื้อนไม่เป็นไร อันนี้ละแบบเศรษฐีนั่น แบบเศรษฐีจะจมเป็นอย่างนี้แหละ เท้าเปื้อนไม่ได้นะแต่หัวใจเปื้อนไม่เป็นไรถึงไหนถึงกัน นี่ละอันหนึ่งกิเลสมันเก่งนักเห็นไหม สิ่งไหนจุดไหนสำคัญมันไม่ให้รู้เลย มันเอาจุดไม่สำคัญให้เกาตรงนี้นะ เกาตรงเท้ามันเปื้อนนี่อย่าให้มันเปื้อนนะ พอถอดรองเท้าปั๊บให้โดดขึ้นเหยียบข้างบนเหมือนลิงนะอยากว่างั้น ตัวหัวใจเปื้อนที่จะพาให้จมลงนรกมันไม่ให้ดูนี่เก่งไหมกิเลส

พูดแล้วสลดสังเวชจริง ๆ นะเราไม่ได้พูดเล่น ๆ นี่นะ ผู้ไม่เห็นมันไม่เห็นจริง ๆ จะว่าไง ไม่รู้จริง ๆ ฟังอรรถฟังธรรมนี้มันจะฟังถึงใจเมื่อไร ไม่ว่าจะดูเรื่องราวของอรรถของธรรม จะฟังเรื่องราวของอรรถของธรรมมันไม่ได้ถึงใจนะ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วพันกันเลย ๆ ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่านักบวชฆราวาสมันจะถึงใจทุกอย่าง ๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว เก่งไหมกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรมมันไม่ค่อยถึงง่าย ๆ นะ

นี่เราพูดถึงขั้นเริ่มแรกที่เราฝึกหัดตะเกียกตะกายที่จะออกจากกิเลส ต่อเมื่อเราฝึกหัดไม่หยุดไม่ถอยมีกำลังมากขึ้นแล้วทีนี้เอา ๆ นะ ให้ทานมีเท่านี้อยากให้เท่านี้มันเป็นแล้วนะ อำนาจของธรรมแทรกเข้าไปแล้ว ๆ เรามีเท่านี้แต่อยากได้เท่านี้ เสียใจมีน้อยอยากให้มากกว่านี้ จะได้ให้ทานมากกว่านี้ นั่นเอาละนะ หนักเข้า ๆ ทีนี้ การบำเพ็ญทางด้านจิตใจก็หนักเข้า ๆ ทีนี้กิเลสอยู่ตรงไหนมันเห็นหมดจะว่าไง มันจ้าเข้าไป เมื่อเห็นตรงไหนตรงนั้นก็จงอาง อันนี้งูเห่า อันนี้ยักษ์ อันนี้ผี อันนี้เสือโคร่ง อันนี้เสือเหลือง อันนี้เสือดาว มีแต่สิ่งที่จะมางับคอเราทั้งนั้น แล้วกล้าหาญกับมันได้เหรอ กิเลสแต่ละตัวเทียบกับอย่างนี้ ๆ แล้วเราจะอาจหาญกับมันได้เหรอ ก็มีแต่เอาชีวิตเข้าว่าเท่านั้นแหละ บึ่งเลย

นี่ละการบำเพ็ญธรรมบึ่งเลยไม่มีถอย ฟาดลงไป ๆ หนักลงไป ๆ กิเลสอยู่ตรงไหนฟาดลงไปแหลก ๆ นั่นถึงวาระที่ธรรมมีกำลังมากเป็นอย่างนั้น เวลาธรรมไม่มีกำลังมีแต่กิเลสมีกำลังเป็นอย่างนี้ อย่างที่กล่าวนี้ ถึงวาระที่ธรรมมีกำลังแล้วยังไงกิเลสต้องพังหมดไม่พังไม่ได้ ต้องให้พัง กิเลสไม่พังเราพังอย่างเดียว คำว่าแพ้ไม่ให้มีมีไม่ได้เป็นอันขาด ต้องกิเลสกับเราฝ่ายหนึ่งไม่พังฝ่ายหนึ่งต้องพัง แต่ยังไงกิเลสต้องพัง นั่นอย่างนั้นนะ

นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้มีบทมีบาทมีต่ำมีสูง ขั้นต่ำมันก็เป็นอย่างนี้แหละ จะทำอะไร ๆ มีแต่กิเลสกีดขวางหมดมันไม่ให้ทำ พอหนักเข้าไป ๆ เราบำเพ็ญอยู่ไม่ถอย ๆ มันก็มีกำลังขึ้น เราก็หนักเข้า ๆ ส่วนไหนที่ควรชนะกิเลสเราก็ชนะมันไปเรื่อย ๆ เช่นอย่างทานนี้ เราเป็นลูกชาวพุทธเป็นนักทานเคยทานมาแต่พ่อแต่แม่เรานี้มันไม่เสียดายนะ ได้เท่านี้อยากให้เท่านี้ ๆ ได้กินอย่างนี้อยากทานอย่างนั้น ๆ เป็นในหัวใจเองนะ ของไม่ดี ๆ ไม่ทาน อยากทานแต่ของดี ๆ นี่ชนะมันแล้วนี่นะ ตรงนี้ชนะแล้ว ต่อไปอันไหนมันก็จะชนะไปเรื่อย ๆ มันก็สูงเข้า ๆ เบิกออกกว้างออกน่ะซี

เอาละพอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก