โทษก็เห็นอยู่ในใจ ทุกข์ที่เกิดจากโทษก็เห็นอยู่ในใจ ธรรมที่เป็นเครื่องมือสอดส่องมองดูทั้งโทษทั้งทุกข์ โทษหมายถึงความผิด ทุกข์หมายถึงผลที่เกิดขึ้นจากความผิด ท่านก็สอนไว้โดยถูกต้อง ก็อยู่ในจิตแห่งเดียวกัน อุบายวิธีแก้โทษเพื่อดับทุกข์อันเป็นผลของโทษ ท่านสอนไว้โดยถูกต้องละเอียดลออมากให้นักปฏิบัติเรา สอนตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักใหญ่กว่าอย่างอื่น ๆ ศีลก็ต่างองค์ต่างรักษาอยู่แล้ว คือส่วนหยาบ โทษส่วนหยาบที่แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา มีใจเป็นตัวการสำคัญ เราก็ได้รักษาอยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้รักษาได้ง่ายกว่าธรรมประเภทอื่น ๆ
สมาธิ ปัญญา ตามขั้นตามภูมิ ท่านสอนไว้แล้วโดยละเอียดลออไม่มีแง่สงสัย ธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องมืออันเหมาะสมสำหรับที่จะสอดส่องมองดูและแก้ไขถอดถอนสิ่งที่เป็นโทษภายในใจของเราผู้ปฏิบัติ แต่เหตุใดจึงมีตั้งแต่โทษ ภายในจิตใจก็เป็นตัวโทษอยู่แล้ว แสดงอากัปกิริยาออกมาทุกอาการล้วนแล้วแต่โทษ ส่วนธรรมไม่ค่อยปรากฏหรือไม่ปรากฏ นี่เป็นสิ่งที่น่าคิดอยู่มาก ธรรมก็ประกาศกังวานมานาน ครูอาจารย์ทั้งหลายที่แนะนำสั่งสอนโดยถูกต้องแม่นยำ ท่านก็สอนมาอยู่เรื่อย ๆ ผู้รับการศึกษาอบรมจากท่านก็รับเรื่อยมา แต่ผลที่เกิดขึ้นจากการอบรมฝึกฝนทรมานตนจากครูจากอาจารย์นั้นไม่ค่อยปรากฏ มีแต่สิ่งที่จะแก้จะถอดถอนจะทำลายมันนั้นแลเจริญงอกงามขึ้นภายในจิตใจ มากกว่าธรรมจะเจริญภายในใจ นี่จึงเป็นเรื่องที่หนักอยู่มากสำหรับผู้ให้การแนะนำสั่งสอน
ยิ่งมาสับปนกันมาก ๆ ไม่ทราบมาจากแห่งหนตำบลใด และไม่ทราบว่าได้รับการอบรมอย่างไรหรือไม่ มาคละเคล้ากันแล้วเลยกลายเป็นทะเลมูตรทะเลคูถไปตาม ๆ กันหมด เก้ง ๆ ก้าง ๆ เด้น ๆ ด้าน ๆ หนักใจจะตายทั้งผู้อยู่ก่อนทั้งครูอาจารย์ มันได้เรื่องได้ราวอะไร นี่ยิ่งนับวันมากขึ้นทุกที มากเพื่อความดีงามก็พอทำเนา ไอ้มากเพื่อความเหลวไหลเหลวแหลกนี่ซิ จะทำให้แหลกไปตาม ๆ กันหมด ควรคิดควรคำนึงให้มากนักปฏิบัติ อย่าเห็นแก่ความสุขความสบายซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสผลิตขึ้นมาหลอกลวงเป็นประจำเท่านั้น จะไม่มองเห็นทางออกเลย
ถ้ายังมีความอาลัยเสียดายอยู่กับความสุขอันเป็นนิสัยของกิเลสฝังใจอยู่แล้ว จะไม่มีทางออก ธรรมจะประกาศกังวานอยู่ทั่วแดนโลกธาตุก็ประกาศแต่ธรรม แต่ไม่เกิดประโยชน์กับผู้ไม่สนใจ ผู้รักใคร่ต่อกิเลสอันเป็นกองเพลิงทั้งหลาย จะคลุกเคล้ากันอยู่อย่างนั้นตลอดไป หาต้นหาปลายไม่ได้ถ้าไม่มีการชำระสะสาง ไม่มีความอดความทนความอุตส่าห์พยายาม นี่จึงเป็นที่หนักใจอยู่มาก
เคยสอนหมู่เพื่อนก็สอนมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งด้านปฏิบัติหนักเบามากน้อยเพียงไรก็ได้นำมาสอน อะไรในโลกอันนี้จะเป็นเรื่องยุ่งเรื่องยาก เรื่องเหนียวแน่นมั่นคงยิ่งกว่ากิเลส ที่ฝังอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลกและของเรานี้ไม่มีเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นการแก้ไข การถอดถอน การต่อสู้กัน จึงต้องเป็นเรื่องหนักไม่ใช่น้อย ถ้าเราจะเอาแบบกิเลสมาใช้กับกิเลส ก็เป็นการเพิ่มพูนหรือบวกกิเลสให้มีจำนวนมากและมีกำลังมากขึ้น ทุกข์ก็เพิ่มขึ้นตาม ๆ กันกับกำลังแห่งกิเลสมีจำนวนมาก เราหวังผลประโยชน์อะไรถ้าไม่เพิ่มพูนทางด้านธรรมะขึ้น วิริยะก็ต้องเพิ่ม คือความเพียร อุบายวิธีการต่าง ๆ ต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง สังเกตเหตุสังเกตผล สังเกตการลบการบวกของตนเองในการประพฤติปฏิบัติพากเพียร สักแต่ว่าทำเฉย ๆ จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
สติเป็นของสำคัญเคยพูดเสมอ อยู่ที่ไหน อิริยาบถใด ให้เป็นเหมือนกันกับเข้าต่อสู้สงครามอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ก็ยอมทุกข์กับการต่อสู้ อย่ายอมทุกข์เพราะความแพ้ เพราะความนอนใจ ความคล้อยตามสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าอยู่แล้ว
ทำไมอริยสัจมีเต็มอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรบกพร่องเลย ทำไมจึงไม่เห็น นี่ซิน่าแปลกใจอยู่มาก เอาจิตส่งไปไหน เอาสติปัญญาส่งไปไหน จิต สติ ปัญญา เป็นสิ่งที่จะควรรู้ควรเห็นสิ่งที่มีอยู่ในกายในใจของเราโดยแท้ ทำไมจึงไม่รู้ไม่เห็น ส่งไปไหน ส่ายไปไหน สัจธรรมมีอยู่ในกายในใจนี้แท้ ๆ ทุกข์ที่แสดงเปลวขึ้นมาภายในใจ ก็มีเชื้อของมันส่งเสริมคือสมุทัย ความคิดความปรุงด้วยความอยากในแง่ต่าง ๆ ไม่มีประมาณนั้นคิดอยู่ตลอดเวลา ปรุงตลอดเวลา สำคัญมั่นหมายอยู่ตลอด มีอะไรเข้าไปขัดไปขวาง มีอะไรเข้าไปทดสอบเข้าไปพิจารณา เป็นเครื่องคัดค้านต้านทานกันบ้าง ถ้ามีก็ควรจะรู้ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดจากจิตแท้ ๆ สติปัญญาก็ผลิตขึ้นได้ในจิต อยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ปล่อยเรื่องสติปัญญาให้เหลวแหลกแหวกแนวไปเสียเท่านั้น
มีแต่เรื่องของทุกข์ของสมุทัยทำหน้าที่เต็มหัวใจอยู่ตลอดเวลา แม้ขณะที่สำคัญว่ากำลังทำความพากเพียรอยู่ ถ้าไม่เป็นทำนองที่กล่าวนี้อย่างไรต้องรู้ต้องเห็น เพราะสัจธรรมนี้สด ๆ ร้อน ๆ อยู่แท้ ๆ เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลาภายในกายในใจของเรา ไม่เป็นสิ่งที่จะต้องคว้าหาโน้นคว้าหานี้ คว้าไปตามเวล่ำเวลาตามฤดูกาล ตามสถานที่นั่นที่นี่ ตามอิริยาบถนั่นนี่ มันมีอยู่กับกายกับใจนี้ตลอดเวลาโดยไม่เลือกว่ากาลสถานที่เวล่ำเวลาใด ๆ เลย เป็นของมีอยู่เป็นปัจจุบันธรรม หรือว่ากิเลสก็เป็นปัจจุบันของมันอยู่นั้น ธรรมก็เป็นปัจจุบันธรรม หยิบยกขึ้นมาพิจารณาเมื่อไรก็รู้ก็เห็นกัน แต่นี้ทำไมจึงไม่รู้ไม่เห็น
เราหวังอะไรเรื่องความเกิดความทุกข์ความทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ เราเคยประสบพบเห็นมาด้วยกันแล้ว เป็นที่สงสัยที่ตรงไหน แล้วเรื่องความเกิดแก่เจ็บตายนี้ก็เอาตัวของเรานี้เป็นสักขีพยานยืนยันกัน ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันและอนาคตหาประมาณไม่ได้ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องของจิตตัวหลับตาไม่มีสติปัญญารักษาตนนี้เลย กลิ้งไปเหมือนลูกฟุตบอลเท่านั้นไม่มีอะไรมาเป็นวัฏฏะ ผู้พิจารณาต้องพิจารณาตรงนี้ เราสงสัยอะไรเรื่องโลกสงสารอันนี้ มีอะไรที่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ น่าแปลกประหลาด น่าติดอกติดใจอ้อยอิ่ง ให้ยึดให้ถือให้คล้อยตามตลอดเวลาไม่มีเวลาจืดจางเลย นอกจากเป็นเครื่องล่อของกิเลสโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เราสงสัยอะไร
ท่านผู้วิเศษไม่ใช่ท่านผู้นอนจมอยู่ในกองทุกข์นี้ ผู้สลัดปัดทิ้งซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วได้หลุดพ้นไป จึงให้นามว่าเป็นผู้วิเศษขึ้นมา และเป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ ดังพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาองค์ไหนก็วิเศษองค์นั้น เพราะพ้นจากสิ่งสกปรกโสมมไปแล้ว พระสงฆ์สาวกองค์ใดก็ตาม เมื่อหลุดลอยออกจากกองมูตรกองคูถคือกิเลสประเภทต่าง ๆ แล้ว เรียกได้เป็นผู้วิเศษด้วยกันทั้งนั้น ธรรมที่ท่านได้บรรลุท่านได้ตรัสรู้ก็เป็นธรรมวิเศษ เราเคยเห็นที่ไหนว่า กิเลสตัวราคะวิเศษ โทสะวิเศษ โมหะวิเศษ ความรักความชัง ความเกลียดความโกรธวิเศษ มีที่ตรงไหน เราถึงได้รักได้สงวนเอานักหนา จึงไม่เคยเห็นภัยมัน นอกจากถูกกล่อมตลอดเวลา
การเกิดแก่เจ็บตายถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นโซ่เป็นตรวนผูกมัดรัดรึงแล้ว จะอะไรเป็นผู้ผูกมัดรัดรึง เป็นผู้ชักผู้จูงให้เกิดในภพชาติต่าง ๆ พร้อมกับการหาบกองทุกข์ไปโดยลำดับลำดาในภพชาตินั้น ๆ ถ้าไม่ใช่ประเภทเหล่านี้จะเป็นอะไรไป ธรรมมีที่ไหนว่าพาสัตว์โลกให้ได้รับความทุกข์ ให้ได้รับความลำบาก ไม่เคยมี ทำให้สัตว์โลกได้รับความทุกข์ความทรมาน ไม่เคยมี ธรรมพาสัตว์โลกให้ล่มจมฉิบหาย ให้เป็นผู้ต่ำช้าเลวทรามไม่เคยมี มีแต่ให้วิเศษวิโสทั้งนั้น ดิบดีขึ้นไปโดยลำดับลำดาจนถึงขั้นวิเศษวิโส
ไอ้ที่กล่าวมาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เรื่องของกิเลส พาให้สัตว์ได้รับความทุกข์ความยากความลำบาก ความทรมาน ความต่ำช้าเลวทราม เกิดนั้นเกิดนี้เกิดไม่หยุดไม่ถอย เกิดที่ตรงไหนแบกทุกข์ที่ตรงนั้น คำว่าไม่ได้แบกทุกข์นี้ไม่มี ถ้าลงชื่อว่าได้เกิดแล้ว จะมากจะน้อยมีต่างกันบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ยังไงก็คือตัวภัย ทำไมท่านถึงว่าเรื่องความเกิดเป็นตัวภัย ก็เพราะไม่ใช่ตัวคุณ คุณก็คือความไม่เกิด มหาคุณคือความไม่เกิด ความเลิศความประเสริฐก็คือจิตที่ไม่เกิด จิตที่หลุดลอยออกจากสิ่งที่พาฝังจมมาเป็นเวลานานนี้ได้แล้วเท่านั้น จึงเป็นผู้ประเสริฐ จิตประเสริฐ
ความเพียรเราทำไมจึงให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลา มันวิเศษละเหรอในวงความเพียร เดินจงกรมก็ให้กิเลสเหยียบ นั่งสมาธิก็ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ ธรรมเกิดขึ้นได้ที่ไหน ความเผอเรอ ความไม่มีสติสตัง ความไม่จดจ่อต่อเนื่อง ความไม่เอาไหน เหล่านี้ล้วนแล้วแต่กิเลสแทรกอยู่ตลอดเวลา เราทั้งหลายอยากทราบ เอ้า พิจารณาตามที่กล่าวนี้ซิ นี่ได้พิจารณามาแล้วไม่ได้คุย ไม่อย่างนั้นไม่ได้สิ่งเหล่านี้มาพูด ต่อสู้กันเสียจนชีวิตบางทีจะหาไม่ไปเลยก็มี แต่มันก็ไม่ตาย จึงได้เรื่องเหล่านี้มาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง
ใครจะคิดก็คิดซิ มันวิเศษวิโสอะไรธาตุขันธ์อันนี้ ดูซิ ดินก็ทราบว่าเป็นดิน น้ำทราบว่าเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟอยู่แล้ว ในส่วนผสมที่เรียกว่าร่างกายนี้มีอะไรเป็นของประเสริฐเลิศเลอ มีความรู้ที่แทรกอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น อาศัยประสาทช่วยรับรู้ในแง่ต่าง ๆ ซึ่งออกไปจากความรู้อันเดียวคือใจเป็นสำคัญ ก็มีเท่านั้น และพิจารณาลงไปซิ กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเหรอ นั้นแลคือเครื่องมือที่ปราบวัฏจักรวัฏจิตที่ติดพันอยู่ในสิ่งเหล่านี้ แยกแยะออกให้เห็นตามความจริงของมัน ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เข้าไปถึงภายใน นอกจากความเป็นปฏิกูลโสโครกไปหมดทั้งร่างนี้แล้ว ท่านยังแสดง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทับลงไปอีก ซึ่งเป็นส่วนละเอียดเป็นลำดับไป
เราอยู่กับกอง อนิจฺจํ เป็นความสุขแล้วเหรอ นั่น อยู่กับกองทุกข์ กอดกองทุกข์เป็นความสุขแล้วหรือ อยู่กับ อนตฺตา กอด อนตฺตา อยู่ว่าเป็นตนเป็นตัวอยู่นั้น เป็นความสุขแล้วหรือ ถ้าสุขโลกนี้บ่นกันทำไม โลกนี้ต้องแบกทุกข์กันทำไม เพราะโลกนี้เต็มไปด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่แล้ว หากว่าพาโลกให้ประเสริฐจริง ๆ โลกนี้ควรจะประเสริฐไปนานแล้ว นี่ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเสี้ยนเป็นหนามเป็นพิษเป็นภัยนั่นเอง จึงได้สอนให้พิจารณาเพื่อถอดเพื่อถอนตนออกจากสิ่งเหล่านี้ การถอดถอนตนออกได้มากน้อย นั้นคือความพ้นภัยไปได้โดยลำดับ เมื่อถอนได้โดยสิ้นเชิงแล้วก็ภัยไม่มี ความทุกข์ก็สิ้นซากลงไป เพราะกิเลสสิ้นซาก
นี่ได้สอนซ้ำ ๆ ซาก ๆ สอนหมู่เพื่อนมาเป็นเวลาตั้ง ๓๐ กว่าปีแล้วนี่จนกระทั่งป่านนี้ สังขารร่างกายก็ร่วงโรยลงไป ๆ หมู่เพื่อนพอที่จะได้รับเหตุรับผลเป็นเครื่องทำนุบำรุงจิตใจ ให้ได้สืบต่อแขนงแห่งธรรม ตั้งแต่สมาธิธรรม ปัญญาธรรมขึ้นไป ก็ไม่ค่อยปรากฏแล้วทำยังไง นี่ตามปกติก็ไม่ประชุม เพราะเหนื่อยลำบากในธาตุในขันธ์แต่ก็ทนเอา เมื่อพอถูไถได้จึงต้องลงมา หมู่เพื่อนควรจะเห็นใจตัวเองด้วย เห็นใจครูอาจารย์ด้วย ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึก คำว่าข้าศึกอยู่ที่ไหนก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีเป็นความเคยชินต่อผู้ใด ใครสัมผัสสัมพันธ์เข้าก็เหมือนไฟ ต้องร้อนทุกระยะ ร้อนทุกจุดที่สัมผัสกัน กิเลสก็เหมือนกันอย่างนั้นเอง
วันหนึ่งคืนหนึ่งประกอบความเพียรมานี้เป็นผลยังไงบ้าง ได้บวกลบคูณหารกันบ้างหรือยัง ควรจะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขกันอย่างไร ไม่มีสติปัญญาไปไม่รอดนะ เรื่องกิเลสนี่แหลมคมขนาดไหนได้เคยพูดแล้ว มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ อย่างที่เคยเป็นมาก็คือเรื่องของกิเลสอยู่แล้ว จะรอดหรือไม่รอดมันก็จมอยู่แล้ว มีปัญหาอะไรที่จะพูดขึ้นมา นอกจากจะใช้สติปัญญาให้มีความละเอียด จะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงให้ทันกับเหตุการณ์ คำว่าเหตุการณ์คือเรื่องของกิเลสนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอื่นเรื่องใด
สมาธิก็อยู่กับตัวนี้ ภาวนาให้เป็นสมาธิทำไมจิตมันเป็นไปไม่ได้ ทำอะไรต้องทำให้จริงให้จังอย่าทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ อยู่ที่ไหนก็ให้กิเลสไปทำงานเสีย ในวงสมาธิก็ให้กิเลสไปทำงานอยู่นั้นเสีย มีแต่ชื่อว่าสมาธิ ภาวนาก็มีแต่ชื่อ ผู้ทำงานจริง ๆ คือเรื่องของกิเลส เรื่องความเผอเรอ ความเลื่อนลอย หาความพากเพียรไม่ได้ หาความอดทนไม่ได้ หาสติปัญญาไม่ได้ กลายเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียหมด แต่แล้วก็จะทวงเอามรรคผลนิพพาน ทวงเอามรรคผลนิพพานจากกิเลสได้ที่ไหน ถ้าไม่ทวงจากอรรถจากธรรม มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม เป็นต้น ไม่ต้องทวงก็ได้ ขอให้หนักแน่นในธรรมเหล่านี้ จะเป็นกุญแจเปิดออกให้เห็นแจ้งชัดเจนในความจริงทั้งหลายที่มีอยู่มากน้อย หยาบละเอียด พ้นสติปัญญานี้ไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าเคยประกาศกังวานมา ๒,๕๐๐ ปีนี้แล้วด้วยธรรมเหล่านี้ เราผู้ปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรนอนใจ
ผู้มาศึกษาอบรมพอสมควรที่จะขยับขยาย ก็ควรพิจารณาถึงหมู่ถึงเพื่อนที่เข้าใหม่ก็มี ผู้ที่จะมาใหม่ก็มี หัวใจมีคุณค่าด้วยกัน มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน มีแต่อัดแน่นอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่มาใหม่อบรมศึกษาก็ไม่ได้เรื่อง สุดท้ายผู้อยู่เก่าก็ไม่ได้เรื่องอีก แน่นอัดกันอยู่ เลยกลายเป็นข้องอึ่งข้องปลาไปเสีย อยู่ในข้องเต็มข้องนั่นแหละ คอยแต่จะลงหม้อน้ำร้อน วัดก็เลยเป็นเหมือนข้องปลาไปน่ะซิ หม้อน้ำร้อนก็คือ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา นั่นแลจะเป็นอะไรไป
นี่ดูมัน โห ขวางตามากนะระยะนี้ ทำให้คิดเอามากทีเดียว ที่เราห่างจากการแนะนำสั่งสอนการอบรม ตั้งแต่ออกพรรษามาแล้วนี้สุขภาพไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน การอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนก็น้อยลงไป ๆ จนแทบว่าจะขาดไปในบางครั้ง ทีนี้หมู่เพื่อนก็มาเรื่อย ๆ มองดูก็ขวางแล้ว ฟังด้วยหูก็ขวางแล้ว สัมผัสสัมพันธ์อะไร ๆ ขวางไปหมด อะไรมันขวาง ถ้าไม่ใช่เรื่องของกิเลสจะมาขวางได้ยังไง ก็เรื่องความผิดความพลาดความไม่น่าดู ความพลั้งความเผลอ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องคลังของกิเลสทั้งมวลแสดงตัวออกมา เจ้าตัวไม่รู้เพราะไม่มีเครื่องพิสูจน์ ไม่ได้พิสูจน์ ไม่สนใจพิสูจน์ในตัวเอง นี่สำคัญ มันจึงไม่รู้ ผู้อื่นอยู่ไกล ๆ มองเห็นทำไมรู้
เทศน์ไปมันก็ไม่ถึงไหนรู้สึกเหนื่อยแล้ว หยุดเพียงแค่นี้
พูดท้ายเทศน์
ธาตุขันธ์สำหรับใช้เมื่อชำรุดไปแล้วมันก็ไม่เอาไหนนี่จะว่าไง ก็บืนมายังงั้นละ แม้แต่ร่างกายทั่ว ๆ ไปก็รู้สึกว่าอ่อนมากปีนี้ มิหนำซ้ำโรคหัวใจยังฝังจมอยู่ภายในนั้นด้วย คอยแต่จะกำเริบ จึงทำให้วิตกวิจารณ์ถึงหมู่ถึงเพื่อนเกี่ยวกับธาตุขันธ์ของตัวเอง มันจะไปเมื่อไรก็ได้อันนี้ สำหรับเราเองเราไม่ได้วิตกวิจารณ์แหละ เฉพาะตัวเราเองนะ จะไปเมื่อไรไม่มีปัญหาอะไรนี่ ในหัวใจนี้ไม่มีก็บอกไม่มี เราไม่มาเกี่ยวข้องไม่มายุ่งมันกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เรื่องสมมุติ นี่จึงว่าไม่วิตกวิจารณ์กับมัน ไม่มาเป็นกังวลกับมัน มันเป็นสัดเป็นส่วนอยู่แล้วตามหลักธรรมชาติ
แต่ที่วิตกกังวลหรือเป็นห่วงมากก็คือเพื่อนฝูงนั่นเองที่มาศึกษาอบรม อันนี้ทำให้เป็นห่วงอยู่มาก เพราะครูบาอาจารย์ที่จะให้อรรถให้ธรรม รู้สึกว่าร่อยหรอลงไปทุกวัน ๆ แม้มีชีวิตอยู่ท่านก็ไม่สามารถที่จะนำออกใช้ได้แล้ว บรรดาธรรมที่บรรจุไว้ภายในจิตใจของท่าน เมื่อเครื่องมือไม่อำนวยก็ใช้ไม่ได้ อย่างหลวงปู่ขาวเราก็เห็นอยู่นั้น เพียงประคองขันธ์นี้ก็จะประคองไม่ได้แล้ว คนอื่นช่วยประคองให้เวลานี้ ส่วนจิตท่านจะเป็นอะไร ขันธ์จะแข็งแรงไม่แข็งแรงจิตท่านจะเป็นอะไร จิตท่านไม่ใช่ขันธ์นี่ ขันธ์ไม่ใช่จิต
อยู่ตามลำพังเจ้าของเองไม่อยากยุ่งกับอะไร นี่ปล่อยมันไปนานแล้วนะนี่ วันไหนก็วันขันธ์เอาอะไรกับมัน ดินก็ดิน เหยียบอยู่นี้ก็ดิน นั่งอยู่นี้ก็ดิน น้ำก็น้ำ ลมก็ลม ไฟก็ไฟ จะเอาอะไรกับมัน มันก็เต็มอยู่ด้วยดินด้วยน้ำด้วยลมด้วยไฟในโลกอันนี้ บกพร่องที่ไหน ถ้าจะเอาเป็นมรรคเป็นผลมันก็รวยกันทั้งโลกนั่นแล้ว ใครจะมีความบกพร่อง มาบ่นทุกข์กันทำไม แต่นี้ไม่ใช่มรรคใช่ผลน่ะซิ แม้อยู่ในกายของเรามันก็เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟของมัน อยู่ตามหลักธรรมชาติของมัน จะเสกสรรปั้นยอสักเท่าไรมันก็ไม่ได้เป็นไปตามความเสกสรร
ในจิตมันหดตัวเข้ามา ๆ อย่างนั้นนะทุกวันนี้ เรื่องรับผิดชอบอะไรมันหดเข้ามา ๆ ขนาดนี้ก็รู้ชัด ๆ แล้ว โรคหัวใจนี้ถ้าไม่มีอะไรทางภายในใจช่วยไว้บ้าง มันไปนานแล้วนะของผมนี่ สมมุติว่าจะปล่อยต้องไปนานแล้วนะ พอพยุงมันได้ก็พยุงกันไปอย่างนั้น ถ้าปล่อยตามเรื่องของมันแล้วก็ดูจะไปง่าย ๆ นี่พอพยุงก็พยุงไป เหมือนกับยารักษาโรคนั่นแหละ ธรรมโอสถรักษาใจก็เหมือนกัน พอพยุงกันไปก็พยุงกันไป เมื่อยุบยอบพอแรงแล้วก็ปล่อยเสีย ก็เหมือนกับยากับคนไข้นั่นแหละ
วัตถุนั่นละมันเข้ามาท่วมทับน่ะให้ระวัง นี่ไม่ได้ชินต่อสิ่งเหล่านี้นะหัวใจนะ มันชินมันกลมกลืนอยู่กับธรรมต่างหากนี่ ธรรมนี่เหมือนกับว่าอะไรมาแตะไม่ได้ว่างั้นเลย นอกจากนั้นสิ่งใดจะขาดตกบกพร่องนี้ ไม่ได้ถือเป็นสำคัญอะไรนักเลย ไม่ได้ถือเป็นอารมณ์ยิ่งกว่าธรรม นั่นซิเมื่อเวลาเห็นอะไรแปลกหูแปลกตาเข้ามันสะดุด ๆ นะ แปลกหูแปลกตาก็คือว่า ข้าศึกมันจะมาเหยียบย่ำทำลายธรรมนั่นเอง จึงพยายามสงวนไว้ ต่อไปธรรมจะไม่มีนี่นะ มีแต่วัตถุเต็มไปหมด เลยศาสนวัตถุละซิ ไม่ใช่ศาสนธรรมเสียแล้ว นั้นก็หรูหรา นี่ก็หรูหราเข้ามา จะเอาอะไรกับมัน สิ่งเหล่านี้เต็มแผ่นดินอยู่แล้วนี่ อาศัยไปเท่านั้นเอง
ธรรมต่างหากวิเศษประเสริฐ ไม่มีอะไรเหมือนในโลกธาตุนี้ และไม่มีอะไรเหมือนธรรม ไม่มีอะไรเหมือนใจ ถ้าใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไม่มีอะไรเหมือนใจ ไม่มีอะไรเหมือนธรรมในสามแดนโลกธาตุนี้ นั่นฟังซิ เพียงเท่านั้นก็ทราบแล้วว่าไม่มีอะไรประเสริฐเหมือนนั้น แน่ะ อย่างจะมาเห็นสิ่งเหล่านั้นประเสริฐอยู่ อันนี้ก็ยุบยอบ อันนี้ก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่ขยับใส่อันนี้มาก ๆ
การภาวนาถ้าไม่มีจุดไม่มีหมายไม่มีที่สูงที่ต่ำกันบ้าง ก็ไม่เห็นกำลังของกันและกัน แล้วนิสัยผมเป็นอย่างนั้น จึงได้เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังเสมอ อะไรก็ได้เข้าขั้นทดลองกันดูเสียก่อน ถึงได้อันนั้นละมาใช้ เอามาใช้เป็นการเป็นงานเลย จิตเวลาไม่จนตรอกนี้ก็โอ้เอ้ ๆ อยู่นั่น เวลาจนตรอกจริง ๆ จะตายจริง ๆ อะไรตาย ค้นลงไปหาที่มันตาย มันจะทุกข์ขนาดไหนจิตก็รู้อยู่นี้ มันตายเมื่อไร ฟัดกันลงไปตรงนั้นเอาให้เห็นความจริง วันนี้อะไรตายก็ตายเถอะ ให้รู้ต่อหน้าต่อตากันนี้วันนี้ เราจะดูทั้งความเป็นความตายนั้นละ อะไรตายอะไรไม่ตายให้รู้ แต่จิตนี้เป็นนักรู้นี่ ขุดค้นลงไป ทุกข์มากเท่าไรมันก็ไม่ถอย ความตายทิ้งข้างหลังไว้เลย
เอาความจริงกางไว้ข้างหน้านี้ ให้มันเอื้อมใส่ความจริง สุดท้ายก็ทะลุไปเลย หือ เป็นอย่างนี้หรือ ทีนี้ทำไมจะไม่ได้คำพูดมาพูดเมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว คำพูดนี้เอาออกมาจากความรู้นั้น นั่นทำไมจะพูดไม่ได้วะ เมื่อมันรู้มันเห็นเข้าไปแล้วพูดได้ทั้งนั้นแหละ สิ่งไรที่พูดไม่ได้เหมือนโลกก็รู้กันอยู่อย่างนั้น ปฏิเสธกันไม่ได้ ดังที่ว่าธรรม ๆ นี้ไม่มีอะไรเหมือนนี่ เอ้าจะว่าอย่างนี้ ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเหมือน ว่างั้นเลย แต่ก็พอพูดได้ว่าธรรม ๆ ก็พูดเสีย ธรรมชาติอันนั้นพูดไม่ได้ก็ไม่พูด แต่รู้กันอยู่นั้นจะว่าไง นี่ถึงกล้าพูดซิว่า ไม่มีอะไรสัมผัสสัมพันธ์ธรรมได้นอกจากใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งหมดนี้ก็ใช้กันไปคนละแบบละฉบับไปเสีย ไม่ใช่ฐานะที่จะเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์ธรรมได้นอกจากใจ เพราะฉะนั้นจึงปรับใจให้ดี ควรจะสัมผัสสัมพันธ์ธรรมในขั้นสมาธิ ก็ให้ได้สัมผัสสัมพันธ์ในใจของตัวเอง ปรับเข้าไป ๆ ธรรมมีอยู่แล้วเป็นแต่เพียงปรับจิตไม่ถูกเท่านั้นเอง
ปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา ธรรมไม่เคยล้าสมัย มันล้าสมัยแต่กิเลสพาให้ล้าล่ะซี ธรรมไม่ได้ล้า ถ้ามันมีวงในวงนอกกันบ้างเหมือนเขาต่อยมวยชกมวยกันมันก็ดี นี่อะไรก็เรื่อย ๆ ไม่ได้อะไรสะดุดใจนะ เมื่อไม่มีอะไรสะดุดใจแล้วกำลังใจก็ไม่เกิด กำลังใจเป็นสำคัญมากนะ ถ้าลงมีกำลังใจแล้วมันพุ่ง ๆ ๆ เราจึงเห็นว่ากำลังใจนี่สำคัญมากทีเดียว เจ้าของนั่นแหละเป็นผู้จะเพิ่มกำลังให้มีขึ้นมา โดยอาศัยครูอาจารย์เป็นผู้แนะแนวทางให้ เมื่อเวลาไปเจอเข้าเท่านั้นละ นั่นละกองกำลังขึ้นที่ความจริงนั้นแหละ พอได้เจอเข้าแล้วความเชื่อไม่ต้องบอก ฝังลงทันทีเลย แม้สิ่งนี้จะไม่ปรากฏอีกก็ไม่ถอน นั่นจึงเรียกว่า อจลศรัทธา ได้เคยรู้เคยเห็นแล้วสิ่งนี้ แม้จะไม่ปรากฏทุกเวล่ำเวลาที่ต้องการก็ตาม แต่สิ่งนี้มีแล้วได้เห็นแล้ว นั่น ปฏิเสธไม่ได้ มีแต่จะขุดค้นลงไปให้ถึงอย่างนั้นอีก หรือยิ่งกว่านั้นเข้าไป ถ้าควรจะยิ่งได้ยังไงให้ยิ่งเข้าไป กำลังใจมีแล้วมันพุ่ง ๆ
คิดดูซิแต่เดินจะหกล้มก้มกราบ จิตยังเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ไม่ได้อ่อนไปตามร่างกายเลย เช่นเวลาเราทรมานเราอย่างหนักนี้มี มันจะก้าวขาไม่ออก ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านก็จะไม่ถึงบ้านเขา นั่นเพลียขนาดไหน ร่างกายมันอ่อนเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่ยังหนุ่ม ๆ อยู่นั่นละ ก็เพราะการฝึกการทรมาน ทีนี้จิตไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่ มันเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าโน่น แม้ถึงเวลาที่ควรจะไปฉันแล้วนะ จิตแทนที่จะกระหยิ่มในเรื่องฉัน มันไม่เป็นนะ แต่ไม่ฉันให้มันก็จะตายเสีย จะไม่ได้ทำคุณถึงที่ถึงฐาน จำเป็นต้องเยียวยากันไป ได้ฉันไปแล้วก็รู้
นิสัยเราหยาบ เวลาฝึกกันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้ามันไม่ควรรู้ ถึงสิ่งที่ควรจะรู้มันก็ไม่รู้ ถ้าถึงขั้นเป็นของมันแล้วก็ไม่ต้องบอก นั่นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ขั้นที่ต้องถูต้องไถมันต้องถูไถกันบ้าง ควรหนักต้องหนักกันบ้าง ถ้าถึงเวลาที่รู้การรู้งานแล้วมันไหลของมันไปเอง ไม่ต้องพูดแหละอันนั้นหากเป็นในเจ้าของนี้แหละ ไม่มีใครบอกก็รู้ เช่นอย่างสติปัญญาอัตโนมัติอย่างนี้ ท่านว่ามหาสติมหาปัญญา เราก็ได้ยินแต่ชื่อไม่เคยสัมผัสสัมพันธ์ แต่พอเกี่ยวข้องกันสัมผัสสัมพันธ์กันแล้วไม่ถามก็รู้ เพราะเป็นความจริงอันเดียวกันนี่ จิตที่เคยโง่เง่าเต่าตุ่นคืบ ๆ คลาน ๆ ล้มลุกคลุกคลานนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่ มันเป็นตัวใหม่ขึ้นมา คล่องตัวเสียทุกอย่าง หูดีตาดีไปหมดเมื่อสติปัญญาดีเสียอย่างเดียว อะไรสัมผัสสัมพันธ์มันวิ่งถึงกันพั่บ ๆ ๆ เลยเชียว มันอยู่เฉย ๆ เมื่อไร จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะต่อสู้แล้วมันยุติกันไปเอง
ธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ แท้ ๆ นี่นา ทำไมจึงคืบคลานเข้าไม่ถึงนี่หมู่เพื่อน ผมน่ะวิตกวิจารณ์มากตรงนี้ซิ เทศน์ก็เทศน์ความจริงให้ฟังเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกแง่ทุกมุม ตั้งแต่เวลามีกำลังวังชาสุขภาพอำนวยอยู่ก็เทศน์ให้เต็มเหนี่ยว ทุกวันนี้ไม่ได้เรื่องแล้ว พอพูดไปก็หอบไปแล้วจะว่าไง นี่ก็ถึงได้หยุดน่ะซิ มันรู้แล้วภายในนี่ว่าจะไปไม่รอด
โห กิเลสปิดหูปิดตาใจนี้ปิดจริง ๆ นะ ปิดมืดมิดปิดตา เอาของปลอมเข้ามาหุ้มห่อไว้หมดเลย จนไม่เห็นของจริงได้เลยนี่ซิ ผิดอะไรกับคนตาบอดหูหนวก ไปที่ไหนก็ถูกกิเลสจูงไป ไม่ได้ไปโดยลำพังอิสระเจ้าของ เหมือนคนตาบอดไป ลูบ ๆ คลำ ๆ ไป เดี๋ยวโดนนั้นเดี๋ยวโดนนี้ล้มลุกคลุกคลานถลอกปอกเปิก เพราะไปไม่ถูกทาง คนตาบอดมันจะไปถูกทางอะไร นี่ใจบอดก็อย่างนั้น มันก็โดนโน้นโดนนี้ โดนรักโดนชัง โดนเกลียดโดนโกรธ ผลสุดท้ายก็มีแต่กองทุกข์ สิ่งเหล่านี้จูงไปหากองทุกข์ ผิดอะไรกับคนตาบอด ฟังให้ถึงใจซิ ให้จิตเปิดออกจากนี้ดูซิถึงจะได้รู้ชัดเจน อย่างที่ว่าอวกาศของจิตอวกาศของธรรม อวกาศของโลกอวกาศของธรรมไม่ผิดกันแหละ เมื่อหมดความดึงดูดแล้วมันไปได้คล่องตัวอย่างว่า
จิตเมื่อหมดสิ่งดึงดูดแล้วก็เหมือนกันนั้น ไม่มีอะไรจะมาครอบได้เลย เหนือหมดทุกอย่าง อยู่ไหนก็เหนืออยู่อย่างนั้น ไม่มีคำว่ากาลสถานที่ อกาลิกจิต พอแล้ว เพราะฉะนั้นการเป็นการตายจะไปกำหนดมันหาอะไร เหมือนกับยกซุงทั้งท่อนจะปรุงให้มันหนักทำไม ก็รู้เสียทุกอย่างแล้วมันก็อยู่เท่านั้นเอง อยู่กับรู้ ๆ นั้นเท่านั้น พอดีกับอันนั้น ไม่ต้องไปปรุงไปแต่งอะไรให้หนักให้ลำบาก
มันดูดมากนะ เวลาเริ่มแรกนี้ดูดเอาจริง ๆ จนจะขยับตัวไม่ได้นะ กิเลสดูดจิตมันดูดขนาดนั้นนะ นั่งภาวนาชั่วครู่ชั่วยามนี้เหมือนจะเอาไปฆ่านั้นละ มันดิ้นรนกวัดแกว่งไปหมด พอก้าวเข้าสู่สมาธิได้บ้างละ เอ้อ ความดึงดูดทั้งหลายก็ค่อยเบา เห็นได้ชัด จิตสงบเย็น แต่ก่อนไม่เย็น มันยุ่งอยู่กับอะไรต่ออะไร ปรุงมีแต่ปรุงเรื่องของกิเลส มีแต่กิเลสทำงานท่าเดียว ทีนี้ไม่ทราบจะหลีกจะเร้นไปไหน ก็เหมือนคนตาบอดอย่างว่า ไปไหนก็โครมคราม ๆ ก้าวไปไหนก็โครมคราม ๆ มีแต่ขวากแต่หนาม ตาบอดแล้วไปไหนก็มีแต่ขวากแต่หนาม เมื่อจิตไม่มีช่องมีทางไปเป็นอย่างนั้นแหละ คิดไปเรื่องไหนก็มีแต่ฟืนแต่ไฟไปหมด นี่ซิมันสำคัญ
มันเป็นมาหมดแล้วนี่ถึงได้นำมาพูด ที่นี่เวลามันเบิกออก ๆ ก็รู้ชัดเข้าไป ๆ พอจิตก้าวเข้าสู่สมาธิเป็นสมาธิ เย็น ที่นี่สบาย ไปไหนก็สบายไม่ยุ่งกับอะไร แม้กิเลสยังมีอยู่แต่ก็ไม่ได้ออกเพ่นพ่าน เพราะกิเลสประเภทหยาบ ๆ สงบตัวลงไป เพราะสมาธิครอบหัวมัน จากนั้นถึงได้คลี่คลายทางด้านปัญญา เหมือนกับว่าปิดประตูแล้วทีนี้ เข้าฟันกันในคอกนั่นแหละ สมาธิเป็นเหมือนปิดประตูไว้เข้าสู่ความสงบเป็นบาทเป็นฐานแล้ว เอ้า ที่นี่มีกำลังแล้ว ปัญญาคลี่คลายเข้าไป ฟันเข้าไป แยกแยะออกมา จึงเป็นวรรคเป็นตอนเลยที่นี่ กิเลสตัวไหนขาดไป ๆ ขาดด้วยปัญญา ๆ รู้ รู้จนกระทั่ง อ๋อ สมาธิไม่ใช่ผู้ฆ่ากิเลส เป็นแต่เพียงว่าครอบหัวกิเลสไว้เท่านั้น บทเวลาฆ่าจริง ๆ เป็นเรื่องของปัญญา มันก็รู้ได้ชัดซิ
กิเลสละเอียดเท่าไร สติปัญญายิ่งละเอียดลงไป ๆ ตามกันไป ๆ ทันกันไปเรื่อย ฆ่ากันไปเรื่อย มันจะเอามาจากไหนกิเลส มีแต่ฆ่าอย่างเดียวไม่ได้ผลิตขึ้นมานี่ เมื่อถึงขั้นไม่ผลิตมันไม่ผลิตนะ ถึงขั้นฆ่าแล้วมีแต่ฆ่าทั้งนั้น จนกิเลสโผล่ออกมาไม่ได้ โผล่ออกมาก็หัวขาดเลยนี่ ถึงปัญญาขั้นนั้นแล้วเป็นปัญญาไม่ถอย เป็นปัญญาไม่มีคำว่ากลัวกิเลส สะทกสะท้านต่อกิเลสไม่มี มีแต่ขยับหาทั้งนั้น คุ้ยเขี่ยหา มันจึงเลยไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะค้นหาอะไร แน่ะหมดแล้ว กุสลา ธมฺมา เผามันเรียบหมดเลย ความฉลาดเผากิเลสหมดแล้วก็อยู่สบาย
บางคืนไม่คิดว่าจะภาวนาตลอดรุ่งอะไรเลย นั่งภาวนาธรรมดานี่ ทีนี้ภาวนา ๆ ไปทุกขเวทนามันเกิดนี่ซิ ทีแรกก็สงบแหละจิต สงบแน่ว จากนั้นมาทุกขเวทนามันก็ขึ้นของมัน หนักเข้า ๆ ทนไม่ไหว เปลี่ยนท่ารบใหม่ซิที่นี่ สุดท้ายความสงบนั้นก็รื้อบัลลังก์เลย หมุนออกทางด้านปัญญาฟัดกันเลย จนกระทั่งปัญญานี้ตีแตกกระจายไปหมดแล้ว ทีนี้เป็นสมาธิเอง ลงแน่วเลย เป็นเอง อันนี้เป็นสมาธิเกิดขึ้นจากด้านปัญญา คือเป็นสมาธิที่อะไรพูดไม่ถูกนะ สมาธิประเภทนี้เป็นสมาธิกรณีพิเศษ เหมือนอย่างเราใช้ปัญญาที่เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธินั่นแหละ อัปปนามันก็เลยเสีย อะไรพูดไม่ถูกนะ อัปปนาเราก็เคยเป็นนี่ แน่วตลอด จะให้ลงเมื่อไรก็ได้ นี่มันชำนาญขนาดนั้นอัปปนา หากรู้ แต่อันนั้นไม่เป็นอย่างนั้นนี่ จะว่าอัปปนามันก็พูดไม่ถูก แต่พูดรวม ๆ เอาว่าเป็นสมาธิ คือแน่นปึ๋งเลย แน่นเอาเสียจนไม่มีอะไรเข้าไปเกาะเลย นั่นด้วยอำนาจของปัญญา
การพิจารณากายนอกกายในนั้นมีความสำคัญเท่ากัน ขอแต่ความถนัดความสัมผัสของจิตเถอะ ถ้าพิจารณาทางข้างในไม่ได้ เอาข้างนอกเสียก่อน มันติดมันเกี่ยวข้องกับเรื่องรูปอะไร ยกรูปนั้นมาตั้งกึ๊กลงไปแล้วพิจารณาแยกแยะเลย เอามันหลายครั้งหลายหนจนเป็นที่เข้าใจ แล้วถึงย้อนเข้ามาภายในของตัวเอง อย่างนั้นนะการพิจารณา
กายวิภาคไม่ใช่ว่าจะมาวิภาคเฉพาะกายภายใน กายภายนอกก็วิภาคได้ วิภาคคือแยกแยะออก นั่นท่านว่าวิภาค ๆ คือแยกออก อุคคหนิมิต ยกขึ้น อุคฺคห แปลว่ายกขึ้น ยกขึ้นพิจารณา เป็นปฏิภาคคือแยกส่วนแบ่งส่วนออกไป ภาคก็แปลว่าส่วน อุคฺคห ยกขึ้น อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต จะยกเอารูปกายใดมาก็ได้มาตั้งไว้ตรงนั้น กำหนดพิจารณาตั้งแต่ผิว ๆ มันเข้าไป ๆ แยกแยะออกไป กำหนดให้มันพังทลายให้เห็น แต่กิเลสหลอกเรามันยังหลอกได้ อุบายเหล่านี้เป็นอุบายที่จะแก้ความหลอกลวงของกิเลสด้วยธรรม กิเลสมีอย่างนั้น ธรรมก็มีอย่างนี้แก้กัน กิเลสว่าอันนั้นมันสวยมันงาม เอ้า อันนี้ไม่สวยไม่งามเข้าไปแก้กัน นั่น นี้เป็นฝ่ายมรรค อันนั้นเป็นฝ่ายกิเลส
การแก้นี้พิจารณาเป็นอุคคหนิมิตเป็นปฏิภาคนิมิต ยกขึ้นแล้วแยกแยะกันออกนี้เป็นฝ่ายมรรค ทีนี้มาพิจารณาภายในก็ได้ เมื่อพิจารณาภายนอกแล้วพิจารณาเข้ามาภายใน เทียบกันได้ทุกสัดทุกส่วน เอาจนพอ ถือเป็นการเป็นงานตลอด จนกระทั่งมันพอของมัน มันรู้เองเวลาพอ ไม่ว่าอสุภะภายนอกภายใน ไม่ว่ากายเขากายเรา พอแล้วมันปล่อยทั้งนั้นแหละ นี่จึงได้พูดถึงเรื่องสุภะอสุภะเมื่อเวลามันปล่อยของมัน มันผ่านตรงกลางเลยนะ ไม่ได้ไปอสุภะ ไม่ได้ไปสุภะ ให้เห็นอย่างนั้นซินักปฏิบัติ
ไม่มีใครบอกมันก็รู้ของมัน ธรรมมีอยู่กับทุกคน จำเป็นอะไรจะต้องไปดูแต่ในแบบแผนตำรับตำราอย่างเดียวเท่านั้น ธรรมมีอยู่ทั่วไป ความจริงมีอยู่ทั่วไป กิเลสมีอยู่ทั่วไป ทำให้เกิด-เกิดได้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปดูตำรากิเลสก็เกิด ไม่ต้องไปดูตำราธรรมก็เกิดถ้าพิจารณาให้ถูกในแง่ของธรรม พิจารณาให้เป็นไปในแง่ของกิเลสไม่ต้องดูตำราก็เกิดกิเลส ธรรมเป็นของจริงที่ปรากฏขึ้นในจิตใจนี้มันมากยิ่งกว่าเป็นไหน ๆ แตกแขนงออกไปมีสิ้นสุดเมื่อไร อันนี้พระคันถรจนาจารย์ท่านก็จดจารึกกันไว้อย่างนั้นพอประมาณตามกำลังของท่าน และตามกำลังของผู้ที่จดจำเท่านั้น ว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ความรู้อันเป็นของจริงที่เกิดขึ้นในใจมีกำหนดเมื่อไร ไม่มี แตกแขนงกันออกไปไม่มีขอบเขต
ดังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านพูด ที่เราเขียนไว้ในการโต้ตอบปัญหานั่นดูเอาซิ ธรรมเกิดได้ทุกเวล่ำเวลา ท่านจึงพูดว่า ธรรมที่มีในคัมภีร์นี้เหมือนกับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไร ที่นอกคัมภีร์น่ะซิเหมือนน้ำในท้องฟ้ามหาสมุทร ฟังซิ จิตนี่มีขอบเขตเมื่อไร เมื่อถึงเวลารู้แล้วมันกระจายออกไปหมดเลย จะเอาอะไรมาเป็นขอบเขตของจิตประเภทนี้ล่ะ จิตประเภทนี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ไม่ได้ถูกกักขังนี่ แหวกว่ายหัวหางกลางตัวได้สุดเขตสุดแดนของโลกธาตุจะว่าไง จะเอามาพูดอะไร ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านกล่าวไว้พอประมาณเท่านั้น
ให้รู้ขึ้นภายในของผู้ปฏิบัติซิมันถึงชัดเจนว่ะ อย่างพระพุทธเจ้าสอนโลก รายนี้เข้ามาเป็นรายหนึ่ง รายนั้นเข้ามาเป็นอย่างหนึ่ง มีกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านรายมันเหมือนกันเมื่อไรนิสัยคน การแสดงธรรมจะไปแสดงแบบเดียวกันได้เหรอ รายไหนมานิสัยอย่างไรมาก็ต้องตอบอย่างนั้น เพื่อให้ได้ประโยชน์แก่ผู้นั้น เหมาะสมกับจริตนิสัยของผู้นั้นได้รับประโยชน์ ผิดกันไปเปลี่ยนกันไปเป็นราย ๆ ไปเลย ธรรมะของท่านท่านไม่ได้ไปค้นหาคว้ามาจากไหนแหละ พอทางนั้นพับทางนี้ขึ้นรับแล้ว มีอยู่กับนี้แล้ว นอกจากไม่นำออกใช้ตามเหตุการณ์เท่านั้น เมื่อมีเหตุการณ์อะไรก็นำออกใช้ทันที ๆ ท่านจะไปหาคว้ามาจากไหนคว้าไม่ทัน ถ้าไปหาคว้าแล้วไม่ทัน ตายทิ้งเปล่า ๆ มีอยู่กับใจหมดแล้ว คว้าไม่คว้าก็อยู่กับนั้นเลยจะว่าไง ถืออยู่กับมือแล้วจ้วงเข้าไปเลยจะว่าไง แทงเข้าไปเลยซิ
เราตัวเท่าหนูแต่มันอาจหาญพูดนี่นะเรื่องเหล่านี้ อาจหาญตรงที่จิตไม่ได้เป็นผู้ต้องหาแล้วนี่นะว่างั้นเลย ถ้าลองจิตได้พ้นจากความเป็นผู้ต้องหา พ้นจากความถูกกักขังแล้ว มีประมาณที่ไหนความรู้อันนี้ว่างั้นเลย เวิ้งว้างไปหมด รู้ไปได้หมด พูดไปได้ทั้งนั้น มันก็รู้ได้ชัดนี่ เมื่อไม่มีกิเลสเสียอย่างเดียวเอาอะไรมาขวางจิตประเภทนี้ จิตดวงนี้วะ ว่าโลกนี้มีก็เหมือนไม่มี เมื่อจิตไม่ไปสัมผัสสัมพันธ์เสียอย่างเดียว มันเวิ้งว้างไปหมดโลกธาตุนี่ จิตต่างหากไปพัวไปพันไปติดไปเกาะ กิเลสพาให้เป็นต่างหาก แน่ะ เมื่อตัวพาให้เป็นตายไปเสีย ฉิบหายไปเสียแล้ว อะไรจะไปให้เป็นอย่างนั้น มีแต่จิตแต่ธรรมล้วน ๆ แล้ว ไปติดอะไรกับอะไร ไปข้องอะไรไปคาอะไร ก็เหมือนอย่างอวกาศน่ะซิ เวิ้งว้างไปหมดเลย