ต่อไปนี้มันจะเทศน์ไม่ได้ ก็เหมือนรถนั่นละ ออกมาจากอู่ใหม่ ๆ นี้ โถ วิ่งเท่าไรวิ่งไปเถอะ พอชำรุดเข้าไปมาก ๆ แล้วทีนี้ขับไปสัก ๓ ชั่วโมง กลับมานี่เข้าอู่ซ่อม ๓ เดือนก็ไม่ออก เพราะเครื่องมันเริ่มโปเกแล้ว นี่ก็เหมือนกันความจำเสื่อมมาก การเทศน์ไม่เอาขันธ์ใช้จะเอาอะไรใช้ ขันธ์เป็นเครื่องมือทั้งหมดสำหรับการเทศน์ มีแต่จิตล้วน ๆ แสดงออกไม่ได้ ต้องอาศัยอาการของจิตออก อาการก็ต้องออกตามอวัยวะตามขันธ์ ๕ เช่นอย่างเสียงออกจากความจำความปรุง ความปรุงก็สังขาร ความจำก็สัญญา เหล่านี้ออกมาพร้อม ๆ กัน
ถ้าสมมุติว่าสัญญาขาดไปนี่ก็จำไม่ได้ ไม่ทราบว่าเทศน์อะไรต่ออะไร มันเริ่มแล้วนี่ ต่อไปนี้เทศน์ถึงนโมฯ ไม่มีที่ไปเพราะจำไม่ได้ ก็จะตั้งแต่นโมฯ ทั้งวันจะว่าไง ความจำมันเสื่อม ตั้งมาแล้วนึกว่าไม่ได้ตั้ง เลยจะว่าแต่นโมฯ ทั้งวัน ผู้ฟังก็จะฟังแต่นโมฯ มันจะเป็นแล้วนะเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้นพอตอนเทศน์ได้นี้จึงเทศน์เสีย ต่อจากนั้นไปจะเทศน์ไม่ได้แล้ว และพระที่จะเทศน์แบบเรานี้ไม่ค่อยมีด้วยนะ นี่เป็นพระผีบ้าเข้าใจหรือเปล่าล่ะ ท่านเหล่านั้นท่านไม่เป็นบ้าจึงไม่เหมือนเรา หูฟังเราเทศน์ก็ต้องเป็นหูบ้าถึงมาฟังกันได้ หูดีฟังไม่ได้ละ ต้องหูอย่างนั้นถึงจะฟังได้ ใครเข้ามาวัดป่าบ้านตาดเป็นหูบ้าไปหมดแหละ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ
คนอื่นพระอื่นไปฟังซิท่านเทศน์อย่างไร เหมือนเรานี่ท่านไม่ค่อยเทศน์หนึ่ง ไม่เทศน์หนึ่ง แต่เรานี้เทศน์ ถึงวาระที่จะเอาแล้วผึงเลยเชียว กิเลสอยู่ตรงไหนเข้าตรงนั้นแหละ กิเลสชุมตรงไหนเข้าตรงนั้น พังกิเลสตรงนั้นแหละ กิเลสอยู่ได้เราทำไมเข้าไม่ได้ กิเลสเข้าได้ทำไมธรรมะเข้าไม่ได้ ที่นี้สกปรกทำไมน้ำสาดเข้าไม่ได้ มันก็เลอะละซีใช่ไหม สกปรกตรงไหนน้ำสะอาดต้องสาดเข้าไป ๆ ตรงนั้นให้สะอาด นี่กิเลสอยู่ตรงไหนสกปรกตรงนั้น ธรรมะเข้าไม่ได้ก็หมด ธรรมะเข้าได้อยู่แสดงว่าสิ่งนั้นยังมีสาระ หัวใจคนถ้ายังยอมรับความจริงอยู่แสดงว่ายังมีสาระอยู่ ถ้าไม่รับความจริงแล้วหมดคุณค่า
เพียงมนุษย์เฉย ๆ อย่าเอามาพูด ใครตั้งก็ได้ ตั้งถึงชั้นพรหมก็ได้ แต่มนุษย์มันหาคุณค่าไม่ได้น่ะซิ จึงว่าต่อไปนี้จะไม่มีใครเทศน์ละ เพราะเราเทศน์ไม่ได้แล้ว ผู้ที่จะเทศน์แบบบ้า ๆ อย่างเรานี้ไม่มีละนะ เฉพาะเราเข้าได้ทุกอย่างเทศน์ได้ทุกอย่าง ถ้าว่าจะเอาแล้วเอาเลย เพราะธรรมะเหนือโลกนี่ ยกธรรมะขึ้นแล้วจะไปไหน นับท้าวมหาพรหมมานี้กราบธรรมทั้งนั้น ธรรมเข้าไม่ได้ธรรมไปไม่ได้โลกนี้หมดคุณค่าแล้ว หมดสาระแล้ว
ถ้าโลกยังมีคุณค่ายังยอมรับความจริงอยู่ ธรรมเข้าได้หมด เพราะกิเลสมันอยู่ได้หมด ทำไมธรรมเข้าไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ชำระกันไม่ได้ แก้กันไม่ได้ เพราะธรรมะทั้งหมดนี้เข้าแก้กิเลสทั้งนั้นไม่ใช่เข้าไปทำลายคน จะเผ็ดร้อนขนาดไหนก็ตามเป็นการทำลายกิเลส แต่กิเลสอยู่กับคนจึงต้องกระเทือนคน
ดังเคยพูดแล้วนักมวยเขาต่อยกันบนเวที เขาไม่ได้ต่อยเวทีนะ แต่เวทีก็อดสะเทือนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ นี่ก็เหมือนกัน กิเลสกับธรรมอยู่บนหัวใจอยู่ในร่างกายของเรานี้ เวลาธรรมกับกิเลสฟัดกันนี้ก็ต้องกระเทือนทั้งใจกระเทือนทั้งร่างกาย ไม่กระเทือนได้ยังไงเพราะฟัดกันอย่างหนักนี่ เพราะเหตุนั้นคนเราเวลาจะภาวนา โอ๊ย กลัวลำบาก ๆ เลยไม่ได้ต่อยกันนักมวยก็ดี เพราะกลัวแต่เวทีสะเทือนกลัวแต่เวทีถล่ม นักมวยเลยไม่ได้ต่อยกัน ฟัดลงไปซี เวทีจะพังก็ให้มันพังซิถ้านักมวยไม่พัง อันนี้ก็ฟัดกันลงไปซี กิเลสไม่พังธรรมะจะพังก็ให้เห็นกันซี อย่างนั้นถึงจะได้เห็นความแพ้ความชนะกันละตรงนั้น
นี่ก็เหมือนกันเวลาฟัดกับกิเลสก็ต้องเอาอย่างนั้น กิเลสตัวหนักมีตัวเบามี ตัวเด็ดตัวเฉียบขาดมี ธรรมะไม่มีประเภทนี้เข้าระงับกันไม่ได้ ธรรมะต้องมีหลายประเภท ให้พากันจำเอา ที่เคยพูดเสมอว่ามัชฌิมาปฏิปทาหนทางสายกลาง คือความพอดีนั่นเอง ถ้าไม่พอดีกันแล้ว ระหว่างกิเลสกับธรรมแก้กันไม่ตก อย่างกิเลสสูงกว่า ธรรมะแก้ไม่ตก ธรรมะต้องให้สูงกว่ากิเลส หรืออย่างน้อยเสมอกันจึงพอฟัดกันได้ เพื่อจะก้าวขึ้นสู่ชัยชนะด้วยธรรมที่เหนือกว่าอีก ถ้าธรรมอ่อนกว่าแล้วสู้กิเลสไม่ได้
พวกเรานี้อย่างน้อยเป็นพวกธรรมอ่อน มากกว่านั้นก็พวกธรรมเปิง เข้าใจไหมธรรมเปิง เปิงคือเลิกไปเลย สู้กิเลสไม่ได้วิ่งราบเลย สู้กิเลสไม่ได้วิ่งราบเลย เหมือนไอ้บิ๊กเรา (สุนัขที่เลี้ยงไว้ในวัด) เมื่อวานนี้กลัวเสือวิ่งราบเลย คือเราอยากทราบว่าหมาเหล่านี้ มันรู้จักเสือไหม ก็เอาหนังเสือมา เรียกหมามาหมดเลย เพราะหมาเหล่านี้รู้สัญญาณที่เราเรียก พอเป่าวี้ดนี้อยู่ที่ไหนก็วิ่งปุบปับ ๆ เข้าหาเจ้าของพึ่บเลย
พอมานี้ก็เอาหนังเสือใส่เลยที่นี่ พอเอาหนังเสือใส่ปกคลุมหัวมันก็เฉย ทั้ง ๕ ตัวเฉยเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีอยู่ตัวหนึ่งชื่อไอ้อ้วนนี่สู้ ทั้งจะถอยทั้งจะกัด เผลอไม่ได้เป็นเข้ากัด ไอ้นี่สู้เสือ พอกัดได้ตรงไหนเป็นกัดตรงนั้น แล้วทั้งหลบทั้งกัด ไอ้อ้วนยังมีท่าหน่อย ไอ้หนึ่งวิ่งราบเลย ตอนนี้หยุดแล้วยังก็ไม่รู้ ไปหาดูซีมันวิ่งแต่วานนี้ วิ่งเพราะกลัวจริง ๆ นี่ก็น่าจะพูดว่ามันกลับไม่ได้แล้ว ขี้มันก็หมด เข้าใจไหมขี้หมด คือทะลักออกหมดเลย ตัวนี้กลัวมาก ตัวนี้รู้จักเสือ
ไอ้อ้วนคงรู้จักเสือจึงได้มีการต่อสู้ ขยับหนังเสือปั๊บมันหลบปุ๊บทางนี้ กัดทางนี้ ใส่ทางนี้มันหลบทางนี้ กัดทางนั้น ไอ้อ้วนเอาดีเมื่อวานนี้สู้กับเสือ มีตัวหนึ่งวิ่งเปิงเลย อีก ๕ ตัวนั้นเอาหนังเสือครอบหัวมันก็เฉย มันไม่รู้จักเสือจริง ๆ นะ เอาหนังเสือไปครอบหัวยังนอนเฉย นอนสบายอยู่ จนเราเอาหนังเสือตีหัวมัน มึงไม่รู้จักเสือรึ กูยังรู้นี่นา ได้เอาหนังเสือตีหัวมันวานนี้ มันยังหมอบเฉยอยู่อีก พุทโธ่ มึงยังเก่งกว่ากูนะ กูยังกลัวเสือ มึงไม่ยักกลัว
พวกเรานี้มันพวกหมาไม่รู้จักเสือเข้าใจไหม เอาตรงนี้ที่นี่นะ คือกิเลสตีเท่าไรก็หมอบเฉย ได้ยินแต่เสียงครอก ๆ สบายอยู่เลย พวกเรานี้พวกไม่รู้จักเสือ จนเอาหนังเสือตียังเฉยอีก แน่ะฟังซิ ตัวหนึ่งรู้ นั่นก็รู้เกินไปวิ่งราบเลยนะ อู๊ย ไม่ฟังใครเลย ใครจะไปจับไม่ได้วิ่งใหญ่เลย พุ่ง ๆ นั่นก็กลัวเกินไป ให้มันพอดีขนาดไอ้อ้วนซิ ไอ้อ้วนยังหลบทางนี้กัดทางนี้กัดทางนี้ เรียกว่าถึงมีท่าต่อสู้ แต่พวกเราไม่มีละซิทางหลบกัดน่ะ มีแต่ให้กิเลสฟาดเอาจนได้ยินเสียงดังครอก ๆ ๆ จึงว่าพวกเราเป็นพวกหมาไม่รู้จักเสือ เอามาเทียบกันซิ คนไม่รู้กิเลสว่าเป็นภัยเป็นอย่างนั้นพิจารณาเอา ก็เหมือนกับเอาหนังเสือมาครอบหัวก็ยังเฉย เอาหนังเสือมาตีหัวก็ยังเฉย
คนไม่รู้จักกิเลสว่าเป็นภัยก็เป็นอย่างนั้น ต่างคนต่างส่งเสริม ต่างคนต่างสั่งสมกันขึ้น มีแต่เรื่องของกิเลส แล้วก็เป็นฟืนเป็นไฟไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองเวลานี้ดูเอาซิ ศาสนามีค้างอยู่ที่หัวใจตรงไหน เราอยากจะพูดว่ามันจะไม่มีค้างละนะเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะมีแต่เรื่องของกิเลสออกเพ่นพ่าน ๆ ทำงานอยู่หมดทุกแง่ทุกมุม ของการของงานของอะไร ๆ ความเคลื่อนไหวของจิตที่แสดงออก มีแต่เรื่องของกิเลสออกทำงาน
วาจากล่าวออกมาก็ออกมาจากกิเลส เป็นเครื่องมือของกิเลส กายความประพฤติหน้าที่การงานทุกอย่างเต็มไปด้วยอำนาจของกิเลสทั้งนั้น กิเลสทำงานเสียหมดแล้วแหลก ๆ ๆ เราอย่าพูดแต่ชาวบ้านชาวเมืองเลย แม้ในวัดนอกวัดพระเณรหัวโล้น ๆ ก็ตามมันตีได้สบาย กิเลสตีหัวพระหัวเณร เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ เป็นขนาดนั้นแล้วนี่นะจะว่าไง
ต่างคนต่างดิ้น ใครก็มีแต่จะเอา ๆ สุดท้ายไม่มีใครได้ล่ะซิ อย่างนั้นละเรื่องกิเลสหลอกคน ใครที่จะว่าไม่เอาไม่มี มีแต่จะเอาทั้งนั้น สุดท้ายไม่ได้ มีแต่พวกมือเปล่า ๆ ทั้งหมด เราเห็นไหมเศรษฐีตายเอาอะไรไปได้ ถ้าว่าเราหาเรื่องอุตริ ล้วนตายไปด้วยความอดความอยากความอดความหิวทั้งนั้น ท้องก็ว่างเปล่าไปหมด ก็คนจะตายจะกินเข้าไปได้ยังไงใช่ไหม เอาสมบัติมากองไว้เท่าภูเขาก็แตะไม่ได้ เอาอาหารมาไว้กองเท่าศาลาก็กินไม่ได้ จึงว่าตายด้วยความอดอยากขาดแคลน
ไม่ว่าเศรษฐีไม่ว่าคนจนตาย-ตายเหมือนกันหมด แล้วได้อะไรเป็นเครื่องสมหวังมีไหม พิจารณาซิ ธรรมพระพุทธเจ้าดูอย่างนี้ ให้มันเห็นซิ ให้เห็นในตัวของเรานี่ ใจของเราถ้าแห้งผากจากอรรถจากธรรม จะมีแต่ความหิวความโหยความกระวนกระวาย ตายไปด้วยความทุกข์ความลำบากความทรมาน สมบัติเงินทองข้าวของ เราไม่ฉลาดมันก็ทิ้งอยู่เปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์ เจ้าของก็ไปจมคนเดียว ท่านจึงว่าให้ฉลาด ๆ ในสิ่งที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน
กิเลสมันเหนียวแน่นมากนะ สิ่งใดที่เราควรจะทำให้เป็นประโยชน์แก่เรา แก่หัวใจของเรากิเลสไม่ยอม ร่างกายนี้ชั่วอายุที่เกิดขึ้นมานี้ไปถึงวันวาระสุดท้ายคือตายเท่านั้นก็หมดแล้ว ร่างกายนี้เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ แตกแล้วกระจายไปตามดินน้ำลมไฟของเดิมมัน ทีนี้ใจน่ะซีไม่ตาย เอ้า ใจไม่ตายเอาอะไรไปเป็นอาหาร เอาอะไรเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เมื่อไม่มีแล้วทำไง ไม่มีก็จนละซี จนเราก็ทุกข์ละซี นี่ละถึงว่าตายด้วยความหิวความโหย ความกระวนกระวาย ความทุกข์ความลำบาก เพราะไม่มีเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องสอนให้มีเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ
ใจไม่ตายไปข้างหน้าให้ได้เครื่องหล่อเลี้ยงเจ้าของไปด้วยซิ สมบัติเงินทองข้าวของแปรสภาพให้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นได้ อันนี้เอาไว้สำหรับร่างกาย อันนี้เอาไว้สำหรับทำประโยชน์ในหัวใจของเรา ต้องคิดกันอย่างนั้น ใครมีอะไรจะให้แต่กิเลสโกยเอา ๆ มันโกยไปหมดนั่นแหละ ไม่ได้ออกทำประโยชน์แหละ ช่องเล็กช่องน้อยก็ออกไม่ได้เพราะกิเลสมันเหนียว เหนียวจริง ๆ ดูหัวใจเจ้าของก็รู้ อย่าไปดูหัวใจคนอื่นอันเป็นการยกโทษกัน
สิ่งเหล่านี้มีอยู่กับหัวใจของทุกคนนั่นแหละความเหนียวความแน่น พอว่าจะทำบุญทำทานอย่างนี้ ตัวตระหนี่มันจะมาแล้วนะ ภาษาทางภาคอีสานเขาว่า นกขี้ถี่บินเข้ากรงแพง ทั้งขี้ถี่ทั้งแพงทั้งเหนียวทั้งแน่นนั่นละ เสียงดังตั๊บได้ยินไหมล่ะ ทีนี้เวลาตายก็ตายอย่างว่านั่นละ สมบัติเงินทองข้าวของมีแต่หึงแต่หวงเอาไว้ บทเวลาจะตายแล้วเอาไปไม่ได้เลย หัวใจก็ตายด้วยความหิวโหย ร่างกายก็ตายด้วยความหิวโหย ด้วยความว่างเปล่าจากอาหารทั้งหลาย คนจะตายกินข้าวได้เมื่อไร เมื่อกินไม่ได้ท้องก็แห้ง หัวใจก็แห้ง เราอยากให้เป็นอย่างนั้นเหรอ
หัวใจให้อิ่มหนำสำราญด้วยบุญด้วยกุศลซี เหมือนอย่างอุบาสกคนหนึ่งชื่อ ธัมมิกอุบาสก มาในธรรมบท นี่ก็ทำบุญทำทานจนหัวใจเนื้อหนังเป็นบุญเป็นกุศลไปหมด เป็นอรรถเป็นธรรมไปหมด ทีนี้เวลาจะตายก็ให้ลูกไปนิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ฟัง เพื่อความรื่นเริงบันเทิงในวาระสุดท้าย พอลูก ๆ ไปนิมนต์พระมา พระนั้นก็สวดมนต์ แต่ว่าท่านเป็นพระปุถุชนไม่ใช่พระอริยะ ไม่ใช่พระที่ตาแจ้งตาสว่าง เป็นพระปุถุชนธรรมดาเรา พอสวดมนต์ไป พวกเทวดาเอาราชรถมาเกยแล้ว ทางนั้นก็มา ๆ คนนั้นก็เชิญให้ขึ้นราชรถคันนั้น คนนี้ก็เชิญให้ขึ้นราชรถคันนี้ รถเทพรถเทวดาเกลื่อนอยู่บนอากาศ ที่จะมารับเอาไปเป็นหมู่เป็นเพื่อนกัน
ทางอุบาสกก็กลัวว่าเทวดาเหล่านี้จะมาเป็นอันตรายแก่การฟังธรรม เวลานี้กำลังฟังธรรมเพลินอยู่ จะลืมยังไงไม่ทราบ เลยหลุดออกมาทางวาจาว่า เดี๋ยวให้รอเสียก่อน ๆ ว่างั้น บอกพวกเทพให้รอเสียก่อน คือ กลัวจะเป็นอันตรายแก่ธรรม เวลานี้กำลังฟังพระท่านสวดมนต์ กำลังเพลินในธรรมอยู่ มองเห็นอยู่ชัด ๆ นี่ ก็ห้ามทางใจ แล้วเผลอยังไงไม่ทราบ ออกมาทางวาจา บอกให้รอเสียก่อน ๆ ทีนี้พวกพระทั้งหลายก็เข้าใจว่า โยมคนนั้นห้ามตัวเองว่าให้พักเสียก่อนให้รอเสียก่อนจะเป็นอันตราย พระทั้งหลายเลยลุกจากที่ หยุดสวดแล้วก็เลยไปวัด
พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งว่ากลับมาทำไม ก็อุบาสกคนนั้นห้ามไม่ให้สวด เขาไม่ได้ห้ามพวกท่านทั้งหลายนะ เขาห้ามพวกเทพทั้งหลายซึ่งเกลื่อนอยู่บนอากาศนั้นเต็มอยู่นั้น เขาจะเอาราชรถมารับ ราชรถทางนั้นก็มาทางนี้ก็มา ใครก็เชื้อเชิญให้ไปชั้นของตน ๆ ความหมายว่างั้น แล้วผู้นี้กำลังเพลินฟังสวดมนต์อยู่กลัวจะเป็นอันตราย เขาห้ามพวกเทพต่างหาก พระองค์ไล่พระตาบอดกลับมาอีก จึงได้กลับมาอีก พอสวดมนต์จบลงไปแล้วก็ว่าพ่อจะไป เท่านั้นละแล้วบึ่งเลย
นี่ละหัวใจที่ชุ่มด้วยอรรถด้วยธรรมชุ่มด้วยบุญด้วยกุศล แม้จะมีชีวิตอยู่ก็ยังแสดงให้เห็นเต็มไปหมด ท้องฟ้าอากาศนี่เต็มไปหมดด้วยรถทิพย์ที่มารอรับให้ไปชั้นของตน ๆ เพราะท่านผู้นี้เป็นผู้ที่ไม่จนตรอกแล้วที่จะไปชั้นไหนในบรรดาสวรรค์ คุณงามความดีเพียงพอแล้วจะไปรถคันไหนได้ทั้งนั้น ถ้าคนนี้ยังไม่สมควรแก่รถคันนั้นๆ จะไม่มา นี่สมควรหมด บนอากาศนี่จะขึ้นคันไหนได้ทั้งนั้น
แต่คนนี้บอกว่าเวลานี้กลัวจะเป็นอันตรายต่อการฟังธรรม เลยให้รอเสียก่อนและออกมาทางคำพูด พระเข้าใจผิดเลยหยุดสวดแล้วกลับไป พระพุทธเจ้ารับสั่งให้กลับมาอีก โดยชี้แจงเหตุผลให้ทราบว่าพวกเทพทั้งหลายเกลื่อนอยู่บนอากาศ มีแต่ราชรถ รถเทพทั้งนั้นมารออุบาสกคนนี้ ไม่ใช่เขาห้ามเรา เขาห้ามพวกนั้นต่างหาก กลัวจะเป็นอันตรายแก่การฟังธรรมของเขา ไปให้คืนไป แล้วไล่กลับมาอีก มาก็มาสวดอีก
ตอนนี้เราลืมพูด อุบาสกถามลูกว่านี่พระคุณเจ้าไปไหน พระคุณเจ้ากลับแล้ว ทำไมถึงกลับเสียล่ะ อ้าว ก็คุณพ่อห้ามตะกี้นี้ โอ๋ย เราไม่ได้ห้าม นี่เราห้ามพวกเทพต่างหาก ให้ไปนิมนต์ท่านมา พอดียังไม่ไปนิมนต์ทางนั้นมาแล้ว พระพุทธเจ้ารับสั่งให้มา นั่นเป็นอย่างนั้น
นี่หมายถึงว่าบุญกุศลเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจเพียงพอแล้ว รถเทพคันไหนขึ้นได้หมด ควรหมดกับคนคนนี้ คนผู้สร้างคุณงามความดีไว้เพียงพอแล้ว จะขึ้นคันไหนได้ทั้งนั้น ถ้าคนนี้ยังไม่ควรแก่รถคันใด รถคันนั้นจะไม่มา รถชั้นนั้นจะไม่มา อันนี้มาเต็มไปหมด นี่ท่านพูดถึงเรื่องอำนาจแห่งความดี
อุบาสกคนนี้เป็นคนที่ใจบุญใจกุศลมีศีลทานตลอดเวลา จนกระทั่งเวลาจะเสียชีวิตก็บอกลูกหลานพ่อจะไปละนะ ให้พากันสร้างบุญสร้างกุศลอย่าลดละอย่าปล่อยอย่าวาง พ่อจะไปด้วยความสุคติ แล้วอย่าเป็นห่วงกับพ่อนะ ร่างกายนี้ทิ้งได้ทุกคน ฟังซิพ่อสอนลูก ร่างกายนี้ทิ้งไว้ทุกคนไม่มีใครจะเอาไปได้แหละ แต่ส่วนบุญส่วนกุศลนั้นเป็นของเรา พอว่าอย่างนั้นก็ไปเลย
นี่เป็น คติสด ๆ ร้อน ๆ นะ อุบาสกคนนี้ท่านก็ไปแล้ว รถก็รับไปแล้ว ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ท่านสอนไว้ทำไมว่าไว้ทำไม ก็ว่าให้พวกเราที่กำลังดำเนินอยู่นี่ว่าจะไปทางไหน จะไปทางนรกหรือจะไปทางสวรรค์ ความหมายว่าอย่างนั้น ถ้าไปทางสวรรค์ก็ให้ทำแบบที่ท่านสอนไว้นี้ แบบพาดำเนินนี้ ถ้าจะไปนรกก็ไป อันไหนชั่วอันไหนลามกให้พากันประกอบให้พากันสร้างขึ้น จะได้เผาหัวเจ้าของนั่นแหละความหมายว่างั้น นี่เรื่องของใจ
ใจไม่เคยตายนะ ไม่มีจิตดวงใดตายได้เลย ตายไม่ได้ฉิบหายไม่ได้คือจิตของเราแต่ละดวง เพราะฉะนั้นโลกอันนี้ถึงมากต่อมากด้วยจิตวิญญาณ เพียงแค่ในวัดป่าบ้านตาดของเรานี้ก็มากกว่าคนทั่วโลกนี้แล้ว ฟังซิมากไหม ต่างตัวต่างดวงต่างวิญญาณต่างเสวยกรรมของตน เสวยกรรมอย่างละเอียดที่เป็นกายทิพย์ อย่างสัตว์นรกนี้ก็เป็นกายทิพย์อันหนึ่ง คือกายของเขาไม่สามารถมองเห็นด้วยตา นอกจากเขามาแสดงเท่านั้นก็เห็นชั่วระยะที่มาแสดง ถ้าไม่แสดงแล้วก็เสวยกรรมอยู่ตามธรรมชาติของตน
เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณเพียงอยู่ในวัดป่าบ้านตาดนี้ก็เต็มไปหมดแล้วแหละ คนในโลกเรานี้สู้ไม่ได้ ไม่มากกว่าอันนี้ อันนี้มากกว่านั้นอีกหลายเท่า เพราะใจไม่ตาย แต่เสวยกรรมของตัวอยู่อย่างนี้ พวกทำกรรมที่ควรจะลงนรกหลุมไหน ๆ นี้กรรมจะจัดให้พอดี ๆ ถึงจะแน่นขนาดไหนก็แน่นเถอะนรกไม่เจ็บไม่ปวด นรกไม่เป็นทุกข์ คนผู้ไปตกนรกแออัดนั้นละมันเป็นทุกข์ เป็นอย่างนั้นนะ
ทีนี้พวกที่ไปเป็นเทพก็เหมือนกัน สวรรค์ชั้นไหนที่เต็มไปด้วยเทพก็มี คนบุญก็มีมากนี่ ไม่ว่าสวรรค์ไม่ว่าชั้นพรหม นี้เป็นที่สำหรับบรรจุคนดีทั้งนั้น ๆ นรกทุกหลุมถึง ๒๕ หลุมถ้าจำไม่ผิดนะ หลุมหนึ่ง ๆ เรียงเป็นลำดับลำดาลงไปตามกรรมของผู้ทำ ถ้าจมมิดก็ได้แก่พวกที่ทำอนันตริยกรรม ๕ อนันตริยกรรมแปลว่า กรรมที่หนักที่สุด หาระหว่างไม่ได้เลย มี ๕ ด้วยกัน ๑) ฆ่าบิดา ๒) ฆ่ามารดา ๓) ฆ่าพระอรหันต์ ๔) ทำร้ายพระพุทธเจ้าแม้จะยังไม่ตายก็ตาม เพียงโลหิตห้อ ภาษาของเราเรียกว่าห้อเลือด เท่านั้นก็ตาม ๕) ทำสังฆเภทคือยุยงส่งเสริมทำพระให้แตกร้าวจากกัน
๕ ประการนี้ท่านบอกว่า ถ้าหากว่ายังมีชีวิตยังพอมีสติอยู่บ้าง ห้ามเป็นอันขาดอย่าแตะ กรรม ๕ ประการนี้หนักมากที่สุด คือถ้ายังพอมีสติระลึกได้อยู่ว่านี้คือพ่อเรานี้คือแม่เราเป็นต้น อย่าแตะเป็นอันขาดเป็นกรรมหนักที่สุด และท่านเหล่านี้ก็มีคุณมากที่สุดต่อเราด้วย กรรมถ้าเราไปทำผิดก็มากที่สุดหนักที่สุดแก่เราด้วย พวกนี้ละเป็นพวกที่ลงไปอยู่ในนรกหลุมที่ต่ำสุดลึกที่สุด ตั้งแต่ยังไม่ถึงนั้นก็ตามเพียงความประพฤติกาเมสุ มิจฉาจาร ยกตัวอย่างให้เห็นเลยเพราะเรื่องเป็นมาแล้ว ทำไมพูดเรื่องของมันที่เป็นมาแล้วไม่ได้ เพื่อจะแก้จะไขกัน
พวกนี้เป็นพวกเศรษฐี เศรษฐีมีเงินมีทองมากถ้าไม่มีธรรมะแล้วลืมตัว และพวกนี้ก็คือพวกลืมตัว มีเงินมีทองข้าวของแล้วไปจ้างไปอะไรทุกประเภทว่างั้นเถอะนะ คนทำไมเขาจะไม่ต้องการเงิน จ้างที่ไหนก็ได้ซีเงิน นี่ละทำความเสียหายแก่ตน ไม่ว่าลูกใครเมียใครไปเอาหมดเลย ทีนี้มันทำลายจิตใจของคนขนาดไหน
ผัวใครเมียใครใครไม่รัก ไปทำลายเมียเขาไปทำลายผัวเขา นั้นคือไปทำลายจิตใจของเขา จะหนักมากขนาดไหน แล้วผัวคนนี้เมียคนนี้ก็ทำลาย คนนั้นก็ทำลาย ๆ ทำลายไปหมด ต่างคนต่างทำลายอย่างนี้ต่างคนจึงต่างเจ็บต่างแสบ ความเจ็บความแสบทั้งหมดรวมเข้ามาหาผู้ที่ทำนี้ทั้งหมด เพราะนี้เป็นผู้ทำเป็นผู้สร้างกรรม กรรมจะไปไหนก็มาหาผู้นี้ทั้งนั้น
ทีนี้เวลาตายแล้ว เราจะยกตัวอย่างให้ฟังนะ ที่เคยกล่าวคาถาย่อ ๆ ทุ สะ นะ โส. นี่เป็นภาษาย่อ ภาษายาว ทุ คือ
ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา เยสํ โน น ททามฺห เส
วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ ทีปํ นากมฺห อตฺตโนติ
พวกเราทั้งหลายเหล่าใดในเมื่อยังมีโภคทรัพย์อยู่ก็ไม่ได้ทำบุญให้ทาน ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน พวกเราทั้งหลายเหล่านั้นจัดว่าเป็นผู้มีชีวิตอันชั่วช้าลามกที่สุด สะ นี่หมายถึง
สฏฺฐี วสฺสสหสฺสานิ ปริปุณฺณานิ สพฺพโส
นิรเย ปจฺจมานานํ กทา อนฺโต ภวิสฺสตีติ
เมื่อพวกเราทั้งหลายถูกไฟไหม้อยู่ในนรกตั้ง ๖ หมื่นปีบริบูรณ์ เมื่อไรที่สุดแห่งทุกข์เหล่านี้จะปรากฏแก่ พวกเรา นะ คือว่า
นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต น อนฺโต ปฏิทิสฺสติ
ตทา หิ ปกตํ ปาปํ มม ตุยฺหญฺจ มาริสาติ
ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ที่สุดแห่งทุกข์ของเรานั้นย่อมไม่มี ที่สุดแห่งทุกข์นี้จะมีมาจากที่ไหน เพราะว่ากรรมชั่วช้าลามกเหล่านั้น พวกเราและท่านทั้งหลายได้ทำไว้เต็มที่แล้ว โส. คือ
โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา โยนึ ลทฺธาน มานุสึ
วทญฺญู สีลสมฺปนฺโน กาหามิ กุสลํ พหุนฺติ
เรานั้นเมื่อได้พ้นจากนรกนี้แล้วจะเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้มีปัญญา ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยทาน จะกระทำกุศลให้มากมูนแน่นอน
ในเวลากล่าวคาถานั้นต่างมีความรื่นเริง เหมือนกับว่าจะได้พ้นจากนรกในวันพรุ่งนี้ ทั้ง ๆ ที่ตั้ง ๖ หมื่นปี ฟังซิ มีเวลากระหยิ่ม นรกร้อนขนาดไหน พอพ้นจากนรกแล้วจะไปสร้างบุญกุศลให้เต็มความสามารถให้มากมูนที่สุดเลย แล้วกระหยิ่มในขณะนั้นครู่หนึ่ง เหมือนว่าจะได้พ้นจากนรกในวันพรุ่งนี้ นี่ละ ทุ สะ นะ โส
คือ ทุ นั่นหมายความว่า จะกล่าวคาถาเต็มบทเต็มบาทตามที่กล่าวตะกี้นี้ กล่าวไม่ทันจบ ทุ ได้คำเดียวเท่านั้น คือตกนรกนะ จากผิวหม้อน้ำร้อน พูดง่าย ๆ จากผิวหม้อนี่ลงไปจนกระทั่งถึงก้นหม้อนั้น ๖ หมื่นปี จึงลอยขึ้นจากก้นนั้น โผล่ขึ้นมานี้อีก ๖ หมื่นปี กว่าจะมาถึงผิวนี้ ๖ หมื่นปี พอมาถึงผิวนี้แล้วจะกล่าวคาถาเพียงข้อเดียวคือ ทุ เท่านั้นไม่ทันจะกล่าว ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา.....ไม่ทัน
แต่ละคนกล่าวได้เพียงคำเดียวคือ ทุ สะ นะ โส จมแล้ว ๆ เร็วขนาดไหน จะกล่าว ๔ บาท คาถาเท่านั้นไม่จบ ได้เพียง ๔ คำนี้เท่านั้นจมแล้ว ๆ นี่ก็คือพวกก่อกรรมหนัก เราจึงจะเห็นว่าเป็นของสนุกสนานรื่นเริงไม่ได้ เราอย่าเพลินกับฟืนกับไฟ
ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่สด ๆ ร้อน ๆ ว่าไฟก็ไฟแท้ ๆ ร้อนก็ร้อนแท้ ๆ ไม่ใช่ว่าไฟนี่ร้อนแล้วตั้งแต่กัปนั้นกัลป์นี้ เดี๋ยวนี้กลายเป็นของเย็นสบายไปแล้ว ไม่เคยมี บาปเป็นของร้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร บุญเป็นของดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเป็นของดีมาตลอดกาลจนกระทั่งถึงบัดนี้ จึงว่า อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้าไปทำลายได้เลย สิ่งใดที่เป็นยังไงก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราจึงอย่าดื้ออย่าด้าน อย่าหาญทำด้วยความทะเยอทะยาน หรือด้วยความลืมเนื้อลืมตัว ด้วยความคึกคะนอง ทำลงไปเห็นว่าเป็นความสนุกสนานรื่นเริง นั้นแหละคือไฟจะเผาเรา ทุ สะ นะ โส นี้กล่าวไม่จบนะ พวกไหนพวกจะกล่าว ทุ สะ นะ โส จบล่ะ ไปกันนี้ก็จะกล่าว ทุ สะ นะ โส ไม่จบเช่นกัน ด้วยความเพลินกับสิ่งชั่วช้าลามกเหล่านี้ จึงพาให้เป็นเช่นนั้น
นี่ละพวกเศรษฐีที่มีเงินมาก ๆ ลืมเนื้อลืมตัว ไปทำกาเมสุ มิจฉาจาร เป็นที่เด่นที่สุด พวกสกุลเศรษฐี ๔ คนท่านกล่าวไว้ในธรรมบท แล้วกรรมอันนี้แหละไปเผาพวกสกุลเศรษฐีอยู่เวลานี้ ยังกล่าวคาถานี้ไม่จบเลย เมื่อไรจะกล่าวจบ นตฺถิ อนฺโต....ที่สุดแห่งทุกข์ในนรกนี้เมื่อไรจะปรากฏแก่พวกเรา ไม่ปรากฏว่างั้นเลย เพราะกรรมชั่วอันนั้น ๆ เพราะเราและท่านได้ทำไว้แล้วอย่างมากมาย จะไปสิ้นสุดได้อย่างไร นั่นคำแปลแล้ว
ถึงอย่างนั้นก็ตามยังมีความหวังว่า เมื่อเราพ้นจากนรกนี้แล้ว เราจะเป็นผู้ไม่ประมาท จะเป็นผู้มีปัญญา สร้างบุญกุศลให้มากมูนอย่างแน่นอน และกระหยิ่มในความคิดของตน เหมือนกับว่าจะได้พ้นจากนรกในวันพรุ่งนี้ ทั้งที่ตั้งแต่ตกนรกอยู่นั้นก็ ๖ หมื่นปี ขึ้นมา ๖ หมื่นปี ลงไป ๖ หมื่นปี หมุนอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เพียงเท่านั้นจบนะ ยังจะหมุนอยู่อีกเท่าไรน่ะฟังซิ น่ากลัวไหม
เราลองเอามือไปจี้ไฟดูซิ ไม่ต้องถึง ๖ หมื่นปีละ ไฟในเตาหลวงตาบัวมี จะได้ทราบว่าหลวงตาพูดโกหกหรือพูดจริง หรือไม่อย่างนั้นมีไม้ขีดไฟรีบไปเอามา เอาไปจี้สักคนเถอะน่ะเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องทัน ๕ นาทีละ พอไฟจี้เข้าไปมันจะโอ๊ย ๆ ขึ้น ไม่ถึง ๕ นาที มันก็จะตายอยู่แล้ว นั่นเห็นไหม นั่นตั้ง ๖ หมื่นปีท่านทั้งหลายฟังซิ อันนี้ไม่ถึงเพียง ๕ นาทีก็ดิ้นล้มดิ้นตายกระเสือกกระสนแล้ว ไฟนิดเดียวเพียงเท่านี้ ไฟนี้ไฟในเตาไม่ใช่ไฟในนรกด้วยซ้ำ ไฟในนรกไม่ให้ตายด้วยนะ เผาอยู่ด้วยอำนาจแห่งกรรม ไม่ให้ตาย ไม่ให้เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ถ้าไม่หมดกรรมนี้เสียก่อน จะหมุนกันอยู่นั่นละจะว่าไง แล้วพวกเราทั้งหลายหาญเรอะ พิจารณาซิว่าจะหาญไหมหาญ
พระพุทธเจ้าผู้นำธรรมมาแสดงไว้ พระองค์เห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจึงนำมาสอน ไม่ใช่ไม่เห็นไม่ใช่มางม ๆ เดา ๆ บาปมีเห็นแล้วถึงได้มาสอน บุญมีเห็นแล้วถึงมาสอน นรกมีเห็นแล้วถึงมาสอน สวรรค์ พรหมโลก นิพพานมีเห็นแล้วถึงมาสอน นำตั้งแต่สิ่งที่มีที่เป็นมาสอนทั่วโลกดินแดน
ธรรมะใครจะไปมากยิ่งกว่าธรรมะพระพุทธเจ้า คือความเห็นใด ความรู้ใดไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่รู้มากที่สุดไม่มีใครเกิน จึงนำมาพูดจนกระทั่งวันนิพพาน ยังไม่จบในสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นมา แสดงให้โลกเห็นทั้งดีทั้งชั่วจนปรินิพพานไปเสียก่อน จากนั้นมาก็พระอรหันต์ท่าน-ท่านก็เห็น ไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ของพระพุทธเจ้าก็ตาม ท่านก็เห็น ๆ จะว่าไง ปฏิเสธได้ยังไง เพราะเห็นนี่ เพราะรู้นี่ เพราะฉะนั้นโวหารความรู้ของท่านจึงไม่สิ้นสุดเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า
เพราะท่านเอามาจากความรู้ความเห็น กว้างขนาดไหนที่ท่านรู้ท่านเห็น เพราะตาหนึ่งแจ้ง คือ ตาข้างในทิพย์เห็นทะลุไปหมด หูก็ฟังทะลุไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นทะลุไปหมด แล้วนำสิ่งที่ท่านรู้ท่านเห็นนั้นมาพูดยังไม่จบ ดีไม่ดีท่านตายเสียก่อน ยังไม่จบในสิ่งที่ท่านรู้ท่านเห็นมาสอนโลกนั่นน่ะ ฟังซิ ไอ้เราเพียงไปบ้านนี่ล้ม ๓ ทิศมันตำสะดุด เพราะความเซ่อไปไหนมัวแต่อ้าปาก เป็นยังงั้นนะพวกเรา จึงเรียกว่าพวกเซ่อ จอมเซ่อ ครั้นบทด่าผัวละ แบ๊ะ ๆ ๆ ใครจะทัน ไม่ทันได้หยิกได้ข่วนก็ช่าง เอาปากออกก่อนเลย
เอาละเท่านี้