วันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
วันที่ 25 ธันวาคม 2535
สถานที่ : สวนแสงธรรม

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕

เพราะหัวใจนั่นละที่ดีดดิ้นอยู่เวลานี้ไม่ใช่เพราะอะไรนะ เหนื่อยก็ทนเอา หัวใจนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมากที่สุดเลย นี่ซิโลกมองข้ามหัวใจ พระพุทธเจ้ามองดูหัวใจ ผู้มองหัวใจคือผู้สิ้นกิเลสผู้เลิศโลกมองดูหัวใจสัตว์ แต่สัตว์ทั้งหลายไม่มองดูหัวใจเจ้าของ มองดูแต่โน้น เถ่อโน้น ๆ

หลวงตาองค์นี้เหมือนบ้านะ ดูดูแล้วก็เหมือนบ้า บางทีก็พูดเหมือนบ้าทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นบ้า คนมามีหลายแบบหลายฉบับ เราก็ต้องเอาหลายแบบหลายฉบับออกใช้ซิ ควรเหมือนบ้าก็ให้เหมือนไป แต่เราไม่เป็นบ้าก็พอ....

เมื่อวานนี้เรียกว่าทั้งวันก็ได้ ตอนเที่ยงลงอุโบสถเมื่อวานนี้ เพราะปักข์ตกเมื่อวานนี้ พอบ่ายโมงกว่านิดหน่อยก็ไปวัดเทพฯ เสร็จงานก็ ๔ โมง พอดี ๔ โมงออกจากโน้น มาถึงนี้ ๔ โมง ๕๐ นาที จากวัดเทพฯ มานี้ ๕๐ นาทีรถไม่ค่อยติด ถึงรถมากก็ไม่ค่อยติด จากนั้นมาก็รับแขกตลอดเลย จนกระทั่ง ๖ โมงกว่าแขกลงไปหมดเราก็อาบน้ำ ด้อม ๆ มาอีก มาอีกแล้วจนกระทั่งได้ไล่กลับ ทุ่มครึ่งไล่กลับ เรียกว่าทั้งวันแหละเมื่อวานนี้ ที่ไหนก็ไม่ได้ว่างปกติเป็นอย่างนั้น อยู่ในวัดมาไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์เลย มาหลายจังหวัด บางทีก็ให้รอ พอมาพร้อม ๆ กันแล้วเข้าพบสักทีหนึ่ง ๆ ไม่งั้นเราตายจริง ๆ ไม่ไหวละเราเอาหัวใจโลกหัวใจเราเลยจะพัง ตรงนี้สำคัญ ต้องได้ระวัง เหนื่อย เพลียเข้าในหัวใจ

ตะกี้พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าท่านมองดูหัวใจสัตวโลก แต่สัตวโลกมองเถ่อ ไม่ได้มองดูหัวใจตนเองบ้างว่าเป็นยังไง หัวใจนี้สำคัญเอาอย่างมากทีเดียวนะ อย่ามองข้ามกันนะ ร่างกายนี่เป็นชั่วระยะชีวิต ๆ นี้เท่านั้นละ แต่ละร่าง ๆ ของเรานี่ อายุเท่าไร ๆ ไปถึงนั้นจุดนั้นมันก็หมดสภาพลงสู่ธาตุเดิมของเขา แต่จิตไม่ลง มันไป นี่สอนชัดเจนสอนอย่างมั่นใจด้วยไม่ใช่สอนธรรมดา ออกจากนี่เถลไถล ๆ ไปถ้าไม่มีความดีนะ หากมีความชั่วมากผึงเดียวเลยถึงแล้วนรก ที่ว่านรกไม่มี ๆ ไม่เห็นมีความหมายอะไร ประสาลมปากความคิดสัญญาอารมณ์กิเลสหลอกเฉย ๆ

พระพุทธเจ้าไม่มีกิเลสหลอกนะเวลาสอนสัตวโลก กิเลสพังหมดแล้วจึงนำธรรมมาสอนสัตวโลกจะผิดไปที่ตรงไหน พิจารณาให้ดีนะ นอกนั้นมีแต่หัวใจที่กิเลสควบคุม มันหลอกไปไหนก็หลงมันไปเรื่อย ๆ ๆ ว่านรกไม่มีนี่สำคัญมากนะ โห สำคัญจริง ๆ นะ นรกไม่มีเชื่อตามนั้น บาปไม่มีบุญไม่มีแล้วหมดเลย สักแต่ลมหายใจฝอด ๆ

จำให้ดีนะ ใครไม่อยากมีแต่ลมหายใจฝอด ๆ ให้เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้ว สอนทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสิ้นกิเลส กิเลสมันเสี้ยมสอนเราทุกอย่างด้วยความมีกิเลส กิเลสตัวสำคัญตัวมืดตัวดำ หลอกไปไหนสัตวโลกนี้ล้มระนาว ๆ เลย หมอบราบ ๆ คาถาของกิเลสนี้เก่งมากนะ เป่าฟู่เดียวล้มระนาวไปหมดโลกเลย มันว่าอะไร ๆ เชื่อหมดถ้าเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรมไม่ค่อยเชื่อนะ แล้วธรรมออกจากศาสดาผู้เลิศผู้ปราบกิเลสภายในหัวใจพูดง่าย ๆ ออกหมดแล้ว สว่างจ้าครอบโลกธาตุ

จิตของผู้สิ้นกิเลส จิตพระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง ครอบโลกธาตุ โลกวิทูแจ้งหมดเลย อะไร ๆ มียังไงปิดไม่อยู่ เห็นหมดรู้หมด นั่นละผู้สิ้นกิเลส เวลาเห็นอะไรดีอะไรชั่วรู้ อะไรชั่วอะไรไม่ดีนำมาสอนโลกด้วยความสงสาร ทางนี้ก็ถูกกิเลสลากไปไม่เชื่อไม่อยากฟัง แล้วก็เชื่อตามกิเลสเสียทั้งหมด บาปไม่มีแล้วเป็นยังไงโลกนี้ บาปไม่มีแล้วใครได้รับความทุกข์ไหม ปฏิเสธได้ไหมว่าบาปไม่มีความทุกข์ก็ต้องไม่มี บุญไม่มีความสุขต้องไม่มี

อันนี้ความสุขก็มีความทุกข์ก็มีเห็นอยู่ในหัวใจของเรานี้แหละไม่เห็นที่ไหน บาปอยู่ที่นี่ เกิดที่นี่ กิเลสอยู่ที่นี่ เป็นผู้พาให้สร้างบาป ธรรมก็อยู่ที่นี่พาให้สร้างบุญ นั่น อยู่ในหัวใจนี้นา เวลาสร้างบาปขึ้นมาก ๆ แล้วว่านรกไม่มี มันไม่มีความหมายน่ะซี กิเลสหลอกเฉย ๆ ต้มเฉย ๆ ว่าบาปไม่มี หอบตั้งแต่กองทุกข์ หาบแต่กองทุกข์เข้าสู่หัวใจ ทั้ง ๆ ที่ว่าบาปไม่มี ๆ เลยจมไป ๆ ยังเชื่อมันอยู่ตลอดเวลา นี่ที่ว่ามันหนา หนาอย่างนี้เอง ท่านส่องดูหัวใจเรา เพราะหัวใจเป็นของสำคัญมาก ตายแล้วไม่ได้สูญนี่ โห พูดอย่างนี้คันฟันนะ พูดจริง ๆ ใครจะว่าบ้าก็ตาม เพราะเหมือนกับว่าตำตาอยู่นี้ ไม่เห็นเหรอตาบอดเหรออยากว่ายังงั้นนะ แต่นี้ไม่ว่า ถึงอยากก็ไม่ว่า ว่าแล้วก็ถอนได้ จึงเหมือนไม่ว่า จำให้ดีนะ

จริง ๆ นะ เฒ่าแก่มาเท่าไรยิ่งเป็นห่วงโลกห่วงสงสาร ทั้ง ๆ ที่ตัวเท่าหนูนี่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยนะ แต่มันอดไม่ได้ มันหากเป็นอยู่ในหัวใจนี้ว่าไง โห พระพุทธเจ้าทำไมวิเศษวิโสเอานักหนา โอ้โห ๆ อัศจรรย์พระองค์ อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ โลกจมอยู่นี่ กิเลสครอบไว้หมด สามแดนโลกธาตุกิเลสปิดบังไว้หมด ปิดไม่ให้โผล่ขึ้นมาได้เลย และไม่ให้รู้โทษของตัวเองด้วยว่าเป็นมาจากอะไร ๆ เพราะอำนาจของกิเลสมันมีหลายช่องหลายทาง มันหลอกแล้วก็ให้หลงไปด้วย หลงแล้วให้ติดพันไปกับมันด้วย เป็นทุกข์ขนาดไหนก็หาโทษของกิเลสไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุถึงได้รับความทุกข์ความทรมาน ก็ทนกันไปอย่างนั้นแหละ

พระพุทธเจ้าโผล่ขึ้นมานี้เลย ตรงที่ปิดหนา ๆ นี่ ผุดขึ้นมาตรงนี้เลย มองลงไปละที่นี่ นั่น ทีนี้มันไม่ผุดไม่ขึ้นมองไม่ได้ซี เพราะกิเลสครอบหัวอยู่นี้ พอพ้นปี๊ดขึ้นมามองก็เห็นหมดละซี โอ้โห ๆ เวลาสอนสัตวโลกจึงได้สอนอย่างรีบอย่างด่วน พอสอนพระสาวกทั้งหลายได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามลำดับลำดาแล้ว ไป ๆ เหมือนกับว่าไปลากขึ้นจากหลุมจากบ่อจากนรกทั้งเป็น มันเดือดพล่าน ๆ ในหัวใจ แล้วเดี๋ยวนี้มันจะลงนรกของเมืองผี รีบไป แล้วอย่าไปซ้ำกันนะ อย่าไปซ้ำรอยกัน คืออย่าไปแห่งละ ๒ องค์ ให้ไปแห่งละองค์ ๆ กระจายกันไปอย่างรวดเร็ว รีบลากสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจมน้ำ ๆ กำลังจะตาย หายใจแขม่ว ๆ รีบไปลากขึ้นมา ๆ เทียบเหมือนอย่างนั้นไม่ได้ผิดเลย

ผู้ท่านเห็นท่านเห็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่นา ไอ้เราก็หลงอย่างนั้นจริง ๆ นี่ซิมันสำคัญนะ ไม่มี ๆ แล้วตายแล้วไปจมอยู่นั้นเห็นไหม นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีมาตั้งแต่เมื่อไรเรายังจะไปลบได้เหรอ พระพุทธเจ้ายังลบนรกไม่ได้ จึงประกาศตามเรื่องตามราวที่นรกมี แล้วเรายังจะไปลบด้วยลมปากของเรามีความหมายอะไร ตายแล้วก็เราแหละจะไปจม พอโผล่ขึ้นมาก็เห็นหมดล่ะซิ จ้า โลกวิทู แต่ก่อนถูกปิดบังเอาไว้ กิเลสมันปิดไว้ไม่ให้เห็น มีเท่าไรก็ไม่ให้เห็น เหมือนคนตาบอดอะไรมีเท่าไรก็ไม่เห็น หรือปิดตาเอาไว้ มองไปไหนก็ไม่เห็นซิเพราะตาถูกปิดไว้ พอเปิดตาเท่านั้นก็จ้าเลย

นี่ก็พอเปิดออกก็จ้าเลย มองลงไปไหน โอ้โห ๆ ตรงไหนที่ว่างสัตวโลกทั้งหลายไม่ได้เสวยกรรมไม่มีเลยแดนโลกธาตุนี่ มีอยู่ทุกแห่งทุกหนทุกหย่อมหญ้าว่างั้นเถอะนะ เราไม่เห็นเฉย ๆ พวกที่ตกที่มหันตทุกข์เป็นลำดับลำดาขึ้นมา ไม่ได้ตกนรกก็ตามอยู่ยังไง ๆ ก็เสวยกรรมของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครที่เป็นอิสระได้เลยในโลกนี้ มันไม่น่าสังเวชจะว่าไง ผู้ที่ท่านพ้นไปแล้ว พ้นหมดจริง ๆ พ้นจากสิ่งเหล่านี้ไปแล้วจริง ๆ แล้วมองดูสิ่งเหล่านี้เห็นประจักษ์ในพระทัย ปิดได้ยังไง เมื่อเห็นอยู่อย่างนั้นเราจะลบล้างได้ยังไง ก็มันเห็นอยู่นี่น่ะ นั่น เห็นอยู่ด้วยตาเนื้อ

มองดูซิ มองดูกระโถนนี่ เห็นไหมกระโถนอยู่นี่ ใครก็เห็น ๆ ปฏิเสธไปได้ยังไงถ้าไม่ใช่คนตาบอด มองลงไปก็เห็นกระโถน นั่นละพระพุทธเจ้ามองดูสิ่งทั้งหลายที่เขามีอยู่ยังไง ๆ มองเห็นอย่างนี้แล้วจะลบล้างได้ยังไงว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี นั่นละที่พระพุทธเจ้าลบล้างนรกไม่ได้ซึ่งเป็นภัยต่อสัตว์อย่างยิ่ง ลบล้างไม่ได้จึงต้องสอนวิธีหลีก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน นั่นเป็นสถานที่อยู่ของคนผู้มีบุญ สอนให้สร้างบุญสร้างกุศลเข้าสู่ใจ ใจเมื่อมีบุญมีกุศลแล้วจะหนุน ๆ ใจนั่นแหละให้สูงขึ้น ๆ เมื่อมีเต็มที่แล้วดีดผึงเหมือนพระพุทธเจ้า นั่นท่านสอนโกหกที่ตรงไหนไม่เคยมีเลย

อย่างเรื่องพระญาณของพระพุทธเจ้า ที่ว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ อนาคตังสญาณนี้เหมือนกัน อดีตมาเท่าไรรู้ไปหมด ข้างหน้าจะเป็นยังไงก็รู้ไปหมด รู้ด้วยญาณย่อ ๆ เอาเพียงเอกเทศอันเดียว อย่างพระอานนท์ไปเกาะอยู่ที่ประตู ร้องไห้ พระพุทธเจ้าประชวรมาก เวลานั้นกำลังหนัก รับสั่งถามพระอานนท์ไปไหน โน่น ยืนร้องไห้อยู่บานประตู ให้เรียกเข้ามาเดี๋ยวนี้ เมื่อเข้ามาแล้ว ร้องไห้ทำไมอานนท์ อานนท์เป็นผู้มีบุญอันสร้างไว้มากแล้ว เป็นอุปัฏฐากของตถาคตด้วย ได้รับเอตทัคคะ ๕ สถาน คือ ได้มากกว่าเพื่อน เป็นพหูสูตร เป็นพุทธอุปัฏฐาก เป็นผู้ฉลาด ๕ ประการ

อานนท์เป็นผู้มีบุญได้สร้างไว้แล้ว ไม่นานอานนท์จะเป็นผู้สิ้นจากกิเลส วันทำสังคายนา หลังจากเรานิพพานไปแล้ว ๓ เดือน อานนท์จะสิ้นกิเลสในวันนั้นแหละ บอกขนาดนั้นฟังซิ คือพระพุทธเจ้ายังไม่ตายเลยนะ ก็บอกแล้วว่าหลังจากเราตายไปแล้วอีก ๓ เดือนจะทำสังคายนา คือทำสังคายนาแล้วพระอานนท์ก็จะเข้าในที่ประชุมนั้นด้วย และได้บรรลุธรรมในวันนั้น นั่นเห็นไหม เพราะฉะนั้นพระอานนท์จึงเป็นสัญญาอารมณ์ พอพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็เร่งความเพียร เฉพาะอย่างยิ่งวันสังคายนา พระสังคายนาครั้งแรก ๕๐๐ องค์ มีพระอานนท์เป็นองค์หนึ่งอยู่ในนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นอกนั้นเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น พระอานนท์นี้เป็นเพียงพระโสดา

แล้วทำไมจึงต้องเว้นให้พระอานนท์เข้าตรงนั้นเป็นช่องไว้ เพราะหนึ่ง พระอานนท์เป็นพหูสูตรเป็นผู้แตกฉานในทางธรรมวินัย พระโอวาทพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนทุกแง่ทุกมุม พระอานนท์นี้บรรจุไว้หมด เหมือนพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ นี่ประการหนึ่ง ประการที่สอง พระอานนท์จะบรรลุธรรมในวันนั้น พระสงฆ์ทั้งหลายจึงเอาช่องว่างเอาไว้เป็น ๔๙๙ องค์ จะถึง ๕๐๐ กับพระอานนท์ ทีนี้พอคืนวันนั้น...อย่างวันนี้จะสังคายนา ตอนกลางคืนเร่งความเพียรใหญ่

ทีนี้เวลาเร่งความเพียรนั้นจิตเป็นสัญญาน่ะซิ ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าเราจะได้ตรัสรู้ในคืนวันนี้ ๆ เลยไปหมายอยู่นอกน่ะซิ เดินจงกรมจนเข่าอ่อนไม่ได้สำเร็จ เอ๊ ยังไง เหนื่อยมากแล้ว เพราะความมุ่งจะบรรลุธรรม มุ่งอยู่ข้างนอกตามพระพุทธเจ้ารับสั่งไว้แล้วโน้น ไม่ได้เข้าในปัจจุบันจิตซึ่งเป็นสถานที่สถิตของธรรม และที่เกิดของธรรมที่รู้ของธรรมนี้เลย ก็ไม่ได้บรรลุ ทีนี้พอเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที่แล้วก็พักสักหน่อย เพราะจวนจะสว่างแล้วนี่ เดินจงกรมจนเข่าอ่อน พอเอนกายลงไปเท่านั้นแหละ นี่หมอนพอเอนกายลงไปนี่ จะว่านอนก็ไม่ใช่ จะว่านั่งก็ไม่เชิง ยืนเดินไม่ใช่ทั้งนั้น พระอานนท์จึงบรรลุธรรมในอิริยาบถ ๔

พอเอนลงไปยังไม่ถึงหมอน ทางนี้ก็ผึงขึ้นมาเลย บรรลุ นั่นคือถอนสัญญาอารมณ์อันเป็นอดีตที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้แล้วนั้นว่าจะได้บรรลุธรรม จิตไปยึดอยู่โน้นไม่ได้ยึดอยู่ในสถานที่ที่ธรรมจะเกิด ทีนี้พอทอดอาลัยแล้วจิตก็ถอนออกจากสัญญาอดีต เข้ามาสู่วงปัจจุบัน พอสู่วงปัจจุบันแล้วก็ดีดผึงขึ้นตรงนั้นเลยได้บรรลุธรรม นั่นฟังซิ แล้วแน่ไหมพระพุทธเจ้าว่าอานนท์จะได้บรรลุธรรมหลังจากเราตาย พูดง่าย ๆ ไป ๓ เดือน ๓ เดือนนั่นพระสงฆ์ท่านจะทำสังคายนา แต่ท่านไม่รับสั่งว่าต้นเหตุที่จะทำสังคายนาเพราะอะไร พระองค์ทราบหมดแล้ว บอกแต่วันเฉย ๆ ว่าจะทำสังคายนาใน ๓ เดือนที่ล่วงไปแล้ว หลังจากเราตายแล้ว พระอานนท์ก็บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นในวันนั้น

และเพื่อจะให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อยู่ในสังฆมณฑลนั้นทราบ พระอานนท์ก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ โผล่ขึ้นไปในสถานที่นั่นเลย พระทั้งหลายไม่ต้องถามไม่ต้องสงสัยแหละ อ๋อ สำเร็จแล้ว พระอานนท์มาอยู่แล้วช่องว่างนี้มาจากที่ไหนไม่รู้ พระสงฆ์ก็เป็นอันว่าหายสงสัยเลย เป็นยังไงพระพุทธเจ้า แน่หรือไม่แน่

พวกเราน่ะซิพวกไม่แน่ เชื่อกิเลสแล้วก็ยังเชื่อเสื่อเชื่อหมอนไปอีก ยังเก่งกว่ากิเลสไปอีก เชื่อเสื่อเชื่อหมอน แล้วต่อไปนี้เพื่อความคล่องแคล่ว เพื่อความสะดวกจำให้ดีนะ จะไปไหนมาไหน จะนั่งจะนอนจะเดินให้เอาเสื่อเอาหมอนมัดติดคอเอาเสื่อเอาหมอนมัดติดหลัง เพื่อความสะดวกต้อนรับ เป็นยังงั้นแหละลูกศิษย์หลวงตาบัว มีแต่ยังงั้นทั้งนั้น ถ้าจะตำหนิลูกศิษย์ลูกหามาก ๆ หรือมันจะเข้าเนื้อตัวเอง เพราะตัวเองเก่งกว่านั้นอีก

นี่วันนี้สอนลูกศิษย์สำคัญมากนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ หลวงตาบัวตายพูดตรง ๆ เลย อยู่วัดป่าบ้านตาดก็พูดยังงี้ ที่ไหนสมควรที่จะพูด พูดอย่างเด็ด พูดอย่างมั่นใจ พูดอย่างไม่สงสัย ไม่สงสัยว่างั้นเลย ว่าจิตนี้เป็นยังไง แล้วเวลาหลวงตาบัวตายแล้วจะไม่มีใครเทศน์ยังงี้หนา ทำไมจึงไม่มีใครเทศน์ยังงี้ ก็กลัวกิเลสล่ะซี ถึงเวลาจะไปเทศน์สอนประชาชนญาติโยม พระเณรสอนไหนก็ตาม ก็ไปกราบกิเลสเสียก่อนแล้วค่อยมาเทศน์

ฟังซิ คนไปกราบกิเลสเสียก่อนแล้วมาเทศน์ จะเทศน์ได้แค่ไหน ก็ต้องเทศน์ตามที่กิเลสชี้บอกละซี กิเลสชี้บอกให้เทศน์ยังไง ๆ เทศน์ยังไงแถวไหนก็คือแถวของกิเลสที่แนะไว้แล้วนั้น ก็เดินตามทางของกิเลส ไม่ได้ทวนกระแสของกิเลสแล้วจะฆ่ากิเลสได้ยังไง นี่ถึงว่ากราบกิเลสแล้วค่อยมาเทศน์ เทศน์อันนั้นดีนะโยม อันนี้ดีนะโยม สะแตกเหล้าจนกระทั่งหมดลังก็ดี กินเหล้าแล้วสนุกสนานดี ยังไปอีกนู่นน่ะฟังซิ เขาไม่กินเหล้าเขาไม่สนุกสนานเหมือนคุณ คุณกินเหล้าแล้วสนุกสนาน นั่น น้ำลายก็จนไม่มีเหลือ ยังสนุกสนาน

นี่เทศน์ยังไง เทศน์กราบกิเลสแล้วค่อยไปเทศน์ไปชมเชยเหล้า เหล้ามันเป็นเรื่องอะไร เหล้าฟังซิ ผู้ฟังก็คะรับ วันหลังผมจะเอาให้มากกว่านี้ เป็นยังไงครับ เออ ถูกต้อง โน่นฟังซี ผู้ฟังก็กราบกิเลสแล้วค่อยไปฟังเทศน์ ขัดข้อกิเลสไม่ได้ ต้องฟังตามแถวแนวของกิเลสที่ตนชอบใจ เพราะกิเลสมันเต็มอยู่ในหัวใจมันก็ชอบใจทุกอย่าง อันใดที่จะเป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสแล้วชอบทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงว่าวันนี้หมดลังหนึ่ง วันพรุ่งนี้จะเอาสองลังนะครับ เอาเลย ฟังซิพระเทศน์ เอาเลย นี่กราบกิเลสแล้วค่อยไปเทศน์ แล้วผู้ฟังก็กราบกิเลสแล้วค่อยมาฟัง ก็เป็นแบบกิเลสเสียทั้งหมด กิเลสแนะยังไง ๆ ก็จะต้องเทศน์ไปอย่างนั้น ๆ ขัดกิเลสไม่ได้

กิเลสอยู่ในหัวใจคน คือขัดหัวใจคนไม่ได้ต้องชมเชยคน เพราะกิเลสอยู่ในหัวใจคน สุดท้ายหาความจริงไม่ได้เลย เหลว ๆ ไหล ๆ ไปหมด ทั้งเขาทั้งเรา ทั้งผู้เทศน์ทั้งผู้ฟัง เราพูดตามเรื่องความจริง เราไม่ได้ยกได้เหยียบใครละความจริงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะเทศน์ให้หนักยิ่งกว่านั้น พอกิเลสมันกระทบกระเทือนบ้าง ถ้าหากว่าจะให้กิเลสของใครก็ตามผู้มาฟังกระทบกระเทือน กิเลสเจ้าของก็จะกระเทือนเหมือนกัน ตกลงกิเลสก็มีในเจ้าของก็ต้องเทศน์เหยาะ ๆ ทั้งผู้ฟังก็ฟังเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ผู้เทศน์ก็เทศน์อย่างเหยาะ ๆ แล้วก็ฟาดกล้วยหอมกล้วยอะไรมากินเสร็จ นี่กัณฑ์เทศน์

นี่พูดจริง ๆ ใครจะว่าบ้าก็ตาม ไม่กราบกิเลสว่างั้นเลย กิเลสอยู่ตรงไหนจะเข้าตรงนั้นเลย เวลาปฏิบัติมาก็ทำอย่างนั้น เคยพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังไม่ได้พูดเพื่ออวด เพื่อโอ้อะไรนี่นะ เทศน์เพื่อให้เป็นคติเครื่องเตือนใจและเป็นกำลังใจ กิเลสอยู่ตรงไหนจะเข้าตรงนั้น ๆ เทศน์ก็เหมือนกัน ความจริงอยู่ตรงไหนนั้นละคือธรรม ความปลอมไม่ใช่ธรรม จะไปหามันอะไร กิเลสมีแต่ปลอมล้วน ๆ ธรรมมีแต่จริงล้วน ๆ ธรรมท่านว่ายังไงก็สอนไปตามธรรมน่ะซิ ไม่งั้นละกิเลสได้ยังไง

เราฟังเพื่อจะละกิเลสไม่ได้ฟังเพื่อสั่งสมกิเลส ผู้เทศน์ก็เทศน์เพื่อให้ละกิเลส ไม่ใช่เพื่อให้สั่งสมกิเลส จะไปกราบมันอะไรกิเลสนั่นน่ะ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ต่างหาก ไม่ได้ว่า กิเลส สรณํ คจฺฉามิ โคตรแซ่ของกิเลส สรณํ คจฺฉามิ หมด ไม่ได้เห็นว่าอย่างนั้นนี่ บทเวลาจะเทศน์กราบมันเสียก่อนแล้วไปเทศน์ ไม่ได้เรื่องได้ราว ทีนี้ธรรมะพระพุทธเจ้าจริงขนาดไหนก็ไม่มีความหมายน่ะซิ เพราะกิเลสไม่ให้เอาออกมาเป็นความหมาย กิเลสออกตลาดแทนเสียหมด ธรรมะก็อยู่ในร้าน ปิดร้านไว้แล้ว แล้วล็อกเข้าในตู้ในหีบในคัมภีร์ใบลาน ก็มีแต่กิเลสออกตีตลาดลาดเลไปหมด แล้วเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปในขณะเดียวกันแหลกหมดทั้งโลกนี้ ใครเป็นคนมีความสุขความเจริญในโลกนี้ ไปถามหาเอามาแข่งธรรมพระพุทธเจ้าสักรายมีไหม ไม่มี

เรื่องของกิเลสจะพาคนให้มีความสุขความเจริญพอที่จะมาแข่งพระพุทธเจ้าว่า ความสุขของพระพุทธเจ้านี้สู้ความสุขของกิเลสไม่ได้ไม่เคยมี นี่ละที่มันสำคัญ แต่กิเลสมันเก่งมันใกล้ชิดติดพันอยู่กับจิต เสี้ยมสอนอะไรถึงติดหมด ๆ โลกเป็นยังงั้น ติดหมดแหละ ไม่มีคำว่า เอ้อ นี่มันกิเลสนะนี่ เรื่องนี้เราเคยผ่านมาแล้ว เราเคยได้ยินแล้ว เราเคยได้เห็นแล้ว เราเคยรู้เคยพบมันแล้วนี้ไม่มี เป็นสด ๆ ร้อน ๆ ทั้งนั้น ถ้าเป็นเพลงของกิเลสออกมานี้กล่อมได้สนิท จึงลำบากที่เราจะประพฤติปฏิบัติความดีทั้งหลาย

พอว่าจะทำความดีแล้วความอ่อนเปียกมาแล้ว แข้งขามีเท่าไรเจ็บหมดปวดหมด ท้องก็มีท้องเดียว โอ๊ย ! เจ็บท้องไม่สบายท้องวันนี้ ไปวัดก็กลัวจะไปขี้แตกใส่วัด ไปอย่างนั้นเสีย โห ขี้แตกท่านก็มีถาน วัดถ้าจะไป คนอยู่ในวัดเป็นยังไง เป็นคนขี้แตกทั้งนั้นเหรอ ขี้แตกก็ขี้ในถานนี่ ทำไมเรามีท้องเดียวจะไปกลัวขี้แตกในวัดล่ะ นั่นเห็นไหมกิเลสหลอกคน โห ไปนี้เจ็บท้องไม่สบายเดี๋ยวไปขี้แตกในวัด ทีในบ้านมันไม่ขี้แตกเหรอ เราอยากถามว่างั้น โมโห พอพูดแล้วโมโหนะ

เวลาหลวงตาบัวตายแล้วไม่มีใครเทศน์อย่างนี้นะ นี่เราเคยพูดเสมอพูดอย่างยันเลย ใครจะว่ายังไงก็ว่าเถอะ อาจหาญเต็มที่ในหัวใจนี้ว่างั้นเลย ถ้าหากว่าเป็นวิสัยที่ควรจะพูดได้และไม่เป็นการโอ้อวด และไม่ขัดข้องต่อธรรมแล้วเราอยากจะเปิด นี่ตาบอดไม่เห็นเหรอ อยากว่างั้นนะ ตามันใสมาตั้งแต่วันเกิดทำไมดูสิ่งใด ๆ เห็นหมด ดูนรกนี่ทำไมไม่เห็น ดูบาปดูบุญที่แสดงอยู่ในหัวใจเรา ในหัวใจมนุษย์นี้ทำไมไม่เห็น แล้วเมืองผีนั่นเห็นไหมนี่ นี่นรกเมืองผี นี่นรกเมืองคน เห็นมันทั้งสอง เปิดออกให้เห็นทั้งสองนี่

ทีนี้มันไม่ใช่วิสัยที่จะมาทำอย่างนั้นได้ แล้วจะไปทำลายนรกให้ก็ทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่พาทำลาย มีแต่สอนให้หลบให้หลีก เพราะธรรมชาตินี้เป็นหลักธรรมชาติของเขา กรรมของสัตว์มีอยู่ตลอดเวลา และเป็นกรรมของสัตว์ที่จะไปอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนั้น เพราะฉะนั้นนรกแออัดขนาดไหนก็ตามนรกจึงไม่ได้เป็นทุกข์ คนผู้ได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะบาปกรรมของตน หนักมากน้อยเท่าไรอัดอยู่ในนรก เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น นรกไม่ได้เป็นทุกข์นะ แน่นขนาดไหนอัดขนาดไหนก็ไม่เป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์สำหรับสัตว์ผู้ที่สร้างบาปสร้างกรรมนั่นแหละ ขอให้พากันฟังให้ดีนะ

เวลานี้แหม ! กิเลสมันตีตลาดลาดเลไม่มีใครที่จะหาความสุขได้สักรายหนึ่ง อย่าเอามาอวดนะ แบบโลก ๆ มาหลอกกันอย่ามาหลอก หลอกธรรมหลอกไม่ลง ถ้าลงเป็นธรรมแท้แล้วไม่ลง เป็นฟืนเป็นไฟเหมือน ๆ กันไปหมด ชาติชั้นวรรณะไหนก็ตาม ถ้าไม่มีธรรมแทรกหัวใจแล้วยังไงก็ไม่มีที่ปลงที่วางละ ถ้ามีธรรมไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดจะมีเป็นเกาะเป็นดอนให้ได้รับความสุขความสบาย ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าไม่มีแล้วตายทิ้งเปล่า ๆ เรามีอันนั้นเรามีอันนี้ ก็มีแต่ลมปาก ความสำคัญมั่นหมายเฉย ๆ กิเลสมีแต่หัวเราะเสียด้วยซ้ำไป ถ้าธรรมละมันกลัว

เพราะฉะนั้นจึงพากันให้สร้าง อย่าลืมเนื้อลืมตัว โลกก็สร้าง ธรรมก็สร้างเพราะเราเกิดมาในโลกนี้ เราไม่ประมาท ประมาทโลก แต่มันหลงโลกลืมโลกเป็นบ้ากับโลกจนเกินไปนั้นต่างหากที่เรากระตุกเอาบ้างซิ ไม่ใช่เราไม่ให้ยินดีในโลกเลย เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หมายอย่างนั้น ภูมิใด ๆ ประชาชนญาติโยมกับพระต่างกันยังไงบ้าง ท่านก็สอนไปตามขั้นตามภูมิ ท่านไม่ให้ตัดให้ขาด แต่มันเลยเถิดน่ะซิที่ท่านกระตุกเอาไว้ ทำอะไรมันเลยเถิด ๆ ความไม่เหมาะไม่สม มันก็ไปเป็นความเหมาะสมไปหมด เลยเถิดก็กระตุกเอาบ้างซิ อันนี้ก็จะกระตุกใคร ไปอยู่คนเดียวไปเทศน์ นโม ตสฺส เขาก็จะว่าบ้า ก็ต้องเทศน์กับลูกศิษย์ลูกหาน่ะซิ ดุกับลูกศิษย์ลูกหาซิ พากันเข้าใจหรือยังล่ะ

เอาละพอ เหนื่อยแล้ว เทศน์ทุกวัน วันนี้ยิ่งเผ็ด เจ้าของก็เลยจะตาย ผู้นั่งฟังสบาย ผู้เทศน์ผู้ตีเลยจะตายก่อน ทีนี้จะให้พร วันหลังจะได้มาเทศน์เดี๋ยวตายเสียก่อน


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก