นักปฏิบัติอย่าได้มองดูและสนใจกับผู้ใด ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่าน และอย่านำแบบใดฉบับใดนอกเหนือจากแบบฉบับของพระพุทธเจ้า และพระสาวกที่ท่านพาดำเนิน แบบฉบับของท่านเป็นแบบเป็นฉบับที่ทำลายวัฏจักร ทำลายกองทุกข์ทั้งมวลซึ่งเป็นสาเหตุมาจากวัฏจักรวัฏจิต แบบนอกนั้นส่วนมากมีแต่เรื่องส่งเสริมวัฏจักรวัฏจิต โดยเจ้าตัวก็ภูมิใจว่าได้ปฏิบัติดีปฏิบัติถูก หรือความหวังพาให้เคลิ้มไปไม่รู้สึกตัว เหมือนคนเดินทางไม่สนใจในทาง แต่มุ่งหมายในจุดที่ตนต้องการแล้วเดินไปอย่างเพลินตัว สาวเท้าไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าปลีกแวะไปทางใดทวีปใด
แต่ความหวังยังเต็มหัวใจว่าจะถึงจุดที่หมายซึ่งตนต้องการ ทั้ง ๆ ที่ก้าวเท้าไปนั้นผิดไปโดยลำดับลำดา และห่างไกลต่อจุดที่หมายไปโดยลำดับ เจ้าตัวก็ไม่รู้ นี่คือขาดความสนใจในสายทางที่จะพาให้ถึงความมุ่งหมาย ขาดความสนใจในแบบฉบับตามหลักธรรมที่ท่านพาดำเนินมา
ไอ้เรื่องความหวังนั้นหวังกันได้ทั้งนั้นแหละ แต่การที่จะสังเกตสอดรู้ในปฏิปทาเครื่องดำเนินเพื่อให้ถึงความหวังนั้นเป็นอีกแง่หนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับการพินิจพิจารณาความสนใจจดจ่อ ผู้ปฏิบัติที่ไม่สมความมุ่งหมายนี้แล้วก็ไปโทษให้อรรถให้ธรรมให้มรรคผลนิพพานว่าไร้ผลไร้ประโยชน์ ก็เพราะความโง่เง่าเต่าตุ่นของตนซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ทำลายธรรมอยู่ในการปฏิบัติของตนนั้นแล ไม่ใช่สิ่งอื่นใดมาทำลายความมุ่งหมายนั้นให้ไม่สมหวัง หรือจนกลายเป็นความมุ่งหมายล้มละลายไปได้ เพราะไม่ปรากฏผลขึ้นมาแม้นิดหนึ่งจากการปฏิบัติลุ่ม ๆ ดอน ๆ นั้นเลย
ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติจึงควรสำเหนียกศึกษาให้ดี อย่าเสียดายกับสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่พาเสียดาย พระสงฆ์สาวกท่านผู้ฆ่ากิเลสให้ฉิบหายวายปวงไปจากพระทัยและใจ ไม่พาเสียดายอย่าเสียดาย ฝืนความเสียดายนั้นด้วยการต่อสู้ด้วยการสลัด แล้วนำธรรมที่ถูกต้องดีงามเข้ามาแทนที่กับสิ่งที่อยากหรือสิ่งที่รู้ผิดเห็นผิดนั้น จะชื่อว่าดำเนินตามหลักศาสดา
ความผิดถูกชั่วดี สิ่งที่ควรฝืนไม่ควรฝืน พระพุทธเจ้าทรงผ่านมาไม่มีอันใดสงสัยแล้ว และไม่มีใครเกินศาสดาในการฝ่าฝืนความยุ่งยากการเลือกเฟ้น ได้รับความทุกข์ความทรมาน เพราะการประพฤติปฏิบัติผิดบ้างถูกบ้างมาโดยลำดับจนถึง ๖ พระพรรษา นี่ล้วนแล้วตั้งแต่สมบุกสมบัน ส่วนมากเป็นทางที่ผิดไม่ใช่ทาง ๆ เรื่อยมา ทรงสลัดปัดออกเรื่อย เสาะแสวงหาทางที่ถูกที่ดีโดยลำพังพระองค์เองที่เรียกว่าสยัมภู เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ทรงรู้เองเห็นเองเพราะทรงแสวงเอง โดยปราศจากครูอาจารย์สั่งสอนในทางที่ถูกต้องดีงาม พระองค์ได้ทรงผ่านมาหมดแล้ว
ปฏิปทาใดความรู้ความเห็นใด ที่พระโอวาทได้แสดงไว้อย่างแจ่มแจ้งแล้วนั้น นั้นแลคือปฏิปทาเครื่องฆ่ากิเลสโดยประการทั้งปวงที่เสด็จผ่านไปแล้ว และสาวกก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วด้วยปฏิปทาอันออกมาจากการดำเนิน และสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนั้น
ผู้ปฏิบัติต้องเป็นผู้หนักแน่นอย่าโยก ๆ คลอน ๆ อย่าเอานิสัยของฆราวาสนิสัยของกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกต่อธรรมมาใช้ จะไม่เห็นผลที่มุ่งหมายตลอดไป ถ้ายังเสียดายความรู้ความเห็นจริตนิสัยของตนที่เคยฝังจมมากับกิเลสนั้นมาใช้ในวงศาสนาแล้ว ก็จะมาทำลายการประพฤติปฏิบัติของตน โดยที่เจ้าตัวก็ภูมิใจว่าได้ปฏิบัติ ว่าได้นั่งสมาธิ ว่าได้ภาวนา นั่นละความละเอียดของสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรม ละเลียดมากไม่มีสิ่งใดจะเหนือกว่าในสามแดนโลกธาตุนี้ เพราะธรรมชาตินี้เป็นเจ้าอำนาจครอบโลกธาตุอันเป็นแดนสมมุตินี้มานานแสนนาน
โลกที่หลุดรอดพ้นไปไม่ได้ ก็เพราะธรรมชาตินี้เกลี้ยกล่อมครอบงำขู่เข็ญบังคับบัญชา ความเกลี้ยกล่อมก็แหลมคมไพเราะเพราะพริ้ง อำนาจก็มากไม่มีใครกล้าฝืน และไม่มีสิ่งใดจะปราบ ไม่มีสิ่งใดที่จะรู้โทษของมันได้ และปราบมันลงได้ให้ได้หลุดพ้นไปจากเครื่องกดขี่บังคับเหล่านี้
เบื้องต้นก็มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น จึงเป็นความอัศจรรย์มากทีเดียว ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกแต่ละพระองค์ ๆ นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องสามแดนโลกธาตุนี่หวั่นไหวทั่วถึงกัน ทั้งฝ่ายมารทั้งฝ่ายที่หวังพึ่งพระพุทธเจ้าที่เป็นฝ่ายดีสะเทือนไปหมด ฝ่ายมารก็สะเทือนใจ เพราะมีสิ่งทำลายมีสิ่งกีดขวางมีข้าศึกของตน เพราะฝ่ายอธรรมต้องถือธรรมเป็นข้าศึกศัตรูอย่างฝังลึก
เมื่อธรรมได้ปรากฏขึ้น พระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติขึ้นในโลกและตรัสรู้ ฝ่ายอธรรมจึงกระเทือนจิตใจมาก ถ้าพูดเรื่องความเสียใจเสียใจมาก อย่างพญามารเสียใจนั่น ฝ่ายดีก็กระเทือนเหมือนกันดังที่ท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตั้งแต่ภุมมเทวดา สทฺทมนุสฺสาเวสํÿ ๆ เรื่อย ๆ คือส่งเสียงกระจายกันไปประกาศลั่นไป พอพวกนี้ได้ยินแล้ว สทฺทํ สุตฺวา สทฺทํ สุตฺวา นี่เราพูดเพียงย่อ ๆ เพื่อให้ได้ใจความเท่านั้นว่า เทวดาแต่ละชั้นละภูมิเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ก็ประกาศต่อกันไปโดยลำดับจนกระทั่งถึงพรหมโลก นี่ฝ่ายดีฝ่ายหวังพึ่งธรรม
เหมือนโรคเหมือนคนไข้มีความหวังในหมอในยาอย่างนั้นแล เพราะการอุบัติขึ้นนี้ แม้พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาถึงขนาดนั้นแล้วทรงแนะนำสั่งสอนโลก ยังไม่พ้นที่มหาอำนาจแห่งวัฏจักรจะครอบโลกไว้ให้อยู่ในเงื้อมมือของตน รอดพ้นไปไม่ได้ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่รอดพ้นไปได้ตามฝ่ายของสวากขาตธรรมแห่งพระพุทธเจ้านั้น มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นั่นละพระโอวาททั้งหมดที่ออกจากพระโอษฐ์เอง ไม่มีแม้นิดหนึ่งที่จะเคลื่อนคลาดจากหลักความจริง เพื่อความสังหารสิ่งที่เป็นข้าศึกอยู่ภายในจิตใจ แม้เช่นนั้นก็ยังจับเอามายึดเอามาปฏิบัติ เพื่อกำจัดสิ่งที่กล่าวสิ่งที่ธรรมตำหนินี้ไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นยังแหลมคมเข้าไปอีกกว่าผู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังผู้ปฏิบัติธรรมนั้นเป็นไหน ๆ
สัตว์โลกใครจะไม่อยากหลุดอยากพ้นจากความทุกข์ความลำบาก เพราะตั้งแต่วันเกิดมาไม่ว่ารายใด จมอยู่ด้วยความทุกข์ความลำบากในแง่ต่าง ๆ จิปาถะ วันหนึ่งคำนวณไม่ถูก เพราะความทุกข์ที่แสดงตัวออกมาจากใจซึ่งมีสิ่งผลักดันให้เป็นอย่างนั้นขึ้นมา แต่ละราย ๆ จมอยู่กับกองทุกข์ทั้งนั้น มีรายไหนที่เว้นไม่มีกองทุกข์ ขึ้นชื่อว่าอยู่ในแดนสมมุตินี้แล้วต้องเป็นเหมือนกันหมด เป็นแต่เพียงว่ามากกับน้อย หนักกับเบาต่างกันเท่านั้นเอง เรื่องกองทุกข์ที่จะไม่ฝังจมอยู่ภายในใจนั้น ลงวัฏจักรซึ่งเป็นยาพิษอันสำคัญได้ฝังอยู่ภายในใจแล้ว ทำไมจะไม่ผลักดันออกมาให้เป็นเรื่องความทุกข์ความลำบาก
สิ่งที่กล่อมสัตว์ทั้งหลายก็คือ ในสิ่งที่เห็นว่าเป็นสุขบ้าง ทำให้เกิดความเพลิดเพลินบ้าง ให้มีความสุขประเดี๋ยวประด๋าวบ้าง นี้ล้วนแล้วแต่เหยื่อล่อทั้งนั้น ล่อเพื่อจะทุบเพื่อจะตีเพื่อจะทรมาน สัตว์โลกจมอยู่ในแหล่งเหล่านี้ทั้งนั้น ไม่มีรายใดที่จะเห็นโทษเห็นภัยของมัน เพราะสิ่งที่กล่อมไม่ให้เห็นโทษยังมีอีกทีหนึ่งเป็นชั้น ๆ เข้าไป
เราคำนวณดูซิว่าในสามแดนโลกธาตุนี้มีสัตว์โลกจำนวนเท่าไร มีรายใดที่เล็ดลอดตัวออกไป ได้ตั้งอยู่ในหรือสถิตอยู่นอกขอบข่ายของกองทุกข์มากน้อยเหล่านี้ไม่มีเลย เพราะคำว่าสมมุติทั้งสามแดนโลกธาตุนี้เป็นเขตแดนของผู้ครองอำนาจที่จะให้ทุกข์แก่สัตว์โลกโดยดีอยู่แล้ว ใครจะเล็ดลอดไปได้ แล้วเราประมวลมาดูซิว่า สัตว์ทุกตัวมีแต่อยู่ในกรงขังนี้หมด เหมือนกับปลากี่ร้อยตัวก็ตามที่เขาขังไว้ แม้ที่สุดขังไว้ในทะเลมีตาข่ายครอบไว้หมด นับวันนับเวลาที่จะตายกันไปเรื่อย ๆ แล้วเอามาเพิ่มเรื่อย ๆ ตายกันไปเรื่อย ๆ ฆ่าเรื่อย ๆ ต้มแกงกันอยู่เรื่อย ๆ นำเข้ามาเพิ่มเรื่อย ๆ นี่ทำนองเดียวกันกับสัตว์โลกที่ทนทุกข์ทรมานพอแล้วก็ตายไป แล้วเกิดใหม่เรื่อยมาแทนเรื่อย ตายไปเรื่อยอยู่ทำนองนี้ ไม่มีสัตว์ตัวใดที่ไม่เป็นอย่างนี้เลย
นอกจากชั้นสุทธาวาส ๕ ชั้น แม้มีทุกข์อยู่บ้างตามกิเลสที่ละเอียดตามเชื้อแห่งวัฏฏะที่ยังมีละเอียดที่จะไม่กลับมาเท่านั้น เพราะ ๕ ชั้นนี้ไม่กลับ แต่ในขณะที่ไม่กลับนั้นก็ยังอยู่ในกรงขังห้องขังของวัฏฏะจนได้ จนกว่าจะเพียงพอกับการบำเพ็ญ หรือจิตเต็มที่เต็มภูมิในอรรถธรรมทั้งหลายแล้วก็ผ่านไป นอกนั้นไม่มีปรากฏว่ารายใดที่จะอยู่นอกขอบข่ายอันนี้ไปได้ หรืออยู่นอกรั้วของวัฏจักรนี้ไปได้ นี่ละสัตว์โลกทั้งหมดอยู่กันด้วยการหลับหูหลับตา ด้วยความมืดบอดตลอดเวลามา ไม่มีคำว่าสว่าง ๆ
ต่อเมื่อธรรมะของพระพุทธเจ้าได้กระจายออกไปนั้นจึงมีทางเล็ดลอดบ้าง แม้ไม่มากก็ตามก็ยังดีอยู่มากมาย เพราะจิตแต่ละดวง ๆ นั้นมีคุณค่ามากอยู่แล้ว เลยได้บรรลุธรรมหรือได้สร้างคุณงามความดี เพราะความเชื่อความเลื่อมใสในอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าได้มากน้อยเพียงไร ก็ยังมีคุณค่าแก่จิตใจของผู้นั้นอยู่ไม่น้อย นี่ละความอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าจึงเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ ไม่มีใครแนะนำสั่งสอนทางเล็ดลอดให้พระองค์เลย แต่ทรงเสาะแสวงหาโดยลำพังพระองค์เองจนได้ตรัสรู้ขึ้นมา จึงให้นามว่าสยัมภู ทรงรู้เองเป็นเองเห็นเองไม่มีครูใดสั่งสอน ได้วิชชาแขนงทำลายวัฏจักรนี้ เป็นวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงขุดค้นขึ้นมาเอง
จากนั้นก็ประทานอุบายให้แก่พุทธบริษัทมีปฐมสาวกเป็นต้น ได้ยึดเอาหลักเกณฑ์อันนั้นไปประพฤติปฏิบัติ พร้อมกับอุบายแนะนำสั่งสอนเรื่อย ๆ แล้วก็สร้างสติปัญญาขึ้นมา ซึ่งเป็นสติปัญญาที่ควรแก่การสังหารวัฏจักรวัฏจิตได้เป็นอย่างดี ขึ้นภายในตัวเองและอาศัยคติธรรมต่าง ๆ จากพระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ได้ผ่านพ้นไปได้เป็นลำดับลำดา ดังเบญจวัคคีย์ทั้งห้าที่ว่าตรัสรู้เร็ว คือท่านเหล่านี้พร้อมแล้วที่จะรู้ได้อย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องปักใจลงให้แน่นหนามั่นคง ในความเชื่อต่อปฏิปทาของศาสดา พร้อมกับธรรมของศาสดาและปฏิปทาของสาวกท่าน ที่ได้คว่ำวัฏจักรลงจากจิตใจหมดแล้ว ยึดเข้ามาเป็นหลักใจฝากเป็นฝากตายกับนี้ แล้วตั้งท่าฝืนในสิ่งที่ควรฝืนอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่ลดละความพากเพียร ไม่ลดละความฝ่าความฝืน แล้วเร่งความพากเพียร ที่จะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นจากแหล่งแห่งกองทุกข์นี้
ดังที่เคยเทศน์เสมอว่า พละ ๕ หรืออินทรีย์ ๕ นั้นเป็นธรรมสำคัญมาก เกี่ยวโยงกัน อย่างอิทธิบาทก็เหมือนกัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี้เรียกว่าพละ ๕ คือกำลัง ๕ อย่างรวมตัวกันเข้าหนุนดวงใจให้มีกำลังแก่กล้า หนุนทั้งสติปัญญาทั้งศรัทธาความเพียรทุกด้านให้มีกำลัง เพื่อปราบปรามสิ่งที่ฝังจมอยู่ภายในจิตนั้นให้ขาดสะบั้นออกไป ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็เหมือนกันเช่นนั้น ประมวลแล้วเครื่องมือเหล่านี้มีแต่เครื่องมือจะฆ่าฟันหั่นแหลกกับสิ่งที่เป็นภัยแก่ตนมาตั้งกัปตั้งกัลป์ หรือนับกัปนับกัลป์ไม่ถ้วนนี้ทั้งนั้น ไม่มีเครื่องมือใดที่จะเป็นสิ่งส่งเสริมวัฏจักรภายในจิตนี้ให้เจริญยิ่งขึ้นไปเพื่อทำลายเรา
เพราะฉะนั้นความเชื่อในพระพุทธเจ้า ในปฏิปทาของพระองค์และศาสนธรรม ตลอดความเชื่อใน สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ที่ท่านดำเนินมาอย่างไรนั้น จึงเป็นกำลังใจสำคัญที่จะให้ฟันฝ่าอุปสรรคซึ่งเป็นของยาก นับแต่พระพุทธเจ้าและพระสาวกลงมายากด้วยกัน ไม่ใช่จะเสียเปรียบเฉพาะเราคนเดียว ว่าธรรมเป็นความยาก พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายง่ายนิดเดียว ๆ เช่นนั้น
นั่นเป็นเรื่องความหลอกหลอนของกิเลสซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา แทรกอยู่ทุกระยะ เมื่อสติปัญญาไม่ถึงขั้นจะทราบได้นั้นทราบไม่ได้ ทั้งที่ถูกมันพัดผันอยู่ตลอดเวลาหาความสงบสุขภายในจิตใจไม่ได้เลย เราก็ยังทราบสิ่งพัดผันนั้นไม่ได้ว่าคืออะไร นี่ละการดำเนินจึงต้องอาศัยหลักอาศัยเกณฑ์ มีที่ยึดมีที่เกาะมีที่ให้เป็นกำลังใจ มีที่ให้ความเชื่อความเลื่อมใส ความหวังก็เป็นขึ้นมา จะหวังขนาดไหนก็เป็นขึ้นจากความเชื่อนี้เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเชื่อมั่นต่อแดนแห่งความพ้นทุกข์แล้ว ความหวังความพ้นทุกข์ก็มาพร้อม ๆ กัน เรื่องวิริยะความพากเพียร เพียรได้ทุกด้านทุกอิริยาบถ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ไม่มียกเว้นว่าความเพียรจะไม่เพียร การเพียรเพื่อละเพื่อถอน เพียรเพื่อบำเพ็ญ เพียรทั้งนั้น
คำว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ เหมือนกับแบมรรคผลนิพพานให้ดู ดูทั้งสายทางเดิน ดูทั้งจุดที่หมาย ให้เห็นชัดเจนทั้งสองอย่าง คือให้เห็นทั้งเหตุให้เห็นทั้งผลอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่ากาลสถานที่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย ตามหลักธรรมคือความจริงเป็นอย่างนั้น ไอ้ที่ว่ากาลนั้นสมัยนี้มีมรรคผลนิพพานไม่มีมรรคผลนิพพานนั้น เป็นเรื่องของกิเลสที่หลอกลวงสัตว์โลกทั้งมวล ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้หลอกลวง นอกจากปราบสิ่งจอมปลอมทั้งหลายนี้ให้หมดไปจากใจ แล้วก็เชื่อพระพุทธเจ้าเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเองเท่านั้น
นี่เราบวชมาด้วย พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เหตุใดจึงให้กิเลส สรณํ คจฺฉามิ เข้าแทรกโดยไม่เปล่งวาจาถึงมันเลย แต่ทางใจนั้นหมอบราบกับมันอยู่ตลอดเวลาสมควรแล้วเหรอนักปฏิบัติเรา แล้วคำนี้จำไว้ให้ดี ขอให้ผลิตสติปัญญาศรัทธาความเพียรขึ้นให้พอตัวเถอะ จะทราบภายในใจของตัวเอง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อยู่นอกเหนือไปจากใจนี้เลย ดินฟ้าอากาศสถานที่กว้างแคบอะไรไม่มีปัญหา ไม่ใช่สถานที่อยู่สถานที่หลับที่นอน ที่ขับกล่อมบำรุงบำเรอตนของมันให้สะดวกสบายยิ่งกว่าจิตดวงนี้เลย เมื่อผลิตสติปัญญาขึ้นที่ตรงนี้แล้ว จะต้องสัมผัสสัมพันธ์ จะต้องรู้ต้องเห็น จะต้องได้เข่นได้ฆ่ากันโดยไม่ต้องสงสัย ดังพระพุทธเจ้าและสาวกพาเข่นฆ่ามาแล้ว ไม่มีปัญหาอันใดเลยที่จะเข้าไปขัดแย้งท่านได้
ดังที่เคยพูดว่าปัญญา สุตมยปัญญา การได้ยินได้ฟังเวลานี้ก็เพื่อความเฉลียวฉลาด เพราะผู้สอนก็สอนเพื่อความฉลาด จินตามยปัญญา พิจารณาไตร่ตรองหาเหตุหาผลโดยอรรถโดยธรรม เพื่อถอดเพื่อถอนเพื่อแก้เพื่อไข เพื่อให้รู้เรื่องสิ่งที่พัวพันกับใจตนอันเป็นข้าศึกนั้นไปโดยลำดับ เบื้องต้นจะเกิดขึ้นจาก สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา นี้ก่อน ต้องได้ใช้การบังคับพาพินิจพิจารณา จนปรากฏผลขึ้นมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วปรากฏขึ้นในข้อใดแง่ใดย่อมจะเป็นสักขีพยาน ย่อมจะมีกำลังใจให้ได้พินิจพิจารณาค้นคว้ามากยิ่งกว่านั้น และคล่องตัวไปโดยลำดับ จนเข้าไปสู่ภาวนามยปัญญา
เมื่อจิตได้ก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา คือหมุนตัวไปโดยหลักธรรมชาติภายในจิตของตนเอง โดยไม่ต้องไปศึกษาสำเหนียกจากสิ่งใดจากผู้ใดด้วยเจตนา หากเป็นหลักธรรมชาติของสติปัญญานี้จะรับทราบกันเองกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง เช่น รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส จะไม่มาสัมผัสที่ใดนอกจากมาสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ความสัมผัสระหว่างอายตนะภายนอกกับภายในนั้นแล เป็นเหตุให้สติปัญญาทำงานอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ไม่มีวันไม่มีคืนมีปีมีเดือน ไม่มีคำว่ามืดแจ้งสว่าง ไม่มีคำว่าอิริยาบถเว้นแต่หลับเสียเท่านั้น นี่คือภาวนามยปัญญา
ปัญญาประเภทนี้จะให้ผู้ใดมามอบให้ไม่ได้ เป็นปัญญาประเภทที่เกิดขึ้นกับตน ไม่เคยรู้ก็รู้ขึ้นมา ไม่เคยเห็นเห็นขึ้นมา ไม่เคยคิดเคยค้นคิดค้นขึ้นมา กิเลสอยู่ในสถานที่ใด หยาบกลางละเอียดขนาดไหน เมื่อสติปัญญาประเภทนี้ได้เริ่มไหวตัวแล้ว จะเริ่มทราบไปโดยลำดับลำดาและฆ่าฟันหั่นแหลกไปไม่หยุดไม่ยั้ง ไม่มีคำว่ายอมแพ้ จะยากลำบากขนาดไหนไม่มีคำว่าถอย เอาจนรู้เอาจนเห็น เอาจนกิเลสประเภทต่าง ๆ พังทลายลงไป เห็นประจักษ์ด้วยใจของตนเองโดยทางสติปัญญา
นี่ละสติปัญญาประเภทนี้แล เป็นสติปัญญาประเภทที่คว่ำวัฏจักรออกจากใจได้ไม่มีประเภทใด ประเภทเหล่านั้นเป็นแต่เพียงเครื่องส่งเสริมเข้ามาให้ประเภทนี้มีกำลังเท่านั้น เมื่อถึงขั้นนี้แล้วเป็นสติปัญญาโดยอัตโนมัติขึ้นมาภายในใจของผู้ปฏิบัติ เพราะสิ่งที่กีดขวางลวงใจไม่ให้เกิดสติปัญญาไม่ให้คิดให้ค้น เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล
เมื่อความสว่างกระจ่างแจ้งนี้ได้ปรากฏขึ้น ความมืดทั้งหลายอันเป็นเรื่องของกิเลสก็ค่อยจางไป ๆ ความสว่างกระจ่างแจ้งนี้ยิ่งมีกำลังพุ่งตัวออกไป ทั้งกว้างทั้งแคบทั้งลึกทั้งตื้นและหยาบละเอียดไปได้หมด ที่นี่กิเลสอยู่ตรงไหน อธรรมอยู่ตรงไหน ยาพิษที่เคยฝังจมอยู่ภายในใจอยู่ตรงไหน มันแสดงลวดลายอย่างไรบ้าง สติปัญญานี้ไม่ต้องบอกตามต้อนกันให้รู้หมดทุกแง่ทุกมุม พร้อมกับการสังหารกันไปในตัวด้วย ๆ นี่ละที่ว่าธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ มรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล
ครั้งพุทธกาลและครั้งนี้เหมือนกัน เพราะกิเลสเป็นประเภทเดียวกัน คำว่ากิเลสแล้วไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่อยู่กับจิต ผลิตตัวอยู่กับจิต ส่งเสริมกำลังตัวอยู่กับจิตของสัตว์โลกโดยลำดับมา ไม่ได้เสริมกำลังอยู่ด้วยกาลนั้นสถานที่นั้น เวล่ำเวลาสมัยนั้นสมัยนี้อันใดเลย ทีนี้เมื่อสติปัญญาซึ่งเป็นคู่ปรับหรือเป็นคู่ปราบปรามกันได้ปรากฏขึ้นแล้วก็เหมือนกันเช่นนั้น ขอให้ผู้ปฏิบัติอย่าไปสนใจกับเวล่ำเวลากาลสถานที่ใด ๆ นั้นเลย จะถูกกิเลสหลอกต้มโดยไม่รู้สึกตัว ให้สนใจกับความสัตย์ความจริง สัจธรรมทั้งสี่ สติปัฏฐาน ๔ ด้วยจิตตภาวนาตั้งแต่ขั้นสุตมยปัญญาไปถึงจินตามยปัญญา แล้วจะปรากฏภาวนามยปัญญาขึ้นภายในตัวเองโดยไม่ต้องสงสัย จะไม่มีเวล่ำเวลาด้วยที่นี่ จะเป็นท่ามกลางแห่งสนามรบอยู่ตลอดเวลาระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน
เราไม่เคยได้ปรากฏแต่ก็ได้ปรากฏ ประจักษ์กับขณะที่ประกอบความพากเพียร หรือฟาดฟันหั่นแหลกกันกับกิเลสภายในหัวใจของเรานี้แล สติปัญญาไม่เคยคิด ๆ ขึ้นมาจนได้ ไม่เคยรู้ ๆ ขึ้นมาจนได้ กิเลสประเภทใดไม่เคยรู้เคยเห็นกัน เห็นจนได้รู้จนได้ฆ่าจนได้จนไม่มีอะไรเหลือ ด้วยอำนาจของสติปัญญาประเภทนี้แล ไม่ใช่ด้วยกาลด้วยสถานที่เวล่ำเวลาดังที่กิเลสหลอกชาวพุทธเราทั่ว ๆ ไป
ส่วนมากหลอกอย่างนั้นแหละ แล้วเชื่ออย่างนั้นด้วย สุดท้ายก็มันเอาเป็นเครื่องมือ นับถือศาสนาก็นับถือด้วยอำนาจของกิเลสไปเสียโดยไม่รู้ตัว จะทำบุญให้ทานอะไรก็ให้มันกำหนดกฎเกณฑ์คะแนนให้ไปเสียหมด ไม่มีธรรมที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ให้ได้บ้างเลย แล้วจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร นี่สำคัญ
ดังที่มันกำหนดกฎเกณฑ์ให้เราทำความเพียรอยู่เวลานี้น่ะรู้ไหม เดินจงกรมสติมีไหม ถ้าสติไม่มีเวลาใดนั้นแลคือมันทำงานอยู่แล้ว นี่เราก็ไม่รู้เมื่อยังไม่ถึงขั้นที่รู้ นั่งสมาธิก็ไม่รู้ว่ากิเลสเป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่กิเลสลากไปจนถลอกปอกเปิกก็ยังไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร เดินจงกรมภาวนาก็เป็นแบบเดียวกันหมด ถลอกปอกเปิกจนกระทั่งไม่มีหนังติดตัว
ถ้าหากกิเลสเป็นเหมือนสัตว์เป็นเหมือนบุคคลลากถูเราไปอย่างนั้นแล้ว พระในวัดป่าบ้านตาดนี้จะไม่มีเนื้อหนังติดตัวเลย ดีไม่ดีกระดูกขาดไปกี่ท่อนก็ไม่รู้ แต่แล้วยังครึ้มใจอยู่ว่าได้ทำความพากความเพียร มันเพียรอะไร นอกจากมันเคลิ้มไปกับเพลงกล่อมของกิเลสลากไปเท่านั้น หนังขาดออกไปก็ยังพอใจ กระดูกขาดสะบั้นลงไปก็ยังพอใจ ยังไม่รู้ว่ากระดูกของเจ้าของหลุดไป หนังเจ้าของหลุดไป เนื้อเจ้าของหลุดไป ดีไม่ดีกะโหลกศีรษะเจ้าของก็จะหลุดไป ไม่มีศีรษะก็ยังกลิ้งกับมันได้สบายไปเลย
นี่เมื่อยังไม่ถึงขั้นรู้เราจะไม่รู้ มันเป็นอย่างนี้ กิเลสลากหัวใจเราไปถลุงมันถลุงอย่างนี้ แต่เมื่อถึงขั้นที่ควรรู้ดังที่อธิบายมาแล้วนี้ ขอให้ดำเนินตามนี้เถอะจะรู้มันทุกแง่ทุกมุมไปโดยลำดับลำดา ค่อยขยายออกไปกว้างออกไป ๆ ละเอียดเข้าไป แล้วจะเห็นความละเอียดของกิเลสถี่ยิบเข้าไป สติปัญญาก็ตามต้อนกันเข้าไปเหมือนไฟได้เชื้อ เผาไปเป็นลำดับลำดา สุดท้ายไม่มีอะไรเหลือ
แม้กระทั่งที่แทรกอยู่ภายในจิตก็ไปกล่อมจิตอีก ธรรมดีไม่ดีเผลอตัว แต่ก็เผลอไม่นาน คำว่าไม่เผลอยังพูดไม่ได้ ต้องเผลอก่อนละคนเรา เพราะเพลงของกิเลสละเอียดขนาดนั้น แต่ก็ไม่พ้นสติปัญญาที่ว่าจิตตภาวนาหรือว่าภาวนามยปัญญานี้ไปได้เลย เดี๋ยวก็พุ่งกันทะลุไปเลย หมดสิ้นซากภายในใจ
สิ่งที่ปรากฏเด่นชัดและอัศจรรย์ที่สุดครอบสามแดนโลกธาตุนี้ ก็คือใจที่บริสุทธิ์ด้วยธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน พูดอะไรไม่ถูกแต่ไม่สงสัยนี้เท่านั้นที่เด่นอยู่ในโลก ธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วเด่น และจะสนุกพิจารณาย้อนหลังไปหากิเลสที่นี่ กิเลสมันเด่นตรงไหน วิเศษวิโสที่ตรงไหน เลิศเลอที่ตรงไหน มันให้เราได้รับความสุขความสบายที่ตรงไหน จะย้อนรู้หมด
ปิดไม่อยู่เมื่อถึงขั้นรู้-รู้หมด ทีนี้กิเลสอยู่ในหัวใจใด และหัวใจนี้ได้ฟัดกันเสียจนแหลกไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทนไม่ได้แล้วพังทลายลงไปแล้ว มันยังอยู่ในหัวใจใด แสดงออกมาโดยอากัปกิริยาใดทำไมจะไม่รู้ ปิดได้ยังไง ไม่มีญาณก็ตามเถอะ กิเลสมันจะต้องมีเครื่องมือเหมือนกัน แสดงออกมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางกิริยามารยาทจนได้ ให้รู้ให้เห็นกันอยู่อย่างนั้นละ นี่ทางเดินของกิเลสออกมาในไม้นี้ ๆ กิริยานี้ ๆ รู้หมด เมื่อได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็กิเลสประเภทเดียวกันมันอยู่ในหัวใจใดก็ต้องรู้จนได้ แม้ผู้นั้นไม่รู้ก็ตาม ผู้ที่เคยรู้เคยละมันมาแล้วจะต้องรู้ ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านปิดท่านไม่อยู่ นี่ละความเห็นโทษท่านเห็นถึงขนาดที่เหมือนกับน่าใจหาย
คิดดูซิพระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ใหม่ ๆ ทรงท้อพระทัย ทั้ง ๆ ที่ทรงปรารถนาโพธิญาณเพื่อจะรื้อขนสัตว์โลกออกจากแหล่งแห่งกองมหันตทุกข์นี้อยู่แล้ว แต่เวลาได้ตรัสรู้ธรรมแล้วยังทรงเกิดความขวนขวายน้อย ก็เพราะว่ามันหนาแน่นเอาจนขนาดทรงทำความขวนขวายน้อยนั้นเอง โอ้โห ถึงขนาดนี้ทำไมใครจะรู้ได้เห็นได้ มันสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้ ถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าพูดภาษาอย่างตลาดของพวกเราก็ว่า เราไม่ควรจะสั่งสอนใครอีกแล้ว หนักพอแล้ว ตั้งแต่เราฟัดกับมันมาก็ถึงขนาดสลบไสล แล้วจะไปสอนใคร ใครจะกล้าสลบไสลเหมือนเรา ใครจะกล้าได้รับความทุกข์ความลำบากขนาดที่เราได้รับความทุกข์ความลำบากเพราะการต่อสู้กับกิเลสมานี้เล่า จะไม่มีรายใด แล้วจะสอนไปยังไงเมื่อมันเป็นขนาดนี้แล้ว อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ พอยังมีชีวิตให้เป็นไปเท่านั้นก็พอแล้ว ถึงวันก็ไปเลย นั่น เพราะทรงรู้เฉพาะวงจำกัดเท่านั้น ยังไม่ทรงตีแผ่ขยายออกไปถึงปฏิปทาเครื่องดำเนิน และอุปนิสัยของผู้ที่สามารถรู้ยังมีอยู่
ต่อเมื่อได้พิจารณากระจายลงไปโดยถือเอาพระองค์เองเป็นต้นเหตุว่า ก็เมื่อเป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลกของใคร ๆ จะรู้ได้แล้ว ทำไมเราเป็นอะไร เป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน วิเศษกว่ามนุษย์มาจากไหนถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะอะไร เพราะเหตุผลกลไกอันใดถึงรู้ได้ นี่ก็ไม่พ้นปฏิปทาเครื่องดำเนิน รู้ได้เพราะเหตุนั้น ๆ แน่ะ ก็เมื่อแนะนำสั่งสอนอุบายวิธีการทางเดินเครื่องดำเนินให้เขารู้ แล้วทำไมคนที่มุ่งหวังต่อความจริงมีอยู่จะไม่ปฏิบัติ จะไม่รู้ไม่เห็นมีอย่างเหรอ ต้องรู้ เรายังรู้ได้ คนอื่นเขาก็คนเหมือนกันต้องรู้ได้ ผู้มีอุปนิสัยปัจจัยละเอียดลออยังมีอยู่เยอะ นั่น ทรงเล็งไปอีกเล็งญาณ ก็ทราบชัดว่ามีได้ที่นี่ นั่น
ถึงขนาดนั้นน่ะเห็นไหม ความทอดอาลัยตายอยากกับการสั่งสอนโลก เพราะอำนาจของกิเลสที่พระองค์ได้เคยต่อสู้กับมันมามันถึงขนาดนั้น ทุกข์ขนาดนั้นใครจะมากล้าเสี่ยง ใครจะมากล้าถวายชีวิตจิตใจของตนต่อพระพุทธศาสนาดังที่เราเป็นอยู่นี้มีเหรอ เลยเข็ดหลาบในพระองค์ แล้วก็เข็ดหลาบในการสั่งสอนคนอื่น ๆ ให้เขาทำอย่างพระองค์ นี่ละหลักความจริงเป็นเช่นนั้น
แต่เมื่อทรงพิจารณาเหตุผลต้นปลายเหมาะสมกับเหตุกับผลแล้ว พระองค์ก็ขยายพระองค์ออกไปให้สมกับภูมิของโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นศาสดาขึ้นมา ทรงทำหน้าที่ของพระองค์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตั้งแต่วันตรัสรู้แล้วจนกระทั่งปรินิพพาน ยังประกาศธรรมสอนโลกไว้ตลอดมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ว่า ธรรมนี้สามารถ ๆ ขอให้ผู้นำไปปฏิบัติเป็นผู้สามารถเถอะ มรรคผลนิพพานจะอยู่ในเงื้อมมือไม่ต้องสงสัย กิเลสจะพังไปด้วยธรรมเหล่านี้ ๆ วัฏจักรวัฏจิตจะหนาแน่นขนาดไหน ทนมัชฌิมาปฏิปทานี้ไปไม่ได้เลย พังด้วยกันหมด เอาเถอะ ๆ เหมือนอย่างนั้น
อย่าไปคิดให้เสียเวล่ำเวลา ที่ถูกกิเลสกล่อมไปนั้นน่ะ นั่นไม่ใช่เราตถาคตสอน นั่นไม่ใช่ธรรมตถาคต มันเป็นกลมายาของกิเลส เป็นเพลงกล่อมของกิเลสต่างหาก อย่าไปเชื่อถ้าไม่อยากจมอยู่ในวัฏวนแล้วอย่าเชื่อ ให้เชื่อธรรมจะเป็นวิวัฏจิตขึ้นมาภายในใจ บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมาที่ใจ ให้เชื่อตถาคตนะ
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เปล่งถึงท่าน อุทิศชีวิตจิตใจข้อวัตรปฏิบัติของตนให้ถึงท่าน ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นสิ่งที่วิเศษเลิศเลอไม่มีอะไรเสมอแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ มีพระนิพพานหรือวิสุทธิธรรมเท่านั้นเป็นอันเดียวกัน เอ้า มุ่งใจถวายลงไป สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่สละเป็นสละตายและได้ไปถึงธรรมขั้นบริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพานด้วยการอุตส่าห์พยายาม เราเป็นลูกตถาคตเราถอยหลังทำไม เอาซิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้ว่ายังไง ถึงใจแล้วต้องถึงตัว ถึงปฏิปทาการดำเนินทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจะพ้นเงื้อมมือไปไม่ได้นะ
ไม่อยู่ที่ไหนมรรคผลนิพพาน อยู่ที่จิตที่กำลังถูกรุมล้อมอยู่ด้วยยาพิษทั้งหลายนี้ ฟันลงไปนักปฏิบัติอย่าท้อถอย อย่าเห็นอันใดเลิศยิ่งกว่าศาสนธรรม หรือยิ่งกว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ เราเคยคลุกเคล้าเราเคยล่มเคยจมมากับวัฏวน กับเพลงของกิเลสนี้มานานแสนนานแล้ว แม้เราจำไม่ได้ก็ตาม ให้ถือหลักปัจจุบันที่ปรากฏอยู่ทุกวี่ทุกวันทุกเวล่ำเวลา ทุกขณะที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่นี้เป็นสักขีพยานเถอะ แล้วนำธรรมเข้าไปกำจัด จะไม่มีกิเลสตัวใดที่เหนือขอไปได้ เหนืออำนาจแห่งธรรมนี้ไปได้ เพราะธรรมนี้เป็นธรรมปราบกิเลสโดยตรงแล้ว ไม่ใช่ธรรมปราบธรรม ธรรมปราบกิเลส นำไปปราบต้องได้ต้องรู้ต้องเห็น
การจะรู้ธรรมเห็นธรรมรู้ด้วยภาคปฏิบัติ ปริยัติศึกษาเล่าเรียนได้ยินได้ฟังมาแล้ววิธีการอย่างไร ให้นำวิธีการนั้นมาประพฤติปฏิบัติ ปฏิเวธจะค่อยรู้แจ้งเห็นจริงไปโดยลำดับลำดา แต่ธรรมนั้นจะไม่เกิดเพียงความจำอย่างเดียว จำได้เท่าไรก็เต็มตู้เต็มหีบอยู่อย่างนั้น นี่ก็น่าคิด
ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่เลิศที่ประเสริฐ แต่กลายเป็นคัมภีร์ใบลานไปหมด อยู่ในตู้ในคัมภีร์ใบลาน ไปอยู่ในความจดความจำของผู้ท่องบ่นสังวัธยาย โดยไม่สนใจกับการปฏิบัติเลย ถ้าศาสนธรรมคือคัมภีร์ใบลาน คือความจดความจำเท่านั้น ใครก็จดได้จำได้ ท่องบ่นสังวัธยายได้กว้างแคบมากน้อยก็เป็นแต่เพียงความจำ โลกเขาก็จำได้ยากอะไร มันไม่วิเศษ ไม่เห็นประจักษ์ ต้องเอาภาคปฏิบัติจับเข้าไปถ้าเราอยากจะรู้จะเห็น
อย่าให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องเข้าไปดองอยู่ในสถานที่ไม่ควรดอง ไปดองอยู่ในคัมภีร์ใบลาน อยู่ในตู้นั้นหีบนี้ ในหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ ไปดองอยู่ในความจดความจำ ถือเอาความจดความจำเป็นของวิเศษ ถือเอาชื่อของอรรถของธรรมของกิเลสตัณหาอยู่ในคัมภีร์ใบลานว่าเป็นของวิเศษ วิเศษที่ไหนชื่อ กิเลสในคัมภีร์ใบลานได้ให้ความทุกข์แก่คัมภีร์ใบลานมีเหรอ มันทุกข์อยู่ที่ใจของเราต่างหาก กิเลสอยู่ที่ไหนทุกข์อยู่ที่นั่น ให้ย่ำยีกันลงที่นี่กับกิเลส อย่าให้กิเลสย่ำยีเราก็แล้วกัน ให้เอามาใช้
เหมือนเรามีเครื่องไม้เครื่องมือ มีมากขนาดไหนไม่นำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เต็มตู้เต็มหีบก็เต็มอยู่นั้น แม้เงินทองข้าวของจะมีล้นฟ้าก็ตาม มันก็ล้นฟ้าเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ไม่นำมาใช้ นี่เรียนจดจำได้มากน้อยเพียงไรก็เท่านั้นแหละ เหมือนเครื่องมือล้นฟ้านั่นเอง ไม่นำมาแก้มาไขมาถอดมาถอนกิเลสอันเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาลนอยู่ภายในจิตใจนี้ จะเกิดความร่มเย็นเป็นสุขสว่างกระจ่างแจ้งถึงความหลุดพ้นไปที่ไหน เป็นไปไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้แล้ว ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ธรรมสามอย่างนี้แยกกันไม่ได้ ถ้าผู้ต้องการผลจากศาสนธรรมอย่างแท้จริง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นและทรงปฏิบัติมาจนสมบูรณ์แล้วนั้น ต้องดำเนินตามหลักของครูที่สอนนี้ พากันตั้งอกตั้งใจ ให้นำออกมาใช้ นำออกมาปฏิบัติให้เป็นภาคปฏิบัติ แล้วปฏิเวธจะแฝงตัวขึ้นมาภายในจิตใจของเรานี้
ไม่เอาจริงไม่เอาจังไปไม่รอดนะ อย่าเข้าใจว่ากิเลสจะอ่อนกำลัง อย่าเข้าใจว่ากิเลสนี้มีวัยเหมือนเด็กเล็ก เข้ามาหาหนุ่มสาวเฒ่าแก่ไปอย่างนั้นนะ ราคะตัณหาคืออะไร คือกิเลส มันเคยแก่ไหม ความโลภ ความโกรธ ความหลง เคยแก่ไหม คนแก่แล้วกิเลสแก่ด้วยไหมเราพิจารณาดูซิ กิเลสไม่เคยแก่ สังขารร่างกายเครื่องมือของกิเลสมันแก่ แต่กิเลสไม่เคยแก่ หนุ่มฟ้ออยู่นั้น คึกคะนองได้ตลอดจนกระทั่งจะหมดลมหายใจยังคึกคะนองได้สบาย โกรธได้สบาย หลงได้สบาย เพราะอันนี้ไม่ขึ้นอยู่กับวัย มันขึ้นอยู่กับหลักธรรมชาติของมันเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นธรรมะเป็นอย่างไรต้องนำมาประพฤติปฏิบัติ
ธรรมะไม่มีวัยเหมือนกัน ไม่มีคร่ำคร่าชราไปเหมือนกัน ถ้าเราผู้ปฏิบัติธรรมไม่เป็นตัวคร่ำคร่าชราเสียทั้ง ๆ ที่หนุ่มฟ้ออยู่นี้ นำมาประพฤติปฏิบัติต้องรู้ต้องเห็น ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านรู้ท่านเห็น เพราะธรรมนี้เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ แท้ ๆ ไม่มีกาลไม่มีสถานที่ เหมือนกับกิเลสไม่มีกาลสถานที่ ธรรมก็ไม่มีกาลสถานที่ ฟัดกันลงไป มันมืดตรงไหนตามไฟขึ้นไปจะสว่างที่ตรงนั้น มันรกรุงรังตรงไหนรื้อถอนสิ่งที่รกรุงรังออก ความเตียนโล่งจะปรากฏขึ้นมา
เดี๋ยวนี้มันรกอยู่ที่จิต มืดอยู่ที่จิต ถอดถอนออกจากจิตนี้ เปิดสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรขึ้นที่จิตนี้ จะสว่างจ้าขึ้นภายในใจแล้วหายสงสัย ไม่มีอะไรที่จะหายสงสัยยิ่งกว่าจิตกับธรรมเข้าสัมผัสสัมพันธ์และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้เลย หายสงสัย ไม่ต้องไปถามใคร
พูดแล้วก็สาธุ แม้พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ก็ตามมาประทับอยู่ตรงหน้าก็ไม่ทูลถามท่าน ถามไปทำไมของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว สุดท้ายก็คือบ่งบอกธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้เองจะบ่งบอกอะไร บ่งบอกมาโดยลำดับลำดาจนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มดวงแล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน เหมือนกับเรารับประทานหรือฉันจังหันนี้ มันอิ่มอย่างเดียวกัน รสชาติอย่างเดียวกันถามกันหาอะไร เมื่อถึงความพอตัวแล้วมันก็หยุดเองจากการรับประทานด้วยกัน ด้วยการขบการฉัน ไม่จำเป็นต้องถามกัน มีกี่ร้อยกี่พันคนรับประทานอยู่ในวงเดียวกันก็ตาม ไม่มีใครถามใครแหละ เพราะเป็นความจริงอย่างเดียวกันถามกันหาอะไร นี่ก็เหมือนกันฉันนั้นไม่มีอะไรผิดแปลกกันเลย
รู้สึกเหนื่อย ๆ แล้ว เอาละนะ แค่นี้พอ