เด็ดด้วยธรรม
วันที่ 29 มีนาคม 2527 เวลา 19:00 น. ความยาว 55.22 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗

เด็ดด้วยธรรม

ทุกท่านที่บวชมาแสวงหาอรรถหาธรรมที่เป็นความร่มเย็นต่อจิตใจของตน ทั้งใกล้ทั้งไกล ทั่วประเทศหรือทุกภาค รวมแล้วทั่วประเทศมารวมอยู่ในที่ชุมนุมนี้ ต่างเป็นพระที่สมบูรณ์แบบด้วยกัน อันเป็นเครื่องประกาศให้โลกและตนเองก็ทราบว่าเป็นนักบวช ผู้มุ่งเสาะแสวงหาความสงบร่มเย็นด้วยธรรม ฉะนั้นจงพากันตั้งอกตั้งใจสำเหนียกศึกษาด้วยความจริงใจทุกแง่ทุกมุม ตาก็ให้แหลมคม เมื่อสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใด ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย ให้สติปัญญาได้เกิดขึ้นจากความสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งนั้น ๆ ด้วยอายตนะนั้น ๆ

เพราะความตั้งใจอยู่แล้วย่อมจะสะดุดจิตใจ เป็นเครื่องปลุกสติปัญญาให้เกิดอุบายต่าง ๆ ขึ้นมาจากการสัมผัสสัมพันธ์สิ่งทั้งหลาย ซึ่งโดยหลักธรรมชาติแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นปกติของตน จะว่าเป็นธรรมเขาก็เป็นอยู่แล้ว ผู้ที่ไม่เป็นธรรมก็คือใจ เพราะสิ่งที่แทรกสิงอยู่ภายในใจนั้นเป็นอธรรม หาธรรมนิดหนึ่งในธรรมชาตินั้นไม่มีเลย แต่มีอำนาจครอบงำจิตใจของสัตว์โลกไม่ว่าท่านว่าเรา โดยเจ้าตัวไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องบังคับ คือเครื่องกดขี่ คือเครื่องผลักดัน หรือเจ้าอำนาจ พาให้เคลื่อนไหวทุกสิ่งทุกอาการแห่งใจ

เมื่อออกไปทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย ก็เพื่อเสาะแสวงหาอำนาจหาอาหาร เป็นเครื่องพอกพูนตัวเองให้มีกำลังมากขึ้น ผู้ที่รับเคราะห์รับกรรมก็คือเราที่อยู่ใต้อำนาจของสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นใจเวลาเคลื่อนไหวออกมา ที่พูดแบบย่อม ๆ ก็ว่า มักจะมีสิ่งเหล่านี้ออกแสดงตัวก่อนหน้าธรรมทั้งหลายอยู่เสมอ พูดให้ตรงตามความจริงก็มีแต่สิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นเป็นเครื่องแสดงตัวออกมา หรือผลักดันจิตใจให้แสดงออกมา เมื่อแสดงออกไปแล้วเพื่อความสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดก็เพื่อธรรมชาตินี้ทั้งนั้น ไม่มีคำว่าเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพราะธรรมชาตินี้กับธรรมเป็นข้าศึกกันแบบศูนย์ต่อศูนย์ ร้อยทั้งร้อย เดินสวนทางกันระหว่างความจริงกับความปลอม ระหว่างผู้ก่อโทษก่อภัยกับระหว่างผู้ก่อบุญก่อคุณได้แก่ธรรม มีน้ำหนักเช่นเดียวกัน

แต่เวลานี้ธรรมชาติที่ต่ำทรามนี้ มีน้ำหนักมากภายในจิตใจของสัตว์โลกและพวกเรา จึงไม่สามารถที่จะรู้แง่แห่งความกระดิกพลิกแพลง หรืออุบายหลอกลวงต่าง ๆ ของมันได้ ถ้าไม่ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาโดยหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ จะไม่มีทางทราบได้เลย การสัมผัสสัมพันธ์สิ่งภายนอกด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของโลกทั่ว ๆ ไป การศึกษาเล่าเรียนจะเป็นวิชาแผนกหรือแขนงใด ๆ ก็ตามทั่วทั้งแดนโลกธาตุนี้ จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า โทษของสิ่งเหล่านี้หรือธรรมชาติเหล่านี้คืออะไร ที่เป็นพิษเป็นภัยอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลกและของเรานี้

นี้แลเหตุที่มีธรรมขึ้นมา ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นโมฆะในการแก้ในการถอดถอน ในการทำลายสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจ เพราะเป็นโรงงานของมันทั้งนั้น ไม่ว่าจะความเคลื่อนไหวไปมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัมผัสสัมพันธ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวกับสิ่งภายนอก เช่น รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ล้วนแล้วแต่เป็นการเสาะการแสวงหา การกว้านเข้ามาแห่งอาหารอันโอชะของมัน แต่เป็นโทษเป็นพิษเป็นภัยต่อตัวของเรา ผู้รับเคราะห์รับกรรมได้แก่ใจดวงนี้ที่อยู่ใต้อำนาจของมัน

ธรรมของพระพุทธเจ้าเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว จึงได้ประกาศกังวานให้สัตว์โลกทั้งหลายได้ทราบถึงพิษถึงภัยถึงยักษ์ใหญ่ ที่กลืนสัตว์ทั้งโลกให้อยู่ใต้อำนาจของตน นับแต่วันได้ตรัสรู้แล้วประกาศศาสนธรรมให้โลกทั้งหลายได้ทราบ ผู้ที่มีความเบาบางก็ทราบได้อย่างรวดเร็วตามเสด็จพระพุทธเจ้าทัน ผู้ที่รองลงมาก็ตามเสด็จไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวาระสุดท้ายเป็นกัลยาณชน เป็นพุทธมามกะในขั้นกัลยาณชน นี่เป็นผลความดีที่เกิดขึ้นจากศาสนาธรรมของผู้นับถือและปฏิบัติตามท่าน

เราทั้งหลายเป็นภิกษุบริษัท เป็นลูกเต้าของพระพุทธเจ้าที่ใกล้ชิดสนิทติดพันกับพระองค์มากที่สุด คือเพศก็เป็นเพศอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ถ้าจะพูดถึงเจตนาเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ ท่านผู้ใดบวชเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ เจตนานั้นก็เป็นเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นอกจากจะบวชเพื่อแก้รำคาญ เพื่อโลกเพื่อสงสาร เพื่อประเพณี โดยไม่คิดหาเหตุหาผลอรรถธรรมตามความมุ่งหมายของพระองค์เท่านั้น จึงจะปลีกหรือแยกแยะจากเจตนาของพระพุทธเจ้าไป

การมาศึกษาจึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาอย่างมาก งานของพระไม่ใช่เหมือนงานโลกทั่ว ๆ ไป งานของพระศาสนา งานของผู้จะดำเนินเพื่อผลอันเป็นที่พึงใจโดยลำดับจนกระทั่งถึงผลอันสมบูรณ์ การกระทำงานทุกด้าน การกระดิกพลิกแพลงกิริยาอาการทุกแง่ทุกมุม ต้องเป็นไปด้วยความจงใจ เป็นไปด้วยความตั้งอกตั้งใจ เป็นไปด้วยความขยันหมั่นเพียร เป็นไปด้วยความอดความทน ความอุตส่าห์พยายาม ผิดกับโลกทั่ว ๆ ไปอยู่มาก

หากเราจะนำนิสัยของโลกมาใช้แบบสุกเอาเผากินแล้วก็เป็นโลกไปเสีย ในขณะเดียวกันก็คือกิเลสมันผลักออกจากงานอรรถธรรม ที่จะเป็นประโยชน์แก่ตน แล้วเอางานแห่งยาพิษของมันใส่แทนที่เข้าไป เรียกว่าสวมรอยแห่งการบำเพ็ญธรรมของพวกเรา เวลานี้อยู่ในช่องนี้ทั้งนั้น คืออยู่ในช่องที่ว่าสวมรอย ๆ ในขณะที่สติปัญญาของเรายังไม่ทัน การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาจึงไม่พ้นที่สิ่งเหล่านี้จะไปทำงานแทนตัวของเรา แล้วหลักธรรมอันเป็นคุณเป็นประโยชน์ซึ่งเราทั้งหลายมุ่งหวัง หนีออกไปจากความเพียรอันเป็นธรรมนั้นเสีย กลายเป็นความเพียรของกิเลสล้วน ๆ ไปโดยไม่รู้สึกตัวนี้มีจำนวนมาก

ในอิริยาบถต่าง ๆ มักเป็นไปอย่างนี้แทบทั้งนั้น ถ้าไม่มีสติและไม่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงขึ้นไปโดยลำดับ พอที่จะให้เกิดสติปัญญาสะดุดจิตใจของตนเองว่านี้คือสิ่งที่เป็นพิษ นี้คือความเป็นธรรม จะพอแยกแยะกันได้ ถ้ามีภูมิจิตภูมิธรรมในขั้นใดที่พอจะทราบแง่งอนของกิเลส ของสิ่งหลอกลวงขั้นนั้น ๆ ได้ ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป แต่ในขั้นเริ่มแรกนี้เป็นแบบที่ล้มลุกคลุกคลานมาก และเป็นแบบที่ล้มแล้วลุกแทบไม่ขึ้นหรือลุกไม่ขึ้น ล่มจมไปเลยก็มีอยู่มาก คือท้อถอยความเพียรไปเสีย เพราะอำนาจฝ่ายต่ำมีกำลังมากกว่า มันทำให้สารคุณทั้งหลายกลายเป็นสิ่งเลวร้ายไป และสิ่งเลวร้ายทั้งหลายกลายมาเป็นสารคุณ และกลายมาเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา เป็นสมบัติอันล้นค่าน่าชมเชยน่ายินดีน่าติดพัน เลยกลายเป็นเราไปเสียทั้งหมด เราทั้งคนเลยกลายเป็นเรื่องตัวพิษตัวภัยเผาลนตนเองไปโดยเจ้าตัวก็ไม่ทราบได้ เพราะสติปัญญาไม่มีพอจะทราบ นี่หลักใหญ่ของการปฏิบัติ

เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาเอาอย่างมาก เป็นภาระที่ว่าหนักก็หนัก เพราะกิเลสมันหนักความเพียรจะไปผ่อนเบาไม่ได้ เมื่อข้าศึกมันหนัก สิ่งต่อสู้ กิริยาแห่งการต่อสู้ วิธีการต่อสู้ต้องหนักไปตาม ๆ กัน ความหนักในทางความเพียรนี้ก็ไม่พ้นที่ฝ่ายต่ำจะสวมรอยจนได้ โดยที่ความหนักในความดีมักจะเกิดความอิดหนาระอาใจ เห็นว่าเป็นความทุกข์ความลำบากไปเสีย โดยไม่มีแง่ได้คิดพอเอาตัวออกเพื่อความเพียรให้หนักแน่นขึ้นไป แล้วก็ถอยหลังกรูด ๆ ไป

ความถอยหลังไปนี้แล คืออำนาจของฝ่ายต่ำมันดึงดูดออกไปจากฝ่ายดีหรือจากฝ่ายสูงได้แก่ธรรม นี่เราก็ทราบไม่ได้ เพราะยังไม่มีกำลังสติปัญญาพอจะทราบได้ จึงต้องล้มลุกคลุกคลาน ในบรรดาความเพียรประโยคต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ผล มักจะไร้ผลไปเสียโดยมาก ด้วยเหตุนี้ผู้บำเพ็ญภาวนาจึงมักไม่ค่อยก้าวเดิน คำว่าสมาธิ ๆ หรือว่าปัญญา ๆ ครูบาอาจารย์เทศน์เสียแทบล้มแทบตาย คุณสมบัติเหล่านี้ก็ไม่ปรากฏในจิตใจของเราบ้างเลย เพราะเข้าไม่ถึง ด้วยอำนาจของกิเลสมากกว่ามันผลักดันเอาไว้ ให้จิตก้าวเข้าสู่สมาธิคือความสงบเย็นใจบ้างไม่ได้ ให้สติปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะถูกปิดถูกบังจากเจ้ามหาอำนาจนี้อยู่ตลอดเวลา อกาลิโก จึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาเอาอย่างมาก ใช้ความเพียรอย่างมากจึงจะรู้ร่องรู้รอย

ปกติของจิต ฟุตบอลที่กลิ้งไปกลิ้งมานั้นยังช้าไป ชนิดพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งกว่าอะไรไม่มีเกินจิตนี้ไปได้ เพราะสิ่งที่ผลักดันให้กลิ้งให้พลิกตัวให้กระดิกพลิกแพลงไปในแง่ต่าง ๆ นั้นมีกำลังมากและรวดเร็วมาก จึงทำให้จิตหมุนติ้ว ๆ ไปตามอำนาจของมันอย่างเร็วมาก ถึงกับสติปัญญาเราก้าวไม่ออกหรือก้าวไม่ทันหรือเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะถูกปิดถูกกั้นไปเสียหมดทุกแง่ทุกทาง ทางที่มันเปิดให้ก็คือทางทำลายตัวเอง คือทางสังหารตนเอง ทางตัดทอนความดีของตนเองลงโดยลำดับลำดา ไม่ว่าจะเป็นอากัปกิริยาใด มีแต่กำลังของมันที่มาตัดทอนลงโดยลำดับ จนถึงกับก้าวไม่ออกเดินไม่ได้ไปไม่ถูก นี่สำคัญ ขอให้ทุกท่านจำเอาไว้ นี่คือความจริง ระหว่างสิ่งจอมปลอมกับธรรมที่กำลังมีอำนาจเหนือกันเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าท่านผู้ใดก็ตามจะต้องเป็นเหมือนกันหมดอย่างนี้เอง

แต่ยังไงก็ไม่พ้นความพากเพียร ซึ่งเกิดขึ้นจากความสนใจใคร่ธรรม หรือความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมของเราไปได้ หนักวันนี้เราแพ้วันนี้ การต่อสู้ของเราไม่ถอย แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้เพราะกำลังไม่พอ แต่การแพ้กิเลสนี้ไม่ได้เหมือนนักมวยเขาแพ้กันบนเวที นักมวยแพ้บนเวทีนั้น แพ้คะแนนก็ยังพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป แต่แพ้น็อกนี้หาทางต่อสู้ไม่ได้ ดีไม่ดีตาย นี่เราถึงจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนเพราะการประกอบความเพียรนี้ไม่ตาย ผิดกันตรงนี้ เราจึงไม่ควรที่จะทำความย่อท้อหรืออ่อนแอ หรือท้อถอยในความพากเพียรของเราโดยความกลัวตาย ไม่ตาย

ความทุกข์นั้นมีอยู่ ๒ ประเภท ความทุกข์เพราะการถูกบีบบังคับของกิเลสประการหนึ่ง ความทุกข์เพราะการต่อสู้กับกิเลสประการหนึ่ง เราแยกความทุกข์ทั้งสองนี้ออกเทียบเคียงกัน ความทุกข์เพราะกิเลสบีบบังคับนั้นเป็นอนันตกาล หากำหนดกฎเกณฑ์หาเวล่ำเวลาหาเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ว่าจะลดหย่อนผ่อนผันหรือหมดสิ้นไม่ได้ในเรื่องความทุกข์เหล่านี้ แต่ความทุกข์ในการต่อสู้กับกิเลสนั้น แม้จะหนักขนาดไหนก็ตามไม่ตายหนึ่ง แล้วมีทางที่จะผ่อนคลายกันไปได้ตามวาระแห่งการต่อสู้ที่มีกำลังฟัดเหวี่ยงกันไป และมีเวล่ำเวลาที่จะปลดปล่อยความทุกข์ในการต่อสู้นี้ลงได้ เมื่อจิตได้ชัยชนะเพราะการไม่ท้อถอยต่อข้าศึกแล้ว ต้องเป็นอย่างนั้นจนได้

เมื่อเราเทียบความทุกข์ทั้งสองอย่างนี้แล้ว ความทุกข์ในการต่อสู้กับกิเลสเป็นสิ่งที่เราควรจะกล้าหาญชาญชัย เพื่อได้ปลดเปลื้องหรือปลดปล่อยความทุกข์เหล่านี้ออก เพราะการชนะสิ่งต่ำทรามหรือสิ่งที่เป็นข้าศึกทั้งหลายด้วยธรรม มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมเป็นสำคัญ ส่วนทุกข์เกี่ยวกับเรื่องของกิเลสบีบบังคับ ไม่ว่าเราไม่ว่าสัตว์โลกทั่ว ๆ ไปนั้นไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ เป็น อกาลิโก ตลอดไปเลย หรือเป็นอนันตกาล ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก ไม่มีธรรมเข้ากีดเข้าขวาง กาลเวลาที่จะย่นเข้ามานั้นไม่มี มีแต่เป็นเช่นนี้ตลอดไป นับตั้งแต่เป็นตลอดมาแล้วยังจะตลอดไปหาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ ต้องทุกข์อยู่เช่นนี้ ๆ ตลอดไป

แต่ความทุกข์เพราะความพากเพียรนี้ วันนี้เป็นทุกข์มาก วันหลังสู้ไม่ถอยย่อมจะมีทุกข์น้อย เพราะกำลังของข้าศึกลดน้อยลงไป เพราะอุบายวิธีการต่อสู้ของเราเหนือกว่า สุดท้ายก็ลดน้อยลงไป ๆ จนกระทั่งความทุกข์ในการต่อสู้นี้ไม่มี เพราะข้าศึกหมดไปแล้วจะเอาอะไรมาให้ต่อสู้อีก นั่นละที่นี่ท่านว่าบรมสุข คือเกิดขึ้นแทนที่มหันตทุกข์ในการประกอบความพากเพียร หรือในการต่อสู้กับข้าศึกทั้งหลาย กลายเป็นบรมสุขขึ้นมาแทนที่กัน นี่มีทางยุติได้ มีเวลาเสร็จสิ้นได้งานของผู้บำเพ็ญธรรม

แต่งานให้เป็นไปตามวัฏจักรนี้ไม่มีวันสุดวันสิ้นไม่มีวันเพียงพอ คำว่าเพียงพอนั้นไม่มี คำว่าหยุดพอแล้วไม่มี คำว่าทุกข์พอแล้วต่อไปไม่ทุกข์อีกไม่มี มีแต่เรื่องย้ำเข้าไป ๆ เพิ่มเข้าไปโดยลำดับลำดา หาที่ยุติหาจุดหมายปลายทางไม่ได้ ถ้าเป็นเดินป่าก็เรียกว่าหลงทางหาทางเดินไม่ได้ แต่นี้มันมากมันหนาแน่น มันหนักยิ่งกว่าความหลงป่าหลงรกเป็นไหน หลงป่ากิเลสตัณหาอาสวะนี้หลงไม่มีสิ้นมีสุด ไม่มีที่เวิ้งว้าง ไม่มีภพที่พอจะผ่อนคลายได้เลย มีแต่บีบ นั่งอยู่ก็บีบ ยืนอยู่ก็บีบ อิริยาบถใด ๆ ก็บีบ ภพชาติใด ๆ ก็บีบ บีบอยู่ตลอดเวลา

ขึ้นชื่อว่าการท่องเที่ยวในวัฏสงสารนี้ คือการถูกบีบอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับนักโทษในเรือนจำนั่นเอง จะย้ายไปที่ไหนก็ตาม ไปเรือนจำใดก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่ความเป็นนักโทษและต้องถูกบีบบังคับอยู่ตลอดไปในที่นั้น ๆ ถ้าไม่พ้นเสียจากโทษเมื่อไรแล้ว จะย้ายไปกี่สถานที่คุมขังก็ตาม ไม่มีอะไรผิดแปลกจากความเป็นนักโทษ และความถูกกดขี่บังคับจากนายเหนือหัวอยู่ตลอดไป นี่การย้ายภพย้ายชาติไปภพน้อยภพใหญ่ ภพใด ๆ ก็ตาม ก็เป็นเหมือนกันกับนักโทษย้ายที่จากเรือนจำนี้ไปสู่เรือนจำนั้นนั่นแล นอกจากให้หลุดพ้นไปเสียจากที่คุมขังนี้เท่านั้น อยู่ที่ไหนก็สบาย เพราะเป็นอิสระภายในจิตใจ

ความที่ใจเป็นอิสระเราไม่เคยได้พบได้เห็น แต่จิตที่ถูกบีบถูกบังคับหาอิสระไม่ได้นี้ ประจักษ์อยู่กับหัวใจของเราทุก ๆ ท่าน จึงพยายามเชื่อตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วพยายามตะเกียกตะกายตนเองไปด้วยอรรถด้วยธรรม ในการต่อสู้กับสิ่งที่มีอำนาจมากทั้งหลายโดยลำดับไป อย่าลดละท้อถอยความเพียร เพราะพระวาจาของพระพุทธเจ้านั้น เป็นพระวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์วิเศษเต็มที่ ไม่มีวาจาของผู้ใดในสามแดนโลกธาตุนี้ จะถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมนี้

ส่วนการเสี้ยมสอนของกิเลสนั้น มันก็กล่าวไว้ชอบตามทางจอมปลอมของมัน เราอย่าคอยวันคอยเวล่ำเวลาว่ากิเลสจะมาให้ความดีความชอบแก่พวกเรา จะมาตกรางวัลให้เราเท่านั้นเท่านี้ แล้วจะหาความสัตย์ความจริงมามอบให้เรา เพื่อเป็นอิสระและเพื่อเป็นความเจริญรุ่งเรืองโล่งจิตโล่งใจ ไม่มี มีแต่บีบบังคับเข้าไปโดยลำดับลำดาเท่านั้น นี่เป็นเรื่องของกิเลส เพราะแถวทางมันเดินเช่นนั้น ผลจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นขึ้นมาตามที่เคยเป็นมาแล้ว แม้อนาคตกาลข้างหน้าจะยืดยาวขนาดไหน เหตุกับผลที่มันบังคับให้เป็นไปก็ต้องเป็นทำนองเดียวกัน ตรงกันข้ามกับศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล

นี่เราได้เป็นศิษย์ตถาคต ได้ปรากฏตัวเป็นเพศนักบวชและนักปฏิบัติแล้ว จงเอาให้ถึงใจในเรื่องความพากความเพียร อย่าห่วงอันใดในโลกนี้ ไม่มีสิ่งไรที่น่าห่วง ไม่ว่าจะวัตถุ ไม่ว่าจะอารมณ์ เต็มอยู่ในสามแดนโลกธาตุ สัมผัสสัมพันธ์อันใดล้วนแต่เป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าเราหลงมันเป็นฟืนเป็นไฟทั้งนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกอง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ผันอยู่ตลอดเวลายิ่งกว่ากังหันภายในสิ่งนั้น ๆ และเฉพาะอย่างยิ่งภายในกายในใจของเรา นี่เป็นสิ่งที่กระเทือนมากสำหรับตัวเรา

สิ่งภายนอกแม้เขาจะหมุนไปตามเรื่องของเขา ถ้าเราไม่ไปสัมผัสสัมพันธ์ไม่ไปเกี่ยวข้อง ก็เป็นคติธรรมดาธรรมชาติไปเท่านั้น เขาไม่มีได้มีเสีย เช่น ต้นไม้ ภูเขา จะมีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปยังไงเขาก็ไม่มีความหมาย ไม่มีความรู้สึกในตัวเขาว่า ได้รับความทุกข์เพราะการเปลี่ยนแปลงไป แต่อาการของเราทุกส่วน นับแต่อาการของจิต นับแต่ตัวจิตออกมาถึงส่วนร่างกายต่าง ๆ ถ้าลงได้สัมผัสสัมพันธ์อะไรเข้าไปแล้ว จะเป็นความทุกข์ความกระเทือนถึงใจทั้งนั้น ถ้าไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องกลั่นกรองรักษาตัว มันต่างกันอย่างนี้ละ แล้วเราจะสงสัยที่ไหน อะไรกับอะไรว่าจะเป็นที่ไว้อกไว้ใจ เป็นที่จะพึ่งเป็นพึ่งตายได้ มันไม่มี มีแต่ฟืนแต่ไฟ นอกจาก ธมฺโม ปทีโป นี้เท่านั้นที่จะเป็นที่ไว้อกไว้ใจได้

ความเพียรของเราทุกประโยคเป็นความเพียรที่ไว้ใจ แน่ใจต่อการรู้การเห็นการปลดปล่อยกิเลส ขอให้เป็นความเพียรตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าสอนเถอะจะไม่เป็นอย่างอื่นเลย เดินจงกรมเพื่อชำระจิตก็เป็นการชำระจิตจริง ๆ ด้วยความมีสติ นั่งสมาธิรักษาใจก็รักษาจริง ๆ อย่าปล่อยใจให้กิเลสเอาไปขยำย่ำยีด้วยความไม่มีสติ

จะเป็นยืนเป็นเดินเป็นนั่งเป็นนอน ด้วยความเพียรท่าใด ขอให้มีสติเป็นเครื่องรักษา ปัญญาเป็นเครื่องกลั่นกรองฟาดฟันกับสิ่งที่เป็นข้าศึก ซึ่งจะมาทำลายจิตใจของเราอยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ก้าวเดินตามทางของศาสดาที่เสด็จผ่านไปแล้วสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่ากาลนั้นสมัยนี้ ปรินิพพานกี่ปีกี่เดือนนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ความจริงของพระพุทธเจ้ากับธรรมที่ประกาศสอนไว้แล้วเป็นอันเดียวกัน ผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมที่ท่านทรงสอนไว้นั้น ก็เรียกว่าเหยียบร่องรอยอันเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงเหยียบ และเสด็จผ่านไปโดยลำดับลำดาไม่ผิดกันเลย ขอให้ยึดหลักปัจจุบันคือสวากขาตธรรมที่ชอบแล้ว ๆ นี้ไว้ภายในจิตใจของตนเถอะ

อย่าเห็นสิ่งใดเป็นของวิเศษวิโสเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม นี้แลเป็นธรรมชาติที่ให้ความไว้วางใจตายใจได้ และจะเป็นธรรมที่ให้อิสระต่อจิตใจของเราโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงอิสระเต็มภูมิแห่งจิตแห่งธรรม ซึ่งกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน จะไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้เลย ขอให้ทุกท่านได้ทำความเข้าใจกับตนเอง เรื่องของกิเลสเราเคยทำความเข้าใจกับมันก็ได้ทำความเข้าใจแล้ว มันอยู่ใต้อำนาจของเราแม้ที่สุดสักหนไหมไม่เคยมี เราจะไปทำความเข้าใจกับกิเลสนี้ ทำความเข้าใจเท่าไรก็ยิ่งขาดทุนไปโดยลำดับลำดา แม้จะไม่ทำความเข้าใจกับมันเราก็หลงอยู่แล้ว ไปทำความเข้าใจกับมันเรื่องอันใดที่จะได้รับผลรับประโยชน์ขึ้นมา นอกจากให้มันสับเอา ๆ เท่านั้น เราไม่เข็ดไม่หลาบบ้างเหรอเรื่องถูกสิ่งเหล่านี้สับเอา ๆ

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความสัมผัสสัมพันธ์ เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาอะไรพาให้เป็น ถ้าไม่ใช่เรื่องของกิเลสเป็นผู้พาให้เป็น และเป็นเรื่องของกิเลสสับยำเราเท่านั้นจะเป็นอะไรไป สิ่งทั้งหลายไม่เคยมี มีธรรมชาติที่อยู่ในจิตนี้เท่านั้น เป็นสิ่งที่ใหญ่โตรโหฐานที่สุด มโหฬารมากทีเดียว กว้างขวางไม่มีขอบเขตจักรวาล ก็คือออกจากธรรมชาติที่ฝังอยู่ในใจนี้ แผ่อำนาจวาสนาของมันไปทั่วแดนโลกธาตุ อยู่ใต้อำนาจของมันทั้งนั้น มันครอบไว้หมด ในสามแดนโลกธาตุนี้จึงเป็นเหมือนคุกตะรางหรือเรือนจำ สัตว์โลกทั้งหลายจึงเป็นเหมือนนักโทษทั้งนั้น ไม่มีใครจะดียิ่งกว่ากันไป ขึ้นชื่อว่านักโทษแล้วเป็นเช่นนั้น เขาให้ชื่อว่านักโทษ

สตฺต สตฺต ก็แปลว่า ผู้ติดผู้ข้อง ติดอะไร ก็ติดกิเลสนี้เอง ราคะเกิดมาก็ติด มันมีอยู่ภายในนั้นก็ติดอยู่แล้ว เกิดขึ้นมาแสดงขึ้นมาก็ติด โทสะมีภายในอยู่แล้วก็ติด แสดงออกมาก็ติด โมหะมีอยู่ภายในนั้นก็ติด แสดงออกมาก็ติด ขึ้นชื่อว่าเรื่องของกิเลสเป็นเรื่องให้ติดทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เคลือบแฝง เหมือนกับยาเคลือบน้ำตาล ถ้าไม่แกะน้ำตาลที่เคลือบออกแล้วเราจะไม่เห็นพิษของมันซึ่งอยู่ภายในนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องแกะออกด้วยความพากเพียรอย่าลดละท้อถอย

ความอ่อนแอก็เคยมีอยู่แล้วเป็นประโยชน์อะไร ให้เทียบเคียงกันเสมอนักปฏิบัติ ถ้าไม่บวกลบคูณหารแล้วจะหาทางออกไม่ได้นะ ต้องมีบวกลบคูณหารจึงจะมีทางออก เอาเหตุเอาผลเข้าเป็นเครื่องดำเนิน อย่าเอาอำนาจของกิเลสมาดำเนินเพราะมันพาดำเนินอยู่แล้ว นอกจากจะปลีกแยกจากทางของมันเข้าสู่แดนแห่งธรรมหรือทางธรรมเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นพอที่จะปลีกจะแวะไปได้ให้พ้นภัยจากกิเลส นอกจากดำเนินไปตามสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบนี้ด้วย สุปฏิ อุชุปฏิ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน นี้เท่านั้น จะได้ปรากฏนามขึ้นว่า เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ นั่นคือสาวกของพระพุทธเจ้า คือปฏิบัติอย่างนั้นแล แล้วผลก็ปรากฏขึ้นมา

ดังท่านแสดงไว้ว่า ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฺฐ ปุริสปุคฺคลา คู่แห่งอริยบุคคล ๔ ท่านว่าบุรุษ ๔ นั้นน่ะคืออริยบุคคล ๔ แยกออกไปเป็นอริยบุคคล ๘ ได้แก่ พระโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล เป็นมาจากอะไร เป็นมาจาก สุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน นี้ทั้งนั้น ไม่เป็นมาจากไหน ๆ และคู่แห่งอริยบุคคล ๔ เป็น ๘ อริยบุคคลนี้ เราอย่าไปหมายบุคคลนั้นบุคคลนี้ให้นอกเหนือไปจากใจที่แสดงตัวเป็นคู่ ๆ ขึ้นมา จากการปฏิบัติการรู้การเห็นของผู้บำเพ็ญนี้เท่านั้น นี่เป็นจุดสำคัญ เป็นที่รวมแห่งอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวก อยู่ตรงนี้

ไม่ใช่ว่าคนนั้นพวกนั้นคณะโน้นเป็นอริยบุคคล ๔ เป็น ๔ คู่ และนั้นเป็น ๘ จำพวกหรือเป็น ๘ คน นั่นหมายนอกไปผิดไป อาการของจิตที่แสดงอยู่ภายในดังนี้ เป็นคู่แห่งบุรุษ ๔ หรืออริยบุคคล ๔ เป็นอริยบุคคล ๘ อยู่ภายในนี้ โสดาปัตติมรรคก็คือจิตดวงนี้จะเป็นผู้ดำเนิน เป็นผู้บรรลุโสดาปัตติผล ผลที่พึงได้รับเป็นที่พอใจจากขั้นนี้ก็จิตเป็นผู้ดำเนินเป็นผู้ได้รับ แน่ะ สกิทา อนาคา อรหัตมรรค อรหัตผล ก็คือจิตดวงนี้เป็นผู้ก้าวเดิน มคฺค มคฺค คือทางดำเนิน ดำเนินไปตาม สุปฏิปนฺโน นี้จนปรากฏผลขึ้นมา คำว่าแปด ๆ ก็หมายถึงอริยธรรมนี้เอง ไม่ใช่บุคคลบุรุษหญิงชายที่ไหนจะมีอำนาจวาสนาได้อริยธรรม ๔ คู่ ๘ ประเภทนี้ขึ้นมาชม นอกจากผู้ปฏิบัติผู้ดำเนินนี้เท่านั้น

จิตดวงเดียวนี้แลเป็นผู้แสดงอาการทั้ง ๔ คู่ทั้ง ๘ อาการขึ้นมาภายในตัว อย่าคิดแยกออกไปนอกจากตัว..ผิด หลักปฏิบัติอันแท้จริงอยู่ที่นี่ ผู้ก้าวเดิน ผู้ดำเนินด้วย สุปฏิ อุชุ ญาย สามีจิ คือใจดวงนี้ นำกายวาจาดำเนินก็คือใจดวงนี้ ใจดำเนินโดยลำพังตนเองก็คือตัวเองนั้นเอง ผลปรากฏขึ้นมาจะเป็น ๔ คู่ เป็น ๘ อาการนั้นก็ตาม หรือเป็น ๘ อริยะนั้นก็ตาม เป็นเรื่องของผู้นี้เป็นผู้ทำ เป็นผู้ได้ผล เป็นผู้เสวยผล จนถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน คือจิตดวงนี้เป็นผู้เป็นแต่ผู้เดียว

ไม่ใช่คนนั้นก็เป็นคนนี้ก็เป็นแล้วเป็น ๔ คู่ แล้วคนนั้นก็เป็น ๆ แล้วเป็นบุคคล ๘ จำพวก ไม่ใช่อย่างนั้น นั่นเป็นความเข้าใจผิด นอก ๆ ผิดจากหลักศาสนธรรมหรือหลักสวากขาตธรรมที่ทรงแสดงไว้ว่า สุปฏิปนฺโน ใครเป็นผู้ดำเนินตาม สุปฏิปนฺโน แรกเริ่มก็คือใจอันดับหนึ่ง อันดับสอง กาย วาจา ขึ้นไปถึงสองถึงสาม ผู้นี้เป็นผู้เดิน สุปฏิปนฺโน ปฏิบัติดี นั่น ความเพียรดี ความคิดความดำริทุกแง่ทุกมุมในมรรค ๘ นั้นผู้นี้ดำเนินทั้งนั้น ไม่ใช่ผู้ใดผู้หนึ่งจะมาดำเนินแล้วแบ่งผลไปเป็นผู้นั้นผู้นี้ อันนั้นเป็นของแต่ละบุคคลที่ดำเนินโดยลำพังตนเองแล้วก็ปรากฏผลขึ้นมา ในอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวกนี้ได้แก่จิตดวงเดียวเป็นผู้ทำงาน เป็นผู้แสดงอาการ เป็นผู้รับทั้งเหตุทั้งผลโดยสมบูรณ์ มีใจดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้น

นี่ละที่ว่า เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย เหมือนกันเป็นผู้ควรแก่ตนเองแล้วก็ควรแก่โลกทั่ว ๆ ไป เบื้องต้นต้องเป็นผู้ควรแก่ตนเอง เหมาะสมแก่ตนเองทุกสิ่งทุกอย่าง ภาคภูมิภายในใจตัวเองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็สมควรแก่โลกทั่ว ๆ ไปเขาก็ภูมิใจ การทำบุญให้ทาน การกราบไหว้บูชา ลงด้วยความสนิท เมื่อเราสนิทใจของเราเสียอย่างเดียวเท่านั้นโลกเขาก็สนิท

แม้โลกจะหนาแน่นไม่มีความสนิทติดใจกับเรื่องของเรา เราก็ไม่มีอะไรที่จะเสื่อมจะเสียไปเพราะโลกประเภทปทปรมะนั้น เราทรงมรรคทรงผลอย่างคงเส้นคงวาเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยความเป็นอิสระในตัวของเราเอง ไม่มีใครที่จะมาแบ่งได้แบ่งเสีย ตำหนิติเตียนให้ หรือเป็นการเหยียบย่ำทำลายของเราให้เสื่อมเสียไป แล้วยกย่องเราให้มีมากมูนพูนผลขึ้นไปยิ่งกว่าหลักธรรมชาติที่พอตัวแล้วภายในจิตใจของเราเท่านั้น

ธรรมที่กล่าวนี้ทั้งหมดใครจะเป็นผู้ดำเนิน ใครจะเป็นคู่อริยบุคคล ๔ และอริยบุคคล ๘ จำพวกถ้าไม่ใช่กายวาจาใจของเรา รวมแล้วคือใจเป็นหัวหน้าแห่งการดำเนินใน สุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน ผลจะเป็นที่พึงใจว่า อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส เมื่อตนของตนได้เป็นเนื้อนาบุญของตนโดยสมบูรณ์แล้ว ทำไมจะไม่เป็นเนื้อนาบุญของโลกได้เล่า เราภูมิใจของเรา เราเป็นเนื้อนาบุญของเราเต็มสัดเต็มส่วนแล้วก็เป็นเนื้อนาบุญของคนอื่นได้ ยังไงก็ต้องเอาตัวเป็นตัวประกันไว้ก่อนทุกอย่าง จึงขอให้ทำตนให้เป็นเนื้อนาบุญของตนด้วยการปฏิบัติดังที่อธิบายมาแล้วนี้

ธรรมเหล่านี้ไม่อยู่ที่ไหน อยู่กับเราทุกท่านผู้มุ่งต่อการปฏิบัติและปฏิบัติอยู่เวลานี้และในกาลต่อไป จะเป็นผู้ได้รับผลอันเป็นที่พึงพอใจ ตามหลักศาสนธรรมที่ท่านสอนไว้ คงเส้นคงวาไม่มีคำว่าด่างพร้อย ไม่มีคำว่าลดหย่อนผ่อนผลลงมา อย่างนี้ไม่มี จึงเรียกว่ามัชฌิมา ท่ามกลางต่อการปฏิบัติของผู้ดำเนินอยู่โดยสม่ำเสมอ และท่ามกลางแห่งการจะรู้จะเห็น คือเหมาะในการที่จะให้รู้ให้เห็นธรรมตลอดไป และเหมาะในการที่จะปราบปรามกิเลสทุกประเภทเสมอไป ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนธรรมนี้เลย ธรรมนี้จึงเป็นคู่ปราบกิเลสได้เป็นอย่างดีเยี่ยมไม่มีอะไรเสมอเลย

เพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงแยกกันว่าโลกกับธรรม ถ้าเราจะพูดให้เต็มตามสมมุตินิยม หรือเต็มตามความเป็นจริงแล้วก็คือว่า โลกได้แก่แหล่งแห่งกิเลสอยู่ที่หัวใจสัตว์โลก ธรรมเป็นสิ่งที่จะกำจัดชะล้าง หรือสังหารแหล่งแห่งกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น ให้บรรลัยลงไปจากใจของสัตว์โลก ให้อยู่ผาสุกสบายจนกลายเป็นอิสระได้ ถ้าจะแยก..เป็นอย่างนั้น

แม้กิเลสจะไม่สิ้นสุดกุดด้วนไปโดยสิ้นเชิงภายในใจก็ตาม ใจดวงใดที่มีอรรถมีธรรม ใจดวงใดที่รักใคร่ใฝ่ธรรม ใจดวงนั้นยังมีธรรม แม้จะมีกิเลสอยู่ภายในใจธรรมก็ยังมีอยู่ภายในใจคนนั้น ถึงจะถูกบีบบังคับขนาดไหน ธรรมซึ่งเป็นเครื่องกำบังหรือช่วยพยุงหรือช่วยต่อสู้ต้านทาน ก็ยังมีอยู่ภายในจิตใจของคนนั้น คนเรายังไม่จนตรอกง่าย ๆ เมื่อมีธรรมอยู่ภายในใจแล้วไม่ร้อนเสียเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนคนหาธรรมภายในใจไม่ได้

แต่สำคัญที่การปฏิบัติ ทุกอาการของผู้ปฏิบัตินี่ซิมันน่าสลดสังเวช ให้เจ้าของได้ดำเนินตัวเองไปเถอะ ให้ได้ทราบเรื่องราวของกิเลสประเภทต่าง ๆ ไปโดยลำดับลำดา พร้อมทั้งการละได้ปล่อยได้วางได้ ฆ่าได้ให้ฉิบหายวายปวงไปโดยลำดับลำดาแล้ว เราจะทราบเรื่องความโง่เขลาเบาปัญญาของเราโดยลำดับ พร้อมกับความฉลาดที่ก้าวเดินไปนั้นเอง

ความฉลาดก้าวเดินไปมากเพียงไร จะเห็นความโง่ของเราย้อนหลัง ย้อนหลังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราได้ปราบสิ่งที่พาสัตว์ให้โง่ด้วยความฉลาดของมันนั้น ให้หมดสิ้นซากไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว เราจะได้เห็นชัดเจนว่า เรื่องความฉลาดความเฉียบแหลมของธรรมกับความเฉียบแหลมของกิเลส ความเฉียบแหลมของฝ่ายต่ำนั้นต่างกันอย่างไรบ้าง ท่านจึงเรียกว่า โลกิยธรรม โลกุตรธรรม มันต่างกันอย่างนั้นละ โลกุตรธรรมหมายถึงธรรมเหนือโลก โลกิยธรรมนี้ธรรมยังอยู่ในโลก ยังอยู่ในอำนาจของกิเลส ธรรมก็จริงแต่ยังอยู่ในอำนาจของกิเลส

เมื่อจิตได้พ้นไปหมดไม่มีอะไรเป็นเครื่องกดถ่วง เป็นเจ้าอำนาจบังคับจิตใจแล้ว จะมองไปไหนรู้ไปหมดปิดบังไม่อยู่ ทีนี้เราจะย้อนหลังเห็นความโง่เขลาเบาปัญญาของเรามาเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่ขั้นหยาบ ๆ ขั้นล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งถึงขั้นกลางและขั้นละเอียด จนกระทั่งละเอียดสุด จะมาเห็นโทษของตัวเองได้เพราะธรรมนี้เหนือนั้นอีก ละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก จึงเป็นความที่ว่าฉลาดละเอียดยิ่งกว่าที่กิเลสทำเราให้โง่นั้นเป็นไหน ๆ อีก จึงต้องเห็นโทษกันโดยลำดับลำดา ต่างกันอย่างนี้ระหว่างโลกกับธรรม กิเลสกับธรรมต่างกันอย่างนี้ ภายในหัวใจเราดวงเดียวนั้นแล

จงพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นชีวิตจิตใจ อยู่กับความพากเพียร ไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถใด สติซึ่งเป็นพื้นฐานอย่าได้ลดละ ปัญญาถึงเวลาที่จะคิดจะอ่าน ให้คิดอ่านจริง ๆ ปัญญาที่คิดอ่านขึ้นด้วยธรรมนี้แลเป็นเครื่องจะปราบกิเลส ปัญญาแบบโลกที่ใช้กันอยู่นั้น มีมากเท่าไรยิ่งเป็นการส่งเสริมกิเลส เพราะกิเลสผลิตขึ้นมาโดยแท้ ไม่ใช่ธรรมผลิตขึ้นมาเหมือนปัญญาที่คิดอ่านไตร่ตรองโดยทางธรรมโดยหลักภาวนา ต่างกันอย่างนี้

วันหนึ่ง ๆ เป็นยังไงความเพียรของเรา ไม่ได้มีหน้าที่การงานอะไร เฉพาะในวัดนี้ปล่อยให้พระเณรได้ประกอบความพากความเพียรของตนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเราเห็นสารคุณอันสำคัญจากความเพียร การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเหล่านี้มากกว่ากิจอื่นใดงานใด เพราะงานนี้เป็นงานของพระโดยตรง เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นชีวิตจิตใจโดยแท้ สำหรับผู้จะต้องการถอดถอนตน ให้หลุดพ้นจากอำนาจแห่งการกดถ่วงทั้งหลายนี้ไปโดยลำดับ จึงถือความเพียรนี้เป็นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

เราอย่าเห็นงานใดว่าจะเป็นงานสารคุณยิ่งกว่างานการถอดถอนกิเลส งานเหล่านั้นไม่จำเป็นจริง ๆ เราก็ไม่ให้ทำ แม้ทำก็ให้มีความระมัดระวังมีสติ มีกาลมีเวลา ไม่ใช่ทำแบบพร่ำ ๆ เพรื่อ ๆ แบบลืมเนื้อลืมตัว แบบถือสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นกิจเป็นการเสียจริง ๆ นั่นแหละหมายถึงกิเลสกว้านคอไปหักเอาแล้ว นั่น คอหักไปแล้ว กิเลสกว้านคอไปเหยียบย่ำทำลายหมดแล้วไม่รู้ตัวเลย ให้ระวัง

เดินบิณฑบาตก็ให้ดูจิตอย่าดูที่ไหน ตัวพิษอยู่ที่จิต ตัวเผลออยู่ที่จิต คำว่าเพียร ๆ นั้นจะมีแต่ชื่อ ถ้าสติไม่มีไม่ใช่ความเพียร ไปไหนให้มีสติจึงชื่อว่ามีความเพียร เดินบิณฑบาตก็ให้เป็นการเดินจงกรมไป เป็นความเพียรประเภทหนึ่ง รับบาตรก็ให้มีสติ จะมองเห็นสิ่งใดให้พิจารณาเป็นอสุภะอสุภัง เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา โดยทางปัญญาจึงเรียกว่าความเพียรเสมอไป ก้าวกลับออกมาก็ให้มีสติ การเดินช้าเดินเร็วไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่สติกับปัญญา

ใจนี้เป็นสิ่งที่รวดเร็วมากอยู่ตามธรรมชาติของตนแล้ว สติเป็นสิ่งที่รวดเร็วมาก ปัญญาเป็นสิ่งที่รวดเร็วมากยิ่งกว่าอิริยาบถการเปลี่ยนแปลงของเรา ไปช้าหรือไปเร็วนั้นเป็นไหน ๆ เพราะฉะนั้นการก้าวเดินจะช้าก็ตามเร็วก็ตาม ที่จะให้เป็นข้าศึกต่อความเพียรนั้นไม่มี นอกจากผู้นั้นเป็นข้าศึกต่อตนอยู่แล้ว แม้จะก้าวช้าขนาดไหนเพื่อรักษาสติ ก็คือก้าวช้าด้วยความขาดสตินั้นแล ก้าวเร็วก็ตามเมื่อมีสติอยู่แล้ว มันจะเร็วยิ่งกว่าจรวดสติก็ยังต้องตามทัน อะไรจะมารวดเร็วยิ่งกว่าใจ อะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าสติกว่าปัญญา ที่เคลื่อนไหวไปตามอาการของจิตนั้นเล่า อันนี้เหนือนั้นอยู่เสมอ ๆ เพราะฉะนั้นการก้าวไปก้าวมาจะช้าหรือเร็ว จึงไม่สำคัญยิ่งกว่าผู้ที่มีสติครอบงำจิตหรือรักษาจิตอยู่แล้ว ไปได้ทั้งนั้นไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค

แบบก้าวเดินค่อยต่อเท้าไปกลัวสติจะเผลอนั้น นั่นแหละคือตัวเผลอ ทำเนิบ ๆ นาบ ๆ ไปสักเดี๋ยวก็เผลอเถลไถลไปไหน บทเวลามันเผลอเร็วยิ่งกว่าลิงร้อยตัว กิริยาของเราว่าเป็นเหมือนกับสุขุมคัมภีรภาพมาก แต่กิเลสมันไปทำความสุขุมคัมภีรภาพอยู่ในอาการนั้นเราไม่รู้ มันเอาจิตไปถลกหนัง กินเนื้อกินหนังหมดแล้วเราก็ไม่รู้ ถ้าลงเป็นความเพียรจริง ๆ แล้วจะเร็วขนาดไหน เดินก็เดินวิ่งก็วิ่งเถอะ ไม่มีอะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าใจ ตามทันหมด

จิตที่มันวิ่งอยู่ภายในยิ่งเร็วยิ่งกว่าอาการของเรานี้ สติปัญญาทำไมทัน นั่น เพราะสติปัญญารวดเร็วยิ่งกว่าใจมันถึงทันใจ ความกระเพื่อมของใจแต่ละอาการ ๆ ที่แสดงออกมา สติปัญญาตามรู้ตามเห็นตามทันทั้งนั้น เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วมันทันกัน ยิ่งละเอียดลออเข้าไปเท่าไรสติปัญญายิ่งเฉียบแหลม กระเพื่อมขึ้นมาไม่ได้ แม้แต่ไม่กระเพื่อมมันก็รู้อยู่ภายในจิตใจ ยิ่งกระเพื่อมออกมาแล้วก็เหมือนกับว่านี่ก้าวแล้ว เหมือนกับก้าวจะต่อย ทางนี้ก็ปัดทันทีและสวนหมัดเข้าไปทันที นั่นเรื่องของสติปัญญาแท้เป็นอย่างนั้น จึงไม่ขึ้นอยู่กับอาการช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับความมีสติเป็นสำคัญ

เดินจงกรมก็เดินแบบต่อเท้าไป กลัวจะเผลอสติ ให้ก้าวให้เหยียบให้รู้ทันนั้น นั้นละมันไปกี่โคกแล้วกี่ทวีปแล้ว มันสำคัญอยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าตั้งใจความเป็นผู้มีสติอยู่แล้วนั้น จะช้าก็เป็นสติ จะเร็วก็เป็นสติ มันทันทั้งนั้น จึงต้องให้ฝึกสติฝึกให้ดี ฝึกกับความเคลื่อนไหวของตัวเอง ฝึกกับความเป็นอยู่ของตัวเอง ฝึกกับอารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเอง มันถึงจะรู้กันทันกัน

สติเป็นสิ่งที่ฝึกได้ผลิตได้ ปัญญาเป็นสิ่งที่ฝึกได้ผลิตได้ ถ้าฝึกไม่ได้ผลิตไม่ได้ศาสนาไม่มีในโลก พระพุทธเจ้าก็ไม่มีในโลก หาคนดีไม่ได้ในโลก หาคนสิ้นกิเลสไม่ได้ในโลกนี้ ที่คนสิ้นกิเลสมีจำนวนเท่าไร ศาสดาที่ผ่านมาแล้วมีจำนวนเท่าไร เพราะอำนาจของสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรนี้ทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ฝึกได้ ทำให้เกิดให้มีขึ้นมาได้ เป็นเครื่องสังหารกิเลสให้มุดมอดไปได้โดยไม่สงสัย สติปัญญาเหล่านี้แลเป็นเครื่องสังหารกิเลส ขอให้นำมาใช้

ดูเวลานี้มันร่อยหรอไปมากแล้วนะ ผมน่ะวิตกวิจารณ์กับหมู่กับคณะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นที่เคารพเลื่อมใส เป็นที่ฝากเป็นฝากตาย ก็นับวันร่วงโรยไปโดยลำดับลำดา ผู้ที่จะสืบทอดก็งก ๆ งัน ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เงอะ ๆ งะ ๆ แล้วจะเอาอะไรเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมทั้งหลายกว้างแคบได้ ถ้าเราไม่ฟิตตัวของเราไว้แต่บัดนี้

อย่าไปตื่น ตื่นเรื่องโลกเรื่องสงสาร มันเคยมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วตื่นมันอะไร ให้ตื่นธรรมสักหน่อยซิ ธรรมเท่านั้นทำสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ สิ่งที่เราตื่นเหล่านี้ไม่ได้พาสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ นอกจากให้จมอยู่ในทุกข์นี้เท่านั้น ตื่นเท่าไรยิ่งจม ๆ ธรรมนี้ตื่นเท่าไรยิ่งตื่น นั่นฟังซิ ตื่นเท่าไรยิ่งตื่น ตื่นเท่าไรยิ่งฟู ตื่นเท่าไรยิ่งลอย สุดท้ายตื่นเท่าไรก็ยิ่งพ้นไปโดยลำดับลำดา จนหลุดพ้นโดยประการทั้งปวง ไม่นอกเหนือไปจากนี้

เพราะฉะนั้นจึงขอให้ทุก ๆ ท่านถือเรื่องความเพียรเป็นจิตเป็นใจเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นชีวิตจิตใจของตัวเองจริง ๆ อย่าไปเห็นสิ่งภายนอกมีคุณค่าหรือสำคัญมากกว่านี้จะลืมตัว เรื่องลืมตัวนี้มันง่ายที่สุดนะ เร็วที่สุดด้วย เพราะสิ่งที่ง่ายที่สุดเร็วที่สุดมันอยู่ภายในนั้น มันคอยที่จะสับจะยำเราอยู่ แต่มันไม่รู้ซิสติปัญญาของเราไม่มี จึงพุทโธ่พุทธังอย่างว่านั่นแหละ

ไม่ได้ยกโทษยกกรณ์หมู่เพื่อนนะ เป็นครูเป็นอาจารย์สอนมา โง่ขนาดไหนก็เคยโง่มาแล้วนี่ ถึงจะไม่ฉลาดขนาดไหนก็ตาม แต่ก็พอทราบได้ในความเคลื่อนไหวของหมู่เพื่อนที่เป็นอยู่เวลานี้เป็นยังไง บางรายถึงให้เกิดความหนักใจจะว่าอะไร เพราะเห็นทีไรมันก็เจอแต่สิ่งที่ไม่ปรารถนา สิ่งที่เป็นข้าศึกของผู้นั้น สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรมของพระพุทธเจ้า และเป็นข้าศึกต่อการแนะนำสั่งสอนและการดูแลของเราอีกด้วย

ทำไมจะไม่ให้สะดุดใจ เมื่อมองไปที่ไหน ๆ อาการใดรูปใดนามใด มันก็มีแต่สิ่งเหล่านี้ออกหน้าออกตา ล้อมรอบอยู่ทุกทิศทุกทางภายในร่างกายการแสดงออก แล้วจิตจะเป็นยังไง มันออกมาจากไหน คนตายไม่เห็นแสดงอาการอย่างนี้ คนเป็นแท้ ๆ เป็นผู้แสดง แสดงก็ต้องแสดงออกมาจากธรรมชาติของมันให้เห็นอยู่ชัดเจน นี่ซิสำคัญมาก จึงพากันอุตส่าห์พยายามนะ

นี่ก็จะตายวันไหนรู้ไหมใครก็ดี ให้มันได้ของดิบของดีครองซิ ธรรมพระพุทธเจ้ากระเทือนโลก กระเทือนที่ไหนถ้าไม่กระเทือนที่หัวใจดวงนี้ไม่มีที่กระเทือน ตาไม่มีความหมาย หูไม่มีความหมาย จมูก ลิ้น กาย ไม่มีความหมายที่จะให้ธรรมมากระเทือนได้ นอกจากใจเท่านั้นธรรมจึงกระเทือนได้ ต้องปรับใจของเราให้เหมาะซิ การปรับใจก็ปรับด้วยความเพียรของเรา

พยายามปรับ มันควรจะเข้าสู่สมาธิธรรมได้ สมถธรรมคือความสงบเย็นใจ ได้ก็ควรจะให้ได้ด้วยความเพียรของเราที่ปรับอยู่เวลานี้ จะควรเป็นสมาธิขั้นใด สมถะขั้นใดก็ปรับให้มันได้ซิ การประกอบความเพียรเพื่อความปรับใจของตัวเองให้เหมาะสมกับธรรม ไม่ใช่ให้เหมาะสมกับกิเลส กิเลสมันเหมาะอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปเกี่ยวข้องหรือปรับมัน มันปรับเราอยู่แล้วเวลานี้ แต่ธรรมนั่นซิเราปรับยังไม่ได้เรื่องได้ราว มีแต่กิเลสเอาเนื้อเอาหนังเอาของดิบของดีไปกินเสียหมด ๆ เหลือแต่ร่างกระดูกว่าเป็นความเพียรได้ประโยชน์อะไร ไม่มีเนื้อมีหนังเป็นความเพียรมาให้เห็นให้ชมบ้างเลย

สมถะ สมาธิ มีแต่ชื่อ ใจหาความสงบไม่ได้ร้อนยิ่งกว่าฟืนกว่าไฟ มันเป็นสมาธิอะไรนั่น สมาธิไฟมีเหรอ ปัญญาก็เหมือนกัน พยายามคิดอ่านไตร่ตรองซิ อยู่เฉย ๆ ให้เกิดปัญญาไม่เกิดนะ ต้องใช้ ถึงวาระที่จะใช้ปัญญา พิจารณาให้มันแหลกเหลวไปหมดซิ

บังคับจิต เวลานี้อยู่ในฐานะที่เราจะต้องบังคับ เพราะจิตยังมีโทษ จิตยังมีผู้ควบคุม เราจึงต้องได้บังคับบัญชากัน เมื่อพ้นโทษไปแล้วก็ไม่ต้องควบคุม อยู่ไหนอยู่เถอะ แต่นี้ไม่ใช่อย่างนั้น มันกำลังเป็นนักโทษ ต้องเอาธรรมเข้าไปควบคุม บีบบังคับออกไปอันใดไม่ดี ตั้งแต่มันไม่ดีมันบีบเรายังบีบได้ เราจะบีบหัวมันบ้างไม่ได้เหรอ มันบีบเราหนักขนาดไหน เราบีบสิ่งที่เป็นข้าศึกกับเราหนักอย่างนั้นไม่ได้เหรอ มันขัดอะไรมันขวางอะไร จะทำความเพียรก็เหยาะ ๆ แหยะ ๆ ทำมากกว่านั้นก็กลัวจะเป็นการโหดร้ายทารุณต่อกิเลสไปยังงั้นเหรอ แล้วกิเลสโหดร้ายทารุณต่อเรามากขนาดไหนเรายังไม่คิดบ้างเหรอ เทียบกันซินักปฏิบัติ เอาให้จริงให้จังซิ

เอ้า เด็ดลงไปถึงคราวเด็ด กิเลสเด็ดต่อเรามาเท่าไร เราได้รับความเลวร้ายหรือความเลวทรามจนกระทั่งหาคุณค่าไม่ได้กับมันมีมาสักเท่าไร ล้วนแล้วแต่ความเด็ดความเดี่ยวของกิเลส ทีนี้การเด็ดด้วยอรรถด้วยธรรม เด็ดลงไปเท่าไร เอ้า เด็ดซิ มันจะมีความเสื่อมทราม จะมีความเสียหายจนไร้สารคุณเพราะการเด็ดในทางความพากเพียรโดยอรรถโดยธรรมนี้ให้เห็นสักทีซิ ในตัวของเราคนนี้น่ะ มันไม่เคยเห็น มีแต่กิเลสมันเด็ดทั้งนั้น ความเพียรเราไม่ได้เด็ด

เด็ดในทางชั่วเด็ดเท่าไรยิ่งชั่ว เด็ดเท่าไรยิ่งเลวยิ่งร้ายลงไป เด็ดเข้าไปจนหาสาระไม่ได้เลย เลวที่สุด นั่น ถ้าเด็ดในทางดีนี้เด็ดเท่าไรก็ยิ่งดี ๆ กิเลสมีอำนาจเราต้องมีอำนาจ กิเลสเด็ดเราต้องเด็ด ไม่เด็ดไม่ทันกัน กิเลสมีกำลังมากขนาดไหนธรรมต้องมีกำลังเหมือนกัน กิเลสหนักธรรมต้องหนัก ไม่หนักไม่ทันกัน เด็ดทางดิบทางดี หนักทางดิบทางดีจะเป็นอะไรไป อันนั้นก็หนักอันนี้ก็ดี หนักอะไรก็มีแต่หนักดี เด็ดอะไรก็มีแต่เด็ดดี ดีต่อดีบวกกันเข้ามีกำลังขนาดไหน กิเลสพังได้เลย

กิเลสไม่ได้พังเพราะความอ่อนแอนะ พังเพราะความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญต่อสู้กับกิเลส ฝ่ายดีต้องมีกำลัง ไม่มีกำลังเอากิเลสไม่อยู่ พระพุทธเจ้าสลบ ๓ หนเด็ดหรือไม่เด็ด นั่นดูซิ แล้วสุดท้ายกิเลสพัง สาวกทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมานมาเท่าไร ในตำรับตำราเราอ่านมาทำไม ดูซิเด็ดไหม ธรรมะท่านเด็ดไหม เด็ดกับกิเลส หนักไหมหนักกับกิเลส โหดไหมโหดดีกับกิเลส กิเลสมันโหดชั่วท่านโหดดี กิเลสโหดแบบโลกท่านโหดแบบธรรม ฟัดกันลงจนกิเลสพังลงไปแล้วเป็น พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ที่เกิดขึ้นจากพุทธะ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ที่เด็ดเดี่ยวตามพระพุทธเจ้า กิเลสพังทลายลงจากหัวใจ นี่เพราะความเด็ดความเดี่ยวความจริงความจังเท่านั้น จึงไม่เป็นความเสียหายอะไร เพราะความเด็ดโดยอรรถโดยธรรมนี้เลย เด็ดในทางดีไม่ได้มีอะไรเสียหาย มีแต่จะดีเยี่ยม ๆ ทั้งนั้นแหละ ขอให้ทุก ๆ ท่านยึดไปประพฤติปฏิบัติ เอ้า เด็ดให้มันจริง ๆ จัง ๆ ซิ

เหนื่อยแล้วพอพูดไป ๆ พูดก็ไม่ถึงไหนละวันนี้ เอาละ ให้ทุก ๆ ท่านทำความเข้าใจกับตนเองนะ ผมละไม่แน่อย่างนี้แหละ นาน ๆ จะได้พูดทีหนึ่ง ๆ ถ้าพูดไปก็อย่างที่เห็นนี่ ไม่ได้คาดได้ฝันว่ามันจะเป็นขึ้นมา แต่เวลาพูดเราจะไปคำนึงถึงธาตุถึงขันธ์ไม่ได้ มีเหตุมีผลมีอรรถมีธรรมยังไง ว่าไปตามเหตุตามผล ตามความหนักเบามากน้อย โดยไม่สนใจกับโรคนี้เลย แต่เวลาเป็นขึ้นมาแล้วมันก็มากระเทือนจิต จิตรู้สึกแย็บแล้วก็ต้องถอยตัวจากธรรมเท่านั้นเอง

จึงขอยุติเพียงเท่านี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก