วันที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
วันที่ 4 กรกฎาคม. 2535
สถานที่ : สวนแสงธรรม

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕

เราเทศน์ภาษาธรรมะป่านี่ ท่านปัญญาจึงแปลได้ดี ไม่ใช่รู้ภาษาอังกฤษเฉย ๆ ภาษาไทยเฉย ๆ อย่างปริยัติเราก็เรียนนี่ ปริยัติมันก็รู้ตามตำราไปเท่านั้น มันไม่ละเอียดลออยิ่งกว่านั้นไป ภาคปฏิบัติล่ะซิจากตำราไปละเอียดลออซึมซาบไปหมด ภาคปฏิบัติเป็นของเล่นเมื่อไหร่ พระพุทธเจ้านำธรรมมาสอนโลกก็เอาภาคปฏิบัติ พระองค์เองปฏิบัตินำมาสอนโลก สาวกทั้งหลายมีแต่ภาคปฏิบัติล้วน ๆ สอนโลก ภาคความจำ เจ้าของก็สงสัยสอนคนอื่นจะเอาความแน่นอนมาจากไหน ถ้าภาคปฏิบัติเจ้าของก็รู้ เจ้าของก็แน่ใจ สอนคนอื่นก็จะผิดตรงไหน สอนด้วยความแน่ใจ มันผิดกัน

ก็ดีอย่างหนึ่งที่เราได้เรียนมาพอสมควร เวลาพูดอย่างนี้เราพูดด้วยความเข้าใจ เราไม่ได้พูดด้วยความด้นเดา เราพูดจริง ๆ เรียนมายังไง ตำรับตำราว่ายังไง ก็เรียนไปตามนั้น ๆ มันก็เข้าใจเพียงแค่นั้น มันไม่ละเอียดลออ ก้าวเข้าไปภาคปฏิบัติโน่น มันจะซึมซาบแจงออก ๆ ละเอียด ๆ ละเอียดลงไป ละเอียดจนไม่มีสิ้นสุดภาคปฏิบัติ ธรรมกับใจซึมซาบเข้าสู่กันด้วยความละเอียดเท่าไร ๆ ก็ยิ่งจะเห็นความอัศจรรย์ของธรรมละเอียดลออ นั่น จึงนำมาแสดงทั้งออกมาจากหลักความจริงที่ท่านรู้ท่านเห็น ท่านทรงไว้แล้วมาสอน จึงผิดกันอยู่มากนะ

นี่ถ้าหากว่าเราไม่ได้เรียนมั่ง เขาก็จะว่าหลวงตาผีบ้า เกิดมาตั้งแต่โคตรแต่แซ่มันไม่เคยเรียนหนังสือ มันจะไปรู้ภาษีภาษาอะไร มันก็ว่าด้นเดาไป เขาก็จะว่างั้นได้นี่ แต่นี่มันก็เรียนเหมือนกัน นั่นซิ พอพูดถึงเรื่องอะไร ๆ มันกระเทือนถึงกันทันที ๆ พวกเรียนด้วยกันนั้นละ ถ้าอยากทรงศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้ประจักษ์สด ๆ ร้อน ๆ นี้ เรียนจำได้แล้วนั่นคือแบบแปลนแผนผังละนั่น เราเรียนจำได้มากได้น้อยก็เหมือนกับแบบแปลนของบ้านของเรือน เป็นเพียงทิศทางเดิน ทีนี้เราก็ปฏิบัติตามแบบแปลนเช่นเขาปลูกบ้านสร้างเรือน เขามีแปลนเสียก่อน แปลนบอกไว้ยังไง ๆ แปลนเป็นที่ยืนยันรับรองแล้ว เราก็ปฏิบัติตามแปลนนั้น เวลาสำเร็จเป็นตัวบ้านตัวเรือนขึ้นมาก็สมบูรณ์ตามแปลน ถ้ามีแต่แปลนเฉย ๆ เราไม่สร้างบ้านสร้างเรือน เขียนมากเท่าไรก็เต็มห้อง มีแต่แปลนอยู่เต็มห้อง แต่มันไม่เป็นบ้านเป็นเรือนให้ มองดูบ้านดูเรือนไม่เห็น เห็นแต่แปลนเต็มกระดาษ แน่ะ

ก็คือเราเรียนมาจากตำรับตำรา มาไว้ที่หัวใจ ๆ ก็เหมือนกับเอาแบบแปลนแผนผังตำรับตำรา เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องมรรคผลนิพพาน เข้ามาบรรจุไว้ในใจของเราด้วยความจำเท่านั้น ไม่ใช่ความจริง มันก็เท่ากับเอาแปลนมาไว้ในห้องนั่นแหละ ทีนี้นำแปลนออกมาจากห้อง จะเอาบ้านเรือนขนาดไหน ดูแปลน แล้วสร้างตามแปลนนั้น มันก็สำเร็จขึ้นมา จนกระทั่งสำเร็จโดยสมบูรณ์ตามแปลนนั้นแล้ว ก็ใช้ได้เต็มที่ นี่ท่านแสดงไว้ว่ายังไง ตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่รับบาปบุญนี่

ฟังนะ นี่เริ่มเทศน์แล้วนะ หลวงตานี้ไม่ได้ขึ้นเวทีไม่ได้ตั้งนโมนะ ขึ้นเวทีดีไม่ดีไม่ยกครูต่อยเลย ใครเก่งก็เก่ง ใครไม่เก่งตกเวทีเลย นี่ลูกศิษย์ไม่ดีทั้งหลายลงหมอนเลย กำลังเทศน์แล้วง่วงดีนักนะ พูดเรื่องอะไรลืมแล้ว อ๋อ ! เรื่องแปลน คือศาสนาของพระพุทธเจ้านี่เป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลตลอดมาและจะตลอดไป ถ้ายังมีภาคปฏิบัติติดแนบกันอยู่ ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติมีแต่ภาคปริยัติ การศึกษาเล่าเรียนล้วน ๆ มาเท่านั้น ไม่มีภาคปฏิบัติเข้าแฝงเลยนั้นก็จะมีแต่ความจำ ศาสนาพุทธของเรา คำว่าผลว่าผลจะไม่มี จะมีตั้งแต่ความจำ คือมรรคและปฏิปทาเครื่องดำเนินไม่มีผลก็ไม่มี ก็จะมีแต่ภาคความจำ

ใครเรียนใครก็จำได้ ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าหญิงว่าชาย เรียนที่ไหนก็จำได้ด้วยกัน เพราะความจำมันจำได้ด้วยกันทุกคน เรียนอะไรก็ต้องจำได้ แต่ทีนี้จำได้เท่านั้นมันไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ความเชื่อถือตัวเองก็ไม่มี ว่าตนได้เชื่อตามหลักที่ท่านได้ทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้นอย่างไรไม่มีในใจ มีแต่ความสงสัยไปเรื่อย ๆ นั่นความจำเป็นยังงั้นนะ

ความจำไม่ได้สร้างความสว่างกระจ่างแจ้งให้เราหายสงสัยนะ ความจำนั้นจำได้เรื่องนรกก็รู้ รู้ตามความจำ แล้วก็ไม่พ้นที่จะวาดภาพดูนรก นรกเป็นยังงั้น ๆ คงจะเป็นหลุมใหญ่หลุมเล็กหลุมอะไรอยู่ เหมือนหลุมถนนกลางบ้านกลางเมือง เมืองใหญ่ ๆ มักจะมีหลุมใหญ่ ๆ พอเข้าเขตเทศบาล เสียงรถงี้ตึงตัง ๆ แต่นี้มันดีนะในกรุงเทพฯ มันถนนลาดยางหมด ทางต่างจังหวัดละก็ก้าวเข้าในตัวเมืองแล้วนอนหลับก็ตื่น พอเข้าถึงตัวเมืองมันตูมตาม ๆ หลุมใหญ่หลุมน้อยเต็มไปหมด นี่นะวาดภาพนรก เราก็จะวาดภาพหลุมใหญ่หลุมน้อยเป็นลำดับลำดา

นรกมีกี่หลุม ท่านแสดงไว้ในมหาวิบาก ก็มีถึง ๒๕ หลุม หลุมแรกก็หลุมที่จมเลย กี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้พ้นจากนรกนั้นขึ้นมา แล้วก็ถัดขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าขึ้นมาแล้วผ่านไปเลยนะ ขึ้นมาจากขั้นมหันตทุกข์เต็มที่แล้วก็ถอยออกมาก็มาอยู่ขึ้นหลุมนี้ ๆ ๆ เรื่อย ทีนี้เราเรียนไปดูซิน่ะ พอเรียนไปว่านรกมี ๒๕ หลุม มันก็จะไปวาดภาพหลุมหนึ่งเป็นยังงั้น หลุมหนึ่งเป็นยังงี้ ในความจำของเรานี้นะ มันสัญญามันคาดมันหมาย มันไม่ได้เป็นจริง เหมือนพระพุทธเจ้าท่านทรงรู้ทรงเห็นหรือสาวกองค์ที่ท่านเชี่ยวชาญ ท่านเห็นคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า ถึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนพระพุทธเจ้าก็ตาม ท่านก็เห็น ยันได้เลย นั่น ! นี่ผู้ไปเห็น แล้วก็ผู้ไม่เห็น มันต่างกันยังไง

ผู้ไม่เห็นจะมีแต่วาดภาพหลอกตัวเองตลอดเวลา ว่านรกหลุมไหน มันก็จะวาดภาพหลอกตัวเอง แล้วก็ไม่พ้นความสงสัย แม้วาดภาพแล้วก็ยังสงสัยในภาพนั้นอีก สงสัยในนรกนั้นอีก เรื่อยขึ้นมา เอ้า !สวรรค์ นี่ก็เหมือนกัน สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ เรียนไปเรียนด้วยกันทุกคน เพราะท่านดึงลงมาจากความจริง สวรรค์ก็มีจริง ๆ มีเท่านั้นชั้นเท่านี้ชั้นจริง ๆ ท่านสอนมานี่ ท่านสอนด้วยความรู้เห็นจริง ๆ แล้วนำมาสอน ถึงได้สอนเรา เวลาเราเรียนแล้วเราเรียนด้วยความจำ เราไม่เห็น จำได้เฉย ๆ มันก็ไม่พ้นภาพที่จะหลอกตัวเองว่าสวรรค์ชั้นนั้น ๆ เห็นจะเป็นยังงั้น ๆ เรื่อยเลย นี่เรียกว่าภาคความจำ

ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาที่ทรงไว้ซึ่งมรรคซึ่งผลโดยสมบูรณ์ แต่ผู้ที่เรียนไม่มีภาคปฏิบัติเลย ไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส มีแต่ศึกษาเล่าเรียนเฉย ๆ ไม่มีภาคปฏิบัติดำเนินตามที่ท่านทรงสอนก็ไม่เห็นบุญเห็นบาปประจักษ์ใจ ไม่เห็นนรกสวรรค์ตลอดถึงนิพพานประจักษ์ใจ ถ้าผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามแล้วจะไม่ไปไหน จะไปตามแบบแปลนแผนผังนั้นตลอดจนกระทั่งถึงนิพพาน นี่ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่เปิดโล่งออก ความสงสัยจะไม่มี ไม่มี ค่อยหมดไป หมดไป เมื่อประจักษ์ใจแล้วก็หมดไป ๆ

นี่แหละพุทธศาสนาของเรา ขอให้พี่น้องชาวพุทธของเราได้ทราบเอาไว้ แล้วพากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ดัดกายวาจาใจของตนให้เป็นไปตามแบบแปลนแผนผังที่ท่านแสดงไว้แล้ว โดยถูกต้อง อย่าได้ฝ่าได้ฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราต้องการเป็นลูกศิษย์ที่มีครูได้แก่ศาสดาของเรา ให้ฟังคำครู เราอย่าฟังสิ่งชั่วช้าลามก และเชื่อสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลายเหล่านั้นว่าดีกว่าครูคือศาสดาของเรา ว่าดีกว่าธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้แล้วโดยความถูกต้องดีงาม ให้เราเชื่อบุญเชื่อกรรมตามคำสั่งสอนของท่าน เราอย่าเชื่อความอยากเป็นของดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าพระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราเป็นความอยาก ความทะเยอทะยาน ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสผลักดันออกมาให้ทำ ให้พูด ให้คิดแล้ว เราจะถูกต้มถูกตุ๋นเรื่อย ๆ ไป เจออะไรก็จะมีแต่ความทุกข์ความทรมาน

เพราะกิเลสฉุดลากออก หัวใจของเราออกไปให้คิดให้ทำให้พูดนั้นล้วนแล้วแต่ฝ่ายต่ำทั้งนั้น กิเลสไม่พาคนไปฝ่ายสูงหรอก ต้องพาไปต่ำเสมอ ๆ แต่ส่วนมากสัตว์โลกมันจะเชื่อตามฝ่ายต่ำนั้นโดยละเมิดขบเคี้ยวกันไปแล้วเหมือนกับว่าฝ่ายต่ำมันเลิศยิ่งกว่าฝ่ายสูง ธรรมสู้ฝ่ายกิเลสไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็สู้กิเลสไม่ได้ สู้ความอยากของเราไม่ได้ ความอยาก ความทะเยอทยานของเรานี้มันเลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เราก็เลยกลายเป็นลูกศิษย์ไม่มีครูไปนี้ก็ให้กิเลสเอาไปต้มไปตุ๋นเสีย วันหนึ่ง ๆ ๆ มีแต่ถูกต้มถูกตุ๋นเพราะการทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ แล้วขนแต่กองทุกข์เรียกว่าบาปว่ากรรมนั้นแลเข้ามาสู่ใจ สู่ใจ ผลที่ตกออกมาก็เป็นวิบาก คือความทุกข์ความทรมานมากน้อยที่ตนได้ทำลงไปนั้นด้วยความอยากของตนที่เห็นว่าเลิศกว่าสิ่งใด แล้วสุดท้ายก็เลวกว่าสิ่งใด ทุกข์มากยิ่งกว่าสิ่งใด เวลามันให้ผล

นี่เราเป็นชาวพุทธขอให้คำนึงเสมอ ตื่นเช้าขึ้นมาขอให้ได้ไหว้พระ อรหังสัมมาสัมพุทโธ สวากขาโต สุปฏิปันโน นี้เป็นพื้นชีวิตของเรา ที่เราจะต้องฝากเป็นฝากตายกับพุทธ ธรรม สงฆ์ นี้โดยแท้ สิ่งเหล่านั้นถึงเราจะมีความอยากความทะเยอทะยานกับมันเท่าไหร่ก็ตาม ไม่ใช่เป็นสิ่งที่แนบสนิทติดกับใจของเราให้เป็นที่ฝากเป็นฝากตายกันได้ นอกจากเป็นข้าศึก ไม่ใช่เป็นคู่มิตรคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย เหมือนพุทธ ธรรม สงฆ์ ของเรา จงพยายามดัดแปลงจิตใจของเรา อย่าปล่อยใจให้เป็นไปตามฝ่ายต่ำมากนัก พยายามหักห้ามตนเสมอ ผู้ใดมีการหักห้ามตนจากความชั่วอยู่เสมอ ผู้นั้นจะมีทางยับยั้งตั้งตัวได้ และเป็นคนดีในกาลต่อไป

ถ้าผู้ใดปล่อยเนื้อปล่อยตัว ปล่อยกายวาจาใจ ความประพฤติให้เป็นไปตามความอยาก ความทะเยอทะยาน ผู้นั้นจะไม่มีที่เกาะที่ยึดเลย ถ้าเป็นน้ำก็เรียกว่า ตกน้ำในท่ามกลางมหาสมุทร หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้เลย ตายลงไปก็แบบนั้นแหละ คนไม่มีที่พึ่ง ตายลงไปจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่ง เมื่อยังมีชีวิตอยู่เราก็ไม่เสาะแสวงหาที่พึ่งคือคุณงามความดีทั้งหลาย เวลาเราตายไปแล้วเราจะไปพึ่งท่าน เราจะเอาอะไรมาพึ่ง ไม่มีอะไรจะมาสนองเราแล้ว เพราะเราไม่ได้สร้างไว้ ไม่ได้สร้างธรรมเหล่านั้นไว้

บรรดาท่านผู้ได้รับความสุขความเจริญเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน ท่านสร้างไว้ทั้งนั้น สร้างเหตุไว้แล้ว ผลก็แสดงตอบให้เป็นที่พอใจพึงใจเป็นลำดับลำดา นั่นจงพยายามสร้างเหตุอันดีเอาไว้ เวลานี้เรายังมีครู ครูของเรายังมี คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียนจดจำมาได้แล้ว ให้พึงประพฤติปฏิบัติตน อย่าปล่อยให้เป็นไปตามความอยาก

อันเรื่องความอยากนี้มันมีอยู่ทุกหัวใจ เว้นใจพระพุทธเจ้าและใจพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นไม่มีเว้นเลย มีความอยากเป็นเครื่องบังคับบัญชาเสมอ ที่จะให้คนตกลงฝ่ายต่ำเรื่อย ๆ และสร้างบาปสร้างกรรมโดยไม่รู้สึกตัวว่าตนได้สร้างบาปสร้างกรรม และทำด้วยความพอใจด้วย เพราะทำด้วยความอยาก มันต้องมีความพอใจทำ มันทำแล้วผลเราไม่พึงปรารถนา แต่มันก็ต้องได้รับเช่นเดียวกับเราพอใจทำ เราพอใจทำแต่เราไม่พอใจรับกรรม แต่กรรมก็เป็นที่สนองเราเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดียวกันนั้นแล เพราะคำว่าผลนั้นเกิดขึ้นมาจากเหตุ เหตุผิดขึ้นมากน้อยประการใด ผลก็ต้องปรากฏขึ้นมาตามเหตุนั้น

ท่านถึงว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี่เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อันที่ว่าทำชั่วได้ดี ทำดีได้ชั่วนี้เป็นกลมายาของกิเลสหลอกคนให้ทำชั่ว คนใดที่ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี คนนั้นมักจะทำชั่วเสมอ ทำได้ทุกแบบทุกฉบับ คนที่ว่าทำชั่วได้ดีนั้นแล้วทำดีได้ชั่ว ต้องเป็นไปตามอำนาจของกิเลสที่หลอกลวง คนจึงฉกลักปล้นจี้สะดมกันได้ทำความชั่วช้าลามกได้ เพราะเชื่อไปตามกิเลสว่าทำชั่วไม่ได้ชั่ว ทำดีไม่ได้ดี เราจะทำตามความอยาก ความทะเยอทยานของเรานี้ และผลสุดท้ายมันก็เป็นความชั่ว และโดนชั่วจนได้นั้นแล

นี่แหละหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ากับหลักคำสอนของกิเลสซึ่งเป็นคู่แข่งกัน หรือเป็นข้าศึกกัน มันเคียงกันไปเคียงข้างกันไป เผลอเมื่อไรมันก็เอาเมื่อนั้นแหละ นี่กิเลสมันก็อยู่ในหัวใจเรา ธรรมก็อยู่ในหัวใจเรา ให้พึงพินิจพิจารณา ปัญญาก็มีอยู่ในหัวใจเรา คือความโง่ความฉลาดนั้นอยู่ที่หัวใจเรา ถ้าเราเอาความฉลาดโดยธรรมมาใช้ เราก็แก้ความชั่วช้าลามกหรือระงับสิ่งที่อยากทำอันเป็นความชั่วทั้งหลายนี้ได้ ถ้าเราไม่ฉลาดในขณะเดียวกันก็คือโง่ ก็ต้องเป็นไปตามกิเลสให้กิเลสหลอกลวง ต้มตุ๋นไปเรื่อย ๆ ผลสุดท้ายคนนั้นก็เหมือนกับตกน้ำในท่ามกลางมหาสมุทร จะลอยไปไหนมันถึงจะพ้น ฟังสิ คนตกน้ำในมหาสมุทรก็มีแต่รอแต่เวลาจมเท่านั้น

คนไม่ได้สร้างคุณงามความดีไว้เลย สร้างแต่ความชั่วช้าลามก เข้ามาเป็นเครื่องทำลายสังหารตนอยู่ตลอดเวลา เวลาตายแล้วก็จมลงไปเหมือนคนตกน้ำในท่ามกลางมหาสมุทรนั้นแล คนตกน้ำในวิบากกรรมก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน คำว่าวิบากกรรมคือผลแห่งกรรมชั่วที่ตนสร้างไว้แล้วมีจำนวนมากขนาดไหน ผลกรรมเหล่านั้นแลจะเป็นเครื่องมาบีบบังคับเราอยู่ตลอดเวลา จนหาเวล่ำเวลาที่จะหลุดพ้นไปไม่ได้ เพราะเราสร้างไว้มาก ผลก็ต้องทวีรุนแรง

เมื่อเราทราบเสียตั้งแต่ต้นมืออย่างนี้ ก็จงพยายามดำเนินตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ เช่นว่าวันนี้เป็นวันว่าง เรามาทำบุญให้ทาน มาใส่บาตร ใส่บาตรที่บ้านก็ตามที่วัดก็ตาม มาให้ทาน ทานเรื่องอะไรก็ตามเป็นการสั่งสมขึ้นสมบูรณ์ และสร้างอัธยาศัยอันกว้างขวางขึ้นภายในจิตใจของตน หรือเปิดประตูหัวใจของเราให้โล่งรับความดีทั้งหลายก็ไม่ผิด แล้วความดีทั้งหลายก็จะไหลเข้ามา เมื่อหัวใจของเราเปิดโล่งเพื่อรับความดี ความดีก็ไหลเข้ามาเรื่อย

การให้ทาน รักษาศีล ภาวนา นี่แหละเป็นทางเดินเข้ามาแห่งความดีทั้งหลาย ก็จะไหลเข้าสู่ใจของเราให้มีความเย็นฉ่ำอยู่ตลอดเวลา ถึงร่างกายมันเป็นคติธรรมดาของโลกไม่ว่าใครเกิดแล้วต้องตายอย่างนั้นก็ตาม แต่คนที่มีบุญมีกุศลย่อมมีความยิ้มแย้มแจ่มใสภายในจิตใจ มีหลักยึด มีสรณะเป็นที่พึ่ง บุญเป็นสรณะอันสำคัญ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือ พุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นสรณะอันสำคัญสำหรับยึดสำหรับเกาะของเรา เวลาตายก็เป็นไปตามนี้ไม่เป็นไปอย่างอื่น

เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกโลกมาแต่กาลไหน ๆ นอกจากสั่งสอนตามหลักความจริงทั้งนั้นนี่ เมื่อเราได้สร้างบุญสร้างกุศลอยู่ตลอดเวลา ก็เรียกว่าสั่งสมเสบียงกรังของเราไว้ให้พอกับการก้าวเดินของเราที่จะไปในภพต่าง ๆ เพราะอย่างไรก็ต้องไปแน่ ๆ

ไม่มีใครจะหักห้ามวัฏจิตนี้ไม่ให้หมุนเวียนเพื่อความเกิดแก่เจ็บตายนั้นได้เลย ต้องเกิดแก่เจ็บตายไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ แต่ที่มีแปลกกันอยู่บ้างก็คือ ผู้สร้างความดีถึงจะเกิดจะตายไปเกิดในภพต่าง ๆ ก็ตาม สิ่งที่สนองในสถานที่เช่นนั้นหรือภพกำเนิดที่เกิดของตนนั้นต่างกันกับความชั่ว คนดีไปเกิดรูปร่างก็ดี สถานที่อยู่อาศัยก็เป็นอำนาจของวิบากกรรมดีทั้งนั้น ๆ ถึงจะไปตายในภพใดเกิดในภพใดก็ตาม ผู้มีความดี ความดีย่อมตามสนองโดยสม่ำเสมอ ตรงกันข้ามกับผู้มีแต่ความชั่วช้าลามก เกิดตายเหมือนกับผู้ดีนั้นแล แต่เกิดที่ไหนตายที่ใดมีแต่กองทุกข์มีแต่ฟืนแต่ไฟวิบากกรรมของตนเองเป็นผู้สร้างไว้แล้วเผาไหม้ตนเองให้หาความสุขความเจริญไม่ได้เลย

เมื่อเราทราบต้นมืออย่างนี้แล้วให้พยายามหักห้ามตัวของเราในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย อย่าปล่อยใจให้ทำ ไม่มีใครมารับผิดชอบเราแหละในโลกอันนี้ หมดเป็นแต่พ่อแม่ก็รับผิดชอบเราได้แต่เพียงชีวิตจิตใจ ความเป็นอยู่ อาหารการบริโภค แต่เรื่องบาปเรื่องกรรมนั้นพ่อแม่รับบาปรับเป็นเครื่องประกันเราไม่ได้ ต้องเป็นตัวของเราแต่ละคน ๆ

นี้ก็เราโตแล้วทุกคน ทราบแล้ว บุญก็ทราบ บาปก็ทราบเพราะศาสดาทุกพระองค์สอนเน้นลงไปที่บุญและบาป ไม่ไปสอนอย่างอื่น อันนี้เป็นอันดับแรกเลย นี่เราก็ทราบด้วยกันแล้วเรื่องบุญเรื่องบาป เราอย่าฝ่าฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการทำลายตัวเองนั้นแล พยายามปฏิบัติตนตามหลักธรรม ได้มากได้น้อยอย่าลดอย่าละ

การทำบุญให้ทานก็อย่างที่เราทำนั้นแล อย่าลดอย่าละให้เป็นเครื่องสืบต่อกันอยู่เสมอ มีมากมีน้อยมีเท่าไรเราทำตามความมีความเกิดของเราด้วยความพอใจของเรา เราอย่าไปคอยให้เป็นเศรษฐีเสียก่อนถึงจะให้ทาน คอยเป็นเศรษฐีเสียก่อนถึงจะภาวนา หรือคอยให้เป็นมหาเศรษฐีเสียก่อนถึงจะทำบุญให้ทาน อย่างนี้เป็นการคิดผิด เป็นเรื่องของกิเลสหลอกคนให้ตายเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

มีเท่าไรเราทำเสียบัดนี้ ๆ ในวันนี้ เวลานี้ ดังพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ว่า อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ยทตีตมฺปหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ เรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วเราก็ไปรับผิดชอบเรามาแล้ว ทุกข์สุขเราก็เคยสุข ทุกข์เราก็ทุกข์ได้รับผิดชอบของตนได้ผ่านมาแล้วเอ้าปล่อยมันไป เพราะผ่านมาเรียบร้อยแล้ว เป็นรอดพ้นแล้ว เช่นติดคุกก็ได้ออกจากคุกมาแล้วเวลานี้ เราจะสร้างตัวเราให้เป็นคนดีในวงปัจจุบัน อนาคตจะเป็นอะไรก็ดูปัจจุบันนี้ ท่านบอกให้ดูปัจจุบัน ปัจจุบันนี้หมุนเข็มทิศที่ความประพฤติเป็นยังไงบ้างไปในทางใดบ้าง ถ้าหมุนไปทางชั่ว ทางการหมุนอย่างนี้แลจะเป็นไปในเพื่อความล่มจมในอนาคต ถ้าปัจจุบันนี้หมุนดีอยู่แล้วปัจจุบันนี้แลจะเป็นเครื่องหมุนตัวเพื่ออนาคตอันดีงามเป็นสุคโต เพราะอยู่ก็ดีทำแต่ความดี ตายก็ต้องดีไปข้างหน้าก็ดี ให้เรายึดอันนี้เป็นหลักไว้

และเพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบในตัวของเราทุกคน ๆ เวลาจนตรอกจนมุมแล้วจิตของเรานี้เวลานี้มันก็วิ่งอยู่ หาอยู่ หาอยู่เรื่องคุณงามความดี หาความสุขความเจริญ หาอำนาจวาสนา บุญญาภิสมภาร มันเสาะมันแสวงหาอยู่เหมือนกัน แต่ไม่หนักแน่นไม่เน้นหนักไม่เป็นเอามากเหมือนเวลาจะจนตรอกจนมุม เวลานั้นเป็นเวลาที่จิตวิ่งว่อนที่สุดเลย ถ้ายิ่งคนมีความชั่วช้าลามกมาก ๆ ด้วยแล้ว เป็นไฟก่อน ไปผีนรกตั้งแต่ผียังไม่เผา ไฟนรกบางคนคือเรานี่แหละเผาเราเอง เพราะเราสร้างเอาไว้เผาก่อนแล้ว ๆ พอตายลงไปก็จมปึ๋งทันทีเลย ไม่มีอะไรหักห้ามไว้อยู่เลยในโลกธาตุนี้เพราะอำนาจของกรรมรุนแรงมาก นี่เวลาจำเป็นเป็นอย่างนี้ มันจะมีด้วยกันทุกคน

เมื่อเราพยายามดัดแปลงแต่งกายวาจาความประพฤติของตนให้เป็นไปในสิ่งที่ดีงาม ประพฤติตัวแต่สิ่งที่ดี การกระทำก็มีแต่การให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ตามมากตามน้อยตามกำลังศรัทธา ความสามารถของเราอยู่โดยสม่ำเสมอแล้วก็จะมากขึ้นโดยลำดับ เหมือนกันกับฝนที่ตกมาทีละหยดละหยาดยังมหาสมุทรให้เต็มได้ ฉันใดก็ดีบุญกุศลที่สั่งสมทีละเล็กละน้อยก็สามารถที่จะทำดวงใจของเราให้เต็มไปด้วยกุศลเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อเราได้สร้างคุณงามความดีให้เป็นที่พอใจของเราโดยสม่ำเสมอแล้ว เวลาจะตายจิตก็เอิบอิ่มภูมิใจในตัวเอง

ร่างกายก็รู้ว่ามันจะแตกขนาดไหน เมื่อมันทนไม่ได้แล้วมันจะต้องแตกแน่ ๆ จิตอันนี้ไม่ได้ไปเป็นน้อยกว่าร่างกายแล้ว ร่างกายมันแตก จิตนี้มันไม่แตก ไม่เป็นน้อยกว่ากันอย่างนี้เอง จิตเป็นใหญ่ในตัวเอง จิตรับบุญรับกุศลแล้วก็ดีดผึงเท่านั้นแหละ ร่างกายเอ้า ลงไปในภพไหนก็ตามทิ้งภพนั้น เอาภพใหม่ ภพใหม่ที่มีบุญมีกุศล ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับรถคันนี้มันโปเกแล้วนี่ ซื้อมา 300 บาท ไม่ใช้มันโปเกแล้ว ฟาดคันนี้เอาเท่าไหร่ 10 ล้าน เพราะเรามีเงินเราฟาดมันมา 10 ล้าน แต่จะไปหาซื้อรถซิ่ง ๆ แซ่ง ๆ นั้น มันจมตายกลางสะพานตามถนนหนทางมันแข่งกันว่าดิบว่าดี โดยเวลาตายมันไม่เห็นดี นั่นละ เรื่องความเห่อความทะเยอทยาน มันไม่รู้จักเป็นจักตาย แต่มันก็ตายยังงั้นให้ระมัดระวัง

นี่เราเทียบถึงเรื่องร่างกาย ร่างกายเรานี้คุณค่าของมันมีเพียงเท่านี้ เท่ากับรถเราซื้อมา 300 บาท มันใช้ไม่ได้แล้วมันหมดกำลัง เอ้า ! ทิ้งรถคัน 300 บาท ไปฟาดเอารถคัน 10 ล้านมาใช้เป็นไรไป แต่เราอยากให้ถ้ารถคัน 10 ล้าน เราอยากให้ได้ขนาดรถไฟคันหนึ่ง เราไม่อยากให้ได้รถซิ่ง ๆ แซ่ง ๆ อย่างเขาขับบ้ากันอย่างนั้น เข้าใจไหม ถ้าเราอยากเป็นบ้าก็ไปเอารถคันละ 20 ล้าน ก็ไปเอามา แต่อย่าขับไปวัดป่าบ้านตาดนะ ถ้าไม่อยากให้รถพังเพราะก้อนอิฐ ก้อนหิน เพราะแถวนั้นมีเยอะ หลวงตาบัวปาได้สบายเลย

นี่เราเทียบถึงร่างกายของเรา เวลามันหมดสภาพอันนี้แล้ว คุณงามความดีของเรามีก็เท่ากับเรามีทรัพย์ เวลารถคันหนึ่งเราจะเอาคันละ 10 ล้านก็ยังได้ นี่ร่างกายที่ดีของเราดียิ่งกว่าร่างกายที่เปรียบเทียบกับคุณค่าของมันเท่ากับ 300 บาทนั่น ถ้าเอาเป็นกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ ก็ยังได้ เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุสลของเรา พอขาดลมหายใจเท่านั้นติดปั๊บเลย นี่บุญช่วยคนช่วยอย่างนี้นะ บาปบีบคนก็บีบอย่างนี้ไม่มีเข้าไปเป็นใหญ่ในบาปได้ และไม่มีใครเป็นใหญ่ในบุญได้ บุญเป็นสมบัติของผู้นั้น ผู้นั้นเป็นผู้ครองแต่ผู้เดียวให้พากันเข้าใจ

วันเช่นนี้เป็นวันว่างให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ คือว่างจากหน้าที่การงานของเราที่วิ่งเต้นขวนขวายหามาอยู่เพื่ออยู่เพื่อกิน ความเป็นอยู่ในธาตุในขันธ์ของเรามีความบกพร่องต้องการอย่างนั้นตลอดเวลา เราต้องขวนขวายให้เขา เวลาว่างสำหรับบุญที่จะเข้าสู่ใจเป็นอาหารของใจซึ่งเป็นของสำคัญมากยิ่งกว่าร่างกายก็ขอให้เสาะให้แสวงหา ให้ถือว่าวันนี้ว่าง ว่างเพื่อจิตใจว่างเพื่อสมบัติของใจ ส่วนนั้นเป็นสมบัติของร่างกาย วัตถุเงินทองเข้าของทั้งหลาย สมบัติเพื่อร่างกายด้วย เพื่อเสาะแสวงหามาทำบุญเป็นบุญเป็นกุศลด้วย แล้วเราก็มาทำบุญทำกุศลอย่างนี้ด้วย นี่เพื่ออาหารของใจให้ใจรับความสุขความเจริญ

กายกับใจให้มีความจำเป็นเท่ากัน อย่างน้อยเท่ากัน ถ้าจะให้ถูกต้องแล้ว ทางจิตใจนี้มากกว่าถูกต้อง เพราะจิตใจนี้ถ้าจะก้าวเดินไปข้างหน้านั้น แหม ! สมบุกสมบันมากนัก และนานแสนนานร่างกายของเรานี้อายุคนหนึ่ง ๆ เราเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ เกิดมาอายุเท่าไร ๆ ก็ตายไป ๆ ส่วนใจนี้ไม่เคยตาย แต่จะต้องสมบุกสมบันในการก้าวเดินข้างหน้า ถ้าบุญพาก้าวเดินก็มีความสุขความเจริญรุ่งเรืองไปเรื่อย ๆ แล้วก็ย่นวัฏวนคือความเกิดตายหลาย ๆ ชาติเข้ามาให้น้อยชาติเข้ามาน้อยชาติเข้ามาเรื่อย ๆ เพราะอำนาจแห่งบุญ

ถ้าเป็นบาปแล้วนอกจากความทุกข์ความทรมานที่ตนจะพึงได้รับในภพชาตินั้น ๆ แล้ว ยังยืดเยื้อเรื่องของวัฏวนออกไปอีกมากมาย นานแสนนาน และยื่นออกไปนานแสนนานไม่ทราบว่ากี่กัปป์กี่กัลป์ถึงจะพ้นโทษแห่งความเกิดตายเพราะอำนาจกุศลเข้าช่วย เพราะตนไม่ได้ทำกุศลเอาไว้นี้ก็ไม่มีหวัง

เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพยายามเสียตั้งแต่ในบัดนี้ อย่าลืมเนื้อลืมตัว ชีวิตมีเท่าลมหายใจเหมือนกันหมด ลมหายใจขาด มหาเศรษฐีก็ตาย คนจนก็ตาย คนโง่คนฉลาดตายด้วยกันทั้งนั้น ให้ถือเอาลมหายใจเป็นจุดสำคัญ เป็นธรรมเทศนาสั่งสอนเรา อย่าให้ลืมเนื้อลืมตัว เราจะตายเหมือนโลกทั่ว ๆ ไปนั้นแลว่างี้ ให้เราสร้างอันใดที่จะดีต่อเรา ผู้นั้นชื่อว่าผู้ไม่ประมาท จะเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมทั้งหลายแล้วมีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อบุญต่อกุศล ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ไม่ขาดทุนสูญดอก เกิดไปภพใดชาติใดก็จะมีแต่ความสุขความเจริญจึงขอให้พี่น้องทั้งหลายจดจำเอาไว้ แล้วประพฤติปฏิบัติ

การแสดงธรรมก็เห็นว่าพอสมควร เอาละพอเท่านี้ นอกจากนี้ให้พร มีอะไรอีกล่ะ หรือจะให้เทศน์อีกหรือ มันปากเดียวหูมันเป็นพัน ๆ ไหวหรือเอ้า ! ให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก