การต้อนรับแขกรับคน เราก็รับพอประมาณแก่ธาตุแก่ขันธ์เท่านั้น เลยนั้นก็เลยไม่ได้นี่เราก็รู้ ใครจะไปรู้ดียิ่งกว่าเรารู้เราในธาตุในขันธ์ของเราเอง เอาแบบดื้อ ๆ ด้าน ๆ มาใส่ได้ยังไง ภาระอันนี้มันหนักขึ้น ๆ เพียงธาตุขันธ์ถึงขนาดนี้ ถ้าจะพูดแบบโลก ๆ มันก็อิดหนาระอาใจแล้วที่จะรับภาระต่อไป อยู่ลำพังคนเดียวเป็นปกติของคนคนเดียวก็พอประคับประคองกันไป แล้วภาระมีมากขึ้น ๆ ต้องแบกต้องหามต้องเพิ่มภาระเข้าอีก หนักเข้าอีก ชำรุดลงอีกเรื่อย ๆ ในธาตุในขันธ์ก็ดี การสงเคราะห์โลกก็สงเคราะห์เท่าที่สงเคราะห์ได้เท่านั้น เลยนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้นี่ เพราะหัวใจคนมีมากต่อมากก็รับไม่ไหว นี่แหละมันลำบากนะ มันหาเหตุผลหาประมาณไม่ได้ เราอยู่ในกรอบของเหตุของผลอยู่ตลอดเวลานี่ อะไรมาขัดมาแย้งก็รู้ กระทบกระเทือนกับเหตุกับผลก็รู้
การดำเนินตนก็เหมือนกัน การปฏิบัติตนถ้าลองขัดต่อเหตุต่อผลแล้ว ก็คือขัดกับตัวเองทำลายตัวเองนั่นแลจะเป็นอะไรไป มันจะทุกข์จะยากลำบากขนาดไหนก็ตาม ให้ทุกข์ยากลำบากอยู่ในกฎของเหตุของผล การทุกข์ยากคือการต่อสู้กับสิ่งที่ขัดขวางต่อเหตุผลอรรถธรรมทั้งหลายนั่นแหละ เอากันตรงนั้นซิ อันนี้มันเป็นนิสัยสันดานของกิเลสที่ฝังใจ อะไรก็มีแต่ความยากความลำบากไปเสียหมด พอจะก้าวเข้าสู่ความเพียร ถูกกีดถูกขวางแล้วหาที่ก้าวเดินไม่ได้ ก็เพราะเรื่องของกิเลสทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องอะไร นี่ได้พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ พูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ให้รู้เหตุรู้ผลรู้โทษรู้คุณของระหว่างธรรมกับกิเลส มันขัดมันแย้งกันอย่างไรบ้างในหัวใจเราดวงเดียวนี่
ธรรมท่านก็พูดไว้กลาง ๆ ตามตำรับตำราคัมภีร์ ที่จะให้แยกแยะออกมาทุกแง่ทุกมุมอย่างนี้ท่านก็ไม่ได้แยก ว่าไว้อย่างนั้น ผู้ปฏิบัติให้ปฏิบัติตัวเองมันจะรู้เอง ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้อธิบายไว้แล้ว เราได้เขียนไว้แล้วในประวัติหรือในปัญหา ท่านว่าธรรมที่ไม่เคยรู้เคยเห็นเคยเกิดเคยมีก็ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีหยุดมีถอย ไม่มีวรรคมีตอน เรื่อยอย่างนั้นตลอด ท่านว่าลึกซึ้งกว้างขวางมากมาย ท่านจึงได้เทียบว่า ธรรมที่มาในแบบแผนตำรับตำราที่จดจารึกเอาไว้นั้น เทียบกับน้ำในตุ่มเท่านั้นไม่ได้มากอะไรเลยท่านว่า ที่นอกจากนั้นธรรมที่ไม่ได้มาในคัมภีร์ใบลานนั้น เทียบกับน้ำมหาสมุทรสุดสาคร ฟังซิ เรากราบสนิทเลยนี่
มีอะไรมากีดมาขวางธรรมทั้งหลายไม่ให้แสดงออกตามความจริงของตน ก็มีแต่กิเลสเท่านั้น เมื่อเปิดกิเลสออกไปแล้วทำไมธรรมจะไม่ปรากฏขึ้นมา มีอยู่ที่ไหน ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาไม่วาระหนึ่งก็วาระหนึ่ง ขึ้นมาแทรกซ้อนกัน ขึ้นมาเรื่อย ๆ โลกไม่เคยรู้เคยเห็นก็รู้ก็เห็นจิตดวงนั้น โลกไม่เคยทราบมาเลยแต่ก่อนก็ทราบ เราเองก็ตามไม่เคยทราบมาก่อนก็ทราบ เพราะสิ่งปิดบังมันเปิดเผยออกมาหมดแล้ว ความจริงมีเท่าไรก็แสดงมาให้เห็นหมด เพราะความจริงมีอยู่แล้วดั้งเดิม ท่านจึงบอกว่าธรรมมีอยู่แล้ว ธรรมมีอยู่ตลอดเวลา จะเป็นสภาพใดทั้งเหตุทั้งผลมีอยู่ตลอดเวลาเหมือนกันหมด และธรรมชาติที่นอกจากเหตุจากผลไปคือธรรมล้วน ๆ นั้นก็มีอยู่แล้ว นั่น
มันมีอยู่ ๓ ขั้น ๓ วรรค คือ เหตุแห่งธรรมทั้งหลาย ๑ ผลแห่งธรรมทั้งหลาย ๑ และธรรมล้วน ๆ ที่ออกจากเหตุจากผลนี้ไปแล้วนั้น ๑ มีอยู่แล้วทั้งสามประเภทนี้ ก็มีแต่กิเลสตัวลามกจกเปรตนั่นแหละมันปิดมันบังไว้หมด ไม่ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดไม่ให้เห็น มันกล่อมแต่สัตว์โลกทั้งหลายให้จมอยู่กับมูตรกับคูถของมัน มูตรคูถของมันเป็นโอสถสำหรับโลกทั้งหลายที่ถูกกล่อม ไม่ทราบว่านั้นคือมูตรคือคูถเลย เห็นเป็นของดิบของดีไปเสียหมด เพราะฉะนั้นโลกจึงส่งเสริมกัน
ใครอยากจะส่งเสริมทุกข์ ก็ทราบกันอยู่แล้วทั่วโลกนี้ว่าเป็นทุกข์ โลกนี้อยู่ด้วยความสุขความสำราญบานใจได้เมื่อไร พูดกันก็พูดว่าสบายดีเหรอ ก็พูดกันไปอย่างนั้นแหละ ในหลักธรรมชาติแล้วมันบีบบังคับอยู่ในหัวใจเพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นเป็นผู้บีบ เป็นธรรมชาติที่บีบไม่ใช่อะไรมาบีบ แต่เราไม่รู้เราไม่สามารถจึงยอมมันไป ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมด จะตำหนิใครก็ตำหนิไม่ได้เพราะยังไม่ใช่วิสัยที่จะควรรู้ในแง่หนักเบาของมัน จนกระทั่งรู้ไปโดยลำดับลำดา เปิดมันออกหมดก็รู้ได้หมด ทีนี้ธรรมมีเท่าไรก็เปิดเผยออกหมด เช่นเดียวกับกิเลสเปิดตัวออกไปนั่นแหละ เปิดเผยตัวออกไปแล้วธรรมทั้งหลายก็เปิดหมด
ไม่งั้นใครจะไปส่งเสริม ราคคฺคิ โทสคฺคิ โมหคฺคิ นั่นธรรมท่านบอกไว้แล้ว ความกำหนัดยินดีเป็นฟืนเป็นไฟ ท่านบอกว่าเป็นน้ำเป็นท่าร่มเย็นเมื่อไร โทสคฺคิ ความโกรธความโมโหโทโสเป็นไฟ โมหะสุมอยู่ภายในจิตใจนั้นเป็นไฟ แน่ะ ท่านก็บอกไว้แล้ว นี้คือความจริง ความจอมปลอมที่มันแทรกเข้าไปเหล่านั้นมันปิดบังหุ้มห่อไว้นั้น ราคะก็เป็นของดี โทสะเป็นของดี โมหะเป็นของดี ไม่งั้นโลกไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ดิ้นรนกระวนกระวายกับสิ่งเหล่านี้ ไม่เสาะแสวงสิ่งเหล่านี้ เพราะธรรมชาติที่ให้เสาะมี สภาพที่ให้ดิ้นรนบังคับให้ดิ้นรนมันมี บังคับให้ติดมี บังคับให้จมมี นั่นมันถึงได้ติดได้จม ถึงได้เสาะได้แสวง ถึงได้ดิ้นรนกระวนกระวาย แต่ทั้ง ๆ ที่ดิ้นรนกระวนกระวายก็ไม่เห็นทางออก และยังไม่เห็นโทษของมันอีกด้วย ถ้าเห็นก็แวบเดียวเหมือนฟ้าแลบเท่านั้น มันปิดไว้ขนาดนั้น เราไม่สามารถที่จะรู้จะเห็นได้เลย นี่แหละสิ่งจอมปลอมมันปิดอยู่อย่างนี้
ไม่มีใครที่จะเปิดหน้าความชั่วช้าลามก ความปิดบังความมืดบอดของมันที่ปิดบังหัวใจสัตว์ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้น นอกนั้นจมอยู่กับมันหมด จมมากจมน้อย หนาบางในความปิดบังหุ้มห่อนั้นมีโดยลำดับลำดา ตั้งแต่พื้น ๆ ของโลกนี้ขึ้นไปจนกระทั่งถึงพรหมโลก สิ่งเหล่านี้ต้องปิดบังไว้หมดทั้งนั้นแหละ ตามขั้นตามภูมิแห่งความหนาบางของกิเลสของธรรมที่มีมากน้อยภายในใจ เว้นแต่อรหัตธรรมอรหัตบุคคลนั้นเปิดเผยหมดทีเดียว ความจริงมีเท่าไรเห็นหมด ความจอมปลอมมีเท่าไรพังลงหมดไม่มีสิ่งใดเหลือแหละ
ที่โลกทั้งหลายได้หมุนไปตามมันก็เพราะมันมีความแยบคาย มีความละเอียดแหลมคมอ้อยอิ่งมากต่อจิตใจของสัตว์โลก โลกไม่มีที่เกาะก็อาศัยมัน มันเป็นเจ้าอำนาจเกาะ เจ้าอำนาจบังคับไว้หมด ไม่ให้อรรถให้ธรรมได้แทรกเข้าไปได้เลย แม้ใครจะดิ้นจะฉลาดแหลมคมขนาดไหนก็ตาม อยู่ในวงของสิ่งกดขี่บังคับนี่แล้ว จะต้องเป็นเครื่องมือของมันได้เป็นอย่างดี ฉลาดเท่าไรยิ่งเป็นเครื่องมือของมันได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกแล้วจะไม่มีอะไรคัดค้านต้านทาน ความฉลาดนั้นจะไม่เกิดผลประโยชน์อันพึงใจแก่ผู้นั้นเลย จะมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะความฉลาดของตนนั้นแหละบีบบังคับอยู่ ฉะนั้นการปฏิบัติผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็นความจริง ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยของพระพุทธเจ้า อย่าปลีกอย่าแวะ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ให้ตะเกียกตะกายสู้ไม่หยุดไม่ถอย เพราะโทษของมันนี้จมมานานเท่าไรแล้ว ที่จมอยู่นี้เพราะสิ่งเหล่านี้พาให้จม หลุดพ้นตัวไปไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านี้บีบบังคับเอาไว้
นี่ก็พยายามสอนหมู่สอนเพื่อน สอนจนเต็มสติกำลังความสามารถได้ ๓๐ กว่าปีแล้วอยู่กับหมู่กับเพื่อน สอนด้วยความถึงใจทุกอย่าง ไม่ได้สอนแบบเหลาะ ๆ แหละ ๆ สอนจริงจัง ทุ่มลงหมดหัวใจด้วยความเมตตาสงสารนั่นแหละ โทษเราก็เคยเห็นมาพอแล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้พาให้เป็นโทษ พาให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก ไม่ว่าความรักความชัง ความเกลียดความโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟเผาลนจิตใจทั้งนั้น เมื่อไม่มีอุบายไม่มีวิธีการอันใดที่จะเหนือมันแล้วต้องถูกมันบีบบังคับ บีบมากบีบน้อยเป็นทุกข์มากทุกข์น้อยตามความบีบคั้นของมันนั่นแหละ เวลามีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ที่เกี่ยวกับด้านอรรถธรรมเข้าไปชะล้างโดยลำดับลำดา ก็ค่อยส่งแสงสว่างขึ้นมาพอเห็นโทษเห็นภัย
แม้แต่เพียงความสงบนี้ก็เป็นเหตุให้เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านแล้ว แต่ก่อนฟุ้งซ่านเท่าไรก็ไม่เห็น เห็นก็แย็บเดียวเท่านั้นแล้วก็ฟุ้ง ถูกมันลากไปถลอกปอกเปิกไม่มีเนื้อมีหนังติดมาเลยก็ต้องยอมไปกับมัน เพราะอำนาจของมันมาก แต่พอความสงบปรากฏขึ้นภายในใจ ที่เรียกว่าสมถะหรือสมาธิภาวนาตามขั้นภูมิของตน ก็พอได้ยับยั้งตั้งตัวได้บ้าง ตามกำลังแห่งความสงบที่ปรากฏขึ้นภายในจิตใจ ในขณะเดียวกันก็ได้เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านนำมาแห่งความทุกข์ความวุ่นวาย ความเดือดร้อนมากน้อยตามความฟุ้งซ่านที่แสดงตัว ความสงบมีมากน้อยความร่มเย็นความยับยั้งตั้งตัวก็พอได้ พอปรากฏขึ้นมาบ้าง นี่เพียงขั้นนี้ก็เห็นโทษกันแล้ว ในขั้นความวุ่นวายของจิตกับความสงบมันแข่งกันแล้ว เห็นแล้วนี่คุณค่าแห่งความสงบเป็นอย่างนี้ โทษแห่งความฟุ้งซ่านของจิตเป็นอย่างนั้น ออกจากจิตดวงเดียวกัน เป็นที่จิตดวงเดียวกัน รู้ได้ชัดในผลของมันทั้งสองอย่าง ผลของฝ่ายกิเลส ผลของฝ่ายธรรม รู้ได้อย่างชัดเจน
จากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญามีความแยบคายออกไป สมาธิคือความสงบใจพอได้ตั้งเนื้อตั้งตัวพอมีกำลัง ทีนี้ปัญญาออกเดินทำหน้าที่บุกเบิกฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสประเภทต่าง ๆ ไป พิจารณาอะไรพิจารณาให้จริงให้จัง ธรรมะเป็นของจริงไม่ใช่เป็นของปลอมพอที่จะพิจารณาปลอม ๆ แปลม ๆ นับเที่ยวนับตลบทบทวนไปเท่านั้นก็เป็นเหตุเป็นผลเอาตามความคาดหมายของตนแล้วก็ไม่ได้อะไร ได้แต่นับเอาเฉย ๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ไม่ใช่เรื่องของปัญญา ไม่ใช่เรื่องของธรรม พิจารณาให้ชัดเจนลงไปภายในจิตใจ
ดูซิของจริงมันชัดอยู่ตลอดเวลา ตาเนื้อ ๆ เราก็เห็นนี่น่ะ สภาพของโลกอันนี้เป็นยังไง ทั้งภายนอกทั้งภายใน ไม่ว่าต้นไม้ภูเขา ถ้าพูดถึงเรื่องความแปรสภาพมันแปรอยู่รอบตัวหมด แม้แต่ภายในจิตก็แปร อย่าว่าแต่ภายนอกกว้างออกไปขนาดไหนกี่ขอบเขตจักรวาลก็ตาม ภายในก็แปร แปรอยู่รอบตัว นั่น ขึ้นชื่อว่าโลกสมมุติแล้วเป็นอย่างนั้นหมด โลกสมมุติก็คือโลกหมุนนั่นเอง หมุนเรื่องกฎแห่ง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี่เห็นชัด ๆ อย่างนี้เราฝืนไปไหนจากนี้ นอกจากกิเลสมันลากถลอกปอกเปิกให้ฝืนความจริงไปเท่านั้น จึงได้รับความทุกข์ความลำบาก ถ้าปัญญาเดินตามนี้แล้วทำไมจะไม่ทำลายสิ่งที่มันฝืน ๆ อยู่นั้นได้ลงสู่ความจริง ความจริงก็ อนิจฺจํ น่ะซิ มันแปรอยู่ไว้ใจได้ที่ไหน ขณะเดียวกันมันแปรอยู่เท่าไรแล้วทั้งภายนอกภายใน แปรอยู่ตลอดเวลาทั้งหลับทั้งตื่น แปรอยู่ตลอดไปไม่ว่าอิริยาบถใดภายในตัวของเราก็ดี สิ่งภายนอกก็เช่นเดียวกัน พิจารณานี่ก็เห็นได้ชัด
ดูอะไรก็ดูแต่เรื่องกฎของกิเลสไปเสียหมดไม่ใช่กฎทางธรรม กฎของกิเลสมัน นิจฺจํ สุขํ ไปแล้ว ทุกข์เป็นฟืนเป็นไฟมันก็ว่า สุขํ ไปเสีย มันหลอกต้มขนาดไหนก็ยังเชื่อมันจะให้โง่ขนาดไหนมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งผู้ปฏิบัติโง่ที่สุด จึงไม่ได้เห็นตามกฎความจริงของสิ่งเหล่านี้ อนตฺตา อนตฺตา ก็ปฏิเสธอยู่รอบตัวหมด ขึ้นชื่อว่าโลกสมมุติแล้วเป็น อนตฺตา ทั้งนั้น มันรอบตัวอยู่แล้วนี่ ทำไมปัญญาไม่หยั่งลงไป ถ้าพูดถึงขั้นอสุภะอสุภังก็เหมือนกัน มันสวยมันงามที่ตรงไหน ดูข้างนอกดูข้างในเกลื่อนไปด้วยป่าช้าผีดิบผีสุกเต็มไปหมด เห็นกันชัด ๆ อยู่ด้วยตาของเรานี้
เสียงก็เสียงอันไหนมันไพเราะ นอกจากเสียงเหตุเสียงผลเสียงอรรถเสียงธรรมเท่านั้นเป็นเสียงที่ไพเราะ เพราะเปลื้องจิตใจออกจากกองทุกข์ได้โดยลำดับลำดา เพราะเสียงที่ประกอบด้วยเหตุด้วยผลด้วยอรรถด้วยธรรม ไอ้เสียงสกปรกโสมม เสียงยกยอสรรเสริญ หรือเสียงตำหนิติฉินนินทาหาความสะอาดไม่ได้ มีแต่ความสกปรกเต็มปากเต็มเสียงมานั้น ผู้ฟังก็ฟังอย่างเต็มหู หูสกปรกเท่าไรก็ยังไม่รู้ ตาสกปรกหูสกปรก ทั้งวันทั้งคืนเจอแต่ของสกปรก มีแต่สิ่งหลอกลวงเต็มโลก มองไปมันก็หลอกลวงตัวเองเสีย ได้ยินก็หลอกลวงตัวเองเสีย สูดกลิ่นลิ้มรส มาสัมผัสสัมพันธ์ภายในกายตลอดถึงคิดขึ้นภายในใจ ล้วนแล้วแต่เรื่องสกปรก เพราะกิเลสมันปรุงมันแต่งขึ้นมาให้คลุกเคล้าอยู่กับจิตตลอดเวลา หาความสะอาดที่ไหน เต็มอยู่ด้วยของสกปรก ไม่ชะล้างด้วยสติปัญญาจะเอาอะไรมาชะล้าง นี่ละมันสกปรกอยู่อย่างนี้เห็นไหม พิจารณาซิ นี่ละปัญญาหยั่งลงไปซิ นี่ละสิ่งที่สกปรกที่สัมผัสสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลานี่
เราจะไปหาดูตั้งแต่ซากอสุภะอสุภังเลย ก้าวเข้ามาสู่ขั้นละเอียดมันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ อันนั้นเป็นขั้นหยาบ ๆ ก็ยังไม่เห็น เน่าเฟะอยู่ก็ยังไม่เห็น แล้วจะเห็นอะไรสิ่งที่ไม่เน่าทั้ง ๆ ที่มันก็สกปรกอยู่เหมือนกัน ภายนอกก็สกปรก ภายในก็สกปรก ในหัวใจก็สกปรก มันสลับซับซ้อนอยู่ มีแต่ของสกปรกเต็มหัวใจแล้วจะเอาความสุขมาจากไหน ถ้าอยากได้ความสะอาดก็ตั้งขึ้นมาซิ สติปัญญากลั่นกรองลงไปตามเหตุตามผล ตามความสัตย์ความจริงที่มีอยู่รอบตัวนี้ มันก็เห็นเท่านั้นน่ะซิ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่นี่นาไม่ใช่แกล้งอุตริ
พิจารณาลงไปให้เห็นชัดแจ้ง เมื่อเห็นชัดแจ้งแล้วไม่ต้องบอก ไอ้เรื่องอุปาทานเป็นตัวผลของความหลงต่างหากมันจึงไปยึด เมื่อรู้แจ้งโดยลำดับลำดาต้องถอนตัวเข้ามา ๆ นี่ท่านเรียกว่าปัญญาบุกเบิกหาความจริง เพราะความจอมปลอมปกคลุมไว้หมดในสามแดนโลกธาตุนี้ มันออกไปจากใจแต่ละดวง ๆ ไปสำคัญมั่นหมายไปปรุงไปแต่ง เพราะกิเลสพาให้ปรุงแต่ง มันออกไปจากใจ เจ้าของก็หลงตามมันไปเรื่อย ๆ ถูกจูงจมูกจมูกขาดก็ไม่รู้ ปัญญาหยั่งลงไปซิ ทำให้มันจริงมันจังซิ
ทุกข์มันทุกข์จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าจะทุกข์ทางใด ทุกข์ทางกายก็ทุกข์จริง ๆ เป็นสัจจะจริง ๆ คือความจริง ทุกข์ทางใจก็ทุกข์จริง ๆ สติปัญญาก็เป็นของจริง แก้กันลงไปซิ พิจารณาให้เห็นตามเหตุตามผล ทำไมจะแก้ไม่ได้วะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ เครื่องแก้สด ๆ ร้อน ๆ แท้ ๆ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ล้าสมัยธรรมล้าสมัย กิเลสมันหลอกนี่นะ กิเลสมันไม่เห็นล้าสมัย มันหลอกสัตว์มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ทุกข์อยู่ทุกหัวใจของสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ใหญ่สัตว์เล็กสัตว์ไหน ภพใดภูมิใด มีแต่กิเลสตัวจอมปลอมมันทันสมัยอยู่ในจิตนั้นหมดนั่นแหละ ธรรมจึงล้าสมัย ธรรมจึงไม่มีในจิตใจของคน เพราะกิเลสมีอำนาจเหนือกว่ามันกำจัดออกหมดไม่ให้มี
นี่เราเป็นผู้มาปฏิบัติอรรถธรรม ทำไมจึงไม่แก้สิ่งที่จอมปลอมซึ่งอยู่ภายในใจของเรา กำจัดธรรม คือ วิริยธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม ของเราอยู่ตลอดเวลา แก้ลงไปซิ ความเพียรมีมาเองแหละเมื่อกิเลสตัวขี้เกียจมันจางลงไปแล้ว ความเชื่อก็เชื่อเข้าโดยลำดับลำดาเข้าถึงของจริง มีกำลังขึ้นเรื่อย ๆ ศรัทธา วิริยะ ก็ไม่ต้องบอกเป็นธรรมเกี่ยวโยงกัน สติ สมาธิ ปัญญา หมุนตัวเป็นเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย เหมือนกับเชือกที่ฟั่นกันหลาย ๆ เกลียวเข้าไปสู่อันเดียวกันแล้วมันก็เป็นเชือกทั้งเส้น แล้วหมุนติ้วเลย
นี่ปฏิบัติมาก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร พูดก็มีแต่ลมปากเฉย ๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรสอนหมู่สอนเพื่อนก็ดี เป็นยังไงมาปฏิบัติไม่รู้กี่ปีกี่เดือน เหตุผลอรรถธรรมไม่ปรากฏในใจเลยเป็นที่ต้องใจแล้วเหรอ เป็นที่พึงใจแล้วเหรอ เราอยู่ด้วยอะไรเวลานี้ อยู่ด้วยความเลื่อนลอยอย่างนี้เหรอ เป็นมาก็เป็นมาด้วยความเลื่อนลอย อยู่นี้ก็อยู่ด้วยความเลื่อนลอย ไปจะเอาหลักเกณฑ์มาจากไหน ถ้าไม่เอาหลักเกณฑ์มาจากสิ่งที่เป็นหลักเกณฑ์คืออรรถคือธรรม เป็นเครื่องชำระสิ่งจอมปลอมทั้งหลายอันทำคนให้เป็นหลักลอยนี่ ไม่มีอันอื่นอย่างอื่น หมุนตัวเข้ามาซินักปฏิบัติ
เดี๋ยวนี้จะไม่มีเกาะมีดอนละนะนี่ จะเป็นมหาสมุทรทะเลจมไปหมดด้วยกันทั้งโลกทั้งธรรม ทั้งพระทั้งฆราวาส ไม่ว่าเพศใดวัยใด ส่งเสริมกันในเรื่องที่จะเป็นฟืนเป็นไฟ ใครก็ต้องการแต่ความยุติธรรม ใครต้องการแต่ธรรมาธิปไตย ธรรมาธิปไตยเป็นยังไง โลกาธิปไตยเป็นยังไงไม่ได้สนใจ มีแต่เสริมมัน นี่แหละคือฟืนคือไฟ เดี๋ยวนี้อันนี้แหละเป็นใหญ่ในหัวใจของโลก มันดิ้นรนกวัดแกว่งหมุนยิ่งกว่ากังหัน
ใครก็ต้องการอยากเป็นอธิปไตย ๆ ไอ้ตัวนี้ทำไมไม่ได้ดูบ้าง ที่มันบีบบังคับไม่ให้เป็นอธิปไตยได้ มันเป็นอธิปไตยเป็นใหญ่ ธรรมาธิปไตยก็ราคะตัณหาเป็นใหญ่อยู่ในหัวใจ โลภาธิปไตยก็คือความโลภเป็นใหญ่ คนมีความโลภมาก ๆ มีความสุขไหม คนมีราคะตัณหามาก ๆ มีความสุขไหม นั่น มีความโกรธมาก ๆ มีความสุขไหม มีฟืนไฟเผาคนทั้งคนเอาความสุขมาจากไหนพิจารณาซิ คนไม่มีสิ่งเหล่านี้ต่างหากเป็นความสุข ไม่มีอะไรมาเผาภายในจิตใจต่างหากเป็นความสุข เหตุใดจึงต้องส่งเสริมเอานักเอาหนาไม่ลืมหูลืมตาเลยนี่ ฉลาดยังไงมนุษย์เรา หรืออวดตัวว่าฉลาดได้ยังไง ยังหน้าด้านอวดตัวว่าฉลาดอยู่เหรอ ฉลาดอยู่ในกองฟืนกองไฟอย่างนี้ เฉพาะนักปฏิบัติเรานี้ เอ้า พิจารณาเจ้าของให้ดี
อันนี้มันเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปก็ว่าไปยังงั้นแหละ ไม่ได้ตำหนิติเตียนผู้หนึ่งผู้ใด แต่เรื่องอันนี้เป็นเช่นนั้น เราก็พูดตามความจริงของมัน สิ่งที่เป็นไฟอยู่ที่ไหนก็ต้องเผาอย่างว่า เราเป็นผู้ที่จะดับฟืนดับไฟด้วยอรรถด้วยธรรม ต้องส่งเสริมอรรถธรรมให้มีมากขึ้นอย่ามานอนอกนอนใจ การกินอยู่กับหมู่กับเพื่อนเป็นความชินชาหน้าด้านไม่ได้ กิเลสไม่ได้ชินกับใครแหละ มันเผาได้ทั้งนั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ทุกขณะจิตที่คิดออกมาเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล มีธรรมแทรกออกมาบ้างไหม เดินจงกรมหย็อก ๆ มีแต่เรื่องคิดปรุงเรื่องโลกเรื่องสงสารกิเลสตัณหาทั้งนั้น แล้วจะเอาธรรมมาจากไหนพอจะหาความสงบเย็นใจได้บ้าง
ปัญญาจะคิดออกมาสักแย็บหนึ่ง ก็ไปทางสัญญาอารมณ์คาดหมายไปเสีย ถูกมันลากมันเข็นไปเสีย ปัญญาเลยหยั่งลงหาความจริงไม่ได้ แล้วจะถอดถอนกิเลสได้ยังไง เมื่อกิเลสได้เอาปัญญาไปต้มยำกินหมดแล้ว สติก็เอาไปต้มยำกินหมดแล้ว หาคุณค่าที่ไหนจากปัญญาอันนั้น มันเป็นปัญญาของกิเลส เป็นเครื่องมือของกิเลสทำลายตัวเราเสียแล้ว เราจะเอาอะไรมาเป็นผลเป็นประโยชน์เป็นความสุขความเจริญ
คำว่า สมถะ ๆ ไปหาที่ไหน ไปหาต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ ดินน้ำลมไฟเป็นดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่สมถะไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ความเย็นใจ หาที่ใจต่างหาก ฟังแต่ว่าเย็นใจซิ ร้อนก็ร้อนที่ใจ อากาศเป็นเรื่องของอากาศ เขาไม่ทราบความหมายของเขาว่าร้อนว่าเย็นอย่างไร ดินน้ำลมไฟเขาไม่ทราบความหมายของเขาว่าเป็นอะไร มีแต่มนุษย์เราที่ว่าตัวฉลาดนี้ไปตั้งชื่อให้เขา ก็หลงเขาติดเขาแล้วมาเผาตัวเองเท่านั้น ต้องค้นดูที่นี่ซิตัวมันฟุ้งซ่านอยู่ ฟุ้งซ่านที่ไหน ฟุ้งซ่านที่ใจ บังคับทำไมจะบังคับไม่ได้ กิเลสบังคับหัวใจเรายังบังคับได้ ธรรมเหนือกิเลสเอาบังคับกิเลสทำไมจะบังคับไม่ได้ ฟัดกันลงไปซินักปฏิบัติ
เด็ดต้องเด็ด กิเลสเด็ดเราต้องเด็ด ฝ่ายชั่วเด็ดฝ่ายดีต้องเด็ดไม่ยังงั้นไม่ทันกัน ต้องเป็นอย่างนั้น เด็ดต่อเด็ดใส่กันซิ ถ้าจะเด็ดในธรรมก็กลัวกิเลสหัวเราะเยาะเสียยังงั้นเหรอ เช่นอย่างเทศนาว่าการหรือดุด่าว่ากล่าวอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าก็ให้ว่าไปซิเรื่องของกิเลสมันว่านี่ เรื่องธรรมก็ว่าไปตามอรรถตามธรรม ชี้แจงเหตุผลเพื่ออรรถเพื่อธรรม ควรจะเด็ดต้องเด็ด ควรจะดุต้องดุ ควรจะด่าต้องด่า ด่ากิเลสต่างหากไม่ได้ด่าคน ดุกิเลสต่างหาก ฟันกิเลสต่างหากไม่ได้ฟันหัวคนเป็นอะไรไป
นี่ความดีความชั่วมันเป็นคู่เคียงกันไป กิเลสโหดขนาดไหนธรรมต้องโหดขนาดนั้น โหดกับกิเลสจะเป็นอะไรไป อย่าโหดกับตัวเองซิ โหดกับกิเลส โหดกับตัวเองก็คือปล่อยให้กิเลสเหยียบหัวใจเจ้าของแหลกละเอียดไปนั่นแหละ นั่นก็โหดกิเลสนั่นแหละ คือคล้อยตามกิเลสมันก็เหยียบหัวเรา ถ้าคล้อยตามธรรมแล้วเหยียบกิเลสให้แหลกไปได้เลยไม่ต้องสงสัย จะทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ มันได้เรื่องอะไร ถึงคราวที่เด็ดต้องเด็ดไม่เด็ดไม่ได้
วิธีการของการประกอบความพากเพียร เราจะเอาแต่นิสัยของเราไปว่าไปทำไม่ได้นะ ต้องเอาหลักของธรรมเข้าไปจับ บืนตามหลักของอรรถของธรรม นั่นแหละถึงจะมีช่องทางไปได้ เราจะไปหาสมาธิก็ดี หาปัญญาก็ดี ตามสิ่งภายนอกดินฟ้าอากาศ ว่านั้นเป็นนั้นอันนี้เป็นนี้ว่าจะเป็นสติปัญญา ถ้าไม่เอาสติปัญญานี้พิจารณาให้เป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมาสู่ใจตัวเองแล้วไม่เจอแหละ สมถะก็ไม่เจอ วิปัสสนาก็ไม่เจอ วิมุตติหลุดพ้นก็ไม่เจอ ถ้าไม่เอาใจเป็นรากฐานสำคัญกวาดต้อนสิ่งทั้งหลายเข้ามาด้วยปัญญาด้วยสติ ให้เป็นอรรถเป็นธรรมไปด้วยกัน แล้วแก้ตัวเองผู้ไปผูกพันมั่นหมายกับสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น มันถึงจะถอดถอนตัวเองไปได้
พูดไป ๆ ก็เหนื่อย วันนี้พูดเร่งมาตั้งแต่ต้นทำให้รู้สึกเหนื่อย ๆ เอาละ วันนี้พูดเท่านั้นละ