เศรษฐีมีอุปนิสัย
วันที่ 21 กันยายน 2536
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๖

เศรษฐีมีอุปนิสัย

จะเล่าให้ฟังเรื่องเศรษฐีตระหนี่ เศรษฐีคนหนึ่งไปงานเลี้ยงบ้านเพื่อน เขายกขนมเบื้องมาให้กิน เศรษฐีทั้งที่อยากกินแต่นึกในใจว่า หากเราไปกินบ้านเขา ต่อไปเขาก็จะมากินบ้านเรา เราก็จะหมดเหมือนกัน ตกลงก็ทนอดทนหิวไม่กิน กลับมาบ้านก็ทำท่าเป็นไข้ นอนห่มผ้า แม่บ้านก็มาถามเป็นอะไร เจ้าเป็นอะไรพ่อ จะเป็นอะไรไป คนหิวขนมเบื้องจะตายไป เอ้าขนมเบื้องนี้เรามาทำกินหมดทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้ เงินเราอดอยากเมื่อไร เมียว่าอย่างนั้นนะ เงินเรานี้เอามาทำขนมเบื้องแจกกันหมดทั้งบ้านทั้งเมืองก็ยังได้ มาอดอยู่เฉยๆทำไม อย่าพูดว่าบ้านเมืองๆ เขาจะมากินทั้งหมดก็หมดเงินเราล่ะซิ กลัวอีกแหละ ถ้ายังงั้นเราทำกินเฉพาะครอบครัวของเรา ไม่ต้องให้บ้านให้เมืองเขามากินด้วย ความตระหนี่มันก็มัดเข้ามาอีก กินทั้งครอบครัวเราอะไรมันก็หมดไปอีกล่ะซิ ถ้าอย่างนั้นก็กินแต่เจ้ากับข้อยละนะ เจ้ากับข้อยเข้าใจไหม ข้อยๆ กินแต่เจ้ากับฉันนี่แหละพูดง่ายๆ สองตายายกินด้วยกันเท่านี้ เจ้าก็ไม่ต้องยุ่ง ข้อยกินคนเดียว โน่นเห็นไหมตระหนี่ มีในคัมภีร์นะนี่ ถึงจะได้เอามาสาธก

เรื่องความตระหนี่มันไว้หน้าใครเมื่อไร มันจะเอาให้ตายจนกระทั่งเจ้าของ เอ้า ให้ทำกินแต่เจ้าก็ได้ ข้อยไม่ต้องกินก็ได้ เออ ทำ ทีนี้ก็หาที่ละที่นี่ ว่าทำแล้วเราจะไปกินที่ไหนคนจะไม่รู้ไม่เห็น โน่น ขึ้นไปกินชั้นสาม กินตอนนี้คนจะเห็น พอว่าอย่างนั้นก็เอาตกลง ให้เมียทำขนมเบื้องให้กิน พอทำขนมเบื้องเสร็จก็ขนขึ้นไปชั้นสาม พอขึ้นไปก็ปิดบันได ปิดประตูข้างล่างเรื่อยๆ ขึ้นไปเลย ขึ้นไปถึงโน้นแล้วก็เตรียมท่าจะกิน

พอดีพระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณทางโน้น เศรษฐีคนนี้มีอุปนิสัยอยู่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ แต่เพราะอำนาจแห่งความปิดบัง กิเลสมันไม่ต้องหนาละ บาง ๆ เท่ากระดาษปิดตานี้เราก็มองไม่เห็น เราอย่าเอาแต่ภูเขาทั้งลูกมาปิดนี้เลยนะ เพียงกระดาษบาง ๆ เท่านั้นมาปิดตาเราก็มองไม่เห็นแล้ว อันนี้กิเลสบาง ๆ เท่านั้นมาปิดตาเศรษฐีให้ลืมเนื้อลืมตัวไปหมด จนจะเป็นจะตาย

พระพุทธเจ้าก็ เอ้อ โมคคัลลาน์ เศรษฐีคนนี้เวลานี้กิเลสกำลังมัดคอมันจะตายแล้ว มันจะตายสูญสิ้นไปจากมรรคผลนิพพานแล้ว ให้เธอไปทรมานมันสักหน่อยว่างั้น รับสั่งพระโมคคัลลาน์ เวลานี้กำลังเตรียมของจะกิน เมียมันจะกินกับมันก็ไม่ได้ มันจะตายบักห่านี่ ภาษาเฮาเข้าใจไหม ถ้าเป็นภาษาอีสาน เมียก็กินกับมันไม่ได้บักห่านี่ เข้าใจไหม มันจะกินผู้เดียว ฟังดู ไปโมคคัลลาน์

พระโมคคัลลาน์เข้าสมาบัติปึ๋งเดียวก็เหาะไปเลยเชียว เผอิญหน้าต่างไม่ปิดล่ะซิ ปิดแต่ประตูขึ้นมาเรื่อยๆ หน้าต่างข้างๆไม่ปิดน่ะซิ พระโมคคัลลาน์ก็เหาะมานี้ พอมองเห็นพระโมคคัลลาน์ เอ้า สมณะหัวโล้นมาแต่ใสอีก กูว่าจะกินคนเดียว เหาะฉากมานี้แล้วก็เหาะฉากไป แล้วก็ฉากมาอีก ฉากใกล้เข้ามาเรื่อยพระโมคคัลลาน์ ปุ๊บเข้ามาหน้าต่างเลย ทำยังไงเฒ่าปรึกษาเมีย ทำยังไงเฒ่า ทำยังไงก็แบ่งให้ท่านบ้างเรากินบ้าง อุ๊ย เราไม่อยากแบ่งก็เราจะมากินคนเดียว เอ้า จำเป็นแบ่งก็เอาทัพพีมาตักละซิที่นี่ พอเอาทัพพีมาตัก ดึงทัพพีขึ้นมันดึงไม่ขึ้นมันเหนียวมันติด กรรมบันดลบันดาลนะ ถึงดึงมันก็ขึ้นหมดกะละมังนี่จะว่าไง ถ้าไม่ขึ้นก็ไม่ขึ้นหมดทั้งกะละมังทั้งทัพพี ทำยังไงเฒ่า เอ้า ยกให้มันหมดเสียไม่ต้องกินละ ยกให้มันหมดเสีย

พอยกไปให้พระโมคคัลลาน์ ท่านก็สอน อาตมาไม่ได้มากินข้าวโยม เวลานี้โยมกำลังติดหนัก โยมรู้ตัวไหม ว่าความตระหนี่นี้มันทำลายโลกมาเท่าไร เวลานี้มันกำลังทำลายโยม อาตมามาเพื่อมุ่งหัวใจโยมเท่านั้น ไม่ได้มามุ่งขนมนมเนยอะไรกับโยมแหละ ท่านก็เลยแนะนำสั่งสอนให้รู้จักโทษแห่งความตระหนี่ถี่เหนียว มันเป็นอย่างนี้ละดูซิ ไปในบ้านเขาก็กินของเขาในบ้านเขาไม่ได้ มาในบ้านของเจ้าของจะทำอาหารการกินกับครอบครัวเจ้าของ ที่เลี้ยงดูมากันตั้งแต่วันเกิด มันก็ให้เขากินไม่ได้ นอกจากนั้นเมียแท้ๆคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย ควรจะได้กินด้วยกันก็ไม่ยอมให้เขากิน จะมากินคนเดียว นี้กำลังมัดเข้าๆ ต่อไปนี้ตายจะลงนรก อาตมาเลยมาโปรด ความหมายว่างั้น ความตระหนี่นี้จะพาลงนรก ขึ้นจากนรกแล้วยังจะมาเป็นเปรตเป็นผีเฝ้ากองสมบัติอีกหลายชั้น

ทีนี้พอเห็นโทษ เกิดความเคารพเลื่อมใสแล้วก็ขอถวายท่านหมด ท่านก็บอกไม่เอา ยังไงก็ขอถวาย ไม่เอาก็ขอถวาย แล้วก็จะเอาไปได้ยังไง จะไปส่ง ไปส่งเลย เข้าไปพระเชตวัน เอาอาหารทั้งหมดไปส่ง พอไปถึงโน้นพระพุทธเจ้าก็เทศน์ย้ำลงอีก สำเร็จพระโสดาเห็นไหม นี่ละอำนาจแห่งความตระหนี่ บาง ๆ เท่านั้นเหมือนกระดาษปิดนี่ มันทำให้คนเสียคนได้มากมาย

พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องโทษแห่งความตระหนี่ถี่เหนียวนี้ เทศน์เอาหนักเหมือนกันนะ แต่กิเลสมันก็หนัก มันไม่ยอมเห็นโทษเห็นภัยแห่งความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นคุณค่าตั้งแต่ความโลภ โลภมาเพื่อความตระหนี่ โลภมาเพื่อความตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ได้ทางหนึ่งเอาทางหนึ่ง ๆ เป็นอย่างนั้นโลภ เพราะฉะนั้นมนุษย์มีมากมีน้อยจึงเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน เพราะต่างคนก็ต่างจะเอา ไม่มีว่าต่างคนต่างจะเสียสละต่อกัน มนุษย์อยู่ด้วยกันมากมายก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน

ถ้าต่างคนต่างให้ความหมายซึ่งกันและกัน สองคนเท่านี้ก็พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้แล้วมนุษย์ ไม่จำเป็นจะต้องมีหมื่นมีแสนมีล้าน ต่างคนต่างมีความเสียสละให้อภัยซึ่งกันและกันแล้ว หมื่นแสนล้าน ๆ ๆ ก็เป็นความสุขความสงบเย็นใจไปด้วยกันทั้งนั้น เห็นหน้ากันก็ยิ้มแย้มแจ่มใส อำนาจแห่งความเสียสละ อำนาจแห่งความเมตตา อำนาจแห่งความให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ถือเนื้อถือตัว ถือเป็นความสม่ำเสมอ เห็นเพื่อนที่เกิดแก่เจ็บตายได้รับความทุกข์เช่นเดียวกันแล้ว ควรจะสงเคราะห์กันด้วยวิธีใด วัตถุใด และอุบายใด ก็สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน นั่นเป็นธรรม โลกทั้งหลายอยู่กันมากมายขนาดไหนเป็นความสุขไปหมดเลย

ถ้าเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวนี้ แม้กระทั่งสองผัวเมียเท่านั้นก็ยังทะเลาะกันดูซิน่ะเห็นไหม เป็นของดีเมื่อไร แล้วใครก็ต้องการแต่จะสั่งสม ๆ ไม่ทราบจะสั่งสมไปอะไร หาเหตุหาผลไม่ได้ เอาแต่ความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน เจ้าอำนาจ ครอบครองหัวใจ ไม่มีเหตุผลเข้าไปแยกแยะดูความตระหนี่นี้บ้างเลย แล้วเป็นยังไงมนุษย์เราโง่ไหม เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าท่านแยกท่านแยะทุกสิ่งทุกอย่าง สอนโลกสอนด้วยความเมตตาสงสารด้วย สอนด้วยเหตุผลทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ถูกต้องแม่นยำให้เข้ากันได้กับคำว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วด้วย ให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายจงจำเอาไว้

อยู่ด้วยกันให้เห็นแก่อกแก่ใจซึ่งกันและกัน มีความเสียสละ มีความให้อภัยกัน อย่าถือกันง่าย ๆ เอะอะถือกันฆ่ากันฟันกันมีเยอะ เวลานี้มีตั้งแต่อย่างนี้ออกหน้าออกตาเหลือประมาณ ซึ่งไม่ใช่ของดีเลย เวลานี้กำลังออกมาจ่ายตลาดเมืองไทยเรา เฉพาะอย่างยิ่งจะมาจ่ายตลาดในชาวพุทธเรานี้ มีแต่เรื่องความโหดร้ายทารุณ ยื้อแย่งแข่งดีซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความพินาศฉิบหายทั้งนั้น หาความที่จะสงบร่มเย็นให้ประชาชนทั้งหลายได้รับความอบอุ่นตายใจหรือไว้วางใจ จะไม่มีนะเวลานี้ เพราะความแย่งความชิงเรื่องความดีความเด่น ความมั่งความมีซึ่งกันและกันนั่นแหละ สุดท้ายเก้าอี้ก็แหลก ถ้าอยู่เก้าอี้ก็ดี ถ้าอยู่โต๊ะก็โต๊ะแหลก อยู่สถานที่ทำงานไหน งานนั้นแทนที่จะเป็นผลสำเร็จ แหลก ๆ ไปตาม ๆ กันหมด เพราะความโลภทำลาย

ให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายจำเอาไว้ อยู่ด้วยกันให้มีความจงรักภักดีต่อกัน ถ้าเป็นเพื่อน ก็ให้เป็นเพื่อนเป็นเพื่อนตาย อย่าเป็นเพื่อนหน้าไหว้หลังหลอก ดังที่ท่านกล่าวไว้ในสหายสามสหายนั่น นี่ก็มีนิทานชาดกเหมือนกัน จะยกมาเทียบให้ฟัง

สามสหาย กวางหนึ่ง หมาป่าหนึ่ง แล้วก็กาหนึ่ง มีสามสหายด้วยกัน กวาง กา หมาป่า ทั้งสามตัวนี้เป็นสหายกัน แต่กานั้นเป็นสหายพึ่งเป็นพึ่งตายได้จริงๆ ส่วนหมาป่านั้นเผลอเมื่อไรคอยจะกัดจะกินกวาง ก็พอดีกวางไปหากินแล้วไปถูกบ่วงเขาน่ะซิ เขาดักบ่วงเอาไว้ แล้วก็ดิ้นรนกระวนกระวาย ทีนี้หมาป่ามาเจอเข้าก็บอกว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว คือคอยจะกินเวลากวางตายนั่นเอง บอกว่าเราช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ส่วนกามาปุ๊บมาเห็นเข้า เอ๊ ทำยังไงนี่ หาอุบายทันทีเลย เอ้า ให้ทำอย่างนี้นะ เวลาเจ้าของบ่วงเขามาแล้วให้ทำเป็นตาย ให้เบ่งขึ้นมาหมดทั้งตัวให้เป็นตัวพองเหมือนตายแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ เวลาเขามาแก้บ่วงแล้ว กาตัวนั้นบอกว่าเราจะเกาะอยู่บนกิ่งไม้คอยดู พอเขาเอาบ่วงออกจากคอแล้ว เราจะบินลงมาเฉี่ยวหูสะกิดบอกให้ลุกขึ้นวิ่งเลย ทางหมาป่าตัวนี้ไปนอนแอบอยู่ข้างๆจอมปลวก ไม่มาช่วยอะไรเลย คอยจะกินกวางนี่ละ

ทีนี้พอเจ้าของเขามา เฮ้อ มึงตายแล้วเหรอ มึงไปขโมยกินข้าวกู มันไปกินข้าวเขา แล้วเขาก็ดักบ่วงเอาซิ ไปถูกบ่วงเขา พอมาเขาก็แก้บ่วง พอแก้บ่วงออกเสร็จสรรพแล้ว กาคอยทีอยู่ข้างบน เพื่อนเป็นเพื่อนตายนี้ พอแก้บ่วงออกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของพอเดินให้หลังกวางเท่านั้นละนะ กาตัวนั้นก็บินลงมาโฉบหูปั๊บ กวางตัวนี้พอได้ทีก็ลุกผึงแล้ววิ่งเลยเชียวนะ วิ่งหนีตายว่างั้นเถอะ วิ่งไปทางหมาจิ้งจอกตัวนั้น วิ่งผ่านไปทางนั้น เขาถือมีดอยู่เขาก็ปามีดไปล่ะซิ เขาจะปากวางนั่นแหละ ไปฟาดใส่คอหมาจิ้งจอกตัวนั้นเสียตาย เห็นไหม นั่นละคนไม่ซื่อสัตย์สุจริตดูเอา นี่มีในมงคลทีปนี อ้างคัมภีร์มาเลยก็ได้ ท่านแสดงเอาไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าเป็นเพื่อนกันให้เป็นเพื่อนฝากเป็นฝากตาย


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก