ใจว่างเพราะธรรม
วันที่ 14 มิถุนายน 2526 เวลา 19:00 น. ความยาว 86.46 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๖

ใจว่างเพราะธรรม

คำว่า “กิเลส” นี้เป็นศัพท์ที่จอมปราชญ์คือศาสดาของเรา ทรงบัญญัติให้ชื่อให้นามขึ้นมา สิ่งนี้เป็นข้าศึกต่อธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในใจดวงเดียวกันกับสถานที่กิเลสอยู่นั้น ท่านให้ชื่อว่ากิเลส รวมหมดบรรดาสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรมและต่อใจของโลกทั้งมวล รวมเป็นคำว่ากิเลส ท่านแยกแขนงออกไปไม่มีประมาณ แต่ส่วนใหญ่มีอยู่ ๓-๔ ประการด้วยกัน เช่น ความโลภ คือ การแสดงออกจากตัวของกิเลสเป็นอาการออกมา เป็นแขนงออกมา ถ้าอยู่เฉย ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่แสดงออกมาก็เป็นกิเลสอยู่ตามหลักธรรมชาติของมัน ซึ่งมีอยู่ภายในใจนั้น

เวลาอาการของกิเลสแสดงตัวออกมาก็เรียกว่า กิเลสทำงาน ความโลภทำงาน ความโกรธทำงาน ความหลงทำงาน ความรักความชังทำงาน หรือความยินดียินร้ายทำงาน เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องของกิเลสทำงานเพื่อผลรายได้ของตน แล้วขนผลรายได้ทั้งมวลเข้ามาสู่ใจ กลายเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นความทุกข์ร้อนขึ้นมาที่ใจของสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ใจจึงไม่มีว่างจากคำว่ากิเลสแม้ดวงเดียว จะเป็นใจสัตว์ใจบุคคล กำเนิดเกิดในสถานที่สูงต่ำขนาดใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเกิด ชื่อว่าภพว่าชาติแล้ว ต้องไม่ว่างจากกิเลสครองหัวใจเช่นเดียวกันหมด เป็นแต่เพียงว่ามีมากมีน้อยต่างกันเท่านั้น

กิเลสเรืองอำนาจมากภายในใจ ย่อมทำสัตว์ให้ได้รับความทุกข์ความทรมานมาก กิเลสเรืองอำนาจน้อย ความทุกข์ก็มีน้อย กิเลสหมดไปจากใจเพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องสังหารไม่มีเหลือแล้ว ไม่มีคำว่ายุ่งยากลำบากลำบนเหมือนกิเลสครองใจ นี่คือธรรมครองใจ ธรรมครองใจนั้นทำใจให้ว่าง ว่างโดยหลักธรรมชาติคือธรรม ยุ่งโดยหลักธรรมชาติคือกิเลส อยู่ในใจดวงเดียวกัน เพราะฉะนั้นใจจึงไม่มีคำว่าว่างจากกิเลสแม้ดวงเดียว เว้นใจพระอรหันต์เท่านั้น

แต่ก่อนใจของท่านก็บรรจุสิ่งทั้งหลายที่เป็นข้าศึกเหล่านี้เต็มอยู่เช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ แต่เพราะการชำระสะสางด้วยวิชาธรรม ที่พระพุทธเจ้าประทานไว้โดยถูกต้องแม่นยำนี้ ไม่ลดหย่อนอ่อนกำลัง

ศรัทธาความเชื่อมั่นในธรรม พยายามเสริมขึ้นให้มากกว่าความเชื่อมั่นในกิเลส

วิริยะความเพียร เพียรเพื่อถอดเพื่อถอนกิเลส มากยิ่งกว่าการเพียรเพื่อสั่งสมกิเลส

สติตั้งท่าตั้งทางระมัดระวังจิตใจกายวาจาของตนให้มีกำลังมากขึ้นโดยลำดับ ยิ่งกว่าการระลึกไปตามแนวแถวของกิเลสซึ่งต้องใช้สติเช่นเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าใช้ไปในทางที่ผิดและถูกต่างกันเท่านั้น

สมาธิ ให้มีความเหนียวแน่นมั่นคงในหน้าที่การงานของตน เพื่อถากถางถอดถอนกิเลสออกจากใจ ให้มากยิ่งกว่าความตั้งมั่นหรือความสนใจ ความแน่วแน่ในกิเลสทั้งหลาย หรือความขยันหมั่นเพียรในกิเลสทั้งหลาย พลิกกันไปคนละด้าน

ปัญญา ใช้เพื่อการถอดถอนกิเลสประเภทต่าง ๆ ออกจากใจ ให้มากยิ่งกว่าที่จะนำไปใช้เพื่อเป็นเครื่องมือของกิเลสไปทำงานเพื่อทำลายตัวเราเอง

นี่ธรรมกับโลก หรือกิเลสกับธรรม การกระทำก็อาศัยสติปัญญาเหล่านี้ แต่ท่านไม่เรียกว่าสติ ไม่เรียกว่าปัญญา ไม่เรียกสมาธิ ทั้ง ๆ ที่เป็นหลักธรรมชาติที่กิเลสนำมาใช้อยู่ตลอดเวลา เพื่อการทำลายและสังหารเรานั้นแล แต่นั้นเป็นทางผิดท่านจึงไม่เรียกว่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เพราะทำคนให้โง่เขลา ทำคนให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก แต่ทางด้านธรรมะนี้เป็นศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมล้วน ๆ ในการถากถางหรือถอดถอนชำระกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกต่อธรรม และเป็นข้าศึกต่อใจของเราออกโดยลำดับ จนกระทั่งหมดไปโดยสิ้นเชิง ตามหลักศาสนธรรมที่ทรงประกาศสอนไว้โดยถูกต้องแม่นยำแล้ว

อุบายวิธีการสั่งสอนของกิเลสเสี้ยมสอนมนุษย์ เสี้ยมสอนสัตว์ มีความแยบยล มีความละเอียดแหลมคมมากทีเดียว ถ้าไม่มีธรรมเป็นคู่แข่ง สัตว์โลกจะต้องถูกกล่อมจากวิชาของกิเลสโดยไม่มีวันฟื้นตัวได้เลย นับแต่วันล่มจมไปโดยลำดับลำดา จิตใจนี้รุ่มร้อน หากาลเวลาสถานที่อิริยาบถไม่ได้ ถ้าลงกิเลสได้ครองหัวใจและทำงานอยู่บนหัวใจ โดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องคัดค้านต้านทานแล้ว จะไม่มีสถานที่ใดร้อนยิ่งกว่าใจของสัตว์โลกที่กิเลสทำงาน ขอให้พากันจำไว้อย่างถึงใจ

กิเลสเรืองอำนาจกับธรรมเรืองอำนาจนั้น ถ้าเป็นโลกก็ต่างกันคนละโลก ถ้าเป็นทวีปก็ต่างกันคนละทวีป ผิดกันถึงขนาดนั้น เท่าที่สัตว์โลกได้ยอมตนเป็นเครื่องมือของกิเลสและเป็นที่ขับถ่ายของมัน เป็นที่อยู่ที่อาศัยทุกสิ่งทุกอย่างของกิเลสนั้น ก็เพราะเราไม่มีความรู้ความฉลาดพอที่จะปลดเปลื้องหลีกเลี่ยงตนเองจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จึงต้องยอมรับความทุกข์ ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นมาจากกิเลสผลิตขึ้นมาโดยทั่วกัน

นี่แหละที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เป็นลาภอันประเสริฐของสัตว์ และเป็นธรรมชาติที่อุบัติได้ยาก ก็เพราะธรรมต้องมีครู มีแบบมีฉบับ สัตว์โลกที่ถูกกล่อมอยู่ด้วยเพลงของกิเลส ใครเล่าจะไปสนใจต่ออรรถต่อธรรม ต่อวิชาที่จะมาทำลายกิเลส นอกจากสนใจต่อการส่งเสริมรายได้ ให้กิเลสนำผลนั้นเข้ามาเผาลนตนทุกถ้วนหน้าไปเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้การอุบัติของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น จึงเป็นของยากของลำบากที่สัตว์โลกทั้งหลายจะได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟัง เพราะพระวาจาพระโอวาทของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้นำมาจากผู้หนึ่งผู้ใดในสามแดนโลกธาตุนี้ แต่นำมาจากหลักธรรมชาติแห่งความสามารถ ที่เป็นสัพพัญญูของพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น การที่จะได้อรรถได้ธรรมขึ้นมาสั่งสอนโลก พร้อมทั้งพระองค์ก็หลุดพ้นจากแหล่งแห่งกองทุกข์ที่กดขี่บังคับทั้งหลายได้ ก็เพราะพระบารมีที่ทรงสั่งสมมาไม่หยุดไม่ถอย และไม่พ้นจากพละ ๕ ที่กล่าวมาในเบื้องต้นนั้นว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญานี้เลย

เมื่อได้ทรงพยายามบำเพ็ญเต็มสติกำลังความสามารถไม่หยุดไม่ถอย เพราะมีแต่การบำรุงส่งเสริมโดยถ่ายเดียว ธรรมซึ่งเป็นสิริมงคล ซึ่งเป็นของดีและเป็นของดีเลิศ ย่อมปรากฏขึ้นในพระทัยโดยลำดับลำดา จนถึงได้ผ่านพ้นขึ้นมาเป็นความตรัสรู้ กลายเป็นศาสดาเอกของโลกให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา และได้ยินได้ฟังคำว่าธรรม ๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ จึงเป็นของยากของลำบากมาก สำหรับพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่จะมาอุบัติตรัสขึ้นในโลก และรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นโอฆกันดารทั้งหลายเหล่านี้

เราทั้งหลายเป็นเพียงผู้ได้ยินได้ฟัง โดยไม่ต้องได้ค้นคว้าหาวิชาประเภทนี้ เพียงบำเพ็ญตามพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ยังถือว่าเป็นความลำบากลำบน ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายรื้อถอนศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องมือของมันเสียจนสิ้น แล้วเราจะหวังประโยชน์อะไรจากความเป็นอยู่แห่งมนุษย์ และเราหวังความสุขความเจริญจากอะไร หวังความสุขความเจริญจากกิเลส ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟที่เผาลนสัตว์ทั้งหลายอยู่

เช่นเดียวกับนักโทษหวังความเจริญในเรือนจำ จะได้ความสุขความเจริญที่ไหน ในเรือนจำสำหรับนักโทษทั้งหลายที่ถูกคุมขังไว้นั้น เราทั้งหลายที่ถูกคุมขัง เป็นนักโทษของกิเลสบังคับบัญชาอยู่ตลอดเวลา จะหวังความสุขความเจริญที่ตรงไหน ในความเป็นนักโทษแห่งวัฏจักรนี้ นอกจากจะพยายามแหวกว่ายตนให้หลุดพ้นไปเสีย ด้วยอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ความหวังที่เราต้องการนี้จะไม่ปรากฏขึ้นมา และไม่สมบูรณ์ให้เห็นตามความมุ่งหมายของเราได้เลย

การชำระกิเลสว่าเป็นของยาก อะไรพาให้ยาก ธรรมท่านไม่ได้พาให้ยาก มรรคผลนิพพานไม่ได้พาให้ยาก ธรรมทั้งหลายไม่ได้พาให้ยาก คำว่ายากคำว่าลำบากล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล หากเราไม่ฝ่าฝืนความยากความลำบาก ไม่อดไม่ทนแล้ว ก็ชื่อว่าเราแพ้กิเลสวันยังค่ำ หรือเราไม่ต่อสู้กิเลส เราหมอบราบต่อกิเลสวันยังค่ำ ความเพียรจะไม่ปรากฏในทางที่ถอดถอนหรือชะล้างสังหารกิเลสได้เลย นี่เป็นหลักสำคัญที่เราจะคิดสำหรับนักบวช

เบื้องต้นได้พูดถึงจิตไม่ว่าง ความไม่ว่างของจิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ความทรมาน เพราะยาพิษฝังอยู่ภายในนั้น มีอวิชชาเป็นพื้นฐานแห่งยาพิษทั้งหลาย กระจายแขนงออกมาเป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลง เป็นราคะตัณหา โกรธ เกลียด ชังต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นฟืนเป็นไฟสำหรับเผาลนหัวใจทั้งนั้น ไม่ใช่ของดี ทำไมจึงต้องสนิทสนมกับสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีวันจืดจางเลย จะหาทางหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ทำจิตให้ว่างจากสิ่งเหล่านี้ได้เพราะเหตุผลกลไกอะไรเรามองไม่เห็น ถ้าได้เหินห่างจากพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสียเท่านั้น จะไม่มีวันหลุดพ้นไปได้เลย จะกี่กัปกี่กัลป์ไม่มีกำหนด เรียกว่าอนันตกาล หากาลหาเวลาที่หลุดพ้นไม่ได้ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี้เป็นสำคัญที่จะเป็นทางให้หลุดพ้นได้

การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน ได้สั่งสอนมาเป็นเวลานานตั้ง ๓๐ กว่าปีมาแล้ว ควรจะถึงใจ เพราะการสั่งสอนทุกแง่ทุกมุม ไม่ได้สั่งสอนด้วยความด้นเดาเกาหมัด สอนจากเหตุจากการที่ได้ประสบพบเห็นมา ทั้งวิธีต่อสู้ วิธีรบราฆ่าฟันกับกิเลส ตลอดถึงผลที่ได้มากน้อยเพียงไร ก็นำมาทุ่มเทให้หมู่เพื่อนฟังทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในใจเลยแม้แต่น้อย หากว่าเป็นสิ่งที่จะหมดเนื้อหมดตัวไปได้แล้ว เราหมดเนื้อหมดตัวไปนานแล้ว ไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลย ทำไมหมู่เพื่อนจึงไม่ถึงใจในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นความจริง ที่ได้นำมากล่าวมาสั่งสอนอยู่ทุกเวล่ำเวลา ทำไมจึงให้กิเลสมันฉุดมันลากเอาต่อหน้าต่อตาให้เห็นอยู่เป็นประจำ จนเกิดความสลดสังเวช บางครั้งเกิดความท้อถอย เกิดความอ่อนใจเป็นลำดับลำดา เกิดความสลดสังเวชในกิริยาอาการที่แสดงขึ้นของหมู่คณะ ซึ่งเท่ากับว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังการแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยอย่างถึงใจนั้นมาบ้างเลย นี่เป็นเหตุให้ฝังจิต

จะคิดก็คิดนักปฏิบัติ อย่ามาแสดงความหยาบโลนให้เห็น ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล คำว่ากิเลสนั้นได้เคยเห็นเคยรู้เคยเป็นอยู่แล้วภายในจิต ถ้าหากจะวิเศษวิโส ต่างคนก็ได้วิเศษวิโสไปแล้ว ไม่จำต้องมาได้รับความทุกข์ความทรมานดังที่เป็นอยู่นี้เลย นี่ก็เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีนั่นแล ความไม่ดีก็ธรรมเป็นผู้ชี้ผู้แนะตามหลักความจริงแท้ ๆ อะไรจะแสดงขึ้นมามันไม่ดีทั้งนั้น แม้แต่อยู่ภายในใจไม่แสดง มันก็ไม่ดีอยู่ภายในใจนั่นแล เวลาแสดงออกมาก็เป็นความไม่ดีของการแสดงออก แล้วนำผลเข้าไปสู่ตัวเองและเรี่ยราดสาดกระจายไปสู่วงคณะ ให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน

กิเลสไปที่ไหนเป็นของดีเมื่อไร เป็นความกระทบกระเทือนทั้งนั้น อยู่ในใจก็กระทบกระเทือนจิตใจ ระบายออกทางกายวาจาความประพฤติ ก็กระทบกระเทือนไปโดยลำดับลำดา หาความสวยงามในตัวเองไม่ได้ ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วต้องเป็นพิษเป็นภัยเสมอไป ไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียดของกิเลส เป็นพิษเป็นภัยด้วยกันทั้งนั้น เหมือนกันกับยาพิษ จะเอาออกมาส่วนย่อยส่วนใหญ่ส่วนไหนก็ตาม เป็นยาพิษทั้งมวล ล้วนแล้วแต่สิ่งที่จะสังหารมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้ฉิบหายไปได้ด้วยกัน

ขึ้นชื่อว่ากิเลสก็เป็นยาพิษสำหรับจิตใจ และเป็นมานานแล้วควรจะเข็ดหลาบ ควรจะนำธรรมเข้าไปแก้ไขถอดถอนและเชื่อธรรมอย่างถึงใจ ศรัทธาเชื่อมรรคผลนิพพาน เชื่อในบุญในกรรม เชื่อในโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาองค์เอกอย่างแท้จริง วิริยะเพียรซิ นักปฏิบัติไม่เพียรใครจะเพียร สิ่งที่ผูกมัดรัดรึงอยู่ภายในใจของเราจนหาเวล่ำเวลา ถ้าจะพูดถึงเรื่องลมหายใจแล้ว มันจะแทบหายใจไม่ได้เพราะถูกรัดจากกิเลส แต่นี้ช่องหายใจมันเปิดไว้เราจึงได้หายใจ หากมันปิดเหมือนอาการอื่น ๆ ของจิตแล้วเราจะไม่ได้หายใจ ตายไปนานแล้ว นี้มันเปิดช่องเปิดทางไว้ให้หายใจ

ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์อยู่ภายในใจ แต่เปิดทางไว้ที่ลมหายใจไม่ให้ตาย เพราะเหตุใด เพราะใจไม่ใช่ของตาย ถึงจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ฉิบหายไม่ตาย กิเลสจึงต้องได้อาศัยสถานที่นั่นคือจิตดวงนั้น เป็นสถานที่อยู่ เป็นสถานที่ทำงานของตน ส่วนจิตจะได้รับความทุกข์ยากลำบากประการใดนั้น กิเลสไม่ได้สนใจ ไม่ได้คิด ไม่ได้ให้อภัยแก่ผู้ใด นอกจากทำงานให้เต็มตามความต้องการของตนเท่านั้น

เป็นยังไงหัวใจเรา ปฏิบัติมาเป็นเวลานาน มีกิเลสตัวไหนถลอกปอกเปิก นอกจากธรรมกระเจิงไปเท่านั้น หากมีมากมีน้อยก็แตกกระจัดกระจายไปหมด เพราะอำนาจของกิเลสมันกดมันดัน มันบีบมันบังคับให้แสดงออกในกิริยาอาการต่าง ๆ จนดูไม่ได้ นี้หรือนักปฏิบัติธรรมะเป็นเช่นนี้หรือ เราอยากจะถามอย่างนั้น ถามตัวเองก็ถามมาพอแล้ว เพราะกิเลสในหัวใจก็เคยมีกับหมู่กับเพื่อนเหมือนกันไม่ใช่ไม่มี ก็เคยถาม ถามนี้ก็ถามเพื่อจะเอาเหตุเอาผล เพื่อความแก้ไขถอดถอนกิเลส สังหารกิเลสให้ขาดสะบั้นไปจากใจนั่นแลจึงต้องถาม นี่การถามหมู่ถามเพื่อนก็ถาม เพราะเป็นครูเป็นอาจารย์แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนมาเต็มสติกำลังความสามารถ

เป็นอย่างไรจึงต้องเป็นเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติอย่างไรจึงให้กิเลสออกหน้าออกตา เหยียบย่ำทำลายไปเสียจนจะขาดสะบั้นไปหมด เมื่อไรจะคิด อยู่กับครูกับอาจารย์ก็ได้แนะนำสั่งสอนเต็มสติกำลังความสามารถ ผลเหล่านั้นไปไหนหมด จึงมีแต่กิเลสมาออกร้านตลาด นี้หรือของดีของวิเศษอยู่ตรงนี้หรือ นั่นซี ที่ว่าไปไหนต้องเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ ถ้าลำพังมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีใครปลุกใครเตือนไม่มีใครดุด่าว่ากล่าวมันยิ่งจะไปใหญ่ ขนาดอยู่กับครูกับอาจารย์ต่อหน้าต่อตายังเป็นไปได้ ทำไมอยู่โดยลำพังมันจะไม่แสดงเต็มฤทธิ์เต็มเดชของเพลงกิเลส เต็มกายวาจาใจเล่า ต้องเต็มอยู่ทุกเวลา มันอัดอั้นตันใจเหมือนกับติดคุกติดตะราง อยู่ในวงธรรมวงวินัย อยู่ในแวดวงของครูอาจารย์แนะนำสั่งสอน มันเหมือนกับถูกกดถูกดันเอาไว้ ไม่ได้แสดงลวดลายของกิเลสอย่างเต็มสติกำลังของมัน เวลามีโอกาสมันก็ทะลักออกมาให้เห็นชัด ๆ น่าทุเรศ

อย่างที่ก่อสร้างอะไรเล็กน้อยเท่านี้ ก็เห็นเรื่องหยาบโลนของหมู่เพื่อนมากมายทีเดียว นี่ที่คิดไว้ทุกแง่ทุกมุมว่าการก่อสร้างไม่ว่าประเภทใด เป็นข้าศึกต่อจิตตภาวนานั้น ประกาศลั่นให้เห็นชัดเจนแล้วเห็นหรือยัง ท่านทั้งหลายได้เห็นหรือยัง ในตำรับตำราท่านก็แสดงเอาไว้ เช่นอย่างในธัมมขันธกวินัยก็มี การบำเพ็ญสมณธรรม ยิ่งผู้บำเพ็ญเริ่มฝึกหัดบำเพ็ญใหม่ ๆ ด้วยแล้วให้ระมัดระวัง สถานที่ใดมีการก่อการสร้างอย่าไปอยู่สถานที่นั้น ให้หลีกเร้นอยู่ในสถานที่สงัด ไม่มีการงานอย่างอื่นหรือสิ่งแวดล้อมทั้งหลายเข้ามารบกวนใจ แม้ที่สุดไปอยู่ต้นไม้ที่ทรงดอกทรงผล มีนกกาทั้งหลายมาจิกมากินนั้นก็ไม่ให้ไปอยู่ ท่าน้ำที่ผู้คนหญิงชายขึ้นลงเสมอก็ไม่ควรไปอยู่ ให้ไปหาอยู่ในที่สงัดวิเวก นั่นท่านชี้แจงแสดงไว้ขนาดนั้น เพื่อความสะดวกสบาย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นภัยต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม งานเหล่านั้นทำได้ง่าย และการทำลายสมณธรรมของเราก็ทำลายได้ง่ายด้วย

การที่จะผลิตธรรม งานของธรรม บำเพ็ญงานของธรรม ทำงานของธรรมให้เกิดนั้น ทำได้ยาก เกิดได้ยาก แต่ฉิบหายได้ง่าย ท่านจึงสอนให้ระมัดระวัง เพียงเท่านี้เราก็เห็นได้ชัด ๆ ประจักษ์ตา ทั้ง ๆ ที่คิดไว้เรียบร้อยแล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด ยังเลยความคาดคิดไปอีกมากมาย จนถึงเกิดความสลดสังเวชเพราะสิ่งเหล่านี้

มันทุกข์มันยากมันลำบากขนาดไหนการต่อสู้กับกิเลสการจะหักห้ามกิเลส มันจะตายก็ให้เห็นดูซินักปฏิบัติ ทำไมจะต้องไปตายด้วยความถลำไปตามกิเลส ตายด้วยการต่อสู้กิเลสดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายนั้นให้ได้เห็นซิ จึงสมนามว่าเป็นศากยบุตรของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นบ๋อยของกิเลส เป็นทาสของกิเลส อันนี้เคยเป็นมาอยู่แล้วมันวิเศษวิโสอะไร

สอนก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนจนไม่มีภูมิ หมดภูมิทุกสิ่งทุกอย่างสอนหมู่สอนเพื่อน ผลปรากฏขึ้นมาเห็นแต่ขวากแต่หนามเห็นแต่ฟืนแต่ไฟ ทิ่มแทงทั้งหูทั้งตาทั้งใจไม่เว้นแต่เวล่ำเวลา เต็มไปหมด ยิ่งมามากเท่าไรก็ยิ่งเอาฟืนเอาไฟเข้ามา เจตนาไม่เจตนาก็ตาม ไฟย่อมเป็นของร้อนเสมอ ไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมถูกไหม้ให้ฉิบหายวางปวงไปได้ กิเลสเป็นของร้อน อะไรจะร้อนยิ่งกว่ากิเลส ไฟกองขนาดไหนก็สู้กิเลสภายในใจของเราร้อนไม่ได้

นี่ถ้าไม่เห็นภัยในกิเลสจะไปเห็นภัยกับอะไรนักปฏิบัติธรรม นี่ได้เคยชี้แจงให้ทราบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถอดออกมาจากจิตจากใจเทศน์ให้ฟัง เพราะเจตนาความเมตตาความสงสารอยากให้รู้ให้เห็นธรรมเหล่านี้ กิเลสประเภทเหล่านี้ ยากนักยากหนาที่จะขุดคุ้ยขึ้นมาให้เห็นทั้งโทษทั้งคุณ โทษของกิเลสก็ให้เห็นอย่างถึงใจ คุณค่าของธรรมก็ให้เห็นอย่างถึงใจด้วยการประพฤติปฏิบัติ การชี้แจงจึงต้องชี้แจงทั้งโทษทั้งคุณ ชี้แจงทั้งวิธีละวิธีบำเพ็ญอย่างถึงใจทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่น่าจะเป็นขวากเป็นหนาม เป็นหอกเป็นหลาวแหลมมาทิ่มแทงดังที่เห็นอยู่นี้เลย

ใครจะอยู่จะไปก็ไป อย่ามาทำให้หนักใจ เราสอนเพื่อความเบาใจ ให้ธรรมเกิดขึ้นมีในใจของพระ และเป็นที่เบาใจทั้งผู้มาศึกษาอบรม ทั้งผู้แสดงและผู้ที่อยู่ร่วมกันมากน้อย ธรรมมีอยู่ที่ใดย่อมมีความสงบเย็นใจ ถ้ากิเลสมีอยู่ที่ใดเป็นฟืนเป็นไฟหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ มันออกทุกแง่ทุกมุมแซงหน้าแซงหลัง นี่ได้ทุเรศนะ เพียงพาทำก่อสร้างอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ เกิดความสลดสังเวชเอามากคราวนี้ ตั้งแต่อยู่กับหมู่คณะมาก็มีคราวนี้ เราก็คิดแล้วคิดเล่าก่อนที่จะตัดสินใจลงทำอันนี้ก็ดี แล้วก็เป็นไปตามที่คิด แล้วเลยคาดไปอีกมากมาย เลยคาดเลยคิดไปอีก ให้เห็นความหยาบโลนของกิเลสที่แสดงออกมา จะเจตนาไม่มีเจตนาไม่สำคัญ ความหยาบต้องเป็นความหยาบวันยังค่ำ

การทำอะไรได้ระมัดระวังก็เพื่อหมู่เพื่อคณะให้เป็นผลเป็นประโยชน์ ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า โดยถือว่าเป็นหัวหน้าวัดแล้วก็ทำไปตามความชอบใจของตน นี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น คิดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม คิดเกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อนเสมอ ใครมาอยู่มากน้อยก็แนะนำสั่งสอนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผิดถูกประการใดสอนโดยไม่มีความเกรงใจคนนั้นเกรงใจคนนี้ยิ่งกว่าธรรม ความเกรงใจหาเหตุหาผลไม่ได้นั้นก็คือความหมอบราบต่อกิเลส นี่ไม่หมอบ ผิดตรงไหนบอกกันตรงนั้นเลย เพราะความผิดนั้นเป็นเรื่องของกิเลส เป็นข้าศึกของธรรม ต้องบอกให้รู้ ให้รู้วิธีหลบวิธีหลีก วิธีละ วิธีแก้ไขถอดถอน

อะไรที่เรืองอำนาจอยู่ทุกวันนี้ ก็มีแต่อันเดียวนี้เท่านั้นในหัวใจของสัตว์โลก วิเศษวิโสที่ตรงไหน ไปถามซิถามทุกชาติชั้นวรรณะ ใครได้รับความวิเศษวิโสเพราะกิเลสที่กล่าวมาเหล่านี้เรืองอำนาจอยู่ภายในใจ ธรรมต่างหากทำให้คนได้รับความสงบสุขร่มเย็น ความเจริญ-เจริญที่ใจต่างหากยิ่งกว่าด้านวัตถุ วัตถุถ้าไม่มีใจเป็นเครื่องอบรมเป็นแนวหน้าแล้ว ก็กลับมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาโลกอยู่โดยดี

ว่าวัตถุเจริญ บ้านนั้นเจริญ บ้านนี้เจริญ แต่ไม่ได้พูดถึงว่าใจของผู้เป็นเจ้าของของบ้านนั้นเมืองนี้เจริญ นี่ซิสำคัญ มันทำลายตรงนี้ ถ้าเจริญจริง ๆ โลกก็ต้องได้รับความสุขความสบายสงบร่มเย็น นี่อะไรจะเจริญขึ้นขนาดไหนก็ตาม ความทุกข์ร้อนยิ่งทวีรุนแรงขึ้นโดยลำดับลำดา มันเจริญอะไรถ้าไม่เจริญด้วยฟืนด้วยไฟ เพราะความโลภไม่มีเมืองพอ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความมักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องเสริมฟืนเสริมไฟให้เผาลนจิตใจของโลก แล้วโลกจะเอาความเจริญมาจากสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง ก็มีแต่ความบ่นละเมอเพ้อฝันไป ฝันดิบฝันสดไปอย่างนั้น หาความสุขความเจริญไม่เจอจนกระทั่งวันตายถ้าไม่ได้นำธรรมเข้าไปบำรุงจิตใจ ประพฤติปฏิบัติตามธรรม ให้ธรรมเป็นผู้พาดำเนิน

ไม่ว่าหน้าที่การงานอันใดวัตถุใด ถ้าธรรมเป็นเครื่องพาดำเนินแล้วจะมีความสงบร่มเย็น ว่าโลกเจริญก็เจริญจริง เจริญด้วยธรรมไม่ใช่เจริญด้วยฟืนด้วยไฟดังที่เป็นอยู่เวลานี้ ซึ่งเห็น ๆ กันอยู่ทั่ว ๆ ไป พูดกันเต็มปากว่าบ้านนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ มีตึกรามบ้านช่องตลาดลาดเลเหลืองอร่ามงามตา มันงามแต่ตานั้นซิแต่ใจเป็นฟืนเป็นไฟ เอาอะไรมาประเสริฐมาเจริญ หัวใจไม่ได้มองดู มีแต่ความใฝ่ฝันเอาอะไรมาเจริญ

นี่เราเป็นนักบวช เขาให้ชื่อว่ากรรมฐานก็ตื่นเงาตัวเอง ทั้ง ๆ ที่หัวใจของกรรมฐานไม่ได้ชำระซักฟอก ไม่ได้รู้สึกตัวเลย มันเอาอะไรมาเจริญ ความสงบร่มเย็นเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเอาอะไรมาเจริญ ถ้าความสงบไม่มีภายในใจแล้วมันก็ร้อนเช่นเดียวกับฆราวาส หรือยิ่งกว่าเขาเสียอีก มันวิเศษอะไร เพียงผ้าเหลืองอยู่ตามตลาดอดอยากเมื่อไร จะเอารถไฟใส่ก็ได้ บวชเฉย ๆ กิเลสไม่ได้บวชด้วย ไม่ได้ฝึกหัดอบรม ไม่ได้ดัดแปลงแก้ไขถอดถอนกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยอยู่ภายในใจจะเอาอะไรมาร่มเย็น

การบวชมาก็เป็นช่องเป็นโอกาสดีที่สุดแล้วที่จะได้ห้ำหั่นกับกิเลส ซึ่งถือว่าเป็นตัวพิษตัวภัยให้บรรลัยไปจากใจ ด้วยความพากเพียรเอาจริงเอาจังของแต่ละราย ๆ ซึ่งเป็นนักบวชนักปฏิบัติด้วยกัน นี่ความเจริญอยู่ที่นี่ต่างหาก ไม่ได้อยู่กับวัตถุนั้นวัตถุนี้ เช่นอย่างวัดของพระ วัดก็เป็นสถานที่ที่บำเพ็ญของพระ จตุปัจจัยไทยทานเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากศรัทธาญาติโยมของเขา เขาเป็นผู้เก็บผลประโยชน์จากศรัทธาของเขาต่างหาก เราเอาผลประโยชน์อะไรจากสิ่งนั้น นอกจากเพียงอาศัยเพื่อเลี้ยงอัตภาพไปวันหนึ่ง ๆ จุดใหญ่ก็เพื่อบำเพ็ญธรรมเอาความดิบความดีความสงบร่มเย็น ความประเสริฐเลิศเลอจากการประพฤติปฏิบัติของตนนี้ต่างหาก

ตื่นอะไร เกิดมาก็เกิดกับวัตถุ ท้องของแม่ก็เป็นวัตถุไม่ใช่เหรอ ตัวของเราก็เป็นวัตถุ ตกคลอดออกมาจากสถานที่ใดก็เป็นวัตถุทั้งนั้น ในบ้านในเรือนตึกรามบ้านช่อง หอปราสาทราชมณเฑียร มีแต่วัตถุทั้งนั้นตื่นไปอะไร ส่วนธรรมไม่มีในใจนั่นซิ ที่มันกระเสือกกระสนกระวนกระวายอยู่เวลานี้โลกของเรา เพราะไม่มีธรรมในใจ หันหน้าซ่องสุมกับกิเลสวันยังค่ำคืนยังรุ่ง หลับตื่นลืมตามีแต่หันหน้าซุกหัวให้กิเลสเผาเอาฟันเอาแหลกแตกกระจาย แล้วยังจะบ่นหาความสุขที่ไหนกันอีก หวังความสุขที่ไหนกันอีก โดยที่จิตใจซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดแห่งความสุข ไม่สนใจที่จะบำรุงรักษาให้มีความสงบร่มเย็นเท่าที่ควร และให้สงบร่มเย็นอย่างราบคาบด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วเราจะหวังผลประโยชน์กับอะไร

ฟังให้จริงซินักปฏิบัติ มาฟังเล่น ๆ ได้เหรอ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก ศาสดาไม่ใช่ศาสดาตุ๊กตา ธรรมจึงไม่ใช่ธรรมตุ๊กตา พอที่จะมาเป็นเครื่องเล่นของนักบวชนักปฏิบัติเรา ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติเราเป็นตุ๊กตาเท่านั้น ตุ๊กตากับตุ๊กตามันก็เข้ากันได้ดี อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ ไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรองอะไรเกิดผลประโยชน์อะไร

ที่อยู่ที่อาศัยก็เหมือนกัน ดูไปตามร้านต่าง ๆ นั้น เอาผ้ามาจากสวรรค์วิมานที่ไหนมาตัดมากั้น ผ้าอยู่ในวัดนี้เต็มไปไม่อดไม่อยาก ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมดิ้นรนหาอะไร มันแซงไปอย่างนั้นซิ เดินไปตามนั้นจนดูไม่ได้ มันไม่ทันสมัย หาแต่ของดิบของดีตามกิเลสชอบ ๆ นั่นแหละมาทำ รู้ไหมว่ากิเลสเหยียบหัวใจ วัตถุเหล่านั้นมันวิเศษยิ่งกว่าธรรมเหรอ จึงต้องไปสนใจกับสิ่งเหล่านั้นมากยิ่งกว่าธรรม

พระพุทธเจ้าท่านพาฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเหรอ พาลืมเนื้อลืมตัวกับโลกามิสทั้งหลายเหรอ เราถึงได้เป็นอย่างนั้นนักปฏิบัติ ผ้าเต็มอยู่ในวัดนี้ทำไมไม่เอาไปตัดไปทำ ให้กิเลสฉุดลากคอออกไปหาอะไรของอย่างนั้นมาทำ มันยิ่งโก้ยิ่งหรูขึ้นไปทุกวัน ๆ เหยียบย่ำทำลายวัดวาอาวาสครูบาอาจารย์เข้าไปโดยลำดับทั้งเก่าทั้งใหม่ เก่าเหยียบแบบหนึ่งทำลายแบบหนึ่ง ใหม่เหยียบแบบหนึ่งทำลายแบบหนึ่ง มีแต่เรื่องทำลาย หาความส่งเสริมแทบจะมองไม่เห็นแล้วนะเวลานี้ในวัดนี้ แล้วหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ มาหาประโยชน์อะไร แนะนำสั่งสอนทำไมไม่ฟัง สั่งสอนนี้สั่งสอนเพื่อให้เลวทรามลงไปเหรอ สั่งสอนเพื่อชำระความเลวทรามต่างหาก เพื่อของดิบของดีจะได้เกิดขึ้นภายในใจต่างหาก แล้วทำไมจึงกลับไปเป็นอย่างนั้นขึ้นมา ยิ่งเกิดความสลดสังเวชนะอยู่ไปนาน ๆ กับหมู่กับเพื่อน

นี่ก็ทน ที่อยู่กับหมู่กับเพื่อนไม่ใช่อยู่ด้วยความสมัครใจ ทนเอา ก็เพราะความสงสาร แต่แทนที่จะสนองความสงสารด้วยการประพฤติปฏิบัติให้เห็นเป็นที่งามตางามใจ กลับกลายเป็นเรื่องการเหยียบย่ำทำลายความสงสาร แล้วมาสนองด้วยสิ่งเลวร้ายทั้งหลายเหล่านี้ มันเลยเกิดความท้อถอยอ่อนใจที่จะแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนต่อไป นอกจากหนีไปอยู่คนเดียวเสียเท่านั้น สอนก็ไม่เป็นประโยชน์แล้วจะฝืนสอนไปทำไม ก็มันไม่เป็นประโยชน์ยังจะฝืนทำอยู่ทำไม ถ้าเป็นเหตุผลแล้วก็ไม่ควรฝืน ทำอะไรเป็นประโยชน์ค่อยทำ ไม่เป็นประโยชน์ทำไปทำไม

การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนก็สอนมามากต่อมากเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนไม่มีอะไรจะพูดแล้วเวลานี้ แล้วทำไมผลจึงแทรกจึงแซงขึ้นมาแบบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเสี้ยนเรื่องหนามของศาสนธรรมและวงปฏิบัติด้วยซ้ำให้เห็นตำตาอยู่นี่ เดินเข้าไปซิตามร้านเหล่านั้นน่ะ ไปหาผ้ามาจากไหน ได้ผ้ามาจากไหน ถึงได้หรูหราเอานักหนาขนาดนั้น ถ้าเรานับถือครูถืออาจารย์แล้วทำไมไม่ปรึกษาปรารภสักคำหนึ่ง หรือถ้าได้ปรึกษาปรารภสักคำหนึ่งมันจะไม่เรียกว่าได้เหยียบย่ำทำลายศาสนาและครูบาอาจารย์อย่างเต็มฝ่าเท้าอย่างนั้นเหรอ และดูท่านทั้งหลายที่มานี้ก็ไม่ได้ตั้งใจมาอย่างนั้น มาด้วยเจตนาอย่างนี้ แต่ทำไมกิริยาที่ทำจึงเป็นอย่างนั้น มันขัดกันอยู่ตลอดเวลา

มันกำลังจะเป็นบ้าวัตถุแล้วนะเวลานี้วัดนี้น่ะ หรูหราโก้ หัวใจเป็นฟืนเป็นไฟไม่ดูบ้างเหรอ นี่สอนเพื่อหัวใจต่างหากนะ ไม่ได้สอนเพื่อจะสั่งสมเหล่านั้น เอาอันนั้นมาอวดโลกนะ โลกเขามีดีกว่านั้นก็มีมาก แต่ไม่มีอะไรดียิ่งกว่าธรรม จึงต้องสอนลงในอรรถในธรรม ประเสริฐก็มีแต่ชื่อ ไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าธรรม จึงสอนลงตรงนี้

เห็นอะไรเป็นของดิบของดีเวลานี้ มันแทรกมันแซงขึ้นทุกแง่ทุกมุม เราเลยอกจะแตก ยิ่งธาตุขันธ์ชำรุดลงไปไม่ค่อยได้แนะนำอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อน อยู่ตามสภาพของธาตุของขันธ์ ก็ยิ่งทวีรุนแรงขึ้นในเรื่องฟืนเรื่องไฟเรื่องเสนียดจัญไรทั้งหลาย สั่งสมขึ้นทุกแห่งทุกหน ทุกมุมวัดทุกรายเข้าไปแล้วเวลานี้ มันเป็นยังไง ที่สอนมาเหล่านั้นไม่มีอะไรเป็นประโยชน์เลยยิ่งกว่ากิเลสตัวที่ฝังใจอยู่เวลานี้ ให้แสดงฤทธิ์เต็มที่เต็มฐานของมันอย่างนั้นเหรอ

มันเหมือนกับว่าอัดอั้นตันใจ เหมือนกับอยู่ด้วยถูกบังคับกดขี่ แล้วอยากแสดงลวดลายอวดธรรมทั้งหลายด้วย อวดครูบาอาจารย์ทั้งหลายบ้าง ถ้าไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็บ้าง นี่เข้าใจว่าไม่บ้าง มันเต็มภูมิ..ความเลว เอาซิ ถ้าเป็นไปตามความมุ่งหมายที่มา มันจะตายเพราะความพากเพียรบังคับกิเลสตัวมันอยากดีดอยากดิ้นก็เอาให้เห็นดูซิ มันจะชักลงทั้งเป็นก็ให้เห็นนี่ จะเป็นยังไงนักปฏิบัติ การต่อสู้กิเลสจนถึงขนาดขั้นสลบก็ให้เห็นซิ พระพุทธเจ้าทรงเป็นมาแล้วนี่สลบ จะเป็นอะไรไป

มองไปไหนมีแต่เรื่องกิเลสอวดกัน ฟังอะไรมีแต่เรื่องของกิเลสออกทำงาน ถ้าเป็นสนามเหมือนสนามกีฬานี้ก็เต็มไปด้วยกิเลสออกลวดลายเต็มสนาม ธรรมต้องหมอบต้องหลบต้องซ่อน หากว่ามีอยู่บ้างก็หลบก็ซ่อน ส่วนมากธรรมกระเจิงไม่มีเหลือ มีแต่กิเลสเต็มสนามและเล่นเต็มเพลงเต็มลวดเต็มลาย เรายังเพลินอยู่เหรอ เรายังสบายอยู่เหรอ ยังหยิ่งในตัวอยู่เหรอ เป็นถึงขนาดนั้นเวลานี้ ยังไม่ยอมรู้สึกตัวอยู่เหรอ ที่สอนทั้งหมดทุกบททุกบาทก็สอนเพื่อให้รู้สึกตัว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

นี่อยู่สบาย ที่ไม่สบายนี่ก็เพราะหมู่เพราะเพื่อนนั่นเอง เราอยู่สบายไม่ใช่คุย อยู่ได้สบาย ๆ ความเจ็บความทุกข์ความลำบากลำบนในเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เป็นสิ่งที่เคยมีเคยเป็นอยู่แล้วกับธาตุกับขันธ์อันนี้ เรียนธรรมะก็เรียนอยู่ในเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องสัจธรรม เรียนอยู่ที่นี่ทำไมจะไม่รู้ ทำไมจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะเคยอยู่ด้วยกันมาแล้วนี่ มันทนไม่ไหวจะแตกก็แตกไปซิ แน่ะ ยากอะไร จะอยู่ก็อยู่ไป จะแตกก็แตกไป ดินน้ำลมไฟเป็นเรื่องของดินน้ำลมไฟ

ถ้าเราฉลาด ความฉลาดก็เป็นเรื่องของเรา ไม่ได้ติดให้จม ให้สิ่งเหล่านี้ได้เหยียบย่ำทำลายจิตใจให้ลำบากลำบน ถ้าฉลาดตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เรียนสัจธรรมก็เรียนอยู่ที่นี่ รู้กันอยู่ที่นี่ แล้วกระทบกระเทือนกันที่ไหนเมื่อต่างอันต่างจริงต่างอันต่างรู้กันแล้ว ส่วนมากมีแต่ใจเป็นฝ่ายโง่ให้สิ่งเหล่านั้นเหยียบย่ำทำลายทับถมโจมตีจนแหลก ไม่ตายก็ต้องดิ้นรนกระวนกระวายอยู่งั้น เพราะจิตไม่เคยตาย

เล้ยไม่มีอะไรดิบดีเลย มีแต่กิเลสออกหน้าออกตาออกลวดลายอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน เลยเป็นวัดสั่งสมกิเลสไปเสียหมด พระเณรทั้งหมดก็กลายเป็นคลังกิเลสไปหมด ไม่มีคลังแห่งธรรมแล้วทำยังไง ยังสนุกยังเพลินอยู่เหรอเวลานี้ ผู้ที่ดีก็เลยเป็นความหนักใจ ความรำคาญ อยู่ไม่สะดวกสบาย ผู้ไม่เป็นท่าก็ยิ่งสนุกแสดงลวดลายทำลายหมู่เพื่อนนอกจากทำลายตัวแล้ว ให้กีดให้ขวางกันอยู่ตลอดทุกแห่งทุกหน เป็นยังไงเป็นมงคลแล้วเหรอ นี่อกจะแตกแล้วนะกับมงคลเหล่านั้นน่ะ

ปกติแม้ไม่ได้แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน ความเป็นห่วงเป็นใยหมู่เพื่อนก็เต็มหัวใจ ไม่เคยลดน้อยลงบ้างเลย ตามองไปไหนก็มองเพื่อหมู่เพื่อน ฟังอะไรก็ฟังเพื่อหมู่เพื่อน ความบกพร่องสมบูรณ์ตรงไหนต่อตรงไหน ฟังอย่างนั้นดูอย่างนั้นดูหมู่ดูเพื่อน ไม่ได้ดูเพื่อความยกโทษยกกรณ์แบบโลก ๆ เขา ดูก็ดูเพื่ออรรถเพื่อธรรม ดูเพื่อการแก้ไขถอดถอน ส่งเสริมในสิ่งที่ควรส่งเสริม ให้แก้ไขถอดถอนสิ่งที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลายออกจากตัวเอง จึงเป็นความลำบากอยู่ไม่น้อยที่เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน ต้องได้สังเกตอยู่ตลอดเวลา เดินไปไหนตาก็ต้องได้ดู หูต้องฟัง ใจต้องคิดเสมอ ไม่ได้คิดเพื่อตัวเอง ส่วนมากคิดเพื่อหมู่เพื่อนทั้งนั้น หนักหรือไม่หนัก แล้วยังจะมาว่าดุด่าว่ากล่าวอยู่เหรอ

การแนะนำสั่งสอนก็หมดทุกสิ่งทุกอย่าง วิธีการประพฤติปฏิบัติก็ได้แสดงให้ฟังโดยลำดับลำดาไม่มีปิดบังลี้ลับ ความทุกข์ความยากความลำบากทั้งหลายไม่มีอะไรเกินการรบกับกิเลสนะ แน่ะบอกแล้ว กิเลสนี่ฉลาดแหลมคมมากจึงได้ครองไตรภพนี้ แน่ะก็บอกแล้ว วิชาธรรมถ้าไม่เข้มแข็งไม่เอากันจริง ๆ แล้วจะไม่ทันกิเลส แน่ะบอกหมด เพราะอันนี้มันคล่องตัวของมันแล้ว ถ้าเป็นนักมวยก็แชมเปี้ยน รวดเร็วทุกกิริยาที่เคลื่อนไหว ถ้าไม่ได้ฝึกหัดธรรมให้เข้าเป็นคู่แข่งกันไปโดยลำดับลำดาแล้วจะไม่เห็นเพลงของกิเลส จะถูกต่อยเอา ๆ อยู่ตลอดไป ได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะถูกกระทบกระเทือนถูกต่อยจากกิเลสอยู่เรื่อยไป หาวันเวลาที่จะหลุดพ้นไปไม่ได้เลย นั่นความไม่มีความเพียร ความไม่มีศรัทธา ความไม่มีสติ ความไม่มีสมาธิ ความไม่มีปัญญาทางด้านธรรมะ เป็นผลร้ายต่อเราอย่างนั้นแล เพราะธรรมทั้งหมดนี้กลายเป็นเครื่องมือของกิเลสกลับมาห้ำหั่นเรา แล้วเราจะหวังความสุขความเจริญจากอะไร

เคยกล่าวไม่รู้กี่ครั้งกี่หน พูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ก็เพื่อให้เป็นคติ ให้เป็นที่มั่นใจ ให้เป็นผู้หนักแน่นไม่ให้อ่อนแอท้อถอยนั่นเอง ที่พูดถึงเรื่องว่าการต่อสู้การทำงาน งานอะไรก็ตามไม่ได้หนักเหมือนงานต่อสู้กับกิเลส แก้ไขถอดถอนกิเลส นี่ได้บอกอยู่เสมอว่า สติปัญญามีเท่าไรได้ทุ่มกันลงเต็มสติกำลังความสามารถ ไม่งั้นไม่ทันกลมายาของมัน ยิ่งขั้นเริ่มแรกออกประพฤติปฏิบัติด้วยแล้ว ล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งเกิดความท้อถอยน้อยใจตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องของกิเลสอีกเหมือนกัน เพราะจิตจะเอาให้อยู่มันไม่อยู่ มันดีดมันดิ้นอยู่ต่อหน้าต่อตาให้เห็นนั้นน่ะ มันไปต่อหน้าต่อตา ฉุดลากเราไปด้วยต่อหน้าต่อตา ก็ได้พูดให้ฟัง แต่ยังไงก็ไม่พ้นความอุตส่าห์พยายาม ความเข้มแข็ง กิเลสมีกำลังมากต้องใช้ความเข้มแข็งและอุบายวิธีที่จะตัดทอนมันลงด้วยวิธีใด เช่นอย่างการอดอาหารนี่ก็เหมือนกัน ก็เพราะกำลังของธาตุมีมากขึ้นโดยลำดับ มันก็ช่วยส่งเสริมทางด้านจิตใจซึ่งเป็นตัวกิเลสตัณหาอยู่เต็มตัวแล้วนั้น ให้มีกำลังมากขึ้น จึงต้องได้ตัดทอนทางนี้ลง เราเป็นคนหยาบ ได้ใช้ความฝึกทรมานตนจนสุดความสามารถทุกแง่ทุกมุมตามกำลังของตนนั่นแหละ

ใครจะไม่หิวไม่ได้กินข้าว ธาตุมันต้องการมันต้องหิวต้องโหยต้องอยาก แต่ถ้าให้กินเข้าไปมาก ๆ แล้ว กิเลสมีกี่กองพลมันก็ยิ่งส่งเสริมกันขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่งสมาธิภาวนาทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ใจมันคึกมันคะนอง มันก็ฉุดลากเราไปต่อหน้าต่อตาเอากลับมาไม่ได้ เวลาอดนอนหรือผ่อนอาหารลงไปให้มีกำลังน้อย เครื่องมือของกิเลสก็นับว่าลดกำลังลงไป ๆ เห็นได้ชัด สติก็ค่อยตามกันทันพอรั้งกันไว้ได้ สงบชั่วระยะเวลา นี่ก็เห็นผล

เมื่อได้เห็นผลเช่นนั้น ถึงจะยากลำบากขนาดไหนก็ต้องได้ตะเกียกตะกาย เอ้า ทั้ง ๆ ที่อยากทั้ง ๆ ที่หิว ๆ โหย ๆ จนตัวสั่น เอาก็เอ้า อันนี้เราเคยกินมาแล้ว หิวก็เคยหิวมาแล้ว ธรรมนั้นเรายังไม่เคยได้ ผู้ประเสริฐเลิศโลกเสียด้วยเป็นผู้ประกาศว่าธรรมนี้ประเสริฐ เราจะพยายามเอาธรรมให้ได้ก็ต้องตะเกียกตะกาย หิวโหยขนาดไหน ทุกข์ลำบากเพราะความหิวความโหยความอ่อนเพลียขนาดไหนก็ต้องได้ทำ เพราะมันลำบากในขั้นเริ่มแรก จนกระทั่งได้รับความสงบร่มเย็น เพราะอุบายวิธีการต่าง ๆ ซึ่งทำไม่ลดละท้อถอย ผลก็ปรากฏขึ้นมา นี่ก็ได้เล่าให้ฟังหมดแล้ว

เมื่อได้ผลอย่างไร ทุกข์ยากลำบากก็ให้ทราบว่า นี่นิสัยของเรากิเลสของเรามันนิยมเช่นนี้ ธรรมของเรานิยมเช่นนี้ ได้ผลด้วยวิธีการนี้ ยากลำบากขนาดไหนก็ต้องทำ จะไปหลีกไปเลี่ยงไปทำอย่างอื่นตามความชอบใจไม่ได้เกิดผลอะไร สิ่งที่เกิดผลมีอยู่ยากลำบากก็ต้องทำ นี่แหละการฝึกทรมานจิตมันยากอย่างนั้น

ประสาทก็เร็ว ทางตาทางหูทางจมูกมันรวดเร็ว ใจซึ่งเป็นตัวกิเลสแสดงอยู่ภายในก็รวดเร็ว เพราะอันนั้นแหละพาให้ตาหูรวดเร็ว เพราะกิเลสตัวนั้นแหละตัวมันคึกมันคะนองมันรวดเร็วอยู่ภายในตัวของมันเอง ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์อะไรก็แสดงความคึกความคะนองอยู่ภายในตัว เหมือนกับว่ามันโดดมันเต้นอยู่บนเวทีบนหัวใจเรานั้นละมันไม่ได้ออก ถูกบังคับไว้ก็กระทืบเวทีกระทืบโรงจนจะบรรลัย คือกระทืบหัวใจเรา ถึงขนาดนั้นนะเวลามันคึกมันคะนอง มันเป็นด้วยกันนั่นแหละ แต่ก็ไม่พ้นอุบายวิธีการต่าง ๆ ที่ฝึกทรมาน จนกระทั่งมันสงบได้และสงบได้อย่างราบคาบ เพราะการฝึกการทรมาน

ทุกข์ก็ยอม ธาตุขันธ์ยิ่งตอนยังหนุ่มยังน้อยด้วยแล้วมีกำลังมาก ฉันอะไรลงไปคอยแต่จะมีกำลังคอยแต่จะเสริมกิเลส นี่ซิจึงต้องได้ฝึกได้ทรมานเจ้าของ หิวโหยขนาดไหนก็ต้องได้อดได้ทนเพื่อรสของธรรม ยิ่งกว่ารสของลิ้นของปากของท้องของอาหารการกินเป็นไหน ๆ ก็ต้องได้ฝืนได้ทำ ด้วยเหตุนั้นปฏิปทาของเราจึงมักเป็นความลำบากเรื่อยมาด้วยการอด ทั้ง ๆ ที่อยาก ๆ หิว ๆ อยู่นั้นแหละก็ต้องได้ทำเอาทนเอา เพราะเห็นผลภายในจิตใจ จนท้องเสีย เสียเราก็ไม่ได้เสียดายท้องยิ่งกว่าธรรม เสียก็เสียไปซิ เขาไม่ได้ฝึกทรมานอย่างเราเขาก็มีท้องเสียเหมือนกัน วิเศษวิโสอะไรกับท้องดีท้องเสียนั้น ธรรมต่างหากเป็นของวิเศษ แน่ะ ก็ไม่เสียใจที่เคยทำลงไปแล้ว น่าเสียใจไม่อยากจะทำอีกหรือน่าขยะแขยง ไม่ได้เป็น เหล่านี้เป็นความลำบากทั้งนั้น

จนกระทั่งจิตสงบได้แล้วก็ขนาบใหญ่เลยเชียว เพราะความทุกข์ความลำบากด้วยความคึกคะนองของกิเลสนี้ได้เห็นประจักษ์ มันเข็ดมันหลาบ แต่หาทางออกไม่ได้ หาทางหลบหลีกปลีกตัวไม่ได้เพราะกำลังไม่พอ เมื่อกำลังพอขนาดไหนก็ฟัดกันขนาดนั้นลงไป จนกระทั่งเห็นได้ชัด ๆ สงบไม่ดิ้นไม่ดีด อยู่สบาย…เย็น นี่เพียงขั้นสมาธิเท่านั้นก็สบายแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ซึ่งเคยพัวพันเอาเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาลนตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็สงบไป เพราะความอิ่มภายในจิตใจ

ใจอิ่มธรรมในขั้นความสงบย่อมไม่หิวโหย ไม่กระโดดโลดเต้นไปถึงรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายนอกมาเป็นอารมณ์เผาตัวเอง อาศัยธรรมเป็นอารมณ์…เย็น จากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญาคลี่คลายมันออก กิเลสมันหมอบเฉย ๆ เรื่องของความสงบเรื่องสมาธิ กิเลสหมอบเท่านั้น ไม่ได้ตายไม่ได้ฉิบหายไป นั่นเป็นเรื่องของปัญญาพิจารณาคลี่คลายให้เห็นในสกลกาย ดังท่านสอนไว้ในเวลาบวช เริ่มต้นบวชใครก็ต้องได้เรียนหลักธรรมกรรมฐาน ๕ มี เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น ในอาการ ๓๒ ซึ่งเต็มอยู่ในร่างกายของเรานี้

นี่เป็นของเล็กน้อยแล้วเหรอ นี่แหละเครื่องมือปราบกิเลสตัวรักสวยรักงาม ตัวยึดมั่นถือมั่น ตัวราคะตัณหาออกจาก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เอง ว่าสวยว่างามปั้นขึ้นมา มันสวยงามที่ตรงไหนผม เพียงหลุดตกลงไปในภาชนะก็เป็นสิ่งที่ขยะแขยงไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่อยู่บนศีรษะนี้ประคับประคองกันแทบเป็นแทบตายว่าสวยว่างาม พอตกลงไปคลุกเคล้ากับอาหารแล้วเป็นยังไงจิตใจเรา มันเป็นกลมายาขนาดไหนเรื่องกิเลสนั่นน่ะ อยู่บนหัวนี้ว่าสวยว่างามน่ารักใคร่ชอบใจยิ่งกว่าเทวดา จึงต้องเอากรรมฐานนี้เข้าไปคลี่คลายดู เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ดูให้เห็นตามความจริง อย่าดูไปตามความปลอมของกิเลส มันสวยที่ไหน..ไม่มี มันปลอมมันหลอกเอาต่างหาก ความจริงมีแต่ปฏิกูลมีแต่โสโครกเต็มไปหมด ยิ่งเข้าไปข้างในหมดสกลกายนี้ก็คือป่าช้าผีดิบนั่นเอง ป่าช้าผีดิบสวยไหม ป่าช้าผีตายสวยไหม อันนี้ก็เหมือนกัน ดูเข้าไป นี่เรียกว่าปัญญา

บังคับให้มันดูอยู่นี้ บังคับให้มันทำงาน สติปัญญาคิดอย่างอื่นคิดมาพอแล้ว ไม่ได้คิดทำงานอย่างนี้ ทีนี้จะให้คิดทำงานทางด้านธรรมะที่เรียกว่ากรรมฐาน ๆ ที่ตั้งแห่งงานชิ้นเอก พิจารณาให้เห็นชัดแจ้งตามเป็นจริง ดูจนมันรู้ พลิกข้างนอกข้างในดูให้เห็นชัดเจนแต่ละอย่าง ๆ จะเอาอย่างไหนก็ตามแล้วแต่ความถนัด มันหากจะกระจายไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกาย เพราะเป็นเหมือนกันอย่างเดียวกัน กิเลสมาเหมาเอาว่าสวยงามอย่างเดียวกันหมด จะเหม็นคลุ้งตลบเมฆก็บอกว่าสวยว่างาม เราก็เชื่อมันเพราะเราโง่

ถ้าไม่เอาปัญญาธรรมสอดแทรกเข้าไปแล้วจะไม่เห็นความโง่ของตัวเอง และจะไม่เห็นกลมายาของกิเลส ก็จะให้มันหลอกเรื่อยไปอย่างนั้นแหละ จึงต้องเอากรรมฐาน ๕ นี่ อาวุธที่ทันสมัยเอามาพิจารณาซิ แยกแยะเข้าไป ท่านบอกเพียง ตโจ ถึงหนัง มันก็ครอบหมดแล้วในสกลกายของคนของสัตว์ พิจารณาเข้าไปข้างในเท่าไร ยิ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าอิดหนาระอาใจ น่าสะอิดสะเอียนน่าขยะแขยง นั่น ตายไป ๒๔ ชั่วโมงดูกันได้ละเหรอพิจารณาซิ เอ้า ๔๘ ชั่วโมงเข้าไปอีก เทียบเข้าไปซิเป็นยังไง ๓๖ ชั่วโมงหรือ ๑๐๐ ชั่วโมงเข้าไปเป็นยังไง ดูได้ไหม จากนั้นมันก็ระเบิดออกมาแล้วเป็นยังไง แตกบ้านแตกเมืองโน้นนั้นเหรอของสวยของงาม จนถึงขนาดแตกบ้านแตกเมือง ยังไม่รู้ว่ามันปฏิกูลมันน่าขยะแขยงขนาดไหน ยังมาหลับหูหลับตาว่ามันสวยมันงามได้อยู่เหรอ

เอาซิปัญญาหยั่งลงไปซิ พระพุทธเจ้าสอนอย่างเป็นความจริงล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ กิเลสมันปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ มันหลอกร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเสกสรรปั้นยอร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนี้เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาเข้าไปแก้กันซิ ให้เห็นชัดเจน เมื่อเห็นชัดเจนแล้วจะเคยรักมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม มันจะถอนพรวดออกหมดเลยความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ ก็ดิน ถ้าจะแยกเป็นดินเป็นธาตุก็ดี ก็ดิน เหยียบอยู่นี้ก็ดินสวยที่ตรงไหน น้ำสวยงามที่ตรงไหน ลมสวยงามที่ตรงไหน ไฟสวยงามที่ตรงไหน ถึงจะได้ไปแบกไปหามไปรักไปชอบมันเอานักหนา ดินน้ำลมไฟ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ดินน้ำลมไฟตื่นหาอะไร กิเลสหลอกว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย ว่าสวยว่างาม ก็ดินน้ำลมไฟนี้เองหลอกไปไหน ก็ดินน้ำลมไฟตื่นไปไหน นั่น เอาธรรมหยั่งเข้าไปซิ จนเห็นชัดตามเป็นจริงแล้วมันเกิดความสลดสังเวชน้ำตาร่วง

โอ้โฮ ๆ สลดสังเวชเท่าไรจิตยิ่งเบา ๆ หวิว ๆ เพราะมันถอนอุปาทานออกมาเรื่อย ๆ ความยึดมั่นถือมั่น เข้าใจชัดที่ตรงไหนก็ถอนตัวออกมา ๆ จนกระทั่งรู้ชัดตามเป็นจริงเต็มส่วนแล้วถอนเต็มที่ แน่ะ ไม่ว่าเวทนาทางกาย เวทนาทางจิต มันก็ลุกลามเข้าไปแหละ สติปัญญาถ้าลงได้ถึงขั้นนี้แล้วจะไม่ถอย ความเพียรไม่ต้องบอก…มาเอง เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าความขี้เกียจคือตัวกิเลสแท้ ๆ เมื่อถึงขั้นที่ขยันหมั่นเพียรในด้านอรรถธรรมเพื่อแก้เพื่อถอดถอนเพื่อปราบปรามกิเลส มีมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเห็นโทษแห่งความขี้เกียจขี้คร้านว่าเป็นตัวกิเลสล้วน ๆ นั่นมันเห็นกันอย่างนั้นนี่

เวทนาก็ฟังซิ ความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ เกิดขึ้นได้ทั้งทางกายและทางใจ เกิดมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ จะพิจารณาให้เห็นตามความจริงของมันทำไมจะพิจารณาไม่ได้ ธรรมเป็นของจริงมีอยู่ พิจารณาเพื่อความจริงให้รู้ได้เห็นได้อยู่นี่ ถ้าจะนำมาพิจารณาให้เห็นตามความจริงจะพ้นความจริงไปได้ยังไง

สัญญาก็เงาของจิต..มีอะไร เรากับเงาเราไม่เห็นตื่นเงาเจ้าของ แล้วทำไมไปตื่นเงาของจิต ปรุงแย็บขึ้นมาก็ปรุงแล้วก็ดับ ปรุงแล้วก็ดับ ตื่นกันอยู่นั่น ตื่นความปรุงของเจ้าของ ตื่นภาพของจิตที่เกิดขึ้นจากเจ้าของ หลอกเจ้าของตื่นเจ้าของ โดยอาศัยอันนั้นมาพาดมาพิงว่ารูปนั้นเสียงนี้เรื่องนั้นเรื่องนี้ เอาอยู่นอก ๆ มันหายไปถึงโลกธาตุไหนแล้ว เราปรุงขึ้นมาจากจิตมันก็เป็นภาพของจิต ยังหมายเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาสู่จิต ภาพปรุงขึ้นมาหลอกตัวเองอยู่นั้น มันตื่นเงา พิจารณาให้เห็นชัดซิ เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเงาของจิต เกิดขึ้นมาจากจิต ปรากฏเป็นภาพออกมาจากจิต รู้ชัดตามจริงมันก็ดับลงไปที่จิต ก็มีเท่านั้น วิญญาณความรับทราบ แย็บ ๆ ๆ ก็ดับ ดังที่เคยพูดมาแล้วไม่ทราบกี่ร้อยกี่พันครั้งแล้วนี่ ความจริงเป็นอย่างนั้น อย่าฝืนความจริง พิจารณาให้เห็นตามความจริงจะรู้ความจริงเห็นความจริง จะปล่อยสิ่งจอมปลอมทั้งหลายโดยไม่ต้องสงสัย

นี่แหละการแก้กิเลสแก้ด้วยปัญญา สมาธิเป็นแต่เพียงว่าตะล่อมกิเลสเข้ามาสู่ความสงบ ถ้ากิเลสไม่เพ่นพ่านจิตก็สงบ กิเลสเพ่นพ่านหาความสงบไม่ได้ จึงต้องอาศัยสมาธิ จากนั้นก็คลี่คลายทางด้านปัญญาจนกระทั่งเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งรอบไปหมด รูปก็รอบ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็รอบ เอ้า เวทนาทางจิตซึ่งเป็นของละเอียด มันก็จะรอบของมันไม่หนีไปไหนละ เชื้ออยู่ตรงไหน ไฟตปธรรมจะเผาเข้าไป ๆ เมื่อรู้รอบขอบชิดในอาการทั้งห้านี้แล้วมันก็รู้ว่าอาการ นี่ไม่ใช่ตัวจริง มันอาการต่างหาก เรามาตื่นเงามาตื่นอาการ เราหลง แน่ะมันก็รู้แล้ว ปัญญามีต้องรู้ หยั่งทราบเข้าไปแล้วมันก็ปล่อย ก็เหลือแต่จิตกับอวิชชาที่พัวพันกันอยู่ มันก็ไม่พ้นอีกนี่ก็ดี ฟัดกันลงในตรงนั้น ตัวภพตัวชาติให้เกิดแก่เจ็บตายฝังอยู่ที่จิต ท่านให้ชื่อกิเลสประเภทนี้ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานั้นแลเป็นปัจจัยเป็นเครื่องหนุนให้เกิดในภพน้อยภพใหญ่ เกิดอยู่ไม่หยุดไม่ถอย วิบากพาให้ดีให้ชั่วให้สุขให้ทุกข์ออกจากอันนี้ พิจารณาฟาดฟันลงไปตรงนั้น จนกระทั่งอวิชชาที่ว่าเป็นเชื้ออันฝังลึกอยู่ภายในแตกกระจายไปจากใจแล้ว มันปลอมที่ไหนจิตนี่ กิเลสพาปลอมต่างหาก จิตทุกข์ที่ไหนที่นี่ ก็กิเลสพาให้ทุกข์ต่างหากนี่

จิตที่มีธรรมเป็นธรรมทั้งดวง จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต แล้วมีทุกข์ที่ไหน มียากลำบากที่ตรงไหน กิเลสต่างหากพาให้ยาก กิเลสต่างหากพาให้ขี้เกียจขี้คร้าน กิเลสต่างหากพาให้ตำหนิติเตียนตนว่าบุญน้อยวาสนาน้อย แต่เวลาจะนอนจมทั้งวันทั้งคืน กิเลสไม่ได้บอกว่านั่นวาสนาน้อยหรือมาก เพราะเป็นเรื่องของกิเลส เป็นผลรายได้ของกิเลส มันไม่บอก ให้พากันทราบไว้ซิ นี่แหละกลมายาของกิเลสมันหลอกขนาดนั้นแหละ เพราะฉะนั้นความทุกข์ความยากความลำบากทั้งหมดในการประกอบความเพียร จึงเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล เราต่อสู้กับกิเลสก็ต้องทุกข์ต้องยากซิ เราไม่ได้ต่อสู้กับธรรม ธรรมจะยากอะไร เมื่อต่อสู้กิเลส กิเลสหายซากไปหมดแล้วไม่มีอะไรยากที่นี่ อยู่แสนสบาย เอ้า ธรรมเรืองอำนาจบนจิต จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว มีอะไรจะมาติดมาข้องในสามแดนโลกธาตุ เรียกว่า อวกาศของจิต นั่นหมายถึงอย่างนั้น

อวกาศของโลกเป็นยังไง อวกาศของจิตเป็นยังไง ฉันใดก็ฉันนั้นไม่มีอะไรผิดกัน มันติดมันขัดที่ตรงไหน มันติดขัดกับกิเลสต่างหาก กิเลสเป็นผู้กีดผู้ขวางต่างหาก เมื่อกิเลสได้สิ้นไปจากใจแล้วอะไรมาขวางจิต ถ้าเป็นสัตว์ก็ลงแบบว่ายหัวหางกลางตัวในน้ำมหาสมุทรทะเลไปสุดเหวี่ยงนั้นแหละ นี่จิตก็รู้สุดเหวี่ยงคิดได้สุดเหวี่ยง พูดได้เต็มปากไม่มีอะไรมากีดมาขวางมากั้นมากางจิตใจ มันเวิ้งมันว้างไปหมด กิเลสบรรลัยไปเสียอย่างเดียวเท่านั้นเวิ้งว้างไปหมด ไม่มีอะไรขวาง

กิเลสเท่านั้นเป็นตัวกีดตัวขวางเป็นตัวเสนียดจัญไร ฟัดลงให้มันแหลกซินักปฏิบัติ กลัวเป็นกลัวตายอะไรเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด การอยากรู้เห็นความจริงนั้นเป็นธรรม เอาให้เห็นความจริงจะพ้นไปไหน ศาสดาองค์เอกสอนลงเป็นสวากขาตธรรมแท้ ๆ ปลอมไปที่ไหน กิเลสมันปลอมวันยังค่ำอยู่ในหัวใจทำไมไม่รู้ว่ามันปลอม พอจะหยิบธรรมขึ้นมาประพฤติปฏิบัติชั่วครู่ชั่วยาม ให้กิเลสมันปัดมือหลุดไปหมด เครื่องมือศาสตราอาวุธอะไรที่จะต่อสู้กับกิเลสหลุดมือไปหมด เหลือแต่ตัวให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่เป็นประโยชน์อะไร

เราเป็นนักปฏิบัติควรที่จะได้ครองมรรคผลนิพพานด้วยการปฏิบัตินี้แท้ ๆ ทำไมจะให้กิเลสมาเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลา มันสมควรแล้วเหรอนักปฏิบัติ คิดบ้างซิ

พอพูดไป ๆ เหนื่อย เอาละเพียงเท่านี้

พูดท้ายเทศน์

ครูบาอาจารย์ที่เคารพเลื่อมใสเช่นอย่างท่านอาจารย์มั่นนี่ เราเชื่อท่านร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีบิ่นเลย ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้วท่านจะไม่แตะเลย เป็นสิ่งที่เป็นโทษเป็นกรรมหรือเป็นวัฏจักร เป็นยาเสพย์ติดเสพเติดอะไร เป็นภัยต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมและมรรคผลนิพพานแล้ว ท่านอาจารย์มั่นจะเป็นองค์หนึ่งทีเดียวที่จะสลัดทันทีเลย เร็วยิ่งกว่าฟ้าแลบเสียอีก

เช่น หมากพลู บุหรี่ มันจะเป็นอะไร ถ้าให้มันเกินประมาณอะไรก็เป็นภัยทั้งนั้นแหละ แม้แต่อาหารก็ลองกินเกินประมาณดูซิ ท่านจึงสอนว่า มตฺตญฺยุตา สทา สาธุ โภชเนมตฺตญฺญุตา ก็คือไม่ให้เลยประมาณ เช่น ติดบุหรี่หรือสูบบุหรี่ สูบเสียจนกระทั่งจะเป็นจะตายหัวราน้ำก็เป็นได้เหมือนกัน อาหารก็เป็นอาหารนั่นแหละ กินจนจะให้ตายมันก็ตายได้ อะไรถ้าเลยประมาณแล้วไม่ใช่ของดี

เรามาพิจารณาเรื่องหมากพลูบุหรี่ ว่าเป็นข้าศึกต่อการบำเพ็ญสมณธรรมตรงไหนก็ไม่เห็น เช่นอย่างการปฏิบัติธรรม ฉันหมากอยู่ก็ปฏิบัติได้อยู่นี่ สติก็มีอยู่นี่ ปัญญาก็มีอยู่นี่ หมากชิ้นไหนมาทำลายสติปัญญาได้ หมากชิ้นไหนมาทำลายความเพียรเราได้ หมากนี้เหรอจะกั้นกางไม่ให้เห็นมรรคผลนิพพาน มันกีดกันได้จริง ๆ เหรอเราก็มองไม่เห็น แน่ะ ไอ้พวกยุแหย่พวกอวดดิบอวดดีในเรื่องว่าการฉันหมากเป็นภัย นี่คือตัวภัย ตัวนี้ตัวมันเป็นภัยที่ร้ายแรงมาก อยู่ไม่เป็นสุข เพื่อจะอวดโลกเขานี่ สูบธรรมดาฉันธรรมดาตามหลักประเพณีที่เคยเป็นมาธรรมดา ๆ ของธาตุของขันธ์ของประเพณี ไม่ได้ทำศีลธรรมอะไรให้เสื่อมให้เสีย มันจะเป็นอะไร จะมาหาเกาอะไรที่มันไม่คันอยู่นี้ ตรงมันคัน ๆ ทำไมไม่เกา พวกนี้พวกยุแหย่พวกก่อกวนพวกทำลาย ถ้าเทียบกับลัทธิก็ลัทธินั่นแหละว่างั้นเลย เราว่างั้นนะ

เราก็พิจารณาเต็มหัวใจของเรา อะไรมันทำให้ศีลธรรมตรงไหนบกพร่องไปก็ไม่เห็นมี หากจะวิเศษวิโสกับมันนี้ก็ไม่เห็นมี ความเคยชินก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ๆ ถ้าว่าติดนี้มันก็ไม่ได้เห็นติดพอจะไปทำลายมรรคผลนิพพานให้ขาดสะบั้นลงไป ถ้าสมมุติว่าผู้จะรับมรรคผลนิพพานแล้วฉันหมากสูบบุหรี่ทำลายไปหมด เช่น พระอรหันต์สูบบุหรี่ฉันหมากอย่างนี้ พระอรหันต์แหลกไปหมดนี่ อย่างท่านอาจารย์มั่นอย่างนี้ องค์ทรงมรรคทรงผลนิพพานร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่านไม่เสียดายมรรคผลนิพพานท่านเหรอท่านถึงได้ฉันหมากสูบบุหรี่ หมากพลูบุหรี่นี้มีคุณค่ายิ่งกว่ามรรคผลนิพพานที่บรรลัยไปแล้วนั้นเหรอ นั่น เพราะหมากบุหรี่นี้ทำลายมันก็ไม่เห็นมี

อย่างอุตริไม่ฉันเนื้อฉันปลานี้ก็เหมือนกัน พวกนี้มีแต่พวกทำลายทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงเห็นเหตุการณ์ทรงบัญญัติไว้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง มันยังมาแก้ใหม่ได้เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่เทวทัตจะเป็นใคร ก็เทวทัตเป็นผู้ขอเองขอพร ๕ ประการนี้ จะยกเทวทัตขึ้นมาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ยังไง พิจารณาซิ ห้ามไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลานี้ก็พระเทวทัตไม่ใช่เหรอไปขอจากพระพุทธเจ้า พระองค์ก็บอกว่าเราห้ามไม่ได้ โลกเป็นอยู่อย่างนั้นจะไปทำไง ก็เหมือนกับเอาฝ่ามือไปกั้นน้ำมหาสมุทร องค์ไหนอยากฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันก็แล้วแต่ แต่สำคัญที่อุทิสสมังสะ เนื้อเจาะจง ๓ ประการและเนื้อ ๑๐ อย่างนั้น แน่ะ

ท่านก็บอกไว้แล้ว เนื้อม้า เนื้อหมา เนื้องู เนื้อเสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว เนื้อหมี เนื้อมนุษย์ ท่านก็บอกไว้แล้วที่ห้ามฉัน ฉันนั้นเป็นอาบัตินั้น ๆ ฉันเนื้อมนุษย์เป็นอาบัติถุลลัจจัย ก็บอกไว้หมด จากนั้นก็ห้ามเนื้ออุทิสสมังสะที่เขาเจาะจงก็บอกไว้แล้ว แม้เช่นนั้นองค์ไหนไม่รู้ไม่เห็นก็ฉันได้บอกไว้อีก เห็นชัด ๆ กันอยู่แล้ว มันไปรื้อมาทำไม เทวทัตตายไปแล้วมันอยากแทนเทวทัตหรือ อวดอะไร สมบัติของเทวทัตเอามาอวดพระพุทธเจ้าทำไม แน่ะ ใครจะไปรู้ดีรู้ชอบเหมาะสมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าเทวทัตรู้ดีรู้ชอบยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าก็กราบเทวทัตเสียซิ จะว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ทำไม ก็เทวทัต สรณํ คจฺฉามิ เสียซิ มันก็เท่านั้นเอง ใครชอบอะไรก็เอานั้น จะไปหาคัดค้านต้านทานโลกคือชาวพุทธที่เขาถือตามพระพุทธเจ้าทำไม

มันเคยเห็นแล้วนี่ พวกนี้พออดมาก ๆ แล้ว โอ แหมโจมตีใหญ่นะ จะว่าพูดอะไรแม้แต่ท่านอาจารย์อุ่นนี้ท่านก็ยังเป็น นั่นก็พอดีกับท่านอาจารย์กงมาที่ไปกรุงเทพฯ ด้วยกัน ท่านอาจารย์กงมาท่านตรงไปตรงมานี่ ไปบิณฑบาต “ท่านอาจารย์อุ่นอย่าไปนะวันนี้น่ะ” เอาเลยนะ “ถ้าไปแล้วแตกหมดเลยกรุงเทพฯ” เขาเอาหมกห่อใส่บาตร พวกอาหารอย่างนี้โยนทิ้งต่อหน้าเขา ท่านเอาขนาดนั้นนะ ท่านอาจารย์กงมาเลยไม่ให้บิณฑบาต

ท่านว่าพระแร้งพระกาพระยักษ์พระผีไปหมด ไปที่ไหนตำหนิแต่เรื่องพระ สอนมรรคผลนิพพานให้คนไม่ยอมสอน เอาตัวนี้โจมตีไปทั่วโลกดินแดน ท่านอาจารย์อุ่นนี่ท่านก็ยังดีอันหนึ่ง ท่านจากท่านอาจารย์มั่นไปเสียนาน ก็ไปเป็นความเห็นผิดอย่างฝังจมอย่างนี้นะ เวลากลับไปหาท่านอาจารย์มั่นเราอยู่หนองผือนี่ ท่านก็ใส่เอาเสียหนัก ๆ ก็ดีนะท่านรู้ตัวแก้ทันทีเลย นี่น่าชมท่าน

ท่านอาจารย์มั่นท่านใส่เอา “ไหนอุ่น” ว่างี้นะ “ท่านรู้ท่านฉลาดท่านไม่ฉันเนื้อฉันปลา ผมเป็นพระยักษ์พระผีฉันเนื้อฉันปลา ผมไม่รู้ไม่ฉลาด เอ้า ท่านเอาธรรมที่ไม่ฉันเนื้อฉันปลามาสอนผมบ้างนะ ผมจะได้ปฏิบัติตามท่าน ผมนี้มันโง่ ท่านน่ะฉลาดเหนือพระพุทธเจ้า” ว่างี้เลยนะ “พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงห้ามการฉันเนื้อฉันปลา เว้นแต่อย่างนั้น ๆ” อย่างที่ว่า “แต่ท่านนี้ไม่ฉันไปโดยประการทั้งปวง ท่านคงเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ท่านลองเอาธรรมที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาสอนผมหน่อยซิ”

ท่านใส่ลงไปปึ๋ง ๆ เลยนะ โอ๊ย เวลาท่านพูดนี้ขึงขัง “ผมนี้มันโง่” ว่างั้นนะ ท่านไม่ว่าท่านฉลาดเลย ท่านอาจารย์อุ่นก็นิ่งเลย พอออกจากท่านไปแล้วหยุด งดเลย ทีนี้มาฉัน ฉันทีแรกก็อาเจียน ฉันไข่เฉย ๆ ก็อาเจียน ท่านก็เอาจนได้นะ ท่านยอมรับเลย ปฏิบัติตามท่านอาจารย์มั่นตั้งแต่บัดนั้นไป ท่านอยู่ท่าอุเทน ท่านก็เสียแล้วแหละ แต่ท่านปฏิบัติตัวของท่านอย่างท่านอาจารย์มั่นว่า ไม่ค้านท่านอาจารย์มั่นแม้คำเดียวเลยนะ นิ่งเลยเชียว ท่านอาจารย์มั่นก็พูดอย่างเต็มที่เหมือนกันนะ ก็อย่างนั้นแล้ว

พวกนี้ก็แบบเดียวกัน ไปไหนกระเทือนโลก ไม่ได้ส่งเสริมโลก มีแต่ทำลายทั้งนั้น เย่อหยิ่งจองหองพองขนถือตัวว่าวิเศษวิโส ใครรับนาน ๆ เข้าก็เป็นนะไม่ทราบว่าเป็นยังไง เท่าที่ผมเคยได้เกี่ยวข้องมาเป็นทุกราย เป็นมากเป็นน้อยต่างกัน เฉพาะอดไปมากนานเท่าไรก็ยิ่งเป็นมาก แต่ผมไม่ยกตัวอย่างขึ้นให้มากยิ่งกว่านี้ ชื่อของพระของครูบาอาจารย์ที่ไม่ฉันเนื้อฉันปลานี่ เป็นไปอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ก็ไปลงที่ท่านอาจารย์มั่นนะ ท่านเหล่านี้ไปลงที่ท่านอาจารย์มั่น ทั้ง ๆ ที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านออกไปก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่กลับไปก็ไปแก้เจ้าของกับท่านอาจารย์มั่นได้เหมือนกัน ท่านไม่ฉันเนื้อฉันปลาท่านหยุด ท่านก็กลับฉันตามเดิม มีหลายองค์นะ

พวกนี้พวกก่อกวนทำลายศาสนธรรม มีอยู่เห็นกันอยู่นี่ อวดตัวเก่ง อวดไปไหนก็อวดไปเถอะ ถ้าลงนอกจากหลักธรรมหลักวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว มันมีแต่ความอวดตัวกิเลสตัวเก่ง ๆ ตัวมันกัดเก่ง ๆ นั่นแหละ ไปไหนกัดดะไปเลยยิ่งกว่าหมา ไม่รู้จนกระทั่งเจ้าของแล้วนะ เก่งกว่าหมาอีก หมายังรู้เจ้าของนะนอกจากเป็นบ้าเท่านั้นเอง หมามันรู้เจ้าของไม่กัด กัดแต่คนอื่น อันนี้กัดถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นเจ้าของเลย ดูซิ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก