เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
อำนาจของจิตที่บริสุทธิ์
มาอยู่เรื่อยๆ ทางโน้นมาทางนี้มา หนังสือเราก็แจกตลอด พิมพ์มามากๆ นี้แจกเอาเสียจน...ก็ตั้งใจแจก นั่นที่เขาพูดมันจริงไหมล่ะ หนึ่ง มาขอเรา...โรงพิมพ์ต่างๆ สอง มาซื้อเรา ซื้อเล่มละเป็นแสนๆ บาทนี่ ทำไมเขามาซื้อเรา เขาซื้อกรรมสิทธิ์เรา เอาไปขายจำหน่ายเพื่อเอากำไรเงินล้านๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงกล้าซื้อเล่มละเป็นแสนๆ เพราะซื้อกรรมสิทธิ์แล้วใครจะมาแตะต้องเขาไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เป็นของเขาสมบูรณ์แล้วเขาจะขายเท่าไรก็ได้ ขายตลอดเวลา เราก็พูดตรง ๆ อย่างนักกีฬาว่า โอ๊ย อย่าว่าแต่เล่มละเป็นแสนๆ เลย เล่มละเป็นล้านๆ เราก็เอาไม่ได้เราบอก เพราะเราไม่เห็นค่าของเงินล้านยิ่งกว่าหัวใจคน เราตอบเท่านั้นละไม่มาก และไม่ให้จริงๆ ตั้งแต่เล่มแรกมาเลยแหละ เราไม่เคยขาย พิมพ์แจกทาน เขาก็กลัวว่ามันจะไม่แพร่หลายง่ายๆ (เท่า)การจำหน่าย
อ้าว ก็เปิดทางให้แล้วนี่ เพื่อจะให้แจกทานกันพิมพ์เปิดเผย ให้พิมพ์กันได้ทั่วประเทศไทย ไม่ต้องพิมพ์เฉพาะโรงพิมพ์โรงเดียว เหมือนสงวนลิขสิทธิ์ไปแล้วนี่นา ทีนี้มันกว้างไหมล่ะ เอามาแข่งซิ โรงพิมพ์ที่เขาพิมพ์จำหน่ายกับของเราที่พิมพ์แจกทั่วประเทศไทยนี้ เอาดูซิน่ะ นั่น ถ้าวันไหนเช่นวันสำคัญเอาไปกองไว้นั่น เอาโต๊ะวางยาว กองพะเนินเทินทึก ข้างบนนี้ก็มี ทางโน้นก็มีทางนี้ก็มี นั่นเป็นยังไงแจกวันหนึ่งขนาดไหน เอามาแข่งซิที่ว่าไม่กว้างขวางง่ายน่ะ มันก็ไม่เข้าความจริงละซิ ของเรานี้บางทีแจกทั้งวันก็มี นั่น น้อย ๆ เมื่อไร
พิมพ์นี้เป็นแสนๆ พิมพ์แต่ละครั้งเป็นแสนๆ เล่ม แล้วครู่เดียวพิมพ์ๆ เวลาเราจะสั่งให้เขาพิมพ์เราต้องคำนึงคำนวณถึงโกดังเก็บหนังสือเรา โกดังนี้เก็บหนังสือได้มากเท่าไร เวลานี้ว่างอยู่ขนาดไหน เราต้องบอกแบบนี้ เอามาก็พอดีปึ๊บ แน่ะ คือเราสั่งให้พอเหมาะๆ สั่งให้เขาพิมพ์มากเท่าไรเขาก็พิมพ์เพราะเขาพร้อมแล้ว เขาบอกเขาพร้อมแล้วว่างั้นเลย ทั้งสองก๊กนั่นน่ะ มีแต่ก๊กใหญ่ๆ ด้วยนะ แล้วแต่จะสั่งไปทางโรงพิมพ์ไหน สั่งไปก๊กไหน สั่งเท่าไรก็พิมพ์มาทันทีเลยเท่านั้นๆ เพราะเขาเปิดไว้หมดแล้ว จะเอาเท่าไรให้บอกมาเลยว่างั้น ทางโน้นพร้อมแล้ว พร้อมอยู่แล้ว
ทีนี้เราก็คำนึงถึงโกดัง ถ้าเอามากกว่านั้นเราก็ไม่มีที่เก็บ เอามาให้พอดี หมดแล้วก็สั่งให้พิมพ์ใหม่ๆ แจกอยู่นั้นตลอด ตั้งแต่ต้นทางวัดพิมพ์แจก ทางวัดนี่พิมพ์แจกทาน ครั้นต่อมาก็คนนั้นมีศรัทธาคนนี้มีศรัทธา ก็เลยมา ๒ ก๊กใหญ่มีศรัทธา เลยปล่อยตั้งแต่นั้นเลย ใครอยากพิมพ์ก็รวมกับทางโน้น ๆ ก็แล้วกัน
หนังสือของเรารู้สึกว่ากว้างขวางมากนะ ไปกว้างขวางมากเชียว นอกจากทั่วประเทศไทยแล้วยังออกเมืองนอกอีกเยอะ เทปก็เหมือนกัน เทปก็ขอมาไม่หยุด นอกจากมาแจกอย่างนี้แล้วยังตอนเช้าวันหนึ่งๆ นี่กองพะเนินเทินทึกเป็นหอบๆ ส่งไปตามที่ต่างๆ ที่เขาขอมา แต่เทปนี้มีจำกัดอยู่บ้าง สมควรจะส่งให้ไม่ให้ มากน้อยเพียงใดมีจำกัดมากกว่าหนังสือ หนังสือก็ยังมีที่พิจารณา ถ้าสมควรก็ให้ไม่งั้นก็ไม่ให้ ขอมาสุ่มสี่สุ่มห้าขอมาแบบโก้ๆ งี้ก็ไม่ให้ เอาไปอะไรแบบโก้ๆ แบบสนใจอ่านจริงๆ แล้วถึงจะให้ ไม่ใช่ว่าให้ไปสุ่มสี่สุ่มห้า
เราไม่ให้เพื่อโฆษณานี่ เราให้เพื่อหัวใจคน ควรให้เราก็ให้ไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ เพราะเราไม่ได้หวังอะไรจากใคร ใครจะโฆษณาหลวงตาบัวนี่วิเศษนะ นู่นเลยจรวดดาวเทียม ก็ว่าไปซีลมปากเฉยๆ หลวงตาบัวก็นั่งต่อม่ออยู่นี่ เห็นไหมนี่ มันก็คนเก่านั่นแหละ เขาว่าดี ดีก็ดี ดีแต่ลมปากเจ้าของไม่ดีเป็นท่าอะไร แน่ะ มันก็เท่านั้น
เพราะฉะนั้นจึงไม่สนใจกับลมปากใคร ใครจะว่าอะไรก็ตาม..เฉย แต่ไม่ปล่อยเหตุผลเท่านั้นแหละ เหตุผลนี้เป็นหลักใจเลย สมควรยังไงไม่สมควรยังไงปฏิบัติตามนั้นๆ
เราก็ไม่ได้คิด ตามที่พูดนั่นแหละที่ว่าวาสนาอาภัพน่ะ เพราะเราไม่คิดจริง ๆ นะเกี่ยวกับผู้คนญาติโยมใครต่อใคร บริษัทบริวาร เราไม่เคยคิด เวลาออกปฏิบัติเราก็มุ่งแต่ความพ้นทุกข์อย่างเดียว อันนี้จริงเต็มหัวใจว่างั้นเลย เพราะเป็นที่แน่ใจแล้วว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ ยังไงเราจะเอาให้ได้ ก็พอดีเราไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไอ้ที่มีความสงสัยต่างๆ เพียงไรไปถึงนั้นก็หมดเลย ท่านเปิดออกจากหัวอกท่านให้เลยเชียว เหมือนกับว่านี่น่ะๆ เรื่องของเราเหมือนกับท่านจับเรดาร์ไว้หมดเลย ประมวลลงมาทีเดียวแล้วก็หายสงสัย ไม่มีสงสัยแล้วทีนี้เรื่องมรรคผลนิพพาน ทีนี้ก็ย้อนมาถามเจ้าของละซี จะจริงไหมที่นี่ โอ๊ย จริงซี ก็หาของจริงอยู่แล้ว..น่าน มันก็รับกันละซี นั่นแลตั้งแต่ขณะนั้นมาเรื่องความเพียรจึงว่าหนักมาก
แต่ก่อนยังมีสงสัยว่าทำลงไปนี้ ทุ่มเทกำลังใจเต็มความสามารถของเรา เต็มสติกำลัง แต่ว่ามรรคผลนิพพานไม่ได้เป็นผลเครื่องตอบแทน เพราะว่ามรรคผลนิพพานไม่มี อันนี้ก็จะเสียประโยชน์เสียเวล่ำเวลาและกำลังใจไปเปล่าๆ มันทำให้คิด กำลังของมันก็มีไม่มากไม่รุนแรง พอไปถึงหลวงปู่มั่นเท่านั้นแหละเหมือนว่าชี้ขาดลงเลย นี่น่ะเห็นไหมๆ อยู่งั้น..มรรคผลนิพพานน่ะ มันก็ลงล่ะซิ พอลงก็ย้อนถามเจ้าของว่า เอ้าที่นี่เจ้าของจะจริงไหม มาพบของจริงแล้ว โอ๋ยจริงซิ ก็หาของจริงอยู่แล้ว
ตั้งแต่นั้นละที่นี่นะ ทุกข์มากที่สุดตั้งแต่นั้น...ทุ่มเลยเชียว ไม่ได้มองเมฆมองหมอกเหมือนว่าหูมีตามีไม่ได้ดูไม่ได้ฟังอะไรทั้งนั้น เป็นคนหูหนวกตาบอด พุ่ง ๆ อยู่กับธรรมอย่างเดียว จึงไม่ได้สนใจกับว่าบริษัทบริวารจะมีมากน้อย ลูกศิษย์ลูกหาพระเณรอะไรจะมีไม่มีไม่สนใจ สนใจแต่ความพ้นทุกข์อย่างเดียว ยังไงก็จะเอาให้พ้น ไม่พ้นก็ตายเท่านั้นแหละ มีตายกับพ้น มีสองอย่าง ทีนี้ไม่รุนแรงได้ไงเมื่อความมุ่งมั่นถึงขนาดนั้นแล้ว ต้องรุนแรง
เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดซิว่า กำลังใจนี่สำคัญมากหนา ถ้าลงกำลังใจได้เข้าถึง..เข้าจุดไหนแล้วขาดสะบั้นเลยหนา กำลังใจนี่สำคัญมาก
จากนั้นมาก็มีเวลาเมื่อไร จิตดวงนี้มันเหมือนกับนักโทษถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลา คือไม่ให้ส่วนเสียหายมาแตะต้อง มีแต่การเจริญอย่างเดียว บำรุงๆ ตลอด มันก็ทุกข์ละซี การรักษาอะไรจะไปยากกว่าใจไม่มีในโลกนี้ว่างั้นเลย รักษาสมบัติสิ่งของบริวารอะไรนี้ก็เป็นของหยาบ ๆ มองเห็นอยู่ อันนี้มองไม่เห็น รู้ด้วยใจ ใจไม่มีสติก็ไม่รู้ ต้องตั้งสติ การตั้งสติเป็นของเล่นเมื่อไร ทั้งวันทั้งคืน พอตื่นพับเอาแล้ว เอากันแล้วจนกระทั่งหลับ ทุกข์ขนาดไหน
แล้วเรื่องอารมณ์ที่เกิดจากใจๆ อารมณ์ดีอารมณ์ชั่ว มันมีกิเลสมันก็มีอารมณ์ชั่ว มันหนาเท่าไรกิเลส อารมณ์ก็จะยิ่งหนาอารมณ์ก็จะยิ่งชั่วยิ่งหนัก ทั้งฟัดกัน มันจึงหนักละซี ไม่ลืมหูลืมตา บางทีกิเลสมันโผล่ขึ้นมา ไหนว่าจะหามรรคผลนิพพานอะไรกำลังจะตายอยู่แล้วทีนี้รู้ไหม มรรคผลนิพพานยังไม่ได้เจ้าของกำลังจะตายอยู่นี่ ตายก็ตาย โลกนี้โลกเกิดตาย นั่นต้องแก้กันอย่างนี้เห็นไหมล่ะ นี่มันหยอกเมื่อไร ถ้าแก้ไม่ตกกำลังอ่อนทันทีนะ อำนาจของกิเลสเหนือกว่าแล้ว ถ้าแก้ไม่ตกแล้วมันก็ไม่พ้น
นี่แก้แต่ละครั้งผ่านปึ๊งเลย ตายก็ตายซิ เกิดตายมันมีอยู่ทั่วโลกนี่นา มากลัวตายอะไรเฉพาะเราคนเดียวนี่ แน่ะมันตกแล้วใช่ไหมล่ะ นี่จะเอาธรรมเข้าสู่ใจแล้วจะตายก็ตายซิ เขาเอาความชั่วเผาเข้าสู่ใจเขายังไม่กลัวความตายนี่ เราจะเอาธรรมเข้าสู่ใจกลัวตายอะไร นั่น มันก็แก้กันในตัว ๆ เรียกว่ากิเลสกับธรรมฟัดกันอย่างนั้นละ ทางนั้นโผล่ขึ้นมาพับทางนี้ต่อยปุ๊บ ทางนั้นโผล่มาปุ๊บสวนหมัดปั๊บๆๆ อย่างนั้นจึงเรียกว่าแก้ปัญหาเจ้าของ
อย่างที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านว่า ฟังธรรมอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ได้มีเวลาหยุดเลย นั่น เราเข้าใจทันทีเลยนะ พอมาโดนเจ้าของเข้าก็รู้เอง อ๋อ อย่างนี้เองท่านว่าฟังธรรมทั้งกลางวันกลางคืน ก็กิเลสกับธรรมฟัดกันภายในหัวใจนี่ ภายนอกนั้นมันก็อยู่ของเขา แต่ตัวเกิดเหตุมันเกิดอยู่กับหัวใจ เพราะตัวกิเลสมันอยู่ที่นี่ มันสร้างอยู่ในนี้ ธรรมก็ระงับเหตุละซีมันถึงทุกข์มาก ทุกข์จนไม่ลืมหูลืมตา
แต่สำคัญที่ความมุ่งมั่นนะ มันไม่ได้มาสนใจกับความทุกข์นี่ ความมุ่งมั่นที่จะเอามันดึง ดึงตลอด ๆ ทุกข์ขนาดไหนก็ไม่สนใจ จะเอาให้พ้น บืนว่างั้นเถอะน่ะ กำลังจะข้ามฝั่งอยู่แล้วนี่ กำลังจะข้ามฝั่งอยู่แล้วก็บืน เป็นน้ำก็ว่ายน้ำ คว่ำไม่ได้เอาทางหงายซี ไปจนถึง จึงเป็นทุกข์มาก
อันนี้มันเกิดทีหลัง พวกลูกศิษย์ลูกหาบริษัทบริวารเกิดทีหลัง เกิดที่เราไม่ได้คิดนะ เวลาฟัดกันอยู่นี้เรียกว่าไม่ตายก็รู้ แต่มันไม่คิดว่าเรื่องตาย มีแต่จะเอาให้รู้เอาให้พ้นๆๆ อยู่งั้นตลอด มันก็รุนแรงซิกำลังใจ มันผึงๆ ครั้นเวลาผ่านวาระนั้นมาแล้วมันก็ไม่คิดเสีย กับใครต่อใคร คิดอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ พอถึงวันก็พอแล้ว
แต่มันไม่เป็นยังงั้นซิ พระเณรนี่เกาะพรึบเป็นอันดับแรกก่อนแล้วนะ พอพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพเกาะพรึบเลย โถ ตาย ยังไงกันนี่ เรากำลังหนักเสียด้วยตอนนั้น หนักภายใน จึงได้หลบ-หนี-หลีก หลบตะพึดตะพือละตอนนั้น เกาะเท่าไรก็สลัด เกาะเท่าไรสลัดเลย มันเกาะไม่ถอยนี่ หลบโน้นหลีกนี้ ๆ ยิ่งท่านสิงห์ทองนี่ยิ่งเกาะใหญ่ ตามเลยเทียว ได้ยินว่าเราไปทางอำเภอบ้านผือเข้าในเขาแล้วตามเข้าไปๆ ได้ยินแต่ข่าวท่านไปนี้ๆ ไปโน้นๆ
พอพูดถึงเรื่องนี้ก็ไปโดนเอาตรงที่ว่าท่านสิงห์ทองไปพักอยู่ที่นั่น เขาก็มาขอฟังเทศน์ ท่านสิงห์ทองก็บอก โอ๊ย อาตมาเทศน์ไม่เป็น กำลังเสาะแสวงหาครูอาจารย์อยู่นี้...อาจารย์มหาบัว ท่านมาพักอยู่ที่นี่ท่านไปทางไหน ท่านไปทางโน้น ๆ เขาบอก ท่านอาจารย์มหาบัวก็ว่าเทศน์ไม่เป็น ท่านไม่ยุ่งกับใครนะ ใครมาท่านไล่หนีหมดเลย ท่านบอกท่านเทศน์ไม่เป็น ๆ บทเวลาวันที่ท่านจะไปพวกญาติโยมมามากต่อมาก ท่านทนไม่ไหวท่านก็เทศน์ให้ฟัง โอ้โห บทเวลาเทศน์วัวคู่ร้อยสู้ไม่ได้เลย
แต่ก่อนวัวคู่หนึ่ง ๑๐๐ บาทแล้วเรียกว่าเยี่ยมว่างั้นเถอะนะ มันไม่เคยมีแหละวัวคู่หนึ่งที่ซื้อถึง ๑๐๐ บาทนะ อย่างมากก็หกสิบเจ็ดสิบ แปดสิบบาทเท่านั้นพอ อันนี้วัวคู่ร้อยสู้ไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกัน
โอ๊ย ไม่ใช่ อาตมาเทศน์ไม่เป็น นั่นแหละจะเป็นแบบอาจารย์มหาบัวแหละ เทศน์ไม่เป็น เวลาเทศน์แล้ววัวคู่ร้อยสู้ไม่ได้เลย ไหลไปเลยว่างั้น
นี่ละตามเราไป สุดท้ายมาไม่ทัน จำพรรษาที่วัด อาจารย์บัวพา รึไง ออกพรรษาแล้วยังตามเราไปโน้น..ห้วยทราย เราไปแบบหลบตลอดเพราะตอนนั้นตอนยุ่งมาก มีมาขนาดไหนหลบ ขโมยหลบตะพึดตะพือนะ เหมือนบ้า ยังบอกถ้าหากว่าเรื่องขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อนเราเป็นบาปเป็นกรรมตกนรกแล้ว โอ๊ย ใต้ก้นเทวทัตนั่น ขโมยหนีตลอดนี่ ใครรุมไปหาไม่ได้ ปั๊บ หนีกลางคืนนะ กลางคืนเงียบ ๆ นี่เตรียมของเสร็จแล้วเปิดหนีเลยเวลาหมู่เพื่อนนอนหลับหรือภาวนาก็ตาม ไปตอนกลางคืน..เงียบ หายเงียบไปเลยโผล่โน้น
กลางคืนบุกป่าไปก็ไป ก็มันไม่ได้มีคำว่ากล้าว่ากลัวนี่ มีแต่ใจกับธรรมอยู่ด้วยกันเท่านั้น มุ่งเท่านั้น อยู่คนเดียวเราดีดผึงๆ อยู่กับหมู่กับเพื่อนมันเหมือนกับเรือพ่วงอะไรทำนองนั้น รถพ่วงเรือพ่วงนั่นแหละ มันไม่สะดวกรู้กันอยู่ในหัวใจนี่ เพราะงั้นถึงดีดออกๆ อยู่เรื่อยซิ จนกระทั่งจะเข้าพรรษาหมู่เพื่อนถึงมาเกาะติดแหละ เข้าพรรษาหนองผือ ตอนนี้เกาะติด แต่เกาะ..เกาะพรึบมาตั้งแต่วันท่านมรณภาพ หากไม่ติดตอนนั้น เกาะเท่าไรขโมยเท่านั้น ขโมยๆ หลบอยู่เรื่อย เข้าป่าเข้าเขาเข้านี้ออกโน้นๆ มันก็ตามไม่ทันละซิ
จวนๆ จะเข้าพรรษาถึงได้มา ย้อนเข้ามาจำพรรษาหนองผือ หมู่เพื่อนทราบก็พรึบเลยเทียว ดูได้ร่วมสามสิบปีมั้งจำพรรษาที่หนองผือ จากนั้นมาก็เกาะพึ่บๆ เรื่อยมาแล้วก็ไม่ค่อยสลัดแหละ ไม่ค่อยสลัดมากอะไรนัก พอถึงระยะเข้าพรรษามาแล้ว แต่ตอนก่อนหน้าละซิ เราก็จะตายเฉพาะเราอยู่แล้ว พระก็ยิ่งมาพันเรานี่ก็..จมน้ำตายนี่นา
นี่เราพูดถึงเรื่องกำลังใจและพูดถึงเรื่องเกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ลูกหา เราไม่เคยสนใจกับใครนอกจากธรรมเพื่อความหลุดพ้น ถ้าออกจากนั้นแล้วมันก็อยู่ไปคนเดียวอย่างนี้วันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ลมหายใจหมดไปแล้วก็พอแล้ว หาอะไรอีก แน่ะ มันก็ไปอย่างนั้นเสีย แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นซี ผู้ที่เกาะน่ะมันพึ่บๆ อยู่งั้น ก็อย่างเป็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละเห็นไหมล่ะ เต็มอยู่นี่ละจะว่าไง
ก็...เหล่านี้แหละพวกเกาะติด เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เป็นเณร กลัวแต่เราเท่านั้นละ ท่านสิงห์ทองก็เหมือนกันกลัวอาจารย์มหาบัวองค์เดียว รองพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาแล้วกลัวแต่องค์เดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่มีกลัวใคร ท่านสิงห์ทองยิ่งเป็นพระขี้ดื้อพูดตรงๆ เลย ไม่กลัวใคร กลัวแต่อาจารย์มหาบัวองค์เดียว
พูดถึงเรื่องท่านสิงห์ทอง วันนี้ได้อัฐิของท่านสิงห์ทอง กลายเป็นพระธาตุแล้ว และอัฐิของผู้เฒ่าแม่แก้วก็เป็นแล้วนะ เร็วไหมผู้เฒ่าแม่แก้วที่ห้วยทราย เป็นแล้ว ก็สมควรจะเป็น ดูเหมือนจะผ่านมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๕ คิดดูแล้ว เพราะ ๙๔ เราไปจำพรรษาที่ห้วยทราย ๙๓ จำพรรษาที่หนองผือ พอออกพรรษาแล้วก็หนีเที่ยวกลับไปจำพรรษาที่ห้วยทราย หลวงตาบัวก็รุมตาม หลวงตาบัวหนองแซง จำพรรษาที่นั่น ไปก็ได้ไปสอนผู้เฒ่าแม่แก้ว พรรษานี้สอนลากออกจากสมาธิ พรรษาแรกนี่เพราะแกติดสมาธิ
สมาธิของแกพิสดารมากนะ พอรวมลงไปแล้วจะออกรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าอะไรไม่มีประมาณจนกระทั่งติด ถ้าวันไหนไม่ได้รู้สิ่งเหล่านี้เหมือนว่าวันนั้นทำงานไม่ได้ผลว่างั้น มันติด เจ้าของพูดอย่างเพลินนะ ผู้ฟังฟังอย่างสลดสังเวชซี ติดขนาดนั้น แล้วก็พ่อแม่ครูจารย์ท่านเวลาท่านจะไป ตั้งแต่แกเป็นสาวอยู่โน่น จนเขายกโทษพ่อแม่ครูจารย์มั่น โลกมันเป็นยังงั้นละ เห่าดะไปยังงั้น คือถ้าวันไหนแกภาวนาดีๆ นี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นบิณฑบาต แกก็มาใส่บาตร แกเป็นสาวอยู่ คนเต็มอยู่เป็นแถวนี่มาใส่บาตร ท่านก็พูดกับเฉพาะเด็กคนนี้เท่านั้น วันนี้ออกไปวัดหน่อยนะ คือท่านเห็นเหตุผลแล้วตอนกลางคืน วันนี้คือแกภาวนาดี พอออกไป ไปก็ไม่ได้ไปคนเดียวนี่นะ พวกผู้เฒ่าผู้แก่ไปกันเป็นพวงๆ นี่ ทีนี้พระเณรก็ล้อมเต็มไปหมดพอเห็นเด็กคนนี้ไปนะ เพราะเคยได้ยินธรรมะท่านพูดท่านสอนเด็กคนนี้
ทีนี้เด็กคนนี้มันแปลกประหลาด คือว่ามันรู้อย่างนั้นแหละ ท่านเป็นคนสอน อันนี้ก็สรุปเอาเลยนะ ตอนที่ท่านจะจากไปท่านบอกว่าอย่าภาวนานะต่อไปนี้ ถ้าอยากจะไปว่ายวัฏฏะกับเขาก็ไปว่ายเสีย ท่านว่างั้นนะ เข้าใจไหมว่ายวัฏฏะก็คือมีผัวมีเมียตามโลกตามสงสารความหมายน่ะ อยากไปแหวกไปว่ายวัฏฏะกับเขาก็ไปเสีย คือแต่ก่อนถ้าว่าเป็นผู้ชายก็จะเอาไปบวชเป็นเณรจะเอาไปด้วยท่านว่ายังงั้น แต่นี้เป็นผู้หญิง..ไม่เอา เราไปนี้อย่าภาวนานะ นั่นสำคัญ ให้หยุดอย่าภาวนานะ เราไปนี้แล้วไม่มีใครแก้ แล้วท่านก็ไป
ทีนี้เวลาเราไปที่นั่น แกมาพูดให้ฟังถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราก็สะดุดกึ๊ก เอ๊ะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นห้ามนี่ต้องมีเหตุมีผล แล้วพอแกพูดไป ๆ มันก็ออกตรงที่แกรู้นั้นรู้นี้ อ๋อ ตรงนี้เอง คือตรงนี้มันล่อแหลมนี่ ผู้ภาวนาไม่มีผู้แนะมันเสียได้จริงๆ นี่ มันผาดโผน พอแกพูดมาถึงจุดนี้แล้วเราก็รู้ทันที จากนั้นมาแล้วเราก็เตือนแกสอนแกไม่ให้แกออก.. รวมแล้วให้อยู่ๆ จากนั้นก็จะสอนวิธีต่อไป ทีนี้แกก็ไม่ยอมอยู่ แกเพลินแกว่า ก็มันไม่รู้แล้วก็ไม่เห็นผลอะไร
ผลผีบ้านั่นรึ ลืมตานี้ก็เห็นหมดแล้วนี่ดูอะไรก็ดี จะมาว่าเห็นอะไรอย่างนั้น
มันไม่เหมือนตาใจนะ ยังว่าอีก ยังเถียงอยู่นั่น ตาใจมันเห็นแปลกๆ เห็นเปรตเห็นผีเห็นยักษ์เห็นมาร เห็นเทวบุตรเทวดา มันเห็นหมดนี่ ตานี้ไม่เห็นแกยังว่ายังงั้น แกยังเถียงเราอยู่โน่นแน่ะฟังซิ
ทางนี้ก็เอาเข้าละซี เอ้า ให้อยู่ก็ได้ให้ออกก็ได้ เอาไปปฏิบัติก่อน ๒ ข้อนี้นะ พอรวมลงแล้วให้อยู่ก็ให้อยู่ได้นะ พอปล่อยอันนี้มันออกก็ออกได้ ให้อยู่ก็อยู่ได้ ไม่ให้ออกเลยก็ได้
แกก็คงไม่เต็มใจทำเท่าไรเพราะแกติด ทีนี้หนักเข้า ๆ ก็บังคับเลยซิที่นี่ ว่ามันเข้าไม่ได้ ถ้าเข้าไม่ได้ เอ้า ไม่ให้ออก ให้เข้าถ่ายเดียวบังคับเลย คือ รวมแล้วให้อยู่กับที่เลยไม่ให้ออก คราวนี้เอาถึงเด็ดขาดเทียวนะ บอกห้ามไม่ให้ออกเด็ดขาด ไปสักสี่ห้าวันแกกลับมาอีก เป็นยังไงมันเข้าได้ไหม
มันยังออกอยู่
ขนาบใหญ่เลยคราวนี้เพราะคราวที่เด็ดนี่ ไล่หนีลงจากภูเขาจะว่าไง ปีนั้นเราไปจำพรรษาบนภูเขาให้พระเณรจำอยู่ตีนเขาทางด้านโน้น เราจำพรรษาอยู่บนภูเขากับเณรองค์หนึ่ง ไล่ลงภูเขาละ ส่วนมากเขาไปตอนบ่าย ๔ โมง พอค่ำเขาก็ลงจากภูเขาไปสำนักเขา วันนั้นไล่กันเลย ไล่ก็ร้องไห้เลยเทียว ไป..ตั้งแต่นี้ต่อไปอย่ามาเป็นอันขาดนะ สถานที่นี้ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ละมีแต่คนโง่ คนฉลาดไปตามแถวคนฉลาดอย่ามาหาคนโง่นะ ขนาบใหญ่ ร้องไห้เลย ร้องไห้ก็เฉย น้ำตาแบบนี้เป็นประโยชน์อะไร น้ำตานี้ไม่ใช่น้ำตาเป็นประโยชน์ น้ำตาออกจากความโง่จะตายไปยังไม่รู้ตัว แต่เราไม่ว่า ไล่ไป ขนาบใหญ่เลย จนร้องไห้ลงจากภูเขาเลย ก็จะเอาจริง ๆ คราวนี้ ไม่เอาขนาดนั้นจะไม่ได้
สัก ๔ วันโผล่ขึ้นมาแล้ว มาอะไร
โอ๊ย เดี๋ยวๆ ขอให้พูดเสียก่อน ๆ
พูดอะไรเอ้าว่าซี เราก็ดุเรื่อย
โอ๊ย นิมนต์ญาท่านไปนั่งเสียก่อนจะพูด แกไปกับหมู่เพื่อนห้าหกเจ็ดคน พอไปแกก็เล่าให้ฟัง ถูกละที่นี่ แกบอกว่าแกผิดหวังแล้ว คือหมดหวังไม่มีที่พึ่งแล้ว หวังพึ่งอาจารย์องค์นี้ แต่ถูกขนาบไล่ลงภูเขาแล้วก็จะไปพึ่งใครที่นี่ แล้วก็ย้อนมา ก็ท่านสอนถ้าว่าจะเชื่อท่าน แล้วท่านสอนทำไมไม่เชื่อท่าน นี่อันหนึ่งนะ ก็เชื่อท่านบ้างซิจะเป็นยังไง เชื่อเราก็เชื่อมานานแล้ว ความเป็นความเห็นของเราอะไรท่านก็อธิบายให้ฟังแล้วมันเป็นขนาดไหน แล้วเราก็ยังติดยังพันอยู่ แล้วส่วนอุบายของท่านสอนควรที่จะเชื่อบ้างทำไมไม่เชื่อ ที่ท่านไล่ลงภูเขาก็สมควรแล้ว คือปลอบใจเจ้าของ เอ้าทีนี้ไม่ปฏิบัติตามท่านแล้วก็จะไปหาท่านได้ยังไง ต้องปฏิบัติซิ ลองทำ
ทีนี้ก็มีแต่บังคับให้อยู่ละคราวนี้เพราะมันชินพอ พอบังคับให้อยู่ พอแน่วลงอยู่นี้ก็สว่างจ้าขึ้น แล้วก็ปรากฏเป็นนิมิตเรานี้แหละมา ถือมีดเขาเรียกว่าอะไรไม่รู้ มีดก็มีดคมกริบ แสงออกแพรวพราวๆ ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนี้นะ การทำลายกายทำลายอย่างนี้ จุดตะเกียงเจ้าพายุมาด้วยนะ หิ้วตะเกียงเจ้าพายุมาด้วยแกว่า หิ้วตะเกียงเจ้าพายุมาแล้วก็ฟันเลย ฟันตัวแกนั่นแหละในนิมิตภาวนา ฟันพออันนี้ขาดตกอันโน้นขาดตก ฟันนี้ๆ ทำอย่างนี้ๆ แยกกายแยกอย่างนี้ ฟันฟาดมันแหลกไปเลยนะ ฟันแล้วเขี่ยๆ เขี่ยออก นี่ๆ ดูเอาๆ แล้วแยกออกไปอันไหนเป็นสัตว์อันไหนเป็นบุคคล อันไหนเป็นหญิง อันไหนเป็นชาย เอ้าดูเทียบดู อันไหนสวยอันไหนงาม เอ้าดู ฟันออกจนแหลก
ทางนี้ก็ดู เกิดความสลดสังเวชภายในจิตใจ มันเป็นนิมิตอันหนึ่งออกแต่เป็นธรรม พออันนี้แตกกระจัดกระจายไปจนกระทั่งว่าเกิดความสลดสังเวชตัวเอง พอคราวนี้พึ่บลงอีก คราวหลังนี้เงียบเลย พูดไม่ถูกคราวนี้ จะว่าอัศจรรย์ขนาดไหนพูดไม่ถูก ทีนี้พอจิตถอนขึ้นจากนั้นก็หมอบกราบไปทางภูเขาเลยแกว่า
นี่แกมาเล่าให้ฟังวันที่เราขนาบแก ขึ้นมาอะไรเราว่า แกเล่าให้ฟัง เอ้อ ๆ คราวนี้ถูกต้องแล้ว ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนั้น ๆ นะ นั่นทางเดิน แกก็ยอมทันที แกลงแล้วนี่ทีนี้ก็บอกง่ายนิดเดียว เอ้าพิจารณาอย่างนั้น ๆ จากนั้นปัญญาก็ก้าวเลยเทียว พอไปปี ๙๕ เรื่องหมดปัญหาแกก็ไปเล่าให้ฟัง พิจารณาไปอย่างนั้นๆ มันเป็นอย่างนั้นๆ พอจากนั้นแล้วเราก็ไม่เคยสอนอีกเลยสอนแบบนั้นนะ แกเองก็ไม่เคยถามเลย ตั้งแต่นั้นมาจนป่านนี้มันกี่ปีแล้วล่ะ พ.ศ. ๙๕ ถึงปีนี้ก็ ๔๐ ปี แล้วแกตายไป ๒ ปีนี้แล้วหักออกเสียเป็น ๓๘ ปีใช่ไหม มันก็ควรจะเป็นเพราะผ่านไปนานแล้ว
จิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์อยู่นี้มันจะฟอกกันอยู่ตลอดเวลา ฟอกโดยหลักธรรมชาตินะ คือจิตที่บริสุทธิ์นี่มันจะฟอกขันธ์โดยหลักธรรมชาติ ธรรมดานี่มันก็ฟอกอยู่ในตัว แต่ถ้ายิ่งเข้าสมาธิภาวนาด้วยแล้วนั่นยิ่งเป็นการฟอกในตัวเลยนะ ฟอกโดยตรง เช่นเข้าสมาธิภาวนาส่งจิตเข้ามานี่จิตจะเข้าอยู่ข้างในนี้แล้วมันจะซักฟอกโดยหลักธรรมชาตินะ ไม่ได้เหมือนเราซักผ้าละน่ะ พูดอย่างนั้นก็พอเข้าใจละซิเรื่องของจิตเรื่องของวัตถุมันต่างกัน อยู่ธรรมดานี้จิตบริสุทธิ์ก็ซักฟอกออกกระจายออกหมด เพราะฉะนั้นเวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ กลายเป็นพระธาตุคือธาตุที่บริสุทธิ์ ของส่วนหยาบนี่ออกจากใจที่บริสุทธิ์นี่ ซักฟอกกระจายออกหมด นี่ก็ ๓๘ ปีมันก็ควร นี่ก็เป็นแล้ว เมื่อวานนี้เขามาบอกว่าเป็นแล้ว เป็นได้ปีกว่านิดหน่อยนะ ก็เป็นธรรมดา
อย่างหลวงปู่พรหมที่เราเคยพูดกำชับพวกลูกศิษย์ที่ไปเผาศพด้วย บอกว่าให้พยายามเอาอัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้ให้ได้นะ อัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้จะกลายเป็นพระธาตุแน่นอนเราบอก นี่ก็ปีกว่าเป็น เป็นเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์พรหม อย่างท่านสิงห์ทองนี้ปีกว่าก็เป็น
อย่างนั้นละอำนาจของจิตที่บริสุทธิ์ ถ้าความบริสุทธิ์อย่างแบบขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วนี้ก็ไม่แน่นะว่าจะเป็นพระธาตุได้ง่ายดาย เพราะรู้ได้เร็วแล้วก็ตายเร็ว จิตนี้ไม่ครองขันธ์อยู่นานก็ยังไม่ได้ฟอกเต็มที่ นี้อาจจะช้า ขิปปาภิญญาคือรู้เร็วแล้วก็ตายเร็วไม่ได้ครองขันธ์นาน มีหลายประเภท ประเภทหนึ่งจิตตั้งแต่ขั้นสมาธิไป สงบไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ขั้นสมาธิก็มีไปเรื่อยๆ อย่างนั้นนะจนกระทั่งถึงขั้นปัญญาขั้นวิมุตติหลุดพ้น ค่อยไปอย่างเชื่องช้าอย่างนี้นะ
พอถึงจุดแล้วไม่นานตายนี้ก็เป็นได้เร็วเหมือนกัน เพราะฟอกไปโดยลำดับแล้วนี่ ฟอกเป็นเวลาช้านานกว่าจะถึงจุดสุดท้ายคือความหลุดพ้น อันนี้หากว่าท่านจะนิพพานเสียในเวลาไม่นาน อันนี้ก็มีทางที่จะกลายเป็นพระธาตุได้เร็ว เพราะมันฟอกไปตั้งแต่นี้ ไปด้วยความเชื่องช้าใช่ไหมล่ะ มันฟอกไปในตัว อย่างรวดเร็วนี้ไม่ได้ฟอก มันมีหลายขั้น ขั้นสำคัญก็คือว่าจิตบริสุทธิ์แล้วครองขันธ์อยู่นาน ที่สำคัญมากอยู่ตรงนั้นนะ
คือการครองขันธ์นี้ไม่จำเป็นจะต้องเข้าภาวนา จิตที่บริสุทธิ์ย่อมเป็นธรรมชาติที่จะกระจายออกสู่กระแสของร่างกายส่วนต่าง ๆ นี้ไปหมดตลอดเวลา ถึงจะเบาก็ฟอกอยู่ในนั้น ครั้นเวลาท่านเข้าภาวนาปั๊บ นั่นเป็นเวลาแล้วนะนั่นน่ะ พอเข้าภาวนานี้จิตเข้าอยู่ข้างในหมดแล้ว นั้นเหมือนว่าฟอกในตัวเลย ฟอกเป็นหลักธรรมชาติแล้วที่นี่ ฟอกจริงๆ นะนั่น มันต่างกันหลายขั้นหลายตอน หนักเบาต่างกันอย่างนั้น นั่นของผู้เฒ่าแม่แก้วก็เป็นแล้ว
ทีนี้เมื่อตอนผู้เฒ่าป่วยเราวิตกวิจารณ์ได้พูดเสมอ ใครเป็นผู้อุปัฏฐากดูแลผู้เฒ่าแม่แก้ว ถ้าเป็นคนไม่เคยภาวนามันจะเข้ากันได้ยังไง เราไปก็ไปเตือนผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐาก อย่าไปถือสากิริยามารยาทอะไร ๆ อย่าไปถือนะ เราเตือนเสมออันนี้นะ เราจะเอาตั้งแต่เรื่องสมมุติไปคัดค้านธรรมชาตินั้นไม่ได้นะ กิริยานี้เป็นเรื่องของขันธ์ ขันธ์นี้เป็นเรื่องสมมุติ มันจะออกอากัปกิริยาใดก็เป็นเรื่องสมมุติล้วนๆ ไม่ใช่วิมุตติ อย่าไปถือสีถือสานะ
สมมุติว่าผู้เฒ่าว่ายังไงต่อไงนี้ ก็จะเอาอันนั้นมาเป็นบทเป็นบาทเป็นหลักสำคัญแล้วเป็นการลบล้างความดีที่สำคัญนั้นไป เดี๋ยวก็เสียตัวเองนะ นี่เคยสอนเสมอ เพราะธรรมชาตินั้นไม่เกี่ยวกับนี้หนา เราบอก บอกขนาดนั้นนะ เพราะสงสารผู้ไปปฏิบัตินี้แทนที่จะได้คุณมันจะเป็นได้โทษ เวลาอากัปกิริยาแสดงออกมาแล้วก็ไปยึด ตำหนิติโทษอย่างนั้นอย่างนี้ไปเสีย มันเสีย เพราะกิริยานี้โลกเขาเคยปฏิบัติกัน พอเห็นอย่างนั้นก็จะหมายว่าเป็นโลกไปหมด ความดีที่เต็มอยู่ในหัวใจก็เลยลบล้างไปหมด ถ้าต่างคนต่างรู้แล้วก็เข้าใจกันทันที จะเป็นกิริยายังไง ๆ ก็เข้าใจทันที
จะเป็นปัญหาอะไร อันนี้เพียงขันธ์เฉยๆ มันจะดีดจะดิ้นจะเป็นอะไรๆ ก็เป็นเรื่องของขันธ์ มันทนไม่ได้ก็ดีดดิ้นไปตามเรื่องของมัน เมื่อสุดกำลังแล้วมันก็อยู่ของมัน แต่ธรรมชาตินั้นมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง ฟังซิว่าเป็นอฐานะน่ะมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง อันนั้นเป็นอันนั้นนี่นะ แต่อาศัยขันธ์อยู่เฉย ๆ ขันธ์ไม่ได้ทำอะไรๆ ให้นั้นดีขึ้นอีกแล้วให้ต่ำลงไปอีกไม่มี นี่ละจึงได้เตือนอยู่ตลอด เพราะแกป่วยอยู่นานนี่นะ ไปก็ไปเตือน อย่าไปถือสีถือสานะ สอนขนาดนั้นนะ
เพราะกิริยาของแกก็เหมือนคนธรรมดาบางทีนะ แกพูดอะไรๆ ก็เหมือนคนธรรมดา เพราะเรื่องของขันธ์ ขันธ์ดีดขันธ์ดิ้นขันธ์หิวขันธ์โหย ขันธ์ทุกข์ขันธ์ลำบากก็เป็นอยู่ในนี้ กิริยาที่แสดงออกมาก็เป็นเรื่องของขันธ์ๆ ในวงขันธ์ๆ ไม่ได้ในวงอันนั้นนี่ มันไม่รู้ละซี ผู้อยู่ในวัดเราก็เคยพูด เราวิตกวิจารณ์ผู้ดูแลรักษาผู้เฒ่าน่ะ ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติทางด้านจิตใจก็สูงอย่างนี้เข้าใจกันทันที แม้เช่นนั้นก็สาธุ อย่างปฏิบัติกับพ่อแม่ครูจารย์ก็ยังผิดได้นะ เรายังไม่ลืมกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ละเอาบทบาทเหล่านี้แหละมาสอนหมู่เพื่อนนะ
ขณะนั้นอยู่ดึก ๆ เงียบนะ ท่านไม่แสดงอะไรมากแหละ แต่ไอ้เรื่องกิเลสมันคอยจะจับ (ท่าน)มีลักษณะอิ๊ ๆ แอ๊ ๆ อะไร เหมือนครางเบา ๆ อิ๊ ๆ แอ๊ ๆ เอ๊ เวลาท่านเป็นอย่างนี้ ท่านมีกิริยาอย่างนี้ท่านจะมีเวลาเผลอบ้างไหมนา ดูแน่ะ แต่เพียงเท่านั้นนะได้เท่านั้นนะ เรากระตุกทันทีเลยเพราะเราคิดด้วยความระวังนี่ แล้วก็ฝังใจด้วย เรากระตุกเจ้าของทันที หยุดเท่านั้น
บทเวลาเรื่องผ่านเข้าไปหากันปึ๋ง โธ่ ตาย เผลอไม่เผลอมันเป็นเรื่องของสมมุติ เอาไปโปะท่านทำไมเอาไปทับท่านทำไม โอ๊ย ไปขอขมาท่านทันทีเลย ขอขมากับอัฐิท่าน ปรากฏว่าโล่งหมดเลย เราเห็นข้อบกพร่องของเรา โถ ๆ นั่นละมันฝึกอยู่งี้ปฏิบัติต่อท่านขนาดนั้น เวลานั้นจิตก็เข้าใจว่าพออยู่พอกิน มันก็ยังไปมีแย็บ ๆ ขึ้นมาจนได้ ไอ้ไม่ได้เรื่องอะไรเลยไม่เคยปฏิบัติภาวนาเลยไปปฏิบัติ อย่างปฏิบัติพระอรหันต์ก็ลองดูซิน่ะ ว่างั้นเลยนะเรา ไปก็จะไปขนแต่โทษแต่กรรมมาเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรดีละ
ผู้เฒ่าแม่แก้วนี่พิสดารมาก ความรู้แปลกๆ ต่างๆ เช่นอย่างเราจะไปยังไงมายังไงนี้แกรู้ไม่มีพลาดเลยนะ วัดนั่นก็เห็นไม่ใช่เหรอ วัดเขาก็อยู่ฟากบ้านทางโน้น วัดห้วยทรายก็อยู่ฟากบ้านทางนี้ เราจะไปไหนเราบอกใครเมื่อไร อย่างนี้ละนิสัยเรา เป็นอย่างนี้ละ เราจะไปเที่ยวที่ไหนนี่ออกจากนี่ปั๊บไปเลยทางด้านนี้ ไม่ได้เคยผ่านไปทางด้านนั้นให้เขารู้ เวลาฉันจังหันแล้วไปเงียบ..ทางโน้นรู้แล้ว บอกหมู่เพื่อนว่า โอ๊ย วันนี้ญาท่านไปแล้วนะ มันเย็นหมดไม่อบอุ่น เย็นหมดเลยแถวเรานี่ ไปถามดูซี ขนาดนั้นนะ ถ้าว่าไม่จริง ด้อมๆ ออกไปดูซี วันนี้ไปแล้วไม่มีเหลือแล้ว เย็นหมดไม่มีอะไรผ่านเลยในบริเวณนี้ แกพูดสำคัญขนาดนั้นนะ มันเย็นเย็นอะไร เหมือนไม่มีที่เกาะที่พึ่งที่ยึดอะไรเลย ไปแล้วละ ไปดูก็ไปจริง ๆ
ทีนี้พอมาก็เหมือนกันอีกนะ พอมา..มาก็ไม่รู้นี่ ก็แบบเราใครจะไปรู้ได้ง่ายๆ พอมาปั๊บบางทีกลางคืนตั้ง ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่มถึงมาถึงก็มี ตอนเช้าหุงข้าวมาแล้ว คือข้าวนั้นจะหุงมาให้เราเฉพาะวันละหม้อเท่านี้แหละ..ไม่มาก เป็นประจำเลย ถ้าเราหนีไปพระก็สั่งไปไม่ให้ทำ คือพระท่านไม่ฉัน ว่างั้น แกก็ไม่ทำ ทีนี้พอตื่นเช้ามาก็เอาอีก หุงข้าวนะวันนี้ มาแล้วนะ แน่ะฟังซิน่ะ หุงข้าว มาแล้ววันนี้ เอ้าหุง..หุงเลย ทางนั้นก็จีบหมากมา เรายังถามว่าข้าวนี้หุงมาทุกวันเหรอ ไม่ได้หุงทุกวัน เพิ่งหุงเมื่อเช้านี้ แล้วหุงเพื่ออะไร ว่าซิ ก็หุงเพื่อญาท่านแล้ว แล้วทราบได้ยังไงว่าญาท่านมา ก็คุณแม่บอก
นั่นน่ะฟังซิคุณแม่บอก ไม่ผิดนะ ไม่มีพลาดเลยนะ จะไปกี่วันก็ตามพอวันเข้ามาปั๊บนี้แกรู้แล้วทางโน้น มาถึงแล้วนะ บทเวลาแกแสดงออกมา ก็มันอบอุ่น..อะไรมันเป็นไปหมด อบอุ่นหมดเลย ถ้าเวลาไปนี่เหมือนกับว่าเลิกไปหมดเลย แกพูดอย่างนั้น มันเลิกไปหมดเลย
แกเก่งมาก เรื่องการไปการมาของเรานี่ไม่ต้องบอกแหละ แกรู้ จะไปเวลาไหนก็ไปเถอะ รู้ทันทีเลย บอกหมู่เพื่อนทางโน้นเลย ไปแล้ววันนี้ หายเงียบแล้ว แล้วพอมาก็..มาแล้วนะ หุงข้าวไม่มีพลาดเลยแหละ ถูกต้อง ๆ เรื่องอย่างนี้เก่ง เก่งมากยกให้เลย
ต่อไปนี้ให้พรนะ |