ปีนี้ธาตุขันธ์ทรุดมาก เหนื่อย ไม่อยากจะเล่นกับอะไรแล้ว ทนเอาเฉย ๆ นะ ถ้าให้เป็นตามอัธยาศัยเรามันคิดถึงป่าถึงเขาโน้นน่ะ แปลกอยู่ มันไม่อยากมาอยู่ตามบ้านตามเมืองตามอะไร ถ้าว่าเป็นโรคอันนั้นเป็นโรคอันนี้ขาดหยูกขาดยา จะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ มันไม่สนใจเลย แน่ะ มันไม่เคยเป็นอารมณ์กับเรื่องโรคเรื่องยาว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าห่างหยูกห่างยาอะไร ดีไม่ดีไปอยู่อย่างนั้นมันสบายของมันไปเลย จะเป็นอะไรไม่มีอะไรมายุ่งมาเกี่ยวเรา อิริยาบถทั้งสี่เสมอไม่ขาดไม่เกิน อยู่สบาย นั่นตามอัธยาศัย บิณฑบาตมามีอะไรก็กินเสียให้เสียเท่านั้นแล้วไปเลย เพราะมันไม่อยากนี่
วันหนึ่ง ๆ จะมีหิวมีอยากอะไรไม่มี ทุกวันนี้ไปเฉย ๆ บิณฑบาตเห็นอาหารอย่างนี้ก็เหมือนกับวัตถุต่าง ๆ ไม่ได้เหมือนอาหาร นาน ๆ จึงจะสัมผัสทีหนึ่งยิบ ๆ ๆ ถ้าอย่างนั้นฉันได้นะ แต่เป็นเดือน ๆ มันก็ไม่มีน่ะซิ เฉย เฉยก็ยังดีกว่าที่เบื่อเอาเลย อย่างวันที่โรคกำเริบ มันไข้เสียตอนกลางคืน ตกเช้ามาเบื่อหมดเลย เราก็ทนเอาอย่างนั้นนะ เพราะมีแขกมีคนมีอะไรอยู่นี้เต็มไปหมด จะสะเทือนจิตใจหูตาคนมากไป ทนเอาฝืนเอา แน่ะ ก็ฝืนเพื่อโลกนั่นแหละ ถ้าตามปกติของเราฝืนไปทำไม ไม่อยากก็อย่ากินซิเท่านั้นพอ เราเคยปฏิบัติอยู่แล้ว พอเหมาะพอดีกันขนาดไหนก็ปฏิบัติต่อกันขนาดนั้น เช่นไม่อยากไม่หิวไม่อยากไม่กิน ฝืนก็ไม่กินเสีย แน่ะ มันก็สบายไปตามเรื่องของมัน แต่นี้อยู่กับโลกจะทำยังไง ขันธ์ของเราเป็นโลก โลกทั้งหลายก็มาเกี่ยวข้องกับขันธ์อยู่นี้มันเป็นโลกด้วยกัน จึงได้ฝืนปฏิบัติต่อกันไป
นี่ก็พยายามสอนหมู่สอนเพื่อน สอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยสอนเต็มหัวใจ การสอนหมู่เพื่อนไม่เคยมีการปิดบังลี้ลับ เปิดเผยออกหมด หลักใหญ่ก็คือสงสาร อันเป็นเหตุให้ลากให้ดึงออกมาหมด อยากให้รู้อยากให้เห็น ธรรมพระพุทธเจ้านี้สด ๆ ร้อน ๆ ประกาศกังวานให้โลกดินแดนได้ยินอยู่ ตามตำรับตำราก็ประกาศเข้ามาในหัวใจของผู้อ่านผู้ได้ยินได้ฟังจะไปไหน เข้ามาตรงนั้นสด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ พอหมุนคลื่นรับกันให้เหมาะแล้วก็ปรากฏขึ้นมา คือการปฏิบัติเหมาะสมที่ควรจะได้ปรากฏสมาธิธรรมขึ้นภายในใจ สมถธรรมขึ้นในใจมันก็รู้
ปรับใจให้ควรจะเป็นวิปัสสนาธรรม จะเป็นขั้นใดก็ตาม ก็ปรากฏขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างนั้น มีกาลมีสถานที่เวล่ำเวลาที่ไหน สำคัญที่การปรับใจของตัวให้เข้าสู่ระดับธรรมที่คอยสัมผัส ซึ่งมีอยู่แล้วพูดง่าย ๆ คอยที่จะสัมผัสจิตที่ปรับคลื่นให้ถูกต้องเหมาะสมกัน ให้ได้ทราบขึ้นภายในใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา จึงว่า อกาลิโก ๆ
การปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรมเข้าไปโดยลำดับลำดา ธรรมเหล่านั้นจะห่างจะไกลที่ไหนจากตัวของเรา เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ เช่นว่า อกาลิโก ก็ขึ้นอยู่ที่ใจนี้เลย ขอให้ปรับให้ถูกซิ อกาลิโก ๆ หรือ สฺวากฺขาโต ๆ ก็เหมือนกัน ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกให้เหมาะสม ธรรมอยู่ที่ไหนไม่มีอะไรสัมผัสสัมพันธ์ธรรมได้นอกจากใจดวงเดียวเท่านั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเครื่องมือสำหรับรับกระแสแห่งสิ่งสัมผัสทั้งหลายเข้ามาสู่ใจ เพื่อพิจารณาให้เป็นธรรมสำหรับตัวเอง ๆ เท่านั้น นี่เวลาผลที่จะเกิดขึ้นจากการเอามาใคร่ครวญ เอามาเป็นอารมณ์ เอามาพิจารณา ก็ปรากฏเป็นธรรมขึ้นมาภายในใจ แน่ะ มาเกิดขึ้นที่ใจ ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ไหน พระพุทธเจ้าว่าปรินิพพานไปนานแล้วเป็นแต่เรื่องของธาตุของขันธ์ ที่เปลี่ยนสภาพไปสู่ความจริงของเขา ตามธาตุเดิมของเขาคือดินน้ำลมไฟ ก็มีเท่านั้น ธรรมชาติอันนี้แม้จะยังประชุมกันอยู่มีใจเป็นผู้รับผิดชอบ ก็ไม่ใช่เป็นอันเดียวกันกับใจ
ดินก็เป็นดินอยู่แล้วตั้งแต่ขณะแรกที่เข้ามาผสมกันเป็นสัตว์เป็นบุคคล น้ำก็เป็นน้ำอยู่แล้ว ลม ไฟ เป็นธรรมชาติของตัวเองอยู่แล้ว จิตก็เป็นจิต เป็นแต่เพียงว่ามีสิ่งแทรกซึมมีสิ่งลุกลามอยู่ภายใน จึงลุกลามออกไปยึดไปถือไปแทรกไปสิงสิ่งเหล่านั้น แล้วก็เสกสรรปั้นยอขึ้นมาว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นเราเป็นเขา เหล่านั้นเป็นอันนั้น อวัยวะนั้นเป็นนั้น ๆ ตีแตกแขนงออกไป แตกออกไปสักเท่าไรยิ่งยึดยิ่งถือยิ่งกว้างยิ่งขวาง ยิ่งหนักเข้าไปโดยลำดับลำดา หาเวลาเปิดเผยตัวเองออกมาให้รู้ไม่ได้ นี่เรื่องของกิเลสมีแต่ทำให้มืดไปทั้งนั้น ไปกว้างขนาดไหนมืดกว้างขนาดนั้น หนักกว้างขนาดนั้นทุกข์มากขนาดนั้น นั่นเรื่องของกิเลสเป็นเช่นนั้น นี่แหละเรื่องมันมาดั้งเดิม
ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟอยู่นั่นแล อะไรก็เป็นอันนั้นอยู่ ตาเห็นมันก็มีอยู่ตั้งแต่ยังไม่เห็น เสียงก็มีอยู่ตั้งแต่เรายังไม่ได้ยิน สำคัญที่จิตไปเสกสรรขึ้นมา พอสัมผัสปั๊บทางนี้ก็ปรุงปั๊บ สำคัญมั่นหมายไปปุ๊บ ๆ แล้วเรื่องหลงต่อหลงก็ตามกันไปยาวเหยียดหาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ ขึ้นชื่อว่ากิเลสอย่าเข้าใจว่ามันมีสถานี
ไม่มี หาที่จอดแวะไม่ได้ ถ้าธรรมแล้วมี พอถึงขั้นใดภูมิใดแล้วอิ่มตัว ๆ นับตั้งแต่ขั้นสมาธิขึ้นไป สมาธิเต็มภูมิแล้วอิ่มตัวไม่อยากได้สมาธิอะไรอีก เต็มตัวแล้ว ปัญญาเมื่อก้าวไป ๆ เต็มภูมิแล้วก็เหมือนกัน ก้าวไปเพื่อฆ่ากิเลส ๆ ให้ฉิบหายวายวอดไปหมดจากใจแล้วปัญญาก็อิ่มตัว จิตก็อิ่มตัว แน่ะ นั่นละธรรมมีความอิ่มพอ ถ้าโลกแล้วหาความอิ่มพอไม่ได้ โลกก็หมายถึงกิเลสนั้นเองหาความอิ่มพอไม่ได้ มีแต่เขยิบเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตามกิเลส เราจะหาความสุขเพราะการตามกิเลสนี้จึงไม่มีวันเจอ มีแต่สัญญาอารมณ์คาดไปหมายไป ๆ ความจริงไม่มีตามนั้นเลย ไม่ว่าคนทุกข์คนมี ไม่ว่าคนโง่คนฉลาด ร้อยทั้งร้อยต้องเป็นไปตามอำนาจของกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกไม่มีธรรมเข้าขัดขวาง ไม่มีธรรมเข้าเป็นเครื่องพิสูจน์ จะต้องเป็นเหมือน ๆ กัน จะถือว่าใครดียิ่งกว่าใครไม่ได้ในระหว่างคนโง่กับคนฉลาด คนมีกับคนจน ในเรื่องความสุขกับความทุกข์ นี่เราพูดถึงเรื่องความทุกข์ มันทุกข์ไปคนละแบบ คนจนก็ทุกข์แบบหนึ่ง คนมีก็ทุกข์แบบหนึ่ง คนโง่ก็ทุกข์ไปแบบหนึ่ง คนฉลาดก็ทุกข์ไปแบบหนึ่ง ทั้งสามสี่แบบนี้ล้วนเป็นแบบของกิเลสดีดเส้นบรรทัดให้ก้าวเดินไปตามมันทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมเป็นผู้ดีดเส้นบรรทัดพอให้ก้าวเดินจนถึงความสุขได้บ้าง
ผู้จนก็อยากจะมั่งมี ให้มีความสุขความสบายอะไรขึ้นมานี้มันก็ไม่สุข ไอ้ผู้มีแล้วก็ไม่พอ แล้วผลสุดท้ายหาความสุขเพราะความจนความมีไม่เห็นที่ตรงไหน เพราะความโง่ความฉลาดมันถึงไม่เห็น เพราะหาไม่ถูกจุดของมัน หาตามแบบของกิเลสก็ได้เรื่องของกิเลสขึ้นมา กิเลสจะให้ความสุขความสบายแก่โลกได้อย่างไร นอกจากความทุกข์ความลำบากมากน้อยที่มันแสดงขึ้นมาเท่านั้น จึงไม่มีทางที่ให้น่าสงสัยถ้าเราได้ตรองไปตามอรรถตามธรรม ยิ่งจิตได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมด้วยแล้วมันก็ติดทันที ติดไปเรื่อย ๆ ติดธรรม
การติดธรรมกับการติดโลกนี้ผิดกัน การติดธรรมมากน้อยมีความดูดดื่มในธรรมนั้นแหละเรียกว่าติด คือเรายึดทางนี้ไม่ปล่อยไม่วาง เหมือนเขาเดินทางไปเพื่อจุดหมายปลายทาง ทางนี้เป็นทางถูก เมื่อยึดได้แล้วไม่ปล่อยไม่วาง จะว่าเขาติดทางก็ได้ ถ้าไม่ติดทางมันไปไม่ถึงจุดหมาย นี่ธรรมก็เหมือนกัน ต้องยึดต้องเกาะต้องมีความพอใจในการที่จะก้าวเดิน ในการที่จะปฏิบัติต่ออรรถต่อธรรม เข้าถึงธรรมอันละเอียด ความสุขละเอียดเท่าไรความดูดดื่มยิ่งมีกำลังมาก ความเห็นคุณค่าของธรรมหรือเห็นคุณของธรรมก็มีมาก และขณะเดียวกันก็เห็นโทษของกิเลสเป็นลำดับลำดา ก็ยิ่งหันหลังให้กิเลสเรื่อย ๆ หันหน้าเข้าสู่ธรรม ความขี้เกียจขี้คร้านต่อธรรมกลายเป็นความขยันหมั่นเพียรในอรรถในธรรมเสียทั้งสิ้น ทีนี้ก็เห็นโทษของกิเลส เรียกว่าความขี้เกียจขี้คร้านในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่ออรรถเพื่อธรรมนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล แน่ะมันก็รู้ รู้ไปในตัวนั้นแหละ
สำคัญที่เราไม่รู้ฉากหลังของกิเลสที่ติดแนบอยู่ด้านหลังเรา สมมุติว่าจิตของเราส่งไปข้างหน้า มันก็บังคับให้ส่งเสียไม่ใช่ธรรมบังคับให้ส่ง คือธรรมบังคับให้ส่งกิเลสก็ฉุดลากความบังคับของธรรมนั้นออกเสีย เอาความบังคับของมันสวมรอยเข้าไป นี่ซิที่เราไม่เห็นอรรถเห็นธรรมเพราะเหตุนี้ เดินจงกรมก็ดีนั่งสมาธิภาวนาก็ดี ตั้งสติสตังในท่าใดอิริยาบถใด ก็ไม่พ้นที่กิเลสจะมาฉุดมาลากเอาสติอันนั้นออก เอาหลักวิชามันเข้าแทนที่ไปหมดเสีย สุดท้ายเลยไม่ได้ประโยชน์อะไร เดินก็เดินไปอย่างนั้นแหละจิตไม่ได้อยู่กับงานของตัวเอง ไปอยู่กับงานของกิเลสเสียทั้งหมด นี่ซิสำคัญ ในขณะที่เราทำเราก็ไม่รู้ ให้ผ่านไปมันก็รู้เอง
พอผ่านไปแล้วก็มองย้อนหลัง ๆ เอา ถึงขั้นสติปัญญาในขั้นเกรียงไกรแล้วมันรู้ ถึงตรงนั้นมันรู้แหละ มันแทรกมาตรงไหนก็ทันกัน ๆ ถ้าธรรมดานี้ไม่ทันนะ ไม่รู้ เดินจงกรมอยู่นั้นมีแต่กิเลสจูงให้เดินไม่ใช่ธรรมจูงให้เดิน นั่งก็กิเลสพาทำ ภาวนามันก็พาวนเสีย วนไปวนมาล้วนแต่เรื่องของกิเลส ทำภาวนาท่าไหนก็มีแต่ท่ากิเลสล้วน ๆ ท่าธรรมไม่มี แล้วจะเอาผลจากธรรมได้ยังไง มันไม่มี มีแต่ผลของกิเลส นี่ซิทำความพากเพียรมาเป็นเวลานานหลายปีหลายเดือนธรรมไม่ปรากฏ ก็เพราะอันนี้เองมันสวมรอย ๆ ไอ้เราไม่รู้ จะทำยังไง
การสอนก็สอนให้รู้ให้เห็นอย่างชัดเจน เป็นความจริงล้วน ๆ ที่พูดมาทั้งหมดไม่สงสัยในการสอน แต่ผู้ที่ยังจับไม่ได้ก็ต้องเป็นไปตามยถากรรมของกิเลสพาให้เป็นไปอยู่นั่นแล ถ้าไม่เอาจริงเอาจังจริง ๆ สำคัญความมุ่งมั่นนะ เป็นหลักสำคัญมากที่จะทำให้เกิดกำลังใจขึ้นมา ความมุ่งมั่นต่อจุดหมายปลายทางของตนมีกำลังมากแล้วสิ่งทั้งหลายก็เป็นไป เช่นความเพียรความอดความทนจะดึงดูดกันไปเอง ถ้าความมุ่งมั่นมีน้อยหรือความมุ่งมั่นไม่มีนี้มันยากมันลำบาก นอกจากจะเป็นบางกรณีที่ทำไปธรรมดา ๆ ก็ไปสะดุดเอาเสียอันใดอันหนึ่ง ทีนี้มันทำให้เกิดความดูดดื่มขึ้นมา ความดูดดื่มอันนี้ก็เป็นพลังอันหนึ่งที่จะทำให้เกิดความสนใจ ใคร่ที่จะประพฤติปฏิบัติ ใคร่ที่อยากจะรู้จะเห็นในสิ่งที่เคยรู้เคยเห็นในสิ่งที่เคยเป็น นี้มันก็มีกำลัง
นี่ปีนี้พระก็มาก ซึ่งไม่เคยมีตั้งแต่ตั้งวัดมานี้ ตั้ง ๓๐ กว่านี่จะว่าไง ใครก็อยากอยู่ ๆ ไอ้เราก็สงสารเห็นใจ เมื่อ ๑ กับ ๑ บวกกันก็ต้องเป็น ๒ เป็น ๓ เป็น ๔ ไปเรื่อยจนกระทั่งเต็มวัดนี่ ให้พึงเห็นใจท่านใจเราที่เข้ามาศึกษาอบรม เห็นใจองค์อื่นผู้อื่น ให้เห็นเช่นเดียวกับใจของเรา จึงไม่มีการกระทบกระเทือนกัน มันจะไปคิดแย็บในเรื่องของผู้ใดก็ตาม ก่อนอื่นต้องให้รู้เรื่องความเคลื่อนไหวของจิตเจ้าของเสียก่อน ให้รู้รอบ ถ้าไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องการมองกันในแง่ร้าย จะไม่ดีเลย พระหรือผู้ปฏิบัติธรรมมองกันในแง่ร้ายนี้หยาบมาก ต้องมองกันในแง่เหตุผล ในแง่ความเมตตา ในแง่ความให้อภัยซึ่งกันและกัน นี่เป็นธรรม
กิเลสอย่าให้แฝงขึ้นมา ความสำคัญว่าตนดิบตนดี ตนมีความรู้ความฉลาด ตนมีฐานะดีอย่างนั้นอย่างนี้ เหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลส จะมาทำลายในหัวใจตัวเองให้ทะนง และทำลายคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ได้รับความกระทบกระเทือนอีกด้วย นี่ละเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าเรื่องของธรรมแล้วมาเถอะ นั่นฟังซิ สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น พวกเรารวมอยู่ในคำว่า สพฺเพ สตฺตา นี้ทั้งนั้น
ต่างคนต่างมุ่งหวังต่อการประพฤติปฏิบัติ ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำข้อวัตรปฏิบัติ อย่าได้คิดว่าองค์นั้นจะทำองค์นี้จะทำ เมื่อตั้งเป็นวาระก็เพื่อให้มันเหมาะสม ก็ทำให้เป็นวาระจริง ๆ หรือไม่ตั้งก็กิจใดการใดให้ถือว่าเป็นกิจเป็นการของเจ้าของ และให้มีสติสัมปชัญญะติดแนบอยู่กับงานของตัวที่ทำในข้อวัตรต่าง ๆ เป็นการฝึก เหมือนกับเราเดินจงกรมนั่น เดินจงกรมเราเดินเพื่ออะไร ก็เพื่อรักษาจิต นั่งก็นั่งเพื่อรักษาจิต ทำข้อวัตรปฏิบัติอันใดก็เป็นกิริยาที่รักษาจิตเหมือนกัน สำหรับผู้ตั้งใจฆ่ากิเลสต้องเป็นกิริยาแห่งการกระทำเพื่อชำระจิต เพื่อความเพียรของตนทั้งนั้น
งานจิตตภาวนาเป็นงานละเอียดมาก จึงไม่ประสงค์จะให้งานอื่นงานใดเข้ามาเกี่ยวข้องมายุ่งทำให้เสียได้ ยิ่งงานก่อสร้างนั้นก่อสร้างนี้ด้วยแล้ว ไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่เป็นข้าศึกต่องานจิตตภาวนา เราจึงต้องระมัดระวังเสมอ แม้เช่นนั้นมันก็เป็นไปจนได้ เพราะจิตทั้ง ๆ ที่เรามุ่งมาปฏิบัติธรรม แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่สวมรอยอยู่นั้นมันมีความหยาบมีความดึงดูดไปให้หันหลังให้ธรรม เพื่อหันหน้าให้กิเลสอยู่โดยตรงอยู่ลึก ๆ อยู่นั้นแหละ แฝงกันอยู่นั้นเราไม่รู้ ถ้ายิ่งมีงานมีการอะไรขึ้นมาแล้ว นั่นน่ะช่องทางออกของกิเลสจะได้แสดงตัวของมันเต็มที่ อย่างที่เห็น ๆ กันนั้นน่ะดูเอาซิ เจ้าของดูเจ้าของ ได้ดูหรือไม่ได้ดูก็ไม่รู้ ถ้าดูก็ควรจะรู้ นี่ดู ไม่ได้ดูยากอะไรเลย แย็บเท่านั้นก็เห็นก็รู้แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้เคยมีเคยเป็นอยู่เต็มโลกเต็มสงสาร นอกจากนั้นยังเคยมีเคยเป็นอยู่ในหัวใจเราด้วย ทำไมจะไม่รู้เรื่องของมัน ต้องรู้
วงปฏิบัติก็ยิ่งคับยิ่งแคบ สถานที่บำเพ็ญก็คับแคบเข้ามา เพราะสัตว์โลกมีจำนวนมากขึ้น เรื่องราวทั้งหลายก็มากขึ้น ๆ ตาม ๆ กัน ส่วนมากมีแต่เรื่องที่จะมาทำลายความสงบสุขอันเป็นเรื่องของธรรมให้ขาดให้สิ้นสูญไป ยังเหลือแต่ฟืนแต่ไฟเผาลนกันนั่นแหละ ผู้ปฏิบัติซึ่งมีโอกาสเหมาะสมพอสมควรดังพวกเราที่เป็นพระนี้ จึงควรขะมักเขม้นตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ทุกข์ก็ยอมทุกข์เถอะ ทุกข์ในการต่อสู้กับกิเลส ไม่ใช่ทุกข์เพราะการต่อสู้กับธรรมนี่นะ ธรรมท่านไม่ได้มีอะไรพอที่จะให้ต่อสู้ท่าน ท่านไม่ได้เป็นข้าศึกต่อผู้ใด ที่ต่อสู้ที่บึกบึนนี้ล้วนแล้วแต่ต่อสู้กับกิเลสเพื่อเล็ดลอดออกไปทั้งนั้นนะ ยากลำบากก็ต้องเห็นว่าการต่อสู้กับกิเลสนี้เป็นคู่อริกันกับเรา ให้ถือไปอย่างนั้น จะเอาให้ชนะจนได้ ถ้าเราอ่อนแอเสียก็นั้นแหละคือการแพ้กิเลส ความอ่อนแอเป็นเรื่องของกิเลสจะไม่แพ้มันได้ยังไง ความท้อแท้เหลวไหล ความไม่เอาไหนด้วยแล้วก็ยิ่งกิเลสทั้งกองทีเดียวเต็มอยู่ในหัวใจ
การภาวนาให้สังเกตเจ้าของ เคยภาวนาอย่างไร กำหนดด้วยธรรมบทใดที่เหมาะกับจริต เมื่อกำหนดลงไปแล้วจิตได้รับความสะดวกสบายเบาใจเป็นลำดับกับธรรมบทนั้น แต่สติต้องเป็นพื้นสำคัญมาก ไม่ว่าจะธรรมบทใดถ้าขาดสติแล้วไม่เป็นประโยชน์อะไรทั้งนั้น บริกรรมก็ว่าไปเฉย ๆ จิตไปอยู่โน้น ๆ เป็นแต่เพียงคำบริกรรมติดปากเฉย ๆ ติดความคิดเฉย ๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ให้มีความจงใจให้รู้อยู่ทุกระยะ ๆ หนักเบาก็ให้รู้ว่ามันหนักมันเบา เรื่องความกลัวเป็นกลัวตายนั้นเป็นเรื่องของกิเลสอันหนึ่งอีกแทรกเข้ามา ความอยากจะรู้ความจริงนั้นเป็นเรื่องของธรรม ธรรมไม่เคยตายจิตไม่เคยตายกลัวหาอะไร ความจริงที่เราจะรู้จะเห็นก็เหมือนกันไม่ใช่ตายไปที่ไหน อยู่กับเราผู้ต้องการความจริง พิจารณาลงไปให้รู้ให้เห็น
จิตถ้าเราลงได้เบิกกิเลสกว้างออกไป ๆ เท่าไรก็ยิ่งมีความสุขความสบายเบาใจไปเรื่อย ๆ เอาจนให้มันหมดสิ้นไปจากใจแล้ว ไม่มีอิริยาบถไม่มีกาลไม่มีสถานที่อะไรทั้งนั้นแหละ เพราะไม่มีสมมุติใด ๆ เข้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาตินั้นจะเอาอะไรมายุ่ง ความยุ่งก็เรื่องของสมมุติ นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ให้มันสิ้นสุดอันนี้แล้วก็ไม่มีอะไร ลงกิเลสไม่มีในหัวใจแล้วทำอะไรลงไปก็ไม่เป็นกิเลส มันเป็นอัตโนมัติเป็นหลักธรรมชาติของจิตอันนั้น ถ้าหากมีตัวพิษอยู่ในนั้นมากน้อยจะต้องแสดงขึ้นมาทันที ๆ
เวลามาศึกษาก็ตั้งใจมาศึกษาซิ ออกไปแล้วเถลไถลเหมือนไม่มีครูมีอาจารย์ อันนี้ผมอิดหนาระอาใจมากเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน ถ้าไปแล้วเถลไถล ๆ ไปไหนก็ปิดไม่อยู่ การแสดงออกของเราจะต้องสัมผัสสัมพันธ์กับตาหูคนอื่นจนได้แหละ เมื่อสัมผัสสัมพันธ์กับตาหูแล้ว ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับใจจะไปสัมผัสที่ไหน ตาหูเป็นทางเดินของใจมันต้องเข้าที่นั่น ถ้าไปแล้วก็เหมือนไม่มีหลัก เหมือนไม่เคยได้รับการอบรมจากครูจากอาจารย์มาเลย ข้อวัตรปฏิบัติที่ควรจะรักจะสงวนปฏิบัติให้คงเส้นคงว่าก็เป็นไปไม่ได้ เพราะจิตมันเหลวไหลนี่ซิ
ถึงข้างในยังตั้งไม่ได้ ข้อวัตรปฏิบัติก็ควรจะตั้งได้ เพราะไม่ใช่เป็นสิ่งที่สุดวิสัย ถ้ายิ่งภายในก็ตั้งหลักตั้งเกณฑ์ได้ด้วยแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นไปตามกัน เพราะฉะนั้นผู้มีหลักจิตการดำเนินปฏิปทาจึงสม่ำเสมอ ยิ่งเป็นผู้มีจิตอันตายตัวด้วยแล้ว หลักปฏิปทาก็เป็นธรรมชาติตายตัว ไม่ลดไม่หย่อนด้วยความท้อแท้อ่อนแอ ด้วยความเหลวไหล ถ้าลดหย่อนก็ลดหย่อนไปตามเหตุการณ์ของมันเท่านั้น หลักใจจึงเป็นหลักสำคัญของปฏิปทาเครื่องดำเนินทั้งหลาย
เวลาเข้าพรรษานี้ไม่มีการมีงานอะไร ใครอยู่ที่ไหนก็ให้ประกอบแต่ความพากเพียรของตน อย่ามองดูไหนนอกจากหัวใจดวงนี้ ดวงก่อเหตุนี่แหละ เจ้าเหตุอยู่ที่นี่ ดูให้ดีอันนี้เป็นตัวก่อเหตุ ดูตัวนี้จะรู้เรื่องรู้ราว
คำว่าอาวาสก็หมายถึงกำแพงวัดนี่นะเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ ถ้ายังไม่สว่างเป็นวันใหม่แล้วห้ามออกจากเขตวัด ถ้าออกแล้วขาดพรรษาดังคำที่กล่าวนี้ ถ้าแปลออกให้ฟังกันง่าย ๆ ก็ข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาที่นี่ตลอดไตรมาสคือ ๓ เดือน ว่าอย่างนั้น
ให้พยายามตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ธุดงควัตรผู้สมาทานยังไงก็ให้ดำเนินตามนั้น เช่น ธุดงควัตรการไม่รับอาหารที่เขาตามมานี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์พาดำเนินมา รู้สึกว่าท่านหนักแน่นมาก ต่อไปจะไม่มีเหลือจริง ๆ นี่จะไม่เห็นเลยธุดงค์ ๑๓ ข้อที่ทรงแสดงไว้เพื่อเป็นเครื่องชำระกิเลสทั้งมวล เมื่อไม่มีธรรมนี้แล้วจะเอาอะไรไปชำระกิเลส นี่ละหลักใหญ่อยู่ตรงนี้ พากันปฏิบัติ เอาเท่านั้นแหละนะ การเข้าพรรษาก็เข้าใจกันแล้วนะ ไม่พูดอะไรมากวันนี้ เหนื่อย เพราะมันเหนื่อยมาหลายวันแล้ว
เอาละพอ
พูดท้ายเทศน์
สอนหมู่เพื่อนก็สอนเพื่อมรรคเพื่อผล ให้รู้ให้เห็นสด ๆ ร้อน ๆ ต่อหน้าต่อตาซิ ฆ่ากิเลสให้เห็นประจักษ์ในหัวใจเรานี่ซิ ได้ยินแต่ข่าวพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่านฆ่ากิเลส กิเลสตัวนั้นตายกิเลสตัวนี้ตาย ท่านเหยียบหัวกิเลสพังลงในป่านั้นในเขาลูกนั้นในเขาลูกนี้ ที่ว่าสำเร็จมรรคผลนิพพาน ไอ้เรานี่สำเร็จแต่เรื่องของกิเลส สำเร็จไปด้วยความโลภความโกรธความหลง สำเร็จไปด้วยราคะตัณหา สำเร็จไปด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน ความอ่อนแอท้อแท้เหลวไหล มันสำเร็จไปอย่างนั้นนะพวกเรา ไม่ได้สำเร็จไปตามทางท่าน มันสำเร็จย้อนลูกศรกับพระพุทธเจ้ากับศาสนธรรม สำเร็จแบบคนตาบอดโดนไม้ทั้งต้น ยังหันหลังให้ต้นไม้และหันหน้าไปโน่น ขอบเขตจักรวาล สมหวังแล้ววันนี้ พยายามจะโดนมันมานานแล้วไม้ต้นนี้น่ะ เห็นไหม แล้วหันหน้าดูต้นไม้ ต้นไม้อยู่ทางโน้นแต่หันหน้าไปอีกทาง นั่น พวกนี้พวกสมหวัง พวกเรานี่พวกสมหวังพวกหน้าผากแตก ยังไม่เห็นโทษแห่งความเซ่อของตัวเอง ต้นไม้มันจะเป็นอะไร โดนเอาหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ของคนตาบอดมาโดนก็จะเป็นอะไรไม้ต้นนั้น ถ้าไม่อยากให้หมดทั้งโคตรนั้นมีแต่คนหน้าผากแตกหมด
นาน ๆ จะมีทีหนึ่งจดหมายเขามาเกี่ยวข้อง นี่จะพูดให้หมู่เพื่อนฟัง ตลาดศาสนธรรมคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานก็บอกอยู่แล้วนี่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่แหละตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ตรงนี้ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี้ สมัยโน้นสมัยนี้ที่ไหน ถ้าไม่ให้กิเลสลากไปวาดภาพหลอกอยู่โน้น โน้น ๆ ตัวตลาดมรรคผลนิพพาน หากหันหลังใส่เสียนี่ หันหน้าไปหากิเลส นั่น หลอกไปเรื่อย ๆ ถ้าหันหน้าลงจุดปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธแล้วมันจะไปไหนวะ ว่างั้นเลย
ปริยัติที่เราเรียนมานี้มีแต่คาดทั้งนั้นนะ เพราะผมก็เรียนนี่จึงได้เข้าใจ คือเราเรียนด้วยเราปฏิบัติด้วย ไม่งั้นก็ไม่ได้คำพูดทั้งสองอย่างนี้มาเทียบเคียงกัน ถ้ามีแต่เรียนอย่างเดียวไม่ได้ปฏิบัติ ก็จะมีแต่เรื่องความรู้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเรียน ถ้ามีภาคปฏิบัติ ที่นี่ความรู้ความเห็นที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติเป็นยังไง นั่น เกิดขึ้นจากเรียนเป็นยังไง เกิดขึ้นจากการเรียนเป็นความจำ แน่ะมันรู้ เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติเป็นความจริง เหมือนอย่างวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ แต่ก่อนเราไม่เคยเห็น พอได้ยินคนว่าวัดป่าบ้านตาดนี้เราจะต้องวาดภาพขึ้นว่า วัดป่าบ้านตาดนี่จะเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วใครเป็นสมภารเจ้าวัด ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ๆ ลักษณะท่าทางอย่างนั้น ๆ แน่ะ นี่เป็นภาคความจำ จำมาจากคนอื่นที่เล่าให้ฟัง แล้วภาพมันจะขึ้นตามความจำนั้น ภาพหลอก นั่น
ทีนี้พอก้าวเข้ามาวัดป่าบ้านตาดนี้ ได้เห็นตลอดทั่วถึงแล้วเป็นยังไง ภาพนั้นจะล้มไปทันทีเลย แต่เราก็ไม่เคยเห็นโทษของมันที่ภาพมันหลอกเราว่าเป็นอย่างนั้น ๆ กับความจริงนี้เข้ากันได้ไหม เพราะฉะนั้นต่อไปมันถึงหลอกเราอีก อย่างผมเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ มาพบผมแล้วเป็นยังไง คือภาพที่วาดเกี่ยวกับเรื่องของผมนี้มันก็ล้มไปหมดเพราะสู้ความจริงไม่ได้ พอมาเจอเข้าพับความจริงจะต้องเป็นหลัก อันนั้นจะต้องล้มไปเลย นั่นความจำ
เหลือแต่ความจริงล้วน ๆ ทีนี้ไม่สงสัย ออกไปไหนพูดได้เต็มปากว่าวัดนี้เป็นยังไง ครูบาอาจารย์เป็นยังไง พูดสนทนาพาทีกันเรื่องอะไร ๆ เป็นยังไง พูดได้หมดที่นี่ เพราะเป็นความจริงเห็นด้วยตัวเองได้ยินด้วยตัวเอง ทั้งสถานที่วัดทั้งตัวบุคคลซึ่งอยู่ในวัดนี้ ทั้งเรื่องราวที่พูดสนทนากันว่าอะไร พูดได้อย่างเต็มปาก นี่คือความจริง เราเรียนก็เหมือนกัน เรียนนี้มันจะต้องวาดภาพอย่างนั้น ๆ เอาภาคปฏิบัติจ่อเข้าไป ปรากฏความจริงขึ้นมา ๆ ที่นี่ที่วาดภาพไว้ก็เหมือนอย่างวาดภาพวัดป่าบ้านตาดนี่ ล้มไป ๆ ตามกันโดยลำดับลำดา ตั้งแต่รู้ความจริงเต็มที่ความจำที่วาดภาพก็ล้มไปหมด เหลือแต่ความจริงเต็มหัวใจ
ธรรมในวงปฏิบัติเรานี้ต้องได้ใช้ความรอบคอบมาก ๆ อย่างนั้นยังทำให้งงได้หลงได้ ในครั้งพุทธกาลก็มี เช่นเขียนไว้ในตำรับตำรา คือสำคัญตน เพราะสิ่งที่ไม่เคยรู้หรือทางไม่เคยเดิน ก็ไม่ทราบอะไรจริงไม่จริงขนาดไหน จึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณามากทีเดียว นี่ก็เคยเป็น แต่ไม่ถึงกับได้ตั้งเวลาเป็นชั่วโมง ๆ นาที ๆ อะไร มันเคยเป็นมันรับขึ้นมาทันที แต่ว่าสิ่งที่จะลบล้างมันขึ้นเร็วนี่ เพราะเราก็ใช้ปัญญาอยู่แล้ว ไม่ไปตายใจกับอะไรง่าย ๆ ต้องให้ปัญญาเป็นผู้ตัดสิน เมื่อเต็มหัวใจแล้วรู้เอง ๆ อะไรที่ยังมีแง่อะไรอยู่นั้นนั่นยังไม่จริง ต้องตัดสินกันไปอย่างนั้นเสียก่อนเลย ถ้าจริงแล้วมันจะมีแง่อะไร แน่ะ เหมือนกับว่าเป็นเครื่องลบล้างความสงสัยไปในตัวว่ายังไม่จริง
อย่างที่ผมเคยพูดถึงพระองค์นั้น ผมจำได้กระทั่งชื่อทุกวันนี้ก็ดี ยังไม่ลืม พระที่เป็นอรหันต์นกหวีดน่ะ ผมเห็นกระทั่งตัวของแก แกสึกแล้วอยู่ที่หนองคาย เคยอยู่กับท่านอาจารย์กู่ แต่ดูลักษณะท่าทางของแกก็เป็นคนดีอยู่นะ แต่หากนิสัยนั้นยังมีอยู่ นิสัยที่ตรงไปตรงมา ท่านอาจารย์กู่เล่าให้ผมฟังว่า ไปเที่ยวธุดงคกรรมฐานด้วยกันทางอำเภอภูเวียง แกคนนี้อยู่ขอนแก่น เสียดายแกมีความรู้แปลก ๆ อยู่ ถ้าหากว่ามีผู้คอยแนะนำนี้จะไปได้ น่าเสียดาย ความรู้แกมีความปลีกย่อย แต่ไม่รอบในความรู้ปลีกย่อยของแก
ตอนนั้นไปด้วยกัน ๓ องค์ ดึกสงัดการภาวนาของแกนี้จิตมันลงซิ พอจิตถอนออกมาแล้ว โอ๋ย เข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ จะทำอะไรสัญญาณให้หมู่เพื่อนทราบ คิดอย่างนั้นแล้ว กล่องยานัตถุ์เปล่า ๆ อยู่ในย่าม เอามือล้วงเข้าไปเอากล่องยานัตถุ์เปล่าออกมา ก็มาเป่าว้อด ๆ หมู่เพื่อนก็อะไรหนอ วิ่งมาดู เป็นอะไร ผมสำเร็จแล้ว ท่านสำเร็จอะไรจึงจำเป็นจะต้องเป่านกหวีดเล่า ก็มาด้วยกันก็ต้องให้กันทราบบ้างซิ อุ๊ยตายอรหันต์อะไร แทนที่พระจะเชื่อท่านไม่เชื่อนะ แต่ไม่กล้าพูดอะไร กูตาย อรหันต์ผีบ้าอะไรพรรค์นี้
แกดีอย่างหนึ่งนะ พอวันหลังดึกสงัด อีกแล้วว้อด
ขึ้นอีกแล้ว เอ้า ถึงไหนหนอ พระจะมาหรือไม่มาก็ยังไง ก็รับผิดชอบกันไปด้วยกันบนภูเขาบนภูเวียงนี่ เวลาไป ไปกันแบบก้าวขาไม่อยากออกนั่นแหละ มันเมื่อยล้าไปหมด ไปถึงขั้นไหนแล้วที่นี่ ว่างั้นแหละ สำเร็จถึงขั้นไหน นรกอเวจีที่ไหนที่นี่ ก็ว่าอย่างนั้น จะถึงขั้นไหน ท่านก็บอกตรง ๆ อย่างนี้นะ ท่านก็พูดตรงดีนะ มันจะถึงขั้นไหน ก็มันไม่สำเร็จนี่ ไม่สำเร็จเป่าอะไร ก็เมื่อคืนเข้าใจว่าสำเร็จก็เป่า วันนี้ไม่สำเร็จก็ต้องเป่าให้หมู่เพื่อนทราบซี โอ๋ย สองชั้นสามชั้น ก็ดีอย่างหนึ่ง โอ๋ย ตรงจริง ๆ วันสำเร็จเข้าใจว่าสำเร็จก็เป่านกหวีดเสีย หมู่เพื่อน โอ๋ย ก็แตกมาแล้วนึกว่าเกิดเรื่องอะไร ครั้นมาถามแล้วที่ไหนได้ กลายเป็นนกหวีดอรหันต์
ทีนี้นั่งภาวนา เอาอีกแล้ว พอจิตรวมลงไปเหมือนพระอาทิตย์ตกลงมาตรงหน้า จิตมันสว่างออกไปน่ะ คือกระแสของจิตเจ้าของเอง
ไม่รู้ นั่นซิอาการของจิตเห็นไหม เหมือนเท่ากับลูกมะพร้าวอยู่ตรงหน้านี่ สว่างจ้าเป็นดวงสว่างกระจ่างแจ้งไปหมดเลย ทีนี้ก็กำหนดจับ ทีแรกคงจะยังไม่เอามือเอื้อมไป ใช้กำหนดภายในใจ พอกำหนดออกไปจับนี่ปรากฏว่าดวงสว่างขยับออกไป ทีนี้ก็ลุกจากสมาธิ ไม่รู้เลยนะ มันแปลกนี่นะ ลุกออกจากสมาธิตามไป เดินตามไปเลยฟังซิ ดวงสว่างขึ้นต้นไม้ท่านก็ขึ้นด้วยเลยนะ เดชะยังดีอันหนึ่งชะตายังไม่ขาด ดวงสว่างเลยเหาะวูบไปเลย มองดูจนกระทั่งลับสายตาหายเงียบไปเลย ทีนี้ก็หมดหวัง จิตก็ย้อนมา พอความรู้น้อมมาที่ไหนได้อยู่บนต้นไม้ ก็ร้องไห้โฮ ๆ หมู่เพื่อนถามเป็นอะไร ก็เล่าให้ฟังว่าตามแสงสว่าง ก็แสงสว่างพาขึ้นแล้วทำไมแสงสว่างไม่พาลง จะลงอะไรก็เหาะไปโน้นแล้ว นี่ความไม่รอบคอบ ถ้าลองย้อนจิตเข้ามาสู่นี้อันนั้นมันก็หายเงียบ เพราะเป็นกระแสของจิตนี่
ผมเคยเป็น ความสว่างที่มันพุ่งออกไปเหมือนกับไฟพะเนียงที่เขาจุดฟู่ ๆ พุ่งขึ้นนั่นน่ะ แต่แสงสว่างของจิตนี่ โอ๋ มันนิ่มนวลพูดไม่ถูก พอกำหนดดูมันสว่าง โห ทำไมจึงเป็นอย่างนี้จิตนี่ว่ะ ทีแรกก็หลงมันแหละ แต่เรายังคอยดูมันจะเป็นยังไง แสดงอะไร ๆ พอเรากำหนด โห ทำไมเป็นอย่างนี้ มันพุ่ง ๆ ๆ พุ่งนี้เราก็ตามดู มันก็พุ่งขึ้นเรื่อย ๆ จดเมฆโน่นน่ะดูซิ อ๋อ เป็นอย่างนี้เองเหรอ เพราะเราดูด้วยปัญญา ไม่ได้ดูด้วยแบบเชื่อทีเดียวนี่
ทีแรกมันก็ออกไปจากจิตแท้ ๆ พุ่ง ๆ ขึ้นไป พอกำหนดจิต ค่อย ๆ จิตย้อนลงมา ๆ อันนั้นก็ค่อยอ่อนลง ๆ ต่ำลง ๆ ความสว่างนั้นหดลง ๆ ค่อยย้อนจิตเข้ามา ๆ เพราะเป็นภาคที่เราปฏิบัติ เราไม่ได้เชื่อมันนี่ เหมือนกับว่าเป็นเครื่องทดลองให้เข้าใจ ถ้าหากว่าเราฉลาดก็เป็นหินลับปัญญา เราค่อยถอยจิตเข้ามา ๆ ย่นจิตเข้ามาเรื่อย อันนั้นก็หดลงมา ๆ ก็มันเป็นกระแสของจิตนี่ พอจิตเข้าถึงตัวกึ๊กอันนี้ อันนั้นก็หายเงียบไป นั่นเป็นอย่างนั้นเอง อ้อ อาการของจิตพิสดารมาก ที่หลง-หลงอย่างนี้เอง เราก็รู้มันไม่ไปถึงไหน เพราะไม่ได้หลงมันนี่ มันเป็นเครื่องทดลองเป็นเครื่องทดสอบกัน ถ้าเราไม่หลงเสียอย่างเดียวก็เป็นเครื่องทดสอบ ให้รู้เรื่องอาการของจิตว่าเป็นไปได้หลายแง่หลายกระทงมากทีเดียว
จิตผมพูดไม่ถูกมันเป็นหลายแบบนะ แต่มันรวมนี่เหมือนกัน มีอย่างแบบสงบลงไป ๆ มันก็เป็นของมัน บทเวลามันจะเป็นของมันแบบพึ่บนี่ แต่ส่วนนั้นมักจะเป็นเวลาผาดโผนนะ เราใช้สติปัญญาให้มาก ใช้กันอย่างเต็มที่มันเป็นได้อย่างนั้น เป็นได้ ๒ อย่างของผม จะเรียกว่า อุภโต ก็ถูก เราก็ไม่คิดไม่ได้ตกแต่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ หากเป็นในหลักธรรมชาติในภาคปฏิบัติ ที่ถึงวาระใดถึงเหตุการณ์ใดที่ควรจะแสดงออก มันก็แสดงออกมาของมันเอง
อย่างค่อยสงบตัวเข้าไป ๆ ก็เป็น แต่ชนิดนี้ไม่ค่อยอาจหาญนะ ชนิดที่อาจหาญจริง ๆ ก็คือเรื่องของปัญญา มันสงบลงด้วยอำนาจของปัญญานี่ แหม อันนี้อาจหาญมาก ประจักษ์ใจและประทับใจด้วย อาจหาญก็อาจหาญ ประทับใจก็ประทับใจ ถึงใจพูดง่าย ๆ ความสงบนี่เป็นพื้นฐานของสมาธิที่เราเคยเป็นอยู่ มันไม่มีอะไรนี่ ถ้าพูดตามปกติจิตของผม เรื่องสมาธินี่ชำนาญมากจริง ๆ กำหนดให้หยุดเมื่อไรหยุดได้เลย เพราะมันอยากจะหยุดอยู่แล้วมันขี้เกียจ พอกำหนดเข้าไปนั้นก็แน่วแล้วหายเงียบไปหมด อะไร ๆ หายเงียบหมด เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ดิ่งอยู่อันเดียวเท่านั้น ทีนี้เลยกลายเป็นสมาธิขี้เกียจ ไม่มีอะไรเข้าไปรบกวน เหลือแต่ความรู้แน่ว สุดท้ายก็ว่านี่ละนิพพาน ก็ตรงนี้แหละ ๆ เลยอยู่นั้นไม่ได้เรื่อง
บทเวลาเป็นสมาธิได้ด้วยอำนาจของปัญญานี้มันถึงเห็นได้ชัด มันสว่างกระจ่างแจ้ง มันอาจมันหาญพูดไม่ถูก ประจักษ์ใจประทับใจไม่ลืม ที่ว่าพึ่บนั่นเหมือนกัน มันเอาเต็มที่ของมัน ปัญญากวาดล้างออกมาจนหมดแล้วไม่มีทางไปก็พึ่บลงเลย หายเงียบไปหมดทั้งกาย ไม่ทราบไปไหน ทั้ง ๆ ที่กายก็นั่งอยู่นั้นแหละ หากไม่รู้ มันไม่รับทราบกัน รับทราบได้แต่ว่าสักแต่ว่ารู้ ถ้าจะให้รู้ยิ่งกว่านั้นก็พูดไม่ถูกอีกแหละกับธรรมชาติอันนั้น มันสักแต่ว่ารู้และอัศจรรย์ไม่มีอะไรเข้ามาเทียบ ถ้าเทียบมันจะเปลี่ยนจากความเป็นหลักธรรมชาตินั้นทันที เราจะไปหาปรุงหาแต่งอะไร เอาเฉพาะความพอดีที่ปรากฏอยู่เวลานั้นเป็นยังไง คือเป็นหลักธรรมชาติของมันเอง
เราจะเอาอะไรไปเทียบไม่ได้เวลานั้นเป็นสองขึ้นมาทันที ต้องปล่อยให้เป็นไปตามหลักธรรมชาติที่ว่าสักแต่ว่าปรากฏ สักแต่ว่าจริง ๆ นั่นละ ความรู้อันนั้นสำคัญมากนะ สักแต่ว่าปรากฏและอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่อวิชชาครอบหัวมันอยู่ยังไม่ได้ออกจากมัน ก็ยังแปลกประหลาดขนาดนั้น ตีหัวอวิชชาให้แตกกระเด็นลงไปเป็นผุยผงหมดดูซิจะเป็นยังไง ใครจะไปคาดได้ถูกพูดได้ถูก นอกจากวงสมมุติไปหมดแล้ว แต่ไม่นอกจากธรรมชาติของตัวเองที่รู้ตัวเอง นั่น ธรรมท่านบอกว่า สนฺทิฏฺฐิโก คือธรรมชาติของตัวเองมันหากรู้ตัวเอง พอเหมาะพอดีกันอยู่นั้นเลย ไม่มีอะไรเข้าไปเพิ่มไปลดลงได้แหละ นั่นละธรรมชาติแท้
เอาละที่นี่ เลิกกันละนะ