เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กทม
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑
พัฒนาจิตให้ดี
มีประมาณ ๆ อย่างงั้นซิ นี่เรียกว่าคนมีหลักใจ ใจที่ได้พัฒนาแล้วย่อมเป็นไปตามเหตุผล ความเป็นไปตามเหตุผลคือความถูกต้องแล้วเย็น ทีนี้เราหมุนเข้ามาถึงจิต สร้างหลักฐานให้ตัวเองให้ได้รับความอบอุ่นนี้อีก อันนี้เราเกี่ยวกับส่วนรวม ก็จิตเมื่อได้รับการอบรมแล้วกระจายออกไปส่วนรวมก็แน่นหนามั่นคง ต่างคนต่างได้รับการอบรมด้วยกันแล้ว ต่างคนต่างจะมีเหตุมีผล ปฏิบัติต่อกันด้วยความราบรื่นดีงามสงบร่มเย็น ทีนี้ใจของเราย้อนเข้ามาถึงว่าการอบรมใจของเราให้เป็นพัฒนาจิตใจโดยเฉพาะแล้ว อันนี้ก็เหมือนกัน จิตใจจะแน่นหนามั่นคง เรานึกไปยิ่งให้มีสมบัติประจักษ์ภายในใจ เช่น ความสงบภายในใจซิ
เราไม่ต้องไปวาดภาพสวรรค์นิพพานละ อันนี้มันบอกเองนี่ มันเหมือนกับว่าเป็นหุ่นที่จะแสดงให้เห็นเรื่องสวรรค์นิพพานขึ้นมาแล้วนี่ พอจิตเริ่มสงบแล้วเหมือนกับว่าแสดงหุ่นขึ้นมาแล้ว สงบมากน้อยมันจะเด่นขึ้น ๆ และความมั่นใจความอบอุ่นเจ้าของจะเด่นขึ้นไปตาม ๆ กัน นี่การสร้างที่ว่าพัฒนาจิตใจเป็นยังงี้นะ แล้วจิตใจนี้เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากนะ เพราะเราไม่เคยทำใจของเรา ใจไม่เคยได้รับความเหลียวแลจากเจ้าของเท่าที่ควร และไม่เคยได้รับความเหลียวแลจากเจ้าของการบำรุงจากเจ้าของอย่างเต็มกำลังความสามารถที่ใจจะแสดงตัวออกได้ ใจจึงไม่เห็นเป็นของอัศจรรย์ คนคนนั้นก็ไม่อัศจรรย์ คิดถึงเรื่องเจ้าของเดือดร้อนวุ่นวายเสียด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีอะไรอยู่ในนั้น มีแต่ความเดือดร้อน
ทีนี้เวลาเราใช้การอบรมจิตใจของเรานี้ เอ้าเริ่มตั้งแต่จิต นี่หมายถึงผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ เช่นนักบวช ไม่มีหน้าที่การงานอื่นใดมายุ่งเหยิงวุ่นวาย มีแต่การอบรมจิตใจอย่างเดียวแล้ว ที่นี่เวลาไปอยู่ในป่าในเขาก็ดีอยู่ที่ไหนก็ดี อบรมจิตของเราให้มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นด้วยความสงบ อย่างน้อยสงบเสียก่อนมันถึงจะแน่นหนามั่นคงได้ พอจิตค่อยสงบ ๆ แล้วค่อยเย็นลงไปสงบลงไปเรื่อย สงบลงเท่าไรยิ่งละเอียด ๆ ความรู้ก็ละเอียดเข้าไปโดยลำดับ ความเย็นก็เย็น ความสุขก็สุขละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ ทีนี้มันก็เหมือนกับว่าเป็นเรดาร์ล่ะนะ เป็นเรดาร์จะจับถึงมรรคถึงผลถึงสวรรค์นิพพานแล้วนะ มันบอกอยู่ในนี้นะ มันค่อยแสดงหุ่นแสดงภาพพจน์ขึ้นมาแล้ว โดยอาศัยหลักเกณฑ์ภายในจิตใจของเรานี่พาให้แสดง จากนั้นมาก็แจ้งชัดขึ้น ๆ ถ้ายิ่งเราพูดถึงขั้นปัญญาด้วยแล้วไม่มีอะไรจะไปคาดเลยนะ
ใครอย่าไปคาดนะปัญญา ใครจะว่าใครรู้ใครฉลาดแหลมคมขนาดไหนก็ตามเถอะ ขอให้ได้ใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้ก่อน อันนั้นละเราจะทราบได้ชัดว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์ละเอียดแค่ไหน เราเห็นได้ในพระปัญญาปรีชาญาณความสามารถของพระองค์เองโดยที่เราปฏิบัติได้รู้ในเงื่อนต้นเงื่อนปลายของท่านอยู่ในนั้น อยู่ในหัวใจเรา ท่านฆ่ากิเลสท่านฆ่าแบบไหน จิตของท่านสติปัญญาของท่าน สติปัญญาประเภทที่ฆ่ากิเลสเป็นสติปัญญาประเภทใดนี้ มันมาเกิดในหัวใจของเราเสียหมด ๆ ตามภูมิของเรานะ ไม่ได้หมายถึงว่าเอาภูมิของเราไปวัดภูมิพระพุทธเจ้านะ ให้มันเท่ากัน ไม่ใช่ไปวัดรอยท่านนะ เราพอเป็นหลักฐานพยานหรือพอเป็นเครื่องยืนยันกัน เพียงเท่านี้มันก็ยันกันได้แล้ว ๆ
ความสว่างของจิตเป็นยังไง ได้ยินแต่ว่าความสว่าง ๆ จิตเกิดความสว่างอย่างนั้นอย่างนี้เรายังไม่เห็นในตัวของเรา มันก็ไม่พ้นความสงสัยอยู่นั่นแหละ พอมันปรากฏขึ้นมาเท่านั้นแหละ ไม่สงสัยอิ่มเอิบทั้งวัน อยู่ไหนก็อิ่มก็เอิบ อยู่ในป่าในเขาคนเดียวแทนที่จะกลัวล้มกลัวตาย กลับอิ่มเอิบอยู่คนเดียว ฟังซิ สองก็คืออะไร ธรรมเป็นที่พึ่ง ใจเรากับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วสว่างกระจ่างแจ้ง ธรรมมีความบกพร่องที่ตรงไหนพอที่จะเกิดความเดือดร้อน เมื่อธรรมอยู่ในหัวใจเราแล้วเราเดือดร้อนอะไร นั่นมันบอกอยู่ในตัวเสร็จเลย อบอุ่นก็อบอุ่นในนี้ เย็นก็เย็นในนี้ ความหวังก็เต็มอยู่ในหัวใจ เราหวังอะไร นี่ปรากฏว่ามันเต็มอยู่ในนี้ ถึงจะยังไม่พ้นจากทุกข์มันก็จะพ้นอยู่นี่ ให้เห็นชัด ๆ อยู่นี่ ไม่กี่ก้าวพูดง่าย ๆ ว่างั้นนะ คือความมั่นใจของเราว่าไม่กี่ก้าวมันจะถึง เพราะก้าวนี้ก็ถูก ๆ ก้าวนี้ก็ไป ไม่ใช่ถอยหลัง มันจะถึง
นี่ละการสร้างความดี การพัฒนาจิตใจมันแสดงความแน่ใจให้เราเห็นอย่างชัดเจนๆ ยิ่งจิตมีความละเอียดมากเข้าเท่าไรในทางด้านจิตตภาวนา ยิ่งบอกตัวเองชัดเจน สนฺทิฏฺฐิโกๆ เหมือนพระพุทธเจ้ามาตรัสบอกอยู่นี้ นี่น่ะๆ อยู่อย่างงั้น สนฺทิฏฺฐิโก อันนี้ประกาศภายในหัวใจเจ้าของให้หายสงสัยๆ ว่าพระพุทธเจ้าก็ทรงรู้แบบนี้เห็นแบบนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้แบบสนฺทิฏฺฐิโก นี้ๆ ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำจนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดก็สนฺทิฏฺฐิโก นี้ๆ เหมือนกันกับเรา บอกไปชัดๆ เลยในหัวใจนั้นแหละ จนกระทั่งถึงใจมันพุ่งเลย คำว่า"พุ่ง"คือยังไง พ้นจากแดนสมมุติไปโดยประการทั้งปวงแล้ว เอาละที่นี่เอาไปวัด จะเอาอะไรไปวัดล่ะแดนนั้นน่ะ
ท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เราอย่าเข้าใจว่ากิเลสมันจะวาดภาพไม่ได้นะ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานนี่เป็นสุขอย่างยิ่งนะ มันจะต้องไปวาดภาพแบบอ้อยอิ่ง ทั้ง ๆ ที่มันวาดภาพลมภาพแล้งนะ กิเลสเต็มหัวใจอยู่นี้ มันจะไปวาดภาพพระนิพพานวาดภาพบรมสุขจะให้เป็นบรมสุขอย่างนั้นได้ยังไง มันไม่ได้ แต่มันก็วาดของมันน่ะ อ้อยอิ่ง สบ๊าย อุ๊ย นั่นแหละ ก็ดีอันหนึ่งสำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมนะ มันเป็นอาหารของใจอันหนึ่งเพราะมันไม่ผิดนี่ วาดภาพพระนิพพาน เพื่อความจริงของพระนิพพานนี่ มันต้องก้าวตามร่องรอยไปก่อน
นี่เราพูดให้รู้ตามหลักความจริงจริงๆ ว่า ความจริงกับที่เราวาดภาพต่างกันอย่างไรต่างหากนะ เราไม่ได้ประมาทความวาดภาพของเราที่เป็นไปทางดีนะ แต่ถ้าหลักธรรมชาตินั้นไม่มีอะไรที่จะไปวาดแล้ว คือมันพ้นจากแดนอันนี้ไปแล้ว รู้อยู่เฉพาะผู้เป็นเท่านั้น เอาอะไรไปเทียบไม่ได้ไม่มี เพราะอะไรก็เป็นสมมุติ ๆ ทั้งหมด อันนั้นไม่ใช่สมมุตินี่ ที่มันวาดกันไม่ได้เทียบกันไม่ได้ สิ่งอะไรทั้งหมดในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นสมมุติทั้งมวลไม่ว่าหยาบ กลาง ละเอียด เป็นสมมุติทั้งนั้น อันนั้นไม่ใช่สมมุติ นอกไปแล้ว แยกไปตรงนั้นนะ มันเห็นได้ชัด ๆ อยู่ภายในจิตใจ นั่นละพระพุทธเจ้าเอานั้นละมาเป็นสมมุติขึ้นมาสอนโลก นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ คือนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าเป็นร่องรอยไว้ก่อน ภาพไว้ก่อน เอาภาพไว้นะ พอไปถึงนั้นแล้วจะไม่ได้ถามใครละ ไม่มีใครจะไปถามใครเลยพอไปถึงขั้นที่ว่านั้นแล้ว ทีนี้ต้องบอกเสียก่อนตามกรุยหมายป้ายทาง เอาก้าวไปตามนี้นะ ๆ เรื่อย พอไปถึงที่แล้วไม่ต้องบอก
นี่ให้สร้างเรียกว่าพัฒนาจิตของเราให้ดีๆ พัฒนาจิตนี้ได้ทั้งเป็นอัตสมบัติคือสมบัติส่วนของเราโดยเฉพาะ ได้ทั้งสมบัติภายนอกเกี่ยวกับโลกกับสังคมทั่ว ๆ ไป ให้เป็นประโยชน์แก่โลก ต่างคนต่างไปพัฒนาจิต ไม่ปล่อยให้ทำตามความอยาก คือความอยากนี่มันอัดฉีดอยู่ตลอดเวลานะ อยู่ในหัวใจเราน่ะ เราไม่สังเกตมีแต่ทำตามมัน มันผลัก ๆ มันดันไป แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรผลักดันให้เราคิดให้เราพูดให้เราทำอยู่ ก็คือธรรมชาติอันนั้นแหละที่มันมีอำนาจเหนือเรา แต่เราไม่รู้มันนั่นเอง ทีนี้เวลาเราดับใจของเราแล้วเราก็รู้ อันไหนควรทำไม่ควรทำ ท่านว่าพัฒนาจิต จิตที่พัฒนาแล้วย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองแน่นหนามั่นคงมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ พากันจำเอานะ
เอาละพอ
|