ความตระหนี่เป็นภัย
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2536
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๖

ความตระหนี่เป็นภัย

วันนี้จะเอาอาหารไปส่งวัด... สั่งให้เขาเตรียมอาหารพวกน้ำปลา น้ำมันพืช ปลากระป๋อง อย่างละ ๑๒ โหล ๆ ข้าวก็เป็น ๑๐ กระสอบ ๑๒ กระสอบ นอกจากนั้นก็อาหารทุกอย่างรวมลงนั้นหมด แตงโมก็เป็นร้อย ฟาดลงจนเต็มเอี๊ยด แน่นรถนะ แตงโม แตงสุก อาหารสดอาหารแห้ง อาหารยาวก็คือพวกปลากระป๋อง ปลาย่างอันนี้ให้ได้ทุกครั้งที่ไป เทลงแต่ละทีนี้จนน่ากลัว ฟาดมันกองเท่าภูเขา เทลงแต่ละทีนี้ ๒ รถฟาดเสียจนเต็มรถ

ลูกศิษย์มีพวกญาติพวกโยมไป ลูกศิษย์ลูกหาไปเอานี้ละสอน จะว่าอวดเจ้าของก็เราไม่มีเจตนา เพราะเราปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนด้วย สอนยังไง พอเอาของไปเทลงก็มีพวกญาติโยมเขามา มาก็ชี้บอก นี่เห็นไหม ถ้ามีมากให้ทานมากอย่างนี้นะ อย่าตระหนี่ถี่เหนียว เราว่างี้นะ มีน้อยให้น้อยเว้นแต่ไม่มี...จำเป็น ถ้ามีมากอย่าตระหนี่ ความตระหนี่เคยเป็นภัยต่อโลกมานานแล้ว พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ตำหนิทั้งนั้น ความตระหนี่เข้าใครก็ไม่ได้ มันเป็นภัย อยู่กับเจ้าของ ๆ ก็อดอยากขาดแคลน เกี่ยวข้องกับผู้ใดก็ทำผู้นั้นให้ลำบาก ความตระหนี่เป็นภัยอย่างนั้นแหละ

จำเอานะจำให้ดี ไม่มีใครสอนอย่างนี้แหละ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านเกรงนั้นเกรงนี้ เกรงอะไรไม่รู้แหละ เราไม่เกรง ขึ้นชื่อว่ากิเลสฟาดมันหัวขาดไปเลย เพราะตัวตระหนี่นี้ตัวกิเลสนี่ เอาจนหัวขาดเลย เราชี้บอกนี่ถ้ามีมากให้ทำอย่างนี้ ถ้ามีน้อยก็ทำน้อย เว้นแต่ไม่มีก็จำเป็น เราอย่าให้ความตระหนี่ถี่เหนียวเอาไปกลืนกินหมด ทั้งตับทั้งปอดเจ้าของมันใช้ไม่ได้ โง่เกินไปมนุษย์เรา

ตายแล้วกระดูกท่อนเดียวก็เอาไปไม่ได้ จะมาหวงไว้ทำไม เกิดประโยชน์อะไร ความหึงความหวงไว้นั้นเกิดประโยชน์อะไร ยังจะแพร่กระจายความตระหนี่ถี่เหนียวให้ลูกให้หลานหวงต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครได้รับประโยชน์ หวง ๆ ๆ เรื่อยเลย ตายแล้วก็เป็นเปรตเป็นผีมาเฝ้าอยู่กองทรัพย์สมบัติเงินทองนั่นแหละ หรือเข้าใจว่าพวกเปรตพวกผีนี่มีตั้งแต่สมัยพุทธกาลสมัยพระพุทธเจ้าหรือ สมัยนี้ไม่มีเหรอ ตั้งปัญหาถามดูซิ

สมัยนี้เปรตผีนี้หมดยุคหมดสมัยไปแล้ว มีแต่พวกเทวดา เทวดาจรวดดาวเทียมทุกวันนี้ว่างั้นเหรอ สมัยนี้แหละเปรตยิ่งมาก ความโลภมันก็มากมนุษย์เรา ความตระหนี่ถี่เหนียวความเห็นแก่ตัวก็มาก เห็นแก่ได้ถ่ายเดียวมาก เวลานี้กำลังเด่น โลกจึงร้อนเพราะกิเลสประเภทนี้ออกตีตลาด ถ้าหากว่ามีการแบ่งสันปันส่วน มองดูท่านดูเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน ความจำเป็นไม่เกิดขึ้นกับผู้ใดก็ดูดี เมื่อเกิดแล้วเหมือนกันหมด เราคิดอย่างนี้แล้วก็เฉลี่ยกันได้มนุษย์เรา ตายไปแล้วก็ไม่มีอะไรนี่ อยู่ด้วยกันให้เป็นสุขต่อกัน แล้วผลประโยชน์ที่เฉลี่ยไปนั้นก็ยังมาเป็นสมบัติของตัวเองอีก ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลนคนใจกว้างขวางเห็นแก่ความเสียสละ นักใจบุญอย่างนั้นก็ถูก ไปไหนไม่อดอยากขาดแคลน แต่ตัวตระหนี่นี้ไปไหนไปเถอะว่างั้นเลย เกิดเป็นคนก็ต้องขวางโลก

ยกตัวอย่างอย่างผู้หญิงคนหนึ่งมีลูก ลูกคนนั้นเป็นลูกกาลกรรณี ภาษาเราเรียกกาลกิณี ไปอยู่ในท้องแม่ ๆ ก็หาขอทานไม่ได้กิน อดอยากขาดแคลน หมู่เพื่อนต้องเอามาให้ ทั้ง ๆ ที่ไปกับหมู่เพื่อน หมู่เพื่อนได้ ไปเที่ยวหาขอทานกินหมู่เพื่อนได้ ผู้หญิงคนนั้นมีท้อง ลูกตัวเสนียดจัญไรตัวแสบ ๆ มันอยู่ในท้อง แม่ก็เลยแสบท้องไปด้วยไม่ได้กินข้าว ไปขออะไรก็ไม่ได้กิน หมู่เพื่อนที่ไปขอทานด้วยกันต้องเอามาแจกให้กินไม่งั้นตาย ตกคลอดออกมาแล้วก็เหมือนกันอีก ถ้าวันไหนเอาลูกไปขอทานด้วยวันนั้นแห้ง ท้องแห้งเลย วันไหนเอาลูกทิ้งไว้ในบ้านแล้วไปเฉพาะตัวเองวันนั้นพอทำเนาว่างั้น ในตำราท่านบอกไว้ชัดเจน นั่นเห็นไหมเป็นภัยไหม นี่อยู่ในท้องแม่ก็พาให้แม่ตาย ตกออกมาแล้ว วันไหนไปด้วยแล้วแม่ก็จะตายอีก นี่ละตัวตระหนี่ถี่เหนียว

คนคนนี้เกิดมาแต่ก่อนตระหนี่ถี่เหนียวมาก เพราะฉะนั้นโทษของนั้นจึงตามมา ท่านแสดงไว้ ใครจะไปรู้เรื่องราวเหล่านี้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ใครจึงไม่ควรเห็นว่าความตระหนี่ถี่เหนียวนี้จะเป็นมิตรเป็นสหาย เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย เราอย่าเข้าใจ นี้ละตัวเสนียดจัญไร ตัวเป็นพิษเป็นภัย ตัวเกาะกินตับกินปอดเจ้าของ แล้วก็เกาะกินตับกินปอดคนอื่นอีกด้วย คบใครก็ไม่ค่อยได้แหละคนตระหนี่ถี่เหนียว คบใครเขาไม่อยากคบ ไปที่ไหนแตกฮือ ๆ นี่โทษของมันเป็นอย่างนั้น เพราะมีจะเอาแต่เขาท่าเดียวนี่ ท่าที่จะให้เขาไม่มี ความตระหนี่ต้องเป็นอย่างนั้น ความเห็นแก่ตัวมากก็เพราะความตระหนี่เป็นต้นเหตุ ความโลภมาก ทุกสิ่งแง่ใดมุมใดที่ควรจะได้ มันจะพยายามเสาะแสวงหากอบมาโกยมาจนได้ ความตระหนี่ตัวนี้ละตัวสำคัญ

บทเวลาเทของลงไปแล้ว นี่ดูเอาหมู่เจ้าน่ะเป็นเศรษฐีก็มี ข้อยเบิ่งหน้าข้อยก็ฮู้จัก อย่าให้เป็นเศรษฐีขี้ถี่เด๊ ให้เป็นเศรษฐีสมบัติเงินทอง เศรษฐีทั้งบุญทั้งกุศลด้วย อย่าให้เป็นเศรษฐีตระหนี่นะ ถ้ามีเงินแล้วความตระหนี่ถี่เหนียวเข้าไปจับเกาะอยู่นั้นแกะไม่ออก นั่นละเศรษฐีตระหนี่ มันจะพาให้จมนะ...สอนเขา เราเอาธรรมพระพุทธเจ้าสอน เราดำเนินนี้ก็ดำเนินตามธรรมพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามเป็นนักเสียสละเบอร์หนึ่ง ๆ ทั้งนั้น กว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตวโลกนี้ พระองค์แทบเป็นแทบตายมาด้วยการทำความดีอย่างนี้ แทบเป็นแทบตายอะไร กิเลสมันหวง ธรรมท่านไม่หวง สบายมากธรรม แต่กิเลสมันไม่ให้สบาย จะทำทานความตระหนี่ถี่เหนียวเข้าไปเกาะ ดึงไว้เสียมันไม่ยอมให้ออก เงินบาทหนึ่งที่จะให้ทานนั้น กับเงินที่มีอยู่ในบ้านในเรือนของเจ้าของมันต่างกันเท่าไร เงินอยู่ในบ้านของเราเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ล้าน ๆ แต่เงินที่จะออกบริจาคเพียงบาทหนึ่งสองบาท มันกลับไปมีราคามากยิ่งกว่าเงินจำนวนที่เก็บไว้ในบ้านเสียอีก

อำนาจของความตระหนี่มันเก่งไหม มันมีในหัวใจใครบ้างมีไหม ไม่มีได้ไง คนมีกิเลสสิ่งเหล่านี้ต้องมี เป็นแต่เพียงว่ามีมากมีน้อยต่างกันเท่านั้น ธรรมะที่สอน ๆ เพื่อให้ชะล้างสิ่งเหล่านี้ที่มันเป็นภัยต่อตัวเอง ไม่เป็นภัยต่อผู้ใดแหละ เป็นภัยต่อตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง บทเวลาตายไปแล้วไปเกิดที่ไหนก็อดอยากขาดแคลน หาที่ไหนก็ไม่ได้กิน จับอะไรก็มีแต่ของเขา ๆ ของเราไม่มี ไม่มีให้จับให้แตะให้ต้อง

คนมีความเสียสละในการทำบุญให้ทานไปไหนก็ไม่อดอยาก หากเป็นอยู่นั้นแหละ อันนี้ไม่มีใครจะพิสูจน์ได้นอกจากท่านผู้สิ้นกิเลสเท่านั้น พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่สงสัย ท่านรู้หมดสิ่งเหล่านี้ นั่นละท่านเหนือเราไหม สิ่งเหล่านี้เราไม่รู้ ถ้าคนรู้ใครจะไปเห็นว่าความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นมิตรพึ่งเป็นพึ่งตาย ต้องเห็นว่ามันเป็นภัยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เห็นสิ่งเหล่านี้ คือความตระหนี่นี้เป็นภัยเต็มหัวอกเชียว ท่านจึงชำระท่านจึงตำหนิตลอดมา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ตำหนิความตระหนี่ทั้งนั้น

ความตระหนี่นี้มันทำลายสัตวโลกมามากต่อมาก ไม่ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล สัตว์มันก็ตระหนี่เก่งเหมือนกันอย่าว่าแต่คน เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจ แตกแขนงออกมาเป็นสัตว์นั้นสัตว์นี้ กิเลสมันก็อยู่ภายในจิตใจใจมันต้องแสดงออกตามนิสัยของมัน นิสัยเป็นผู้ชอบเสียสละชอบให้ทานแม้จะไปเกิดเป็นสัตว์ก็ยังมีนิสัยอย่างนั้นอยู่ คนที่นิสัยไม่ดีแล้วไปเกิดเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ที่ไม่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเราจึงดูว่าสัตว์อยู่ด้วยกันก็ไม่เหมือนกัน เหมือนกับมนุษย์เรานี่

มนุษย์เราอยู่ด้วยกันมากน้อยเพียงไร จริตนิสัยจะเหมือนกันไม่ได้ ไม่เหมือน นั่นละเป็นสมบัติของตัวเองแต่ละคน ๆ นั่นแหละ มีอยู่ในตัวเอง แม้จะเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันตามแบบพิมพ์เดียวกัน พอตกออกมาแล้ว แกนมันเป็นนิสัยของตัวเอง ๆ ไม่ได้ออกมาจากพ่อจากแม่ แกนนิสัยนั่นแหละหลัก ลูกคนนั้นดีอย่างนั้น ลูกคนนี้ไม่ดีอย่างนี้ มันหากมี นี่เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอน เราไม่ได้สอนเพื่อยกตนข่มท่าน ธรรมที่เราทำ ๆ มาแบบทุกวันนี้ก็ทำตามแบบพระพุทธเจ้านั่นเอง ไม่เอาแบบไหนมาใช้ แบบกิเลสเอามาใช้มันใช้เราเอาเสียพอแล้ว ว่าเอากิเลสมาใช้...ไม่ได้ใช้มันนะ มีแต่มันใช้เรานั่นแหละ ต้องเอาแบบธรรมมาชโลมหัวใจ

เรื่องกิเลสไม่ว่าชนิดใดมันเป็นภัยทั้งนั้น ภัยมากภัยน้อยตามส่วนของมันที่มีอยู่ นอกจากไม่มีเสียเลยก็ไม่มีภัย อย่างจิตใจพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน หมดแล้วหมดภัยไม่มี ตั้งแต่วันตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น ขาดสะบั้นไปหมดแล้วไม่มีอะไรกวนใจ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา อันนี้เป็นสมมุติเหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไป เขาเจ็บไข้ได้เราก็เจ็บไข้ได้ เขาป่วยได้เราก็ป่วยได้ เขาตายได้เราก็ตายได้ มันเป็นสภาพเหมือนกัน อันนี้ไม่แปลกต่างกัน แต่ใจนั่นแปลกต่าง ใจท่านตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว คือวันสังหารกิเลสให้ม้วนเสื่อลงไปไม่มีเหลือแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย ความทุกข์ทางใจของพระอรหันต์ท่าน ท่านจึงไม่มี เพราะสาเหตุให้เกิดทุกข์ไม่มีจะเอาอะไรมาเป็นทุกข์ สาเหตุคือกิเลสก็สังหารมันแล้ว

เพราะฉะนั้นเราเป็นลูกชาวพุทธ จงจำให้ดีนะที่สอนตรงไหน ๆ หลวงตาบัวตายแล้วไม่ค่อยจะมีใครสอนอย่างนี้นะ อันนี้เราก็ไม่โอ้ไม่อวด เราก็ฟังครูบาอาจารย์หรือใครต่อใครที่เทศน์มาทั่วประเทศไทยเหมือนกันนี่นะ เรานี่เป็นนักท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ไปหมดเลย องค์ไหนเทศน์ว่ายังไง ๆ มันก็จำได้ละซี เทศน์แบบนี้องค์ไหนไม่ค่อยได้เทศน์แหละ นอกจากหลวงตาบัวผีบ้าเท่านั้นเทศน์ไปได้ทุกอย่าง หลวงตานี้เทศน์ไปได้ทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าธรรมอยู่ตรงไหนจะไปตรงนั้น ไม่ไปที่อื่นแหละ จะเข้าหาธรรม ๆ ธรรมพาให้ขาด..ขาดเลย

ทีนี้ผู้ที่จะเป็นอย่างนั้นไม่ว่าท่านว่าเรามันก็ไม่อยากเป็นน่ะซี เทศน์พอว่าจะมีตำหนิใครบ้างก็อื้ออ้า ๆ พูดไม่ออก พูดไม่เป็นเสียง ไม่เป็นเสียงผู้เสียงคน มันเป็นเสียงบ้าไปหมดแล้ว พูดให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยซี กิเลสมันทำเรามันทำเต็มที่เต็มฐาน เราจะฟาดหัวกิเลสบ้างทำไม่ได้เหรอ กิเลสอยู่ตรงไหนเป็นภัยตรงไหน ขุดเข้าไปตรงนั้นซิ กิเลสพาเข้าถ้ำ ๆ ฟาดมันกิเลส กิเลสพาเข้ารูขุดรูลงไป กิเลสพาเหาะเหินเดินฟ้าขึ้นฟ้าไปจะว่าไง มันไปไหนตามมันจนฆ่ามันได้ นั่นถึงจะเรียกว่าตามฆ่ากิเลสแก้กิเลสซี ไอ้นี่กิเลสไปทางนี้เราเปิดไปทางนี้ กิเลสเข้ารูเราเปิดขึ้นโน่นต้นไม้ มันก็บ้าละซีอย่างนั้น ไอ้นี่กิเลสเป็นอย่างนั้นจะให้พูดว่าอย่างนั้น กิเลสเป็นอย่างนี้จะให้พูดว่าอย่างนี้ มันพูดไม่ได้ มันไม่ใช่ตามกิเลสไม่ใช่สอนเพื่อให้ชำระล้างกิเลส กิเลสอยู่ตรงไหนสกปรกตรงนี้ สาดน้ำลงไปตรงนี้ น้ำคือธรรมสาดลงไปก็สะอาด ๆ

เงินบาทเดียวกำแล้วกำเล่า แต่ก่อนเป็นเงินเหรียญ เหรียญบาท เหรียญ ๕๐ สตางค์ กำแล้วกำเล่าจนเหงื่อแตก เงินนั่นแต่ก่อนเขาเรียกเป็นยางปลี ปลีกล้วยมันสีดำ ๆ มันเป็นยาง เวลาเอาเงินเก็บไว้นาน ๆ ไม่จ่ายเลยมันก็กลายเป็นยางปลี เขาเรียกยางปลีไป ดำปี๋ ทีนี้เวลาเอาไปทานนี้ กำไปกำมาจะทานแต่ละครั้ง ๆ มันเสียดาย กำไว้พอรา ๆ มือหน่อยจะให้ทาน ความตระหนี่มันตีปุ๊บ ทางนี้ก็กำอีก กำแล้วกำเล่า ๆ สุดท้ายเงินนี้ โอ๋ย เลื่อมพั่บ ๆ หมดสนิมไม่มีเหลือเลย เหงื่อมือ ๆ กำแล้วกำเล่ามันไม่ออก สุดท้ายเลยไม่ออก กำไว้อย่างนั้นเลย ตายไปแล้วคงจะกำไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ คนประเภทนี้ มันกำไม่ถอยพวกนี้ ตายแล้วยังตระหนี่อีก ไปภพหน้าอีกจมอีก

อันนี้ก็มีในธรรมบทเรื่องพราหมณ์จูเฬกสาฏก เป็นฤดูหนาว พราหมณ์สองคนผัวเมียมีผ้าผืนหนึ่ง ครั้นเวลาเมียห่มแล้วผัวก็ไม่ได้ห่ม เวลาผัวห่มแล้วเมียก็ไม่ได้ห่ม พอดีไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า เกิดศรัทธาความเลื่อมใสว่าจะเอาผ้านี้สละไปทาน แต่คิดห่วงยายแก่นี่ ขยับว่าจะทานทีไรคิดห่วงยายแก่นี่ ปฐมยามผ่านไป มัชฌิมยามก็ยังทานไม่ได้ทานผ้าผืนนั้น จนกระทั่งปัจฉิมยาม ยามสุดท้ายก็เลยเป็นก็เป็นตายก็ตาย เราให้ทานนี้ยายคนนี้ก็จะได้บุญกับเราจะเป็นอะไรไป เอ้า ทาน

พระพุทธเจ้าเลยทรงอุทาน โอ้โห นี่ถ้าหากว่าทานตั้งแต่เริ่มแรก ตั้งแต่จิตเริ่มแรกคิดนั้น แกจะได้เป็นมหาเศรษฐีอย่างนั้น ๆ ทีนี้มาขั้นที่ ๒ แกลดลงมาเป็นเศรษฐี ครั้งที่ ๓ นี้แกไม่ได้เป็นเศรษฐีแหละ เป็นประเภทนั้น ๓ ประเภท ครั้งที่ ๓ ถึงได้สำเร็จ พอสำเร็จแล้วก็ออกอุทาน พราหมณ์คนนั้นว่า ชิตํ เม ชิตํ เม เราชนะมันแล้ว ๆ ไปไหนก็บอก ชิตํ เม ชิตํ เม เราชนะมันแล้ว ๆ คนชาวบ้าน เขาเลยหาว่าพราหมณ์แก่คนนั้นเป็นบ้าละที่นี่ ความจริงพวกนั้นเป็นบ้า เป็นยังไง อีตาคนนี้แต่ก่อนก็ไม่เคยได้ยินพูดว่า ชิตํ เม ชิตํ เม ทีนี้วันนี้ออกมาจากวัด ทำไมถึงเดินไปไหนถึงมีแต่ ชิตํ เม ชิตํ เม ผู้เฒ่านี่ไม่ใช่เป็นบ้าแล้วหรือ เขาก็ไปโฆษณากัน ผู้เฒ่าเห็นจะเป็นบ้าแล้ว

เรื่องราวกระเทือนถึงพระพุทธเจ้าก็เรียกพราหมณ์นั้นมาถาม ไหนพราหมณ์เขาว่าแกเป็นบ้า แกไปไหนว่า ชิตํ เม ชิตํ เม นั้นเป็นความจริงแค่ไหนว่าไปซิ อ๋อ แต่ก่อนข้าพระองค์มีความตระหนี่ถี่เหนียวมาก ไม่ว่าแต่ผ้าสาฎกผืนที่ให้ทานไปแล้วนี้เลย อื่น ๆ ข้าพระองค์ก็ตระหนี่ถี่เหนียว ทีนี้พอได้ถวายทานผ้าผืนนี้แก่พระองค์แล้ว กลับไปจิตมันโล่งไปหมดเลย ความตระหนี่ถี่เหนียวไม่มาปรากฏในหัวใจนี้เลย มันโล่งไปหมดเลย ก็เลยว่า ชิตํ เม ชิตํ เม เราชนะความตระหนี่นี้แล้ว ๆ ว่างั้น เอ้อ ถูกต้องพราหมณ์ พวกผีบ้าช่างมันเถอะ ปากไม่ได้ครอบมันก็ว่าไปตามภาษาบ้านั่นแหละ

จบแล้วนิทานนี้ ยกนิทานมาประกอบ มาจากชาดกนะนี่ ที่ว่านี่มีมาจากชาดก เราก็ให้ ชิตํ เม ชิตํ เม บ้างซิจะว่ายังไง เราชนะแล้ว ๆ ความตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนมีแต่ความตระหนี่ชนะเรา ๆ มันใช้ไม่ได้นะ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความตระหนี่ชนะเรา ไปโลกหน้าก็มีแต่ความทุกข์ชนะเรา ความสุขไม่ได้ชนะความทุกข์เลยใช้ไม่ได้ ความสุขจะชนะความทุกข์นี้ต้องอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลความดีนี้ จะชนะความชั่วได้

ถ้ามีแต่ความชั่วไปโลกไหนก็ไปเถอะ ย้ายจากนี้ไปที่นั่น ย้ายจากนั้นไปที่นั่น มันก็เหมือนกันกับย้ายนักโทษในเรือนจำ ออกจากเรือนจำนี้ไปไว้เรือนจำนั้น ออกจากเรือนจำนั้นไปไว้เรือนจำนั้น แล้วใครจะมาอวดว่าเรือนจำนั้นดี เรือนจำนี้น่าอยู่อย่างนั้นอย่างนี้มีไหมพิจารณาซี ย้ายนักโทษไปไว้เรือนจำต่าง ๆ ย้ายจากเรือนจำนี้ก็ไปอยู่เรือนจำนั้น ย้ายจากเรือนจำนั้นไปอยู่เรือนจำนั้น แล้วพวกนักโทษนั้นเขาเอาเรือนจำนั้น ๆ มาอวดกันไหม เคยเห็นไหมว่าข้าไปเรือนจำนั้นดีนะ น่าอยู่นะ มีไหม ไป พวกแกไปหาฉกหาลักหาปล้นหาสะดมมาก ๆ นะ จะได้ไปอยู่เรือนจำนั้นดีมากนะ มีไหม นั่นละมนุษย์เราก็เป็นอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าผู้ที่พ้นจากโลกแล้วเห็นพวกเราทั้งหลายนี่เป็นเหมือนนักโทษในเรือนจำ จำให้ดี พระพุทธเจ้าพระสาวกอรหัตอรหันต์ท่าน ผู้ที่พ้นมหันตทุกข์มหันตภัย ที่เกิดจากกิเลสนี้ไปโดยเด็ดขาดแล้วนั้น มองลงมาหาพวกเราทั้งหลายซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสควบคุมอยู่นี่ นักโทษของกิเลสนี่ มองมาที่ไหน ๆ ก็เป็นเหมือนนักโทษในเรือนจำ ไปเมืองนั้นมาอยู่เมืองไทย ออกจากเมืองไทยไปเมืองจีนไปเมืองฝรั่ง ไปสหรัฐอเมริกา ไปชิคาโกคาเก้ ไปนั้นไปนี้เอามาอวดกัน มาจากเมืองนั้นมาจากเมืองนี้

ประสาเรือนจำเอามาเอามาอวดทำไมอยากว่าอย่างนั้น มันจะเอาเรือนจำมาอวด ย้ายจากนี้ไปอยู่ที่นั่น มันก็เหมือนกับนักโทษย้ายที่อยู่ไปอยู่เรือนจำนั้นเรือนจำนี้นั่นเองผิดแปลกกันอะไร คนมีกิเลสไปที่ไหนก็อยู่ในห้องขัง พระพุทธเจ้าพระสาวกอรหันต์ท่านมองมาเห็นพวกเราเห็นอย่างนั้น เว้าแล้วมันโมโห มื้อไหนกวนแต่โมโหข้อยก็จะหยุดละ ไม่ได้ดอกเราจะได้ฆ่าคนแท้ ๆ บ่ได้หยุด ต้องหยุดไม่อยากฆ่าคน เดี๋ยวมันจะได้ย้ายไปอยู่เรือนจำนั้นเรือนจำนี้อีกนะ ฆ่าคนบ่ดีดอก

เอาละให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก