ผู้มีวาสนา
วันที่ 3 กรกฎาคม. 2535
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕

ผู้มีวาสนา

 

        หลวงปู่มั่นเสียงท่านกังวานมากนะ พูดดัง เสียงก็รู้สึกว่าเพราะด้วย น้ำเสียงของท่านก็เพราะด้วย กังวาน ยิ่งเวลากลางคืนท่านเทศน์นี้ ฟังแล้วเสียงเหมือนฟ้าดินถล่มนะตีกิเลสให้พระ เทศน์เหมือนฟ้าดินถล่มจริงๆ นะ หมุนติ้ว ๆๆ ท่านถอดออกมาจากหัวใจท่านโดยแท้ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เวลาท่านแสดงนี้ฟังเพลิน ลืมเรื่องเวล่ำเวลาไม่ได้มาเกี่ยวข้องนะ เวลาท่านเทศน์จบลงแล้วยังเสียดายยังอยากฟังอีกต่อไป เทศน์ไม่ใช่น้อยๆ นะ ตั้งแต่ไปหาท่านทีแรกนี้ท่านเทศน์แต่ละครั้งนี้ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ครั้นต่อมาก็ค่อยลดลงๆ มาอยู่แค่ ๒ ชั่วโมง จากนั้นมาก็ไม่เทศน์เลย เสียงท่านดีกังวาน

ท่านเทศน์สอนพระเทศน์แต่เรื่องธรรม ส่วนมากมักจะเป็นธรรมขั้นสูง ตั้งแต่สมาธิขึ้นไปถึงปัญญานี้หมุนติ้วๆ ๆ เลย นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมนี่ เวลาท่านเทศน์นะเหมือนนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม พอท่านเทศน์จบลงแล้วเหมือนกระทะครอบหัวกึ๊กเลย แล้วก็หลับตาพร้อมด้วย โห ! เหมือนหมดหวังนั่นแหละ ยังเสียดายอยากฟังอีกคือฟังเพลิน ท่านเทศน์ ๓ ชั่วโมงนี้พระเณรนี้เหมือนหัวตอนะ เพราะต่างองค์ต่างจ่อ จ่อลงจุดนี้ ธรรมะเสียงของท่านจะเข้านี้ปั๊บๆ ๆ ถ้าจิตส่งออกนอกเสียงจะไม่ชัด จะไม่เข้าในนี้ชัดเจน

เพราะฉะนั้นการฟังเทศน์ในภาคปฏิบัติจึงตั้งจิตโดยเฉพาะ ให้สติรู้อยู่กับจิตเท่านั้นแหละ เรื่องเสียงของธรรมที่ท่านแสดงนั้นจะเข้ามาสัมผัสเรื่อยๆ สืบต่อกันเรื่อยๆ แม้จิตไม่เคยเป็นสมาธิ คือไม่เคยสงบก็สงบเลย เพราะเสียงนั้นเหมือนกับว่ากล่อมลงเรื่อยๆ จิตก็จ่อฟัง ไหลเข้า ๆ จิตสงบแน่วเลย ทีนี้พอจิตสงบแล้วเสียงเหมือนกับว่าอยู่สูง ๆ อยู่ข้างบน ข้างนอกนะ อันนี้มีกำลังมากกว่านะ เพราะธรรมเข้านี้แล้ว อันนั้นเลยเป็นเพียงกระแสเสียง

เทศน์นี้ ๓ ชั่วโมง บางทีก็ ๔ ชั่วโมง เทศน์จบลงแล้วพระเณรยังเงียบเหมือนไม่มีคนเลยนะ เพราะท่านเทศน์มีแต่เนื้ออรรถเนื้อธรรม ฟังแล้วทำให้เพลินตลอดเลยนะ ไม่เคยมีคำว่าเบื่อนี้ไม่ปรากฏเลย มีแต่คำว่าดูดว่าดื่มเรื่อยๆ เพราะท่านเทศน์เหมือนกับว่าเบิกทางให้ ทำให้เห็นสิ่งไม่เห็น ไม่เคยเห็น ทำให้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ เปิดออกเรื่อย ๆ ผู้ดูก็เพลินไปซิ เพลิน ๆ ไปซิ เพราะท่านรู้ท่านเห็นแล้วท่านนำมาแสดง พวกเราสนุกฟังเพลิน

นี่แหละที่ว่าท่านแสดงธรรมในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัทได้สำเร็จมรรคผลนิพพานจำนวนไม่น้อย ๆ ก็เพราะเหตุนี้เอง ผู้แสดงก็รู้จริงเห็นจริง องค์ศาสดาเสียเอง พร้อมทั้งรู้อุปนิสัยของสัตว์พื้นเพของสัตว์เป็นยังไง ๆ รู้พร้อมหมด พร้อมทั้งธรรมที่ได้นำมาแสดงให้เหมาะกับจริตนิสัยของสัตว์ประเภทนั้นๆ หรือชั้นนั้นๆ ก็มาเทียบได้ตอนที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นเรานี้ เพราะท่านเทศน์ คลังพระไตรปิฎกท่านเป็นคลังของท่านทรงไว้จริงๆ ไม่ใช่คลังความจำนะ ไม่ใช่จำมาจากคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้แล้วมาไว้ในหัวใจนะ นี่เป็นความจริง ถ้าว่าสมาธิท่านก็ทรงไว้แล้วทุกขั้นของสมาธิ ปัญญาท่านก็ทรงไว้แล้ว วิมุตติหลุดพ้นท่านก็ทรงไว้แล้วโดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นแยกอันไหนออกมาถึงไหลเลยเทียว เพราะเต็มอยู่ในนี้หมดแล้ว ไม่ต้องไปคว้าโน้นคว้านี้ แล้วผู้ฟังก็ถึงใจ ๆ

อย่างนักภาวนานี้ติดอยู่ในจุดใดๆ เวลาท่านเทศน์นี้ วันนั้นเหมือนกับว่าจะได้มาทุ่มเทความสงสัยให้หายออกจากหัวอกว่างั้นเถอะ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากทางด้านภาวนาที่ยังสงสัยอยู่ วันนี้ท่านจะแสดงธรรมนี้ ยิ้มแย้มแจ่มใส เผื่อจะได้ยินได้ฟังแล้วปลดเปลื้องในจุดที่ตนกำลังสงสัยอยู่ ทีนี้เวลาท่านเทศน์ ก็คนหนึ่งรู้แล้วนี่ เทศน์ก็ผ่านเรื่อย ธรรมดานี้ผ่าน ไอ้เราที่ติดอยู่ตรงนี้มันก็โดดผึงตาม ได้ทีละก้าวสองก้าว หลายครั้งหลายหนก็หลายก้าวเข้าไป นี่ละที่ว่าครั้งพุทธกาลท่านสำเร็จมรรคผลนิพพาน ผู้ยังอยู่ในภูมินี้ฟังไป ๆ ก็สูงขึ้น ๆ ผ่านไปได้ทีละก้าวสองก้าว ทีนี้ก็พ้น ๆ เป็นลำดับกันขึ้นมา ผู้ที่ผ่านกัน ผู้ที่อยู่ต่ำก็ค่อยหนุนขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ ผ่าน...พ้น ๆ

เพราะอุปนิสัยของสัตว์โลกนี้มีจำนวนมากมาย และมีอุปนิสัยต่างๆ กัน ผู้อยู่ในพื้นนี้ๆๆ ของอุปนิสัยที่ควรจะได้ไปอย่างรวดเร็วก็ไปได้เลยๆ แต่ก่อนเราก็ไม่ค่อยสนใจ เรียนก็เรียน แต่มันไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร มีแต่จดแต่จำเท่านั้นแหละไม่ได้พิจารณา เวลาออกภาคปฏิบัตินี่แหละถึงได้เริ่มพิจารณา เพราะพิจารณาเป็นเครื่องประกอบของการแก้กิเลสของตัวเอง ต้องได้นำมาพิจารณา เวลามันเป็นขึ้นในจิตแล้วมันอยู่นี้หมดเลย ธรรมอยู่ภายในหัวใจหมด เพราะใจเท่านั้นเป็นเครื่องรับรองธรรมทั้งหลาย ใจเท่านั้นเป็นที่สถิตของธรรม ของบาปและบุญ เพราะสิ่งเหล่านั้นเขาไม่รู้ ใจนี้เป็นนักรู้มีอันเดียวเท่านี้ นักรู้สิ่งทั้งหลาย ถ้าอันนี้ระงับตัวเข้าไปก็เหมือนสิ่งทั้งหลายไม่มี เพราะอันนี้ไม่ออก ไม่ออกรับทราบสิ่งนั้นสิ่งนี้

เหมือนอย่างกับเรานอนหลับ ธาตุขันธ์เครื่องใช้ของเรานี่ระงับไปหมด หลับสนิทจะไม่ฝัน เงียบเลย คำว่าเงียบไม่ใช่สูญนะนั่น คือความรู้ระงับตัว ไม่แสดงอากัปกิริยาออกไปทางธาตุทางขันธ์ เช่นอย่างเรามองเห็นอันนั้นได้ยินอันนี้ นั่นอาการของขันธ์แสดงออกรับสิ่งนั้นสิ่งนี้ พออันนี้ระงับตัวเข้าไป แม้ที่สุดร่างกายนี้ก็ไม่รับทราบทางจิต ระงับลงไปอีกถึงขั้นภวังค์แห่งความหลับ ลงภวังค์แห่งความหลับ หลับสนิทจะไม่ฝัน นี่ความรู้อันนั้นละละเอียดขนาดไหน

ในขณะที่หลับสนิทกิเลสก็ไม่ทำงาน ธรรมะก็ไม่ทำงาน ต่างอันต่างสงบสุขกันในเวลาหลับสนิท ถ้าไม่หลับสนิทยังมีการทำงาน ไม่ว่าทางดีทางชั่วทำงานได้เวลาหลับไม่สนิท เช่นฝัน ฝันไปวัดไปวา ไปฟังเทศน์ฟังธรรมครูบาอาจารย์ นี่เป็นฝันทางดี มันก็เป็นส่วนกุศลอยู่ในฝันนั้นละอย่างลึกลับๆ ทีนี้ฝันว่าไปทางชั่วนะ แล้วแต่จะไปทะเลาะเบาะแว้งฆ่าตีบีโบยกับใครต่อใคร นั่นเรียกว่าฝันทางไม่ดี นี่มันก็สั่งสมความไม่ดี นั่นแหละจิตทำงาน จิตแสดงอากัปกิริยาออกแล้ว ถ้าระงับหมดเลยอย่างนี้ เช่นคนหลับสนิทจะไม่ฝัน ความรู้จะเข้าสู่ความเป็นปกติของตนเต็มที่ ความรู้อันนั้นละไม่สูญ

อย่างเรานอนหลับสนิท ความรู้นั้นสูญไปที่ไหนเมื่อไร ถ้าสูญเราตื่นนอนได้ยังไง เวลานั้นจิตระงับอากัปกิริยาต่างๆ ทั้งหมดเข้าอยู่ปกติ จึงละเอียดมาก เช่นจิตปุถุชนของเรามีกิเลสก็ตามก็ละเอียดเต็มที่เหมือนกัน เต็มขั้นของภูมินี้ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่ต้องพูดแหละ หลับแล้วตื่น ธรรมชาตินั้นเป็นตายตัว นี่ก็จิต ท่านเรียกว่าจิตครองร่างอยู่นี่ อยู่ในร่างกายของเรา เวลากิริยาออกก็รับทราบสิ่งต่างๆ พอตื่นนอนมานี้ทุกสิ่งทุกอย่างต่างจะทราบนะ อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ประสาทส่วนต่างๆ จะรับทราบๆ หมดเลย นี่จิตออกรับทราบแล้ว พอจิตระงับเข้าไปนั้นก็ไม่มี ไม่รับทราบ

อย่างคนนอนหลับ ไม่ได้คิดถึงสมบัติศฤงคารบริวาร แม้ที่สุดร่างกายของเจ้าของก็ไม่มีความรู้สึกกัน ระงับเข้าไปหมดเลยเวลานั้น จึงไม่มีอะไรห่วง คนหลับสนิทนี้ไม่มีอะไรห่วงเลย ถ้าไม่หลับสนิทนี้เป็นได้ นี่ท่านเรียกว่าใจ ใจนี้แลเป็นผู้ที่รับธรรมทั้งหลาย เวลาท่านเทศน์มันก็เข้าตรงนั้น ๆ แล้วไปหนุนใจให้มีกำลังขึ้นๆ ใจก็ดีดขึ้นๆ สูงขึ้น และมีกำลังขึ้น พอใจในคุณงามความดีทั้งหลายเป็นลำดับลำดา แล้วก็เพิ่มขึ้นๆ พอใจสนใจขยันหมั่นเพียร เลยขยันเข้าไปอีก เรียกว่าพุ่งๆ เลย เมื่อใจมีกำลังของธรรมเข้าหนุนแล้วเป็นยังงั้น ตรงกันข้ามถ้าใจมีแต่กิเลสความชั่วช้าลามกเข้าหนุนนี้ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้ผิดกันอะไรเลยนะ

เพราะกิเลสก็มีกำลังเหมือนกัน กำลังทางฝ่ายชั่วฝ่ายต่ำ โกยทุกข์มาให้สัตว์ทั้งหลาย อันนี้ทางธรรมก็มีกำลังทางดี มีตั้งแต่ขวนขวายเรื่องความสุขความเจริญมาสู่จิตใจของสัตว์ผู้บำเพ็ญ ก็เจริญเรื่อยๆ เมื่อเจริญเต็มที่แล้วก็พ้น คำว่าพ้นนั่นคือพ้นเรื่องความหมุนความเวียนความเกิดแก่เจ็บตายนะ เกิดภพใดก็ตามไม่ว่าภพน้อยภพใหญ่  สูงต่ำละเอียดหยาบขนาดไหน  เรียกว่าเกิดตาย ๆ ทั้งนั้น นี่เรียกว่าท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารท่านว่า ผู้ที่มีความดีที่ได้อบรมเต็มที่แล้ว จิตผ่านเลย พ้นจากแดนสมมุติทั้งหมด ไม่มีคำว่าเกิดอีก จิตอันนั้นไม่ได้เข้าไปสู่ปฏิสนธิวิญญาณในภพใดชาติใดของกำเนิดสัตว์ใดทั้งนั้นไม่ว่าหยาบละเอียด

มีแต่จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ อันนั้นไม่มีอะไรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องได้แล้ว เรื่องความทุกข์น้อยใหญ่ไม่มีเลย ตั้งแต่ขณะตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาในขณะนั้นเท่านั้น กิเลสพังแล้วทุกข์ก็พังไปพร้อมกัน เพราะกิเลสเป็นสาเหตุให้สร้างกรรมให้เกิดความทุกข์ความทรมาน หรือเกิดความสุขก็ดี ทีนี้ความสุขก็พอแล้วกิเลสก็พังแล้ว เมืองพอก็บรรจุแล้วในจิตจึงไม่เกิดไม่ตาย นั่นแหละพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ เป็นผู้เช่นนั้น ท่านผู้นี้คือท่านผู้พ้นจริง พ้นไม่ต้องมากลับกลอกหลอกลวงเจ้าของอีก คำว่ามาเกิด ๆ ตาย ๆ นี้ไม่มีอีกแล้ว พ้น ๆ

ทีนี้เมื่อเวลาท่านผู้ที่พ้นแล้วอย่างนั้น แล้วมามองดูสัตว์โลกผู้ยังเวียนว่ายตายเกิด ทั้งสุขทั้งทุกข์สับสนปนเปกันอยู่นี้ มองดูนี้เป็นยังไงเราวาดภาพดูก็รู้ อย่างที่เราอยู่บนบกมองดูคนตกน้ำจะเป็นแหล่จะตายแหล่อยู่นั้นเป็นยังไง น่าดูไหม นั่นแหละคนผู้ที่อยู่บนฝั่งจะอยู่ได้เฉยๆ เหรอ อยู่ไม่ได้ โดดลงช่วยกันทันที พอฉุดฉุด พอลากลาก หนักเบาไม่ว่า ขอให้คนนั้นหลุดพ้นจากความจมน้ำแล้วก็พอ นี่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลกเพราะอำนาจแห่งพระเมตตา เห็นพวกสัตว์ทั้งหลายจมกันอยู่อย่างนั้น ผู้ที่ควรแก่การฉุดลากขึ้นมาได้ พระองค์ก็จะต้องฉุดลากอย่างรุนแรง พอโปรดได้เวลาไหนเอาเลย ๆ

เหมือนเราฉุดลากคนตกน้ำขึ้นฝั่งนั่นเอง ถ้าอันไหนที่จมไปแล้วตายไปแล้วมันก็สุดวิสัย โอ้กรรมของสัตว์ ที่มันหนาจริง ๆ ไม่ยอมฟังเลยเรื่องบาปเรื่องบุญคุณโทษอะไรนี้ไม่ยอมฟังเลย ก็เรียกว่ากรรมของสัตว์ อันนั้นท่านช่วยไม่ได้ ผู้ที่ยังรู้บุญรู้บาปอยู่ก็ยังมีทางที่จะดีจะชั่วได้อยู่ นั่นช่วยๆ และผู้ที่หนักแน่นเข้าไปทางคุณงามความดีทั้งหลาย เรียกว่ามีอุปนิสัยแล้วนั้นยิ่งเร่งช่วยเต็มที่ๆ พอให้หลุดพ้นในขณะนี้ก็ให้ได้ขณะนี้ พอจะหลุดพ้นเวลาไหนให้ได้เวลานั้น ๆ นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลกสั่งสอนด้วยพระเมตตา เพราะพ้นแล้วจากภัยทั้งหลายที่สัตว์กำลังตกอยู่นั้น อย่างเหมือนอย่างคนตกน้ำผู้อยู่บนบกนี้ไม่ได้ตก มองดูแล้วก็ปึ้งปั้งช่วยกัน

ศาสนาจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย พวกเราทั้งหลายได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้นับว่าเป็นวาสนาบุญญาภิสมภารเอามากนะ คือได้พบด้วย และได้มีความเชื่อความเลื่อมใสได้นับถือปฏิบัติตามหลักศาสนาด้วย นี่เรียกว่าเป็นผู้มีอุปนิสัยไม่เสียชาติที่เกิดมาในชาตินี้ พอเราได้มองเห็นศาสนา ได้ฟังอรรถฟังธรรมเข้า จิตใจของเรามีความยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นไปโดยลำดับ นี้เรียกว่าเป็นผู้มีวาสนา และสร้างทุกวัน ๆ สร้างจนกระทั่งเป็นความพอใจในการบำเพ็ญความดีทั้งหลาย

วันหนึ่งๆ ไม่ได้บำเพ็ญความดีอยู่ไม่ได้ หากเป็นอยู่ในจิต หากเป็นเครื่องเตือนเจ้าของอยู่นั้นแหละ เช่นไหว้พระ เราเคยไหว้ไม่ได้ไหว้มันอยู่ไม่ได้มันหากเป็น มันเป็นด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เพียงเท่านี้มันก็กระเทือนไปหมดในหัวใจชาวพุทธเราซึ่งเป็นนักบำเพ็ญ เคยทำความดีวันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทำ เช่นให้ทานอย่างนี้นะ ใส่บาตรนี้วันหนึ่งไม่ได้ทำ หากมีธรรมชาติความดีอันหนึ่งละ เตือนๆ อยู่เรื่อยเตือนอยู่เรื่อย สุดท้ายงานอะไรก็ตามทิ้งเลย ถึงเวลาที่จะทำแล้วไม่เอา จะเอานี้คือความดี นี่อำนาจของความดีเตือนเรื่อย ๆ

เพราะฉะนั้นคนทำความชั่ว อำนาจของความชั่วก็เตือนได้เหมือนกัน ไม่ได้ทำชั่วอยู่ไม่ได้ ไปไหนๆ ไม่ได้ฉกอันหนึ่งก็ลักอันหนึ่ง ไม่ได้ปล้นก็จี้ ไม่ได้จี้ก็หลอกก็ลวงต้มตุ๋นรีดไถแบบประการต่าง ๆ ว่างั้นเถอะ นี่มันเคยไปทางนั้น ไปถ้าไม่ได้ฉกได้ลักไม่ได้ทำความชั่วนี้วันนั้นเสียลวดลายนักเลง ต้องเอาให้ได้ลวดลายนักเลงมา ให้มีลายติดตัวมา นี่คือความชั่ว เมื่อมันพอแล้วมันก็กล่อมนิสัยคนให้ชั่วลงไปต่ำลงไปเรื่อย ๆ คนที่เคยทำความดีแล้วไม่ได้ทำความดีก็อยู่ไม่ได้ ดังที่เราว่านี่ ดังที่ว่าตะกี้นี้อยู่ไม่ได้ต้องทำ ๆ เมื่อถึงวาระสุดท้ายมันจะยุ่งขนาดไหนก็ตาม ทิ้งปั๊วะเลยเชียว จะไปตามที่เราต้องการนั้นก่อน...ความดี

นี่ละความดีเมื่อมากแล้ว ก็ค่อยฉุดค่อยลากค่อยเตือนเจ้าของให้ระลึกในทางดีเสมอๆ ไม่ให้ห่างไกลจากความดีทั้งหลาย ตรงกันข้ามความชั่วมันก็ใกล้ชิดติดพันกับคนที่มันเสี้ยมสอนให้เป็นคนชั่วได้แล้วนั้น ให้ได้ทำความชั่วทุกวันทุกเวลา ไม่ทำวันหนึ่งไม่ได้ แล้วตายแล้วก็จมเลยๆ พวกนี้ละพวกที่ว่ากรรมของสัตว์แท้ๆ ไม่มีใครช่วยได้ ศาสนาก็ช่วยไม่ได้ ไม่ยอมรับศาสนา ศาสนาคือคำสอน แนวทางที่ถูกที่ดีให้หลุดพ้นจากภัย มันไม่ยอมไปมันเข้าสู่ภัยสู่กรรมนั่นแหละ อย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ พวกเราไม่ได้เป็นคนประเภทนั้น จึงให้พยายามอุตส่าห์บำเพ็ญคุณงามความดี

ยากลำบากไม่ใช่อะไรพาให้ยากนะ ถ้าว่าจะสร้างความดีนี้มันหากมีเครื่องขัดเครื่องข้องขึ้นภายในใจ นั้นแหละคือกิเลสมันกีดมันขวางเราไม่ใช่ธรรมกีดขวางไม่ให้ทำ ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วมันไม่อยากให้ทำ นั่นคือกิเลสมันขวางไว้ๆ จะทำบุญให้ทานมากน้อยนี้กิเลสมันขวางไว้ๆ ถ้าเราได้ทำตามใจของเราแล้ว ฝืนมันทำแล้ว ต่อไปก็ไม่ได้ฝืน กำลังมันอ่อนลงๆ ทีนี้ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ แน่ะ อำนาจของความดีมีอย่างนั้น นี่เราเกิดมาแล้วไม่ใช่ว่าเราจะมาเกิดซ้ำได้นะ หรือสอบแก้มืออย่างเขาสอบ สอบตกแล้วสอบแก้มือ นี่เกิดมาชาตินี้ไม่ดีแล้วเกิดแก้มืออีกไม่ได้นะ กรรมของเรามียังไงก็ต้องไป

นี่พอเหมาะเป็นจังหวะที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และพร้อมกับได้พบพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือศาสนาเอก ผู้สิ้นกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่มีศาสนาใดที่เป็นผู้สิ้นกิเลสครองศาสนาสั่งสอนสัตว์โลก มีศาสนาพุทธ พุทธ ๆ นี่เท่านั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดขึ้นชื่อว่าพุทธศาสนาแล้ว ต้องเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส อย่างพระอริยเมตไตรยที่จะมาตรัสข้างหน้านี้ก็เหมือนกัน ต้องสิ้นกิเลสเสียก่อนจึงจะเป็นศาสดาได้และสั่งสอนสัตว์โลกได้ หมดจากนั้นก็ไปอีกวาระข้างหน้า ๆ ทีนี้เราไม่ทราบว่าเราจะเกิดในวาระใดนั่นซิ

ไม่ใช่ศาสนาจะมีตลอดไปนะ มีเป็นวรรคเป็นตอน เช่นเวลานี้ก็พุทธศาสนาของเรายังมี พอหมดจากนี้แล้วกว่าจะไปถึงศาสนาพระอริยเมตไตรยนี้ นั่นแหละท่านเรียกว่าสุญญกัป หรือ พุทธันดรหนึ่ง ระหว่างพระพุทธเจ้าองค์นี้กับพระพุทธเจ้าองค์นี้ต่อกัน ระหว่างนี้ท่านเรียกว่าพุทธันดร นี่แหละมันเป็นสุญญกัป ไม่มีคำว่าบาปว่าบุญในหัวใจสัตว์โลก ทั้งๆ ที่บาปบุญคุณโทษนรกสวรรค์มีอยู่ดั้งเดิมก็ตาม แต่ใจสัตว์โลกไม่ยอมรับ สิ่งที่ยอมรับคือความอยากความทะเยอทะยาน ความเกรี้ยวกราด อะไรทุกอย่างขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วมันไปรวมนั้นหมด ให้ดูดให้ดื่มให้พออกพอใจ มองเห็นหน้ากันมีแต่กัดแต่ฉีกกันทั้งนั้น เป็นความพอใจของสัตว์โลกเองนะ ไม่ใช่มีอะไรบังคับสัตว์โลกนะ คือกรรมของสัตว์โลก กิเลสของสัตว์โลกบังคับตัวเองอยู่ภายในจิตใจ นั่นถ้าเป็นสุญญกัปเป็นอย่างนั้น

ถ้าเกิดเช่นนั้นแล้วเรียกว่ากรรม ผู้ที่มีกรรมหนาที่สุด (ท่านว่า) จึงต้องไปเกิดในย่านนั้น ขึ้นมาเกิดเป็นสัตว์ก็ตาม ผู้ที่จมในนรกก็รู้แล้วว่าจมอยู่ในนรก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าไม่สิ้นกรรมเสียก่อนเปลี่ยนมาไม่ได้ แต่ผู้ที่จะมาเกิดเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาตินี่ซิ เปลี่ยนมาก็มาถูกวาระที่เป็นสุญญกัป ก็ว่างเปล่าจากคำว่าบุญว่าบาป ก็ไม่มีที่จะได้สร้างบุญสร้างกุศล เพราะไม่มีใครแนะนำสั่งสอนรู้ได้ยังไง สิ่งที่สัตว์ทั้งหลายทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ด้วยความดูดดื่มก็มีแต่ความชั่วช้าลามก มีแต่ฟืนแต่ไฟ อันเป็นผลเผาไหม้ไม่มีส่วนดีเลย นี่เราไม่ได้เกิดในช่วงสุญญกัป เราเกิดในช่วงพุทธกัป คือกัปพระพุทธเจ้าอยู่เวลานี้ จึงให้พากันขวนขวาย

ใจนี้เป็นของสำคัญมากนะ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลก สั่งสอนลงที่ใจๆ ไม่ได้สอนอันใดมากยิ่งกว่าใจ ร่างกายของเรานี้ก็เป็นเครื่องมือของใจ สอนใจให้ดีแล้วกายวาจาหมุนไปทางดีเอง ถ้าใจได้รับการเสี้ยมสอนในทางไม่ถูกไม่ดีแล้ว ร่างกายนี้ก็เป็นเครื่องมือทำความชั่วได้เองไม่ต้องสงสัย

เวลานี้เราได้เกิดมาพบพุทธศาสนาเรียกว่าเป็นบุญลาภของเรา  กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ  การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ  แน่ะ  ออกจากนั้นก็  กิจฺฉํ  สทฺธมฺมสฺสวนํ  ยังได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอีก  ก็เป็นบุญลาภอีกอันหนึ่ง  เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเรา ท่านว่า  กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท เพราะการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้านั้นเป็นบุญลาภอันประเสริฐสุดของสัตว์โลก นี่คำสอนของท่านที่เป็นองค์แทนศาสดามีอยู่ ให้ได้ยึดคำสอนของท่าน นี้แลคือองค์แทนศาสดา จะไม่ผิดไม่พลาด ให้พากันอุตส่าห์พยายาม

ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งๆ ให้มีความดีแทรกๆ ในตัวของเราบ้าง อย่าให้มีแต่ความชั่วช้าลามก ตั้งแต่เช้ายันค่ำๆ เดือนยันเดือน ปียันปี มีแต่สร้างความชั่วช้าลามก เราจะเอาไปบรรจุไว้ที่ไหน ให้ตั้งปัญหาถามเราบ้าง ความชั่วเมื่อมีมากๆ แล้วจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน มันก็เข้าทับหัวใจเราผู้สร้างผู้ทำนั่นแหละไม่ไปที่ไหน แล้วเราทำยังไง เพียงไม้ท่อนหนึ่งทับเรา เราทนไม่ไหวจนกระทั่งตาย ตายไปแล้วก็เรียกว่ามันผ่านพ้นไปวาระหนึ่ง

แต่กรรมของสัตว์ที่มันทับถมสัตว์ เมื่อยังไม่สิ้นกรรมเมื่อไรแล้วมันก็ทับถมตลอดไป ถึงจะครวญครางขนาดไหนทุกข์มหันตทุกข์ขนาดไหนมันก็ไม่ตาย มันทับอยู่ยังงั้น มันบีบบังคับทรมานอยู่อย่างนั้นตลอด เพราะอำนาจแห่งกรรมหนักของตนซึ่งสร้างไว้วันยังรุ่งคืนยังค่ำ ยันปียันเดือน ยันภพยันชาติ มีแต่สร้างความชั่ว แล้วความชั่วทั้งหลายที่เราสร้างมามากต่อมากนั้นเอาไปเก็บไว้ที่ไหน

สิ่งใดที่สร้างมันต้องมี นี่ไม่มีทางเก็บออก มีแต่ทางไหลเข้ามาๆ ยังงั้นจะทำยังไง มาจนตรอกเอาเสียตั้งแต่บัดนี้ก็ไม่เห็นผิด คอยแต่ลมหายใจเท่านั้นแหละ พอออกจากนั้นก็ดีดผึงลงเลย ผู้เช่นนั้นนะ แต่ผู้สร้างความดีนี้ไม่ต้องไปคอยหาภพหน้าภพไหนละ มันรู้อยู่ในหัวใจเจ้าของ พอลมหายใจขาดจากภพนี้แล้ว ดีดผึงเลยขึ้น หมายความว่าร่างกายก็ร่างกายละเอียดอ่อนยิ่งกว่านี้ ความสุขก็สุขยิ่งกว่านี้ กาลเวลาที่จะทรงชีวิตอยู่ในภพนั้นๆ ก็ยืดยาวกว่านี้ นั่น อะไรๆ ก็ดีๆ ขึ้นชื่อว่าบุญเป็นผู้ตกแต่งแล้วดีทั้งนั้นแหละ

ถ้าชั่วเป็นผู้ตกแต่งแล้ว โอ๊ย เอาปัจจุบันนี้ก็ได้ ไปเห็นผัวเห็นเมียเขาอยู่ด้วยกันเป็นความผาสุกเย็นใจ คิดมาถึงบ้านเจ้าของ มาคิดถึงพ่ออีหนูบ้าง แม่อีหนูบ้าง โฮ้ รู้สึกหดหู่ไม่อยากกลับบ้าน มันเป็นยังไงล่ะ ไม่คิดบ้างเหรอว่ากรรมของเจ้าของ ไปเห็นผัวเห็นเมียเขาดี มาเห็นเมียของเจ้าของเห็นผัวของเจ้าของแล้ว อุ๊ย หน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าไป มันเป็นยังไง จะตำหนิมันไม่ดีๆ ยังไง เจ้าของไม่ดี ก็เป็นกรรมของเจ้าของอันหนึ่งเหมือนกันนะเรื่องเหล่านี้

เราก็ให้พยายามรักษา อย่าให้เป็นกรรมใหม่ซึ่งเป็นเรื่องของไม่ดีเพิ่มขึ้นไปอีก มันจะยิ่งเลวทรามยิ่งกว่านั้นไปอีก นี่ท่านว่ากรรมของสัตว์ ของอะไรที่เกิดมาเป็นของเราเป็นของดิบของดี ถ้าสร้างความดีไว้ ถ้าความไม่ดีที่เราสร้างไว้มากน้อยเท่าไร เป็นอะไรมามันก็ไม่ดี ลูกก็ไม่ดี กี่ประเภทล่ะที่มันจะแสดงออกมาให้ขัดให้ขวางหัวใจทับหัวอกพ่อแม่มันมีทุกด้านทุกทางลูกคนเรา ไม่ว่าผัวว่าเมีย เอาคนไหนมาก็แบบเดียวกันๆ ก็เพราะกรรมแบบเดียวกันอยู่ในหัวใจเรา แล้วจะไปตำหนิใคร นี่อันหนึ่ง แยกเป็นหลายข้อหลายกระทงซิ

ทีนี้เราจะไม่ให้เป็นอย่างนี้อีก เราก็พยายามแก้ไขดัดแปลงทำแต่สิ่งที่ดีๆ เวลาได้อะไรมาก็มีแต่ของดีๆ ของดีไปหมด เอาละนะพากันจำไว้ เท่านั้นพอ เทศน์มากวันนี้หมดภูมิ วันนี้ก็หมดแล้ววันหน้าต้องหาใหม่

        หลวงตาไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรแล้วเดี๋ยวนี้ บวชมาก็นาน ความขี้เกียจก็มาก แม้ที่สุดกินข้าวก็ขี้เกียจแล้วนะเดี๋ยวนี้ โธ่ นี่มันกำลังจะตายอยู่นะนี่ ทั้งหลายอะไร ๆ เขาขี้เกียจหมด แต่เรื่องกินนี้ขยันนะ ทีนี้เรากลับมาขี้เกียจจนกระทั่งกินเดี๋ยวนี้ เอ้า มันกำลังจะไปแล้วเหรอ จวนจะไปแล้วเหรอ ใครเคยขี้เกียจไหมกิน ถ้าทำงาน โอ๊ย เหนื่อย พอว่ากินละปั๊บๆ แล้ว ลิงไม่ทันนะ ลิงสิบตัวนี้วิ่งตามหลัง นี่เป็นยังงั้น เวลาหนุ่มเวลาน้อยมันกินเก่ง นอนหลับครอก ๆ มีคนเอาข้าวไปสอดปั๊บเข้าไปในปากนี้ ทั้ง ๆ ที่หลับครอก ๆ อยู่นะ ทั้งเคี้ยวทั้งกลืนเรื่อย หลับครอก ๆ ไปเรื่อย เอ้า วัยมันดื่ม มันดื่มจริง ๆ นะ

พอถึงวัยนี้แล้ว โอ๊ย เท่านั้นแหละ บิณฑบาตก็ไปเฉย ๆ มันไม่เห็นอยากอะไร เป็นปีเป็นเดือนอยู่ยังงั้นประจำนะ แต่มันดีอย่างหนึ่งที่มันไม่ฝืน เฉย ๆ นี่มันฉันได้นะ ถ้าอย่างหนึ่งมันไม่อยากแล้วมันยังฝืนอีกนะ มองเห็นอาหารนี่กำหนดดูนี่ปั๊บ มันเหมือนกับเป็นข้าศึก มันไม่เอา ทีนี้เราก็ฝืน ฝืนฉันลงไปไม่กี่คำ ฝืนกว่านั้นไม่ได้จะอาเจียนต่อหน้าต่อตา เราต้องหยุด มันเป็นยังงั้นนะ เดี๋ยวนี้มันขี้เกียจจนกระทั่งกินข้าว แต่ก่อนกินข้าวไม่ขี้เกียจ อย่างอื่นยกให้จอมขี้เกียจ แต่กินข้าวนี้จอมขยัน แต่เดี๋ยวนี้มันเลยขี้เกียจไปตาม ๆ กันหมด อ้าว มันจะไปแล้วเหรอ

จำไว้นะลูกหลาน เวลานี้ ให้มันขยันหน้าที่การงาน ให้มันขี้เกียจกินไว้ก่อนนะ ถ้าปล่อยให้มันขยันละฉิบหายหมด ไม่มีเหลือเลย เดี๋ยวไปฟาดสุราเข้าไปอีกแหละ มันขยันไปยังงั้นนะ ขยันไม่เข้าท่า ฟาดสุรายาเมาไปยังงั้น สูบเฮโรอีน กินกัญชาไป นี่ปากมันเป็นยังงั้น ปากนี้สำคัญอยู่นะ ทำลายมาก..ปาก นี่ว่าเทศน์จบแล้วมันขึ้นยังไงได้อีก หลวงตา ป.๓ มันขึ้นไปได้ ป. ๔ ได้ยังไง

************

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก