ผู้มีความมุ่งหวังที่จะทำจิตใจให้หลุดพ้นจากเครื่องบีบบังคับและกดถ่วงทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้มีท่าทางแห่งความเพียรด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร กลมกลืนไปอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่ใช่เป็นผู้ล้าหลัง ไม่ใช่เป็นผู้เคยชินแบบโลก ๆ แบบกิเลสกับความเพียรทั้งหลาย แต่เป็นผู้ระมัดระวังอยู่เสมอ การจะแหวกว่ายตนเองให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เคยบีบบังคับนั้น เป็นภาระอันหนักอยู่มาก ถ้าจะนำเรื่องกิเลสหรือจะเปิดโอกาสให้กิเลสเข้ามาแทรกแซงในวงความเพียรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประโยคแห่งความเพียรใด จะเป็นไปด้วยความยุ่งยากวุ่นวาย ด้วยความรู้สึกภายในใจอยู่โดยสม่ำเสมอ นี่พึงทราบว่ากิเลสได้สวมรอยเข้ามาสู่วงความเพียรแล้ว
จะเดินจงกรมก็ทำให้อิดหนาระอาใจ ขี้เกียจขี้คร้าน นั่นคือกิเลสเข้าทำงาน เข้ากีดขวาง จะนั่งสมาธิเพื่อบังคับจิตใจให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจ จากความวุ่นวายของกิเลส ก็เกิดความท้อแท้อ่อนแอ ความท้อแท้อ่อนแอนี้ คือเรื่องของกิเลสแทรกอยู่ในนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเพียรในอิริยาบถใด วิธีการใด ไม่พ้นเรื่องของกิเลสจะเข้าแทรกแซงอยู่จนได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอำนาจมากในหัวใจของสัตวโลก เฉพาะอย่างยิ่งในหัวใจของเราผู้เป็นนักปฏิบัติ จึงต้องต่อสู้ขัดขวางกันทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นเสียแต่หลับเท่านั้น
งานนี้ถ้าเป็นงานของธรรมแท้แล้ว จะเป็นความพออกพอใจ เป็นความตะเกียกตะกาย หวังเพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว เรื่องความยากความลำบากทั้งหลายนั้นไม่เป็นอารมณ์ภายในจิตใจ ขณะที่ประกอบความเพียรในประโยคนั้น ๆ เลย นี่คือธรรมแท้เป็นอย่างนี้
ทุกข์หรือไม่ทุกข์ ยากหรือไม่ยาก ความมุ่งหมายหรือความมุ่งมั่น เป็นหลักใหญ่ยิ่งกว่าความทุกข์ความลำบากทั้งหลายเหล่านี้ นั่นคือความเพียร นั่นคือธรรม เรียกว่าวิริยธรรม ขันติธรรม หนุนเข้าไป ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายเมื่อไม่ได้ผ่านสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วจะไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอะไร แต่จะถือว่าเป็นมิตรเป็นสหายเป็นเลือดเนื้ออันเดียวกับความรู้สึกของเราที่คิดออกมาในแง่ต่าง ๆ โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้คือตัวพิษตัวภัยที่สิงหรือแทรกสิงอยู่ภายในจิตใจของเราเลย ผู้ปฏิบัติจึงไม่ทราบว่าอะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นธรรม สุดท้ายก็กอบโกยเอาแต่กิเลสในวงความเพียรที่ตนเข้าใจว่า ตนได้ประกอบความเพียรนั้นแล ไม่ได้มีธรรมติดมาด้วยแม้น้อยหนึ่งเลย นี่การประกอบความพากเพียรที่เป็นไปไม่ได้เพราะเหตุนี้ ให้ท่านทั้งหลายทราบไว้
นี่ไม่ได้คุย ได้ปฏิบัติฟัดกันมาเต็มสติกำลังความสามารถชีวิตเป็นเดนตายมา ไม่คาดไม่ฝันว่าจะมาเป็นครูเป็นอาจารย์ ที่ต่างคนก็เสกสรรปั้นยอว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ ให้แนะนำสั่งสอนมาดังที่ปรากฎอยู่เวลานี้เลย ในขณะที่ฟัดที่เหวี่ยงต่อสู้กับกิเลส เอาเป็นเอาตายแลกกันในขณะนั้น บางทีมันยังแทรกขึ้นมาได้ต่อหน้าต่อตาเรา ทั้ง ๆ ที่กำลังประกอบความเพียรอยู่นั้นว่าหนักมากไป ทรมานมากเกินไป แทนที่จะให้กิเลสตาย ตัวเองจะตาย ว่าตัวเป็นคนต่ำต้อยเลวทรามไม่เหมือนมนุษย์มนาทั้งหลาย จึงต้องมาได้รับความดัดสันดาน การดัดสันดานอยู่ในสถานที่ที่ใครไม่พึงปรารถนา เช่นป่า เช่นเขา ดังที่อยู่เวลานี้
นี่มันแทรกขึ้นมา เหล่านี้เราอย่าเข้าใจว่าเป็นธรรม เป็นเรื่องกิเลสที่ตามแทรกขึ้นมาจะฉุดลากเราออกมาจากสถานที่ที่เหมาะสม สถานที่ที่ปราชญ์ทั้งหลายท่านได้ชัยชนะ สถานที่ที่ปราชญ์ทั้งหลายท่านต่อสู้กับกิเลสมารทั้งหลาย สถานที่ที่ท่านได้ชนะบริสุทธิ์พุทโธขึ้นมา กิเลสจะฉุดลากออกจากสถานที่นั้นเข้าสู่เงื้อมมือของมัน แล้วเหยียบย่ำทำลายเราไปเป็นประจำ มันจึงแทรกขึ้นมาด้วยอาการกระซิบกระซาบและเป็นความรู้สึกอย่างนั้น ซึ่งถ้าไม่มีสติปัญญาทันกับมันแล้ว ต้องคล้อยตาม และล้มละลายไปได้โดยไม่ต้องสงสัย
ที่กล่าวมาทั้งนี้พึงทราบว่า นี้แลเล่ห์เหลี่ยมอันแหลมคมของกิเลสมันแทรกอยู่กับความพากเพียร แทรกอยู่กับธรรม ธรรมเกิดขึ้นไม่ได้เพราะเหตุนี้ ในขณะที่บังคับจิตให้สู่วงแห่งความเพียรเพื่อความสงบใจก็สงบไม่ได้ เพราะถูกกิเลสฉุดลากไปตามอารมณ์ของมันเสีย จะพิจารณาทางด้านปัญญาก็กลายเป็นสัญญาอารมณ์ อันเป็นเรื่องของกิเลสไปเสีย จะก้าวออกช่องไหนเดินออกทางใด มีแต่ขวากแต่หนามที่กิเลสไปปักเสียบไว้หมด ให้ก้าวไปไม่ได้ สุดท้ายก็ถอยกลับ ความถอยกลับเป็นเรื่องของกิเลสลากกลับคืน ความก้าวหน้าเป็นเรื่องของธรรม ก้าวไม่ออกเพราะกลมายาของกิเลส มันมีความฉลาดแหลมคมมากกว่าอุบายสติปัญญาของเราที่จะก้าวเหยียบข้ามไปตามขวากตามหนาม ที่มันปักเสียบเอาไว้นั้นได้ จึงต้องยอมจำนน แล้วก็มาตายอยู่ในกองทุกข์
วันหนึ่งคืนหนึ่งนับดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลม ต้นไม้ภูเขา รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส นับไม่จบไม่สิ้น พรรณนาไม่จบไม่สิ้น สัมผัสสัมพันธ์อยู่ทั้งวันทั้งคืน นำไปคิดไปปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา หาความสุขไม่ได้ ทำไมจึงไม่เข็ดหลาบ สิ่งเหล่านี้เป็นของมีมาประจำโลก มีอยู่อย่างไร ก็มีอยู่ตามเรื่องของเขา แต่จิตใจของเราเพราะอำนาจแห่งความคึกคะนองของกิเลส มันฉุดมันลากให้ติดให้พันให้ดูดให้ดื่มกับสิ่งที่เคยได้เห็นได้ยินได้ฟังมาเสียจนจำเจนี้ว่าเป็นของใหม่เรื่อย ๆ ไป
ถ้าเป็นอารมณ์ของกิเลสแล้วจะเอร็ดอร่อยสำหรับคนโง่ที่สุดอย่างพวกเรา ถ้าท่านผู้มีความฉลาดแล้ว จะมีความเข็ดหลาบกับความสัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งนั้น ๆ ด้วยการบวกลบคูณหาร ไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของตน ที่ควรจะรู้เท่าทันก็ให้รู้เท่าทันกันไป ปล่อยวางกันไป สิ่งที่ควรเข็ดหลาบก็เข็ดหลาบกันไป ไม่แตะต้อง ฝ่าฝืนกันอย่างนั้นจึงเรียกว่า นักปฏิบัติกำจัดกิเลสมารซึ่งมีอยู่ภายในหัวใจของเรานี้ออกไปได้โดยลำดับ เราจะได้เห็นความพ้นทุกข์และเห็นโทษของกิเลสไปโดยลำดับลำดา และเห็นคุณค่าของธรรมขึ้นไปเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ นี่นักปฏิบัติเป็นอย่างนั้น จึงถูกตามทางของศาสดา
เรื่องความสะดวกกายนั้น สะดวกสำหรับนักปฏิบัติสำหรับพระเรา เพราะอะไรไม่มีขวนขวาย ศรัทธาญาติโยมเขาพร้อมเสมอที่จะสนับสนุน ไม่ว่าที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเครื่องสนับสนุนเพื่อความเป็นอยู่ ในเจตนาของเขานั้นเพื่อความสะดวกในการประกอบความเพียรของพระ แต่เรามันกลับกลายเป็นความสะดวกสบาย เพื่อกิเลสจะได้ฝังจมอยู่ภายในจิตใจแล้วพอกพูนตัวเองขึ้น เหยียบย่ำทำลายจิตใจไม่มีเวลาบกบางบ้างเลย ด้วยความสะดวกแล้วก็เกียจคร้าน ลืมเนื้อลืมตัวไป ความลืมเนื้อลืมตัวนี้เราทราบบ้างไหมว่าคืออะไร ถ้าเป็นนักปฏิบัติต้องทราบ
นี่ละการประกอบความเพียร ถ้าผู้ต้องการถอดถอนกิเลสต้องเป็นอย่างนั้น ต้องคิดต้องอ่าน อะไร ๆ ต้องคิดต้องอ่านเสมอ อย่าอยู่เฉย ๆ ใช้ไม่ได้ สติปัญญาหุงต้มแกงกินไม่ได้ หน้าที่ของสติปัญญาก็คือถอดถอนสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ตนออกโดยลำดับเท่านั้น
วันหนึ่ง คืนหนึ่งอยู่กันไปนับกันไป เดือนนั้น เดือนนี้ ปีนั้น ปีนี้ ได้ประโยชน์อะไร มันมีอะไรบ้าง เดือนอยู่ที่ไหน ปีอยู่ที่ไหน เอ้า หาดูซิ เป็นเนื้อเป็นตัว เป็นตนที่ไหน มีแต่มืดกับแจ้งที่สัมผัสสัมพันธ์อยู่กับทางตาของเราเท่านั้น มืดแจ้ง ๆ ก็มีอย่างนี้มาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด ตื่นไปไหน แล้วความจมอยู่ในกิเลสที่มันบีบบังคับอยู่ตลอดเวลานั้น ทำไมไม่คิด ทำไมไม่ตรอง เพศของสมณะเป็นเพศที่ไตร่ตรอง ไม่ใช่เป็นเพศที่แบบหมูขึ้นเขียงรอสับรอยำอยู่เท่านั้น
นี่ต่างองค์ต่างมาจากทั้งทางใกล้ทางไกล มุ่งมาประพฤติปฏิบัติ แล้วทำไมการประกอบความเพียร ดูมันจะเหลวไหลไปโดยลำดับลำดา ไม่ได้เรื่องได้ราว พอจะประกอบความเพียรฆ่ากิเลส กลับเป็นกิเลสฆ่าตนเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ประกอบ หงายลงเสียแล้ว จะหามรรคผลนิพพานมาจากไหน อำนาจของกิเลสมันมีมาก เราก็หักห้ามจิตไม่อยู่ เพราะความเพียรมีน้อย หรือความเพียรล้มละลายไปในขณะเดียวกัน ๆ แล้วจะได้ชมสมาธิสมบัติคือความสงบเย็นใจได้อย่างไร ไม่ต้องกล่าวถึงปัญญาสมบัติที่ปราชญ์ทั้งหลายได้ชมนั้นเลย
เพียงสมาธิสมบัติความสงบของใจก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เราจะหวังความสุขความเจริญจากอะไร ในแดนโลกธาตุนี้มีอะไรเป็นสาระสำคัญพอที่จะพึ่งพิงหรือตายใจได้ นอกจากเรื่องเกิดเรื่องตายทับถมกันอยู่นี้ ตั้งกัปตั้งกัลป์หาเวลาว่างเว้นไม่ได้ ตลอดสถานที่หาที่ปลงที่วางว่าไม่มีป่าช้าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะสัตว์ บุคคล เต็มอยู่แผ่นดินนี้ ทั้งในน้ำทั้งบนบก เป็นป่าช้าได้ทั้งนั้น เพราะตายซ้ำ ๆ ซาก ๆ ตายแล้วตายเล่า ตายทับถมกันอยู่ตลอดเวลามา ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด สถานที่ใดเป็นสถานที่ประเสริฐเลิศโลก หาป่าช้าไม่ได้ นอกจากความหลุดพ้นไปเสียเท่านั้น เราจึงจะได้ปล่อยกังวลในเรื่องความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเกิดความตาย ซึ่งหาบแต่กองทุกข์ไปโดยลำดับในภพชาตินั้น ๆ
เราจะหวังเอาความสุขความเย็นใจจากอะไร เราอยู่กับอะไรเวลานี้ อยู่กับธาตุ ธาตุก็แตกอยู่แล้วเรายังไม่เข้าใจอยู่เหรอ วัตถุอันใดก็ตาม สิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมุตินี้ จะหาที่ยั่งยืน ยืนตัวไม่ได้ มีแต่จะพัง สิ่งนั้นไม่พังเราก็พัง ต่างอันต่างจะพังด้วยกัน แล้วอาศัยกันได้ยังไงไว้ใจได้ยังไง แล้วเราไม่เชื่ออย่างพระพุทธเจ้าเราจะเชื่อใคร เชื่อกิเลสก็เชื่อมานานแล้วนี่ ได้ผลอะไรบ้าง วันหนึ่งคืนหนึ่งปีหนึ่ง ที่เรานับเอา ๆ ได้อะไรจากการนับนั้น นับลมนับแล้งกันไปอย่างนั้น
ให้มันเห็นประจักษ์ภายในจิตนี่ซิ มันร้อน ร้อนอยู่ที่นี่ ฟาดฟันกันลงที่มันร้อนนี้ อย่าเข้าใจว่ามันอยู่ที่ไหน กิเลสอยู่ที่ไหนความรุ่มร้อนอยู่ที่นั่น ความทุกข์อยู่ที่นั่น สติปัญญาหยั่งลงไปที่นั่น ความเพียรหยั่งลงไปที่นั่น ให้มันแตกกระจัดกระจายลงไป ความเย็นไม่ต้องถาม จะอยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่กับวันคืนปีเดือนมืดแจ้งสว่างที่ไหน ๆ กันละ
เรื่องความทุกข์ทั้งหมดรวมอยู่ที่ใจ ร่างกายนี่ก็เป็นส่วนย่อยของจิตเสีย ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ความเจ็บไข้ได้ป่วยเจ็บหัวตัวร้อน แม้ถึงล้มถึงตายมันก็ไม่ได้เป็นข้อหนักแน่น เหมือนกิเลสที่สร้างกองทุกข์ สร้างฟืนสร้างไฟเผาลนจิตใจนั้นเลย อันนั้นเป็นกองทุกข์ที่มากและยืนนานที่สุด ไม่เหมือนธาตุขันธ์เหล่านี้ ซึ่งปรากฎขึ้นชั่วระยะกาลแห่งโรคภัยทั้งหลายแล้วก็ดับไป แม้ไม่ดับมันก็แตกสลายไปชั่วระยะกาลเท่านั้น แต่กิเลสฝังใจนี้มันฝังจริง ๆ ทุกข์ฝังจริง ๆ เพราะกิเลสพาให้ฝังทุกข์จึงต้องฝัง กิเลสเป็นผู้ผลิตทุกข์ เมื่อกิเลสมีมากมีน้อย ทุกข์ก็ต้องมีมากมีน้อยตามกิเลส ไม่อยู่ที่ไหน ให้ขุดค้นลงที่นี่ซินักปฏิบัติ
เราไม่มองเห็นอะไรนอกจากธรรมซึ่งเป็นที่ตายใจได้ ขอให้พอกันเสียที อย่าเสียดายชีวิต ความเสียดายชีวิต ความอิดหนาระอาใจต่อความเพียรในประโยคต่าง ๆ นั่นให้พึงทราบว่าตัวมาร กิเลสมารมันแทรก ๆ ให้ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้มารเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นจะไปไม่รอดนะ มาอยู่กับครูบาอาจารย์ก็มาอยู่เป็นกาลเป็นเวลาเท่านี้ ไม่ได้จีรังถาวรอะไรเลย เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นสมมุติ ร่างกายที่อยู่ด้วยกันนี้ ไม่แยกเวลาเป็นก็แยกเวลาตายวันใดกาลหนึ่งแน่นอนไม่สงสัย ทีนี้เวลามาศึกษาอบรมก็ควรจะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ประโยคพยายามให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อจากครูบาอาจารย์ไปก็จะได้แนวทางนั้นไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง แต่เวลานี้กำลังของธรรมที่จะพอเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีภายในใจแล้วจะเอาอะไรไปเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ออกไปก็เป็นเหลว ๆ ไหล ๆ ล้ม ๆ คลาน ๆ ไปอย่างนั้นได้ประโยชน์อะไร
ไม่มีที่ไหนเลยเห็นชัด ๆ อยู่ในใจ กิเลสกับใจ กิเลสกับธรรมเท่านั้น ถ้าผู้มีธรรมจะได้ทราบกัน ความทุกข์ไม่มีอยู่ที่ไหน เราอย่าไปเข้าใจว่าอยู่ตามโลกธาตุที่กว้างขวางเวิ้งว้าง มันอยู่ที่หัวใจ เพราะกิเลสอยู่ที่นี่ ขุดลงไปที่นี่ ฟันลงไปที่นี่ อะไรมันขัดมันขวาง ตัวขัดขวางนั้นแลคือตัวกิเลสขัดขวางธรรม ถ้าธรรมแล้วไม่ขัดไม่ขวาง ไม่ทำความทุกข์ให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เรื่องของกิเลสทั้งนั้นพาให้ได้รับความทุกข์ ความลำบาก
นี่ก็พยายามไม่ให้มีการมีงาน ให้หมู่เพื่อนประกอบความพากเพียรได้ด้วยความสะดวกสบาย วันหนึ่ง ๆ ก็ ๒๔ ชั่วโมง ทำไมจึงมองดูภายในจิตดวงเดียวเท่านี้ไม่ได้เรื่องได้ราว มองไปที่ไหนมันก็ทราบได้ชัด ว่าไม่ได้มองไปที่จุดที่ควรจะแก้จะไข แต่มองไปจุดที่จะสั่งสมกิเลสนั่นเองมันถึงไม่ได้เจออรรถเจอธรรม แม้ความสงบก็มีไม่ได้ เพราะไม่เสาะแสวงหาความสงบ ด้วยความจริงใจ ด้วยความมีสติมีปัญญา ด้วยการฝึกทรมานอย่างแท้จริง ทำไปนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เถลไถลไปตามเรื่องของกิเลสไปเสีย เลยไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร สุดท้ายก็ให้กิเลสหลอกซ้ำลงไปอีก ไปไม่ไหวแล้ว
ถ้าไปไม่ไหวเป็นยังไง ก็ถอยดีกว่าเท่านั้นซิ อะไร ๆ เมื่อก้าวไม่ออกแล้วก็ถอยดีกว่า ๆ ไม่คำนึงถึงว่าการถอยมันดียังไง ถอยก็ถอย เข้าขวากเข้าหนาม เข้าฟืนเข้าไฟให้เผาลนตนเองนั้นไม่ได้คิด นี่แหละเรื่องอุบายของกิเลสมันหลอกพวกเรา มันหลอกอย่างนี้ ถอยไปไหน ทุกข์อยู่ตรงไหนฟัดลงไปตรงนั้นซิถ้าเป็นนักปฏิบัติ เอา มันจะเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ทั้งคืนก็วันนี้จะไม่นอน จะดูความร้อนของใจนี่มันร้อนมาจากอะไร ถือความร้อนเป็นจุดเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา เมื่อจิตหมุนตัวอยู่ที่นั่นแล้วก็ไม่ได้คิดออกไปข้างนอก มันก็ไม่ได้สั่งสมสมุทัย การพิจารณาในจุดที่มันร้อน ค้นหาเหตุหาผลแห่งความร้อนของมัน มันเกิดมาจากไหน ก็ค้นอยู่ที่จิตนั้น มันก็เป็นเรื่องของมรรค สุดท้ายความรุ่มร้อนก็จางไป ๆ หายไป ๆ นี้รู้ได้ชัด นั่น อ๋อ ทุกข์หายไปเพราะเหตุนี้ นี่การพิจารณาพิจารณาอย่างนี้ซิ
มาอยู่กี่ปีกี่เดือนแล้วไม่ได้เรื่องได้ราว เหมือนกับธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นโมฆะ สอนคนให้เป็นโมฆะ เป็นสาระสำคัญก็คือกิเลสเท่านั้น จึงกอบโกยเอาแต่กิเลส แทนที่จะพยายามตักตวงเอาธรรมตามความมุ่งหมายที่มาศึกษาจากครูจากอาจารย์ เลยไม่ได้เรื่อง มามากเข้า ๆ มันเหลวมันไหลไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ยั้วเยี้ย ๆ มองไปไหนเต็มแต่พระแต่เณรยั้วเยี้ย ๆ เหลว ๆ ไหล ๆ ทั้งนั้น ถ้าลงยั้วเยี้ย ๆ แล้ว
งานใดที่จะสำคัญยิ่งกว่างานแก้จิต เดินไปไหนก็ดูซิจิตเป็นยังไง ต่อสู้ ท่าต่อสู้คือการพิจารณา การกำหนดอยู่เสมอคือท่าต่อสู้ การปล่อยให้จิตลอยลมไปตามอำนาจของกิเลสมันมีวิธีท่าต่อสู้อะไร เป็นวิธีให้มันลากขึ้นเขียงเท่านั้นแหละ นี่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ร่วงโรยไป ๆ ผู้จะแนะนำสั่งสอนให้เป็นอรรถเป็นธรรมอย่างได้หลักได้เกณฑ์ก็จะไม่มี แล้วเราเองก็ตั้งหลักตั้งเกณฑ์ขึ้นในตัวไม่ได้แล้วจะหวังพึ่งอะไร หวังพึ่งใคร ไปศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์ก็หวังพึ่งท่านด้วยอุบายแต่หวังพึ่งตนด้วยความเพียรของตนนั่นถึงถูกต้อง
ท่านสอนไว้ในวงกรรมฐานนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วเหรอ นั้นคือดาบอันแหลมคมฟาดฟันกิเลสทั้งนั้น เราจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเป็นของไม่สำคัญเหรอ บวชทีแรกอุปัชฌายะท่านสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น เป็นเรื่องเล็กน้อยเหรอ เราหลงอะไรเดี๋ยวนี้ถ้าว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่หลงผม หลงขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เหล่านี้เราหลงอะไร
สัตวโลกหลงนี้ทั้งนั้น เหตุที่หลงเพราะอะไร เพราะกิเลสมันหลอกว่าเป็นของสวยของงาม ของจีรังถาวร ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชาย เป็นเขาเป็นเรา ทั้ง ๆ ที่สิ่งในธรรมชาตินั้นหาเป็นอย่างนั้นไม่ มันไม่ได้เป็นมันเสกเอา เราก็หลงความเสกสรรปั้นยอความจอมปลอมของกิเลสและอย่างจมด้วย ทีนี้ก็เลยเห็นว่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นของไม่สำคัญเข้าไป มันก็เป็นเรื่องสำคัญเฉพาะเรื่องของกิเลส เรื่องหลงทิศตามกิเลสเท่านั้น
เพื่อความแยกแยะจึงต้องดำเนินตามหลักที่ท่านสอนเพื่อคลี่คลายลงถึงความจริง นี่เรียกว่าดาบ ฟันลงไปจนถึงความจริง ขุดค้นลงไปจนถึงความจริง ดูซิดูผมก็ดี ขนก็ดี เล็บ ฟัน หนังก็ดี ดูให้ละเอียดลออ แล้วจะซึมซาบเข้าไปหมดทั้งวงภายในตลอดทั่วถึง ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น มันจะเห็นเป็นความจริงไปหมด เมื่อเห็นเป็นความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้คืออะไรก็ทราบชัดว่ามันปลอม ความยึดมั่นถือมั่น จะเคยยึดมามากน้อยเพียงไรไม่สำคัญ ขอให้สติปัญญาหยั่งลงถึงความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วเถอะ มันจะถอนตัวขึ้นมาทั้งหมด ไม่มีอะไรเหลือภายในใจ เมื่อถอนภาระออกจากใจหมดแล้วจะเป็นอะไร มันก็สุขเท่านั้น สงบสบาย
นี่พิจารณาอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ๆ กลัวแต่จะล้มจะตาย กลัวแต่จะทุกข์จะลำบาก การต่อสู้ ฟังแต่การต่อสู้ซิ ถ้าลงไปคำนึงถึงความลำบากลำบนอยู่แล้วตาย เช่นนักมวยต่อยกันบนเวที จะไม่มีคำนึงถึงเรื่องความลำบากลำบนอะไรเลยในขณะนั้น มีแต่ความหวังชนะ มีแต่หวังช่องหวังโอกาสที่จะน็อกคู่ต่อสู้ให้พังลงไปเท่านั้น แม้เช่นนั้นยังแพ้ได้ คิดดูซิ นี่เรายังจะแบกหามเอาความทุกข์ความลำบาก ความยาก ความท้อถอยอ่อนแอ เข้าไปในวงความเพียรด้วยแล้วมันก็มีแต่ถูกน็อก ๆ ไปเท่านั้นเอง
นั่งก็สักแต่เป็นพิธีเป็นกิริยา แล้วกิเลสมันไม่ใช่เป็นพิธี มันเป็นกิเลสจริง ๆ ไม่ว่าจะอาการใดของกิเลสแสดงตัวออกมาเป็นกิเลสทั้งมวลนั่นแหละ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ไม่มีบิ่นเลย ความเพียรของเราจะทันมันได้อย่างไร พอจะเริ่มความเพียรก็ให้กิเลสมาเตะ มาถีบ มายันให้ล้มละลายไปเสีย ความเพียรเลยไม่ได้เรื่อง นี่ซิที่มันทำให้อิดหนาระอาใจสำหรับผู้แนะนำสั่งสอน ก่อนที่จะมาสั่งสอน ก็แทบล้มแทบตายมาแล้ว ดังที่เคยได้พูดให้ฟังอยู่เสมอ พูดนั้นพูดเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่พูดแนวทางให้เป็นคติแก่ผู้ปฏิบัติด้วยความตั้งใจได้ดำเนินตามเท่านั้น พูดเพื่อโอ้เพื่ออวดหาประโยชน์อะไร พูดตามหลักความจริง วิธีการต่อสู้กิเลสต่อสู้อย่างนั้น ๆ หนักเบาขนาดไหน เป็นอย่างนั้น ๆ
เวลากำลังของกิเลสหนาแน่น ต้องได้เอากันหนักทีเดียว จนกว่าว่ามันเบาบางลงไป กำลังของกิเลสอ่อนลงไป ทางธรรมก็สามารถแก่กล้าขึ้นมาแล้วมันก็เบาลง พูดถึงเรื่องกำลังของกิเลสก็เบาลง กำลังของความเพียร สติปัญญาเราก็สามารถขึ้นโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งได้คุ้ยเขี่ยหานั่น ฟังซิ ไม่ใช่มันจะมีเป็นกองพลอยู่ตลอดเวลา เมื่อถูกทำลาย ก็ต้องขาดลงไป ๆ ลดน้อยลงไป ๆ เมื่อมันเหลือน้อยก็ต้องหลบซ่อน มาอาจหาญไม่ได้ พังไปหมด ฉิบหายไปหมด มันก็ต้องหลบซ่อน นี่ถ้ากิเลสมีกำลังน้อย ก็ต้องได้เห็นได้ชัด ความเพียรต้องแก่กล้าสามารถ มันเป็นอยู่ในจิตดวงนี้ ผลิตขึ้นมาได้สติปัญญา สติปัญญาเป็นเจ้าของของจิต ฝึกจิตได้ หรือว่าเป็นเครื่องปราบปรามกิเลสซึ่งครอบงำจิตให้แตกกระจายไปได้โดยลำดับลำดา
เบื้องต้นซิมันบืนไม่ได้ ไม่มีแก่ใจที่จะบืน อุตส่าห์พยายามเพียงเล็กน้อยก็ถอยไปเสีย ๆ เราจะเอากาลเอาเวลาเอาความหนักเบามากีดกั้นทางเดินแห่งความเพียรของเรา หากเป็นอย่างนั้นจะไปไม่รอด เราต้องเอาเหตุเอาผล เอาความมุ่งหมายเอาความมุ่งมั่นเข้ามาเป็นตัวประกัน มุ่งมั่นที่จะให้รู้ให้เห็นให้หลุดพ้น ความเพียรหนุนไปตามความมุ่งมั่น ไม่คำนึงถึงเรื่องความลำบากลำบน เพราะการต่อสู้ เดินก็จะผ่านความลำบากลำบนไปไม่ได้ เทียบทันที เมื่อความลำบากทางความเพียรเกิดขึ้นความลำบากของกิเลสที่ทรมานเราเป็นยังไง เราต้องเอามาเทียบทันที ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน
จิตใจถ้าไม่สงบหาโลกอยู่ไม่ได้นะ อยู่ไหนมันก็ร้อนไปหมด อะไรจะมีเท่าภูเขาเลากา มันก็เป็นกองอันนั้น ๆ สิ่งนั้น ๆ อยู่อย่างนั้น มันไม่สามารถที่จะมาทำความสุขให้เราได้ ถ้าจิตไม่ทำความสุขแก่ตนด้วยความเพียรเสียเอง เพราะตัวที่ทำให้เกิดทุกข์อยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งต่าง ๆ สมบัติ เงินทอง เป็นต้น มันไม่ได้อยู่ที่โน่น มันอยู่ที่นี่ มันจึงทำลายได้ทั้งคนมี คนจน คนโง่ คนฉลาด ตามโลกสมมุตินิยม แต่ถ้าเป็นคนฉลาดโดยหลักธรรมแล้วกิเลสต้องลดน้อยถอยลงไป จนกระทั่งสิ้นซากไปหมดไม่มีเหลือ
นั่นละกองมหาสมบัติอันใหญ่หลวงอยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปหวังพึ่งพิงอะไร พอตัวอยู่กับนั้นเสร็จ สิ่งนั้นก็รู้แล้วว่านั้นเป็นนั้น ๆ เกาะเกี่ยวกันหาอะไร ต่างอันต่างจริงต่างอันต่างรู้เข้าใจกันแล้วก็ปล่อยวางไว้ตามความจริง แม้ที่สุดร่างกายที่อาศัยกันอยู่นี้ก็สักแต่ว่าอาศัยกันอยู่เพียงชั่วระยะกาลเท่านั้น ไม่ได้หวังที่จะพึ่งพิงมันไปตลอดกาล เช่นเดียวกับเครื่องมือที่เราอาศัย เวลาใช้ได้ก็ใช้กันไป เมื่อมันหมดสาระที่ควรจะใช้ได้ต่อไปแล้วก็ทิ้ง จะมาแบกมาหามไว้ทำไม
ร่างกายทุกส่วนก็เป็นเหมือนเครื่องมือ เป็นเหมือนเครื่องอาศัยชั่วระยะกาลเท่านั้น ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เป็นอาการแต่ละอย่าง ๆ ของมันเท่านั้น จิตก็เป็นจิต ไม่พึ่งพิง ไม่อาศัย ไม่บกพร่อง พอที่จะไปเอื้อมนั้นเอื้อมนี้ ยึดนั้นยึดนี้ จิตพอตัวจิตก็ปล่อยอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน ถ้าว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เป็นที่พึ่งของตนได้ ก็พูดได้ทั้งภาคปฏิบัติทั้งความสมบูรณ์ของจิตได้แก่ผล ช่วยตัวเองได้แล้วพอตัวแล้วไม่พึ่ง ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนไม่ไปสนใจยิ่งกว่าความจริงที่ประจักษ์กับจิตนี้โดยสมบูรณ์แล้ว ถ้าพอแล้วเป็นอย่างนั้นไม่ไขว่คว้า นี่ผลแห่งการประกอบความพากเพียรเป็นอย่างนั้น
ธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ อยู่แท้ ๆ ทำไมถึงจะมาล้าสมัยสำหรับพวกเรา ถ้าพวกเราไม่เป็นคนที่ล้าสมัยเสียเอง ธรรมล้าสมัยก็คือผู้นั้นแหละ ผู้ล้าสมัยไม่สามารถที่จะนำธรรมเข้ามากำจัดกิเลสได้ ปล่อยกิเลสให้มันล้ำสมัยเข้าไปเหยียบย่ำทำลายเข้าไปไม่ลดละ ความทุกข์ความลำบากไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์เวล่ำเวลาอิริยาบถใด ว่าจะลดน้อยถอยลงไปเลย เพราะคำว่าพอแล้วไม่เคยมีในกิเลส มีแต่บึกบึน เหยียบย่ำทำลายไปเรื่อย ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ คำว่าพอแล้วของกิเลสไม่มี แล้วเราจะเอาความพอดีจากกิเลสที่ตรงไหน จะเอาความสุขจากมันได้ที่ใด ไม่มี ถ้าไม่เอาความสุขจากธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประมาณ มีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ์นี้เท่านั้นจึงจะเป็นไปได้
เอาขุดลงไปซี กำหนดอะไรก็ เอ้า ฝากเป็นฝากตายลงในนั้น ความรู้ให้หยั่งลงในจุดที่ทำงานนั้น สมมุติว่ากำหนดอานาปานสติลมหายใจเข้าออกก็ให้รู้อยู่เฉพาะลม อย่าไปเสียดายกับสิ่งใดซึ่งเคยสัมผัสสัมพันธ์มาแล้ว ผู้สัมผัสสัมพันธ์ก็คือจิตนี้เองไปคิดไปปรุง ไปหลอกหลอนตนเอง ว่านั้นเป็นนั้น นี้เป็นนี้ เสียดายดูดดื่มไปกับอารมณ์หลอกลวงตัวเอง ไม่มีเวลาจบสิ้น พอจะนั่งภาวนาก็ถูกมันฉุดมันลากไป ความปรุงมันเป็นความหิวความอยาก ดีดดิ้นขึ้นมาที่ใจ เป็นภาพเป็นพจน์ขึ้นมาแล้วก็หลงไปตามภาพตามพจน์ หลงตื่นเงาของตัวเองนั้นแล
ในขณะนี้จะให้อยู่กับงาน เช่น อานาปานสติในวงปฏิบัติ เพื่อความสงบก็ให้อยู่ตรงนั้น ให้รู้อยู่กับลมเข้าลมออก ไม่ยอมให้ไปไหนและไม่หวังผลอะไรด้วย ทั้งโลกธาตุนี้เหมือนไม่มี มีเฉพาะความรู้สึกกับงานที่ตนทำ เช่น ลมกับความรู้เท่านั้นให้มีเท่านั้น ถ้ากำหนดธรรมบทใด ก็ให้มีแต่ธรรมบทนั้นกับความรู้เท่านั้น เหมือนโลกไม่มี ไม่เสียดายกับอะไรเวลานั้น ผลไม่ต้องถาม ขอให้เหตุสืบเนื่องกันไป ติดต่อกันไป โดยไม่ขาดวรรคขาดตอนเถิด คำว่า "ความสงบ" ซึ่งได้ยินแต่ชื่อนั้นก็จะปรากฎขึ้นที่ใจดวงนั้น นี่วิธีการทำ ทำอย่างนั้น
พูดถึงเรื่องปัญญา กาลเวลาใดที่ควรจะพิจารณาทางด้านปัญญาก็บังคับกันเช่นเดียวกันไม่ให้มันเถลไถลไปได้ วิ่งขึ้นวิ่งลง ท่องเที่ยวอยู่ในกรรมฐาน ๕ นี้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือในรูปขันธ์นี้ ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขันธ์นี้ ให้มันท่องเที่ยวอยู่นี้ หรือจะเทียบออกข้างนอกก็เทียบได้ เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีได้ทั้งภายนอกภายใน วกเวียนกลับไปกลับมา เทียบสัดเทียบส่วนกันลงในหลักความจริงด้วยความบังคับจิต ด้วยสติด้วยปัญญา นี่คือการทำงานที่ถูกต้องที่จะให้รู้ให้เห็นในธรรมทั้งหลายอันเป็นความจริงของจริง จะปรากฎขึ้นที่ใจผู้ทำจริงนี้แลไม่ไปที่อื่น
สอนก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนแล้วสอนเล่า จนเหน็ดจนเหนื่อย กำลังวังชาก็ลดลงโดยลำดับลำดา ทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว จะประชุมหรืออบรมพระเณรแต่ละครั้ง ๆ รู้สึกได้ตั้งเป็นประโยคพยายาม ถ้าเป็นไม้ก็เรียกว่ามันหนัก กำลังเราน้อย ต้องพยายามยกขึ้น นี่จะให้การอบรมแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน แต่ละกาลเวลานี้ ก็ต้องได้เหมือนกับว่าได้ยกขึ้น พยายามยกขึ้น หนักก็พยายามยกขึ้น เป็นอย่างนั้นไปแล้วทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะเครื่องมือไม่อำนวย หมู่เพื่อนจึงควรสนใจ อรรถธรรมที่แนะนำสั่งสอนมากน้อย เป็นความแน่ใจว่าไม่ผิด ทั้งด้านสมถะและด้านวิปัสสนา
ให้จิตใจรู้แจ้งแทงทะลุในความจริงทั้งหลายดูซิ จะเป็นยังไงใจดวงนี้ซึ่งเคยโง่เง่าเต่าตุ่น เคยอยู่ใต้อำนาจของกิเลสบีบบังคับมา แล้วได้ดีดตนออกจากสิ่งเหล่านี้เสียทั้งหมด ไม่มีอะไรเหลือแล้ว เป็นอิสระ ความเป็นอิสระของจิตประเภทนี้จะเป็นอย่างไร ผิดกับอิสระทั้งหลายที่เขาพูดกันในโลกนี้ไหมก็ให้รู้ซิ จะไม่มีอะไรเหมือนอิสระของจิตที่ไม่มีสมมุติใด ๆ เข้าเกี่ยวข้องเลย จะเป็นอิสระอย่างไร ไม่เคยเห็นก็ตามเมื่อเจอเข้าแล้วเป็นที่ประจักษ์หายสงสัยทันที
เวลานี้สิ่งที่มืดมิดปิดตาทั้งหลาย มันครอบหัวใจ ใจจึงแสดงอำนาจแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาตามหลักธรรมชาติของตนไม่ได้ เพราะสิ่งจอมปลอมทั้งหลายมันปิดมันหุ้มห่อ จึงกระดิกตัวไม่ได้ กระดิกออกมาอาการใดมีแต่กิเลสพาให้กระดิก ไม่ใช่ธรรมพาให้กระดิก พาให้คิดให้ปรุง เวลานี้เรากำลังอยู่ในภาวะเช่นนี้
จงพยายามตะเกียกตะกาย ถ้าอยากเห็นความประเสริฐ แดนประเสริฐ หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายภายในจิตใจ ตลอดถึงภพชาติต่าง ๆ ที่จะแบกหามทุกข์ติดตามกันไปในระยะต่อไปนั้น จะขาดสะบั้นลงจากจิตดวงปัจจุบันที่ตัดขาดจากเชื้อทั้งหลายแล้วนี้เท่านั้น ไม่มีที่อื่นที่ใดจะเป็นของแปลกประหลาด จะเป็นของอัศจรรย์ จะเป็นสิ่งที่ตัดสินกันลงได้แล้วอย่างแน่ชัด ยิ่งกว่าใจที่ตัดสินกับกิเลสทั้งหลายได้แล้วอย่างแน่ชัด ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่านี้ ในความประเสริฐก็ดี อยู่ที่ตรงนี้
ขณะที่พิจารณาทางด้านปัญญาก็ให้ตรองเข้าไป จะเป็นอสุภะอสุภังก็ให้ดูข้างนอกข้างในเทียบเคียงกันตามความจริง อย่าฝืนความจริง แยกแยะกัน นั้นเป็นนั้น นี้เป็นนี้ จิตดูไปจิตจะเพลินไป แล้วความเพลินในจิตขณะนั้นไม่ได้เหมือนความเพลินในกิเลส ความเพลินในการพิจารณานี้เป็นความเพลินในธรรม จิตใจจะค่อยเบาลงไป ๆ ทั้งเกิดปีติก็มีบางครั้งบางคราว ขนพองสยองเกล้า ในขณะที่พิจารณาเห็นความจริงของส่วนร่างกายแง่ต่าง ๆ เพลินอยู่นั้น กำหนดพิจารณาพังทลายลงไปทั้ง ๆ ที่มันยังไม่แตกไม่พัง กำหนดเวลามันพังเป็นยังไง เวลามันแตกเป็นยังไง
กิเลสหลอกมันทำไมหลอกได้ เราจะพิจารณาแก้ความหลอกหลอนจอมปลอมของกิเลส ด้วยการพิจารณาถึงอสุภะอสุภังก็ดี เรื่องแตกเรื่องสลายทำลายเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาก็ดี ซึ่งเป็นธรรมแก้ความจอมปลอมแท้ ๆ ทำไมจะผิดไป เอ้า กำหนดดูเวลามันแตกมันสลายเป็นยังไง พอความรู้สึกนี้ได้พ้นจากร่างนี้ไปเสียเท่านั้น ร่างกายนี้ก็เหมือนซุงทั้งท่อน แต่ซุงทั้งท่อนมันไม่เหม็นไม่ปฏิกูล ส่วนร่างกายนี้ตัวปฏิกูลโสโครกไม่มีอะไรเกินร่างกายมนุษย์ เหม็นคลุ้งไปหมด เราก็ดูตอนนี้ จากนั้นก็พังทลายลงไป เปื่อยลงไป เน่าลงไป
กำหนดลงไป ดูลงไป นี่เวลามันแตกมันเป็นอย่างนี้ ๆ นั่นเรียกว่ากางตาข่าย คือ ญาณ ปัญญาญาณ นี่ครอบไว้หมด ออกจากนั้นก็ลงไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แล้วใจเป็นยังไง ใจก็เป็นความรู้ที่เด่นชัดอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เป็นความรู้อยู่เช่นนั้น เหตุใดสิ่งเหล่านั้นจึงจะมาเป็นเราเป็นของเราได้ ไม่ใช่อันเดียวกันแท้ ๆ เห็นได้อย่างชัด น้ำก็เป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ เหตุใดจึงมาถือว่าเป็นเราเป็นของเรา เอามาบวกกันทำไมถ้าไม่หน้าด้าน ว่างั้นซีสอนเจ้าของ กิเลสพาให้หน้าด้านกิเลสตัวหน้าด้าน เอาให้มันแหลกลงไป
พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ถือเป็นการเป็นงานจริง ๆ ไม่ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ว่าหลายครั้งหลายหนกี่เที่ยวตลบทบทวน เอาจนเข้าใจ ความเข้าใจเป็นของสำคัญ เข้าใจจนกระทั่งว่าอิ่มพอในความเข้าใจ รู้แจ้งเห็นชัดในสิ่งเหล่านี้แล้วไม่ต้องบอกมันปล่อยเอง ทั้งการพิจารณาทั้งความยึดมั่นถือมั่นมันปล่อยเอง ไม่มีใครบอกก็ปล่อย ก็เมื่อรู้แจ้งเห็นชัดหมดแล้วจะไปพิจารณาหาอะไรอีก แล้วจะไปยึดไปถืออะไรกันอีกเมื่อรู้แล้ว
เวลาที่ยึดก็เพราะความไม่รู้มันถึงได้ยึด เพราะฉะนั้นการพิจารณาจึงเพื่อจะให้รู้ เพื่อจะได้ถอนการยึดมั่นถือมั่น ที่เรียกอุปาทานออกมา ทั้งรูปขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขันธ์ มันมีลักษณะเช่นเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าหยาบละเอียดต่างกันเท่านั้น อาการเหล่านี้เป็นสมมุติไม่ใช่ตัวจริง เมื่อได้พิจารณาชัดเจนลงอย่างนั้นแล้ว จะหนีจากจิตได้ยังไง มันก็ต้องเข้าไปตรงนั้น เพราะไม่มีอะไรจะสัมผัสสัมพันธ์ เนื่องจากได้รู้ได้เห็นได้ละได้ปล่อยวางเสียหมดแล้วด้วยปัญญา อันใดที่ยังสัมผัสสัมพันธ์ก็ต้องตามอันที่สัมผัสสัมพันธ์นั้นแล
ความดูดดื่มตรงนี้จะมีอยู่ที่จิตเท่านั้น ไม่ว่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ไม่ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จะหมดความดูดดื่มเพราะรู้แจ้งเห็นชัดไปหมดแล้ว จิตรู้เองอย่างนั้น สิ่งที่จิตจะถือเป็นเป้าเป็นหมายเป็นที่ยึด หรือเป็นที่พิจารณา ก็มีแต่ความรู้ นั่นมันกำลังจะเข้าจุดระเบิดกันแล้ว ระเบิดภพ ระเบิดชาติ ระเบิดวัฎจิตให้กลายเป็นวิวัฎจิตขึ้นมาในจุดที่จิตรู้ ๆ อยู่นั้นแล
สติปัญญาก็หยั่งเข้าไปตรงนั้น พิจารณาคลี่คลายกันไป แยกแยะกันมาอยู่นั่น เช่นเดียวกับสภาวธรรมส่วนอื่น ๆ โดยถืออนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นที่รวมลง เพราะสมมุติทั้งปวง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นภาชนะสำหรับเป็นที่รวมลงแห่งสมมุติทั้งมวล ลงที่จุดนั้นไม่ไปไหน
จิตเมื่อยังมีสมมุติอยู่ไม่เป็นไตรลักษณ์จะเป็นอะไร ต้องพิจารณา ไม่คาดกำหนดจดจ่อลงไปให้เห็นความจริงขึ้นมาเอง ไปคาดก็ผิด เมื่อเข้าถึงความจริงแล้วมันก็แตกกระจายเท่านั้นแหละ ภพชาติจะมาจากไหนก็รู้ได้ชัด
นี่ละคำว่ายาก ๆ งานใดก็ตาม มันไม่ได้เป็นงานที่ยุ่งยากลำบากลำบนทรมานที่สุด ตลอดถึงเอาชีวิตเข้าแลก เข้าเป็นตัวประกัน ยิ่งกว่างานต่อสู้กับกิเลสด้วยการภาวนานี้เลย เพราะเรื่องวัฎฎะนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ความหมุนเวียนความเกิดแก่เจ็บตายในภพน้อยภพใหญ่เป็นเรื่องใหญ่โตมาก กิเลสพาให้เป็น การที่จะรื้อถอนกิเลสอันเป็นตัวภพชาติที่พาให้เกิดแก่เจ็บตายนี้ จึงเป็นของที่ทำเล่น ๆ ไม่ได้ ต้องเอาให้จริงให้จัง เอาให้ขาดสะบั้นลงในปัจจุบันนี้
พระพุทธเจ้าท่านหลุดพ้นท่านหลุดพ้นอย่างไร พอเราหลุดพ้นจากทุกข์นี้เท่านั้นก็ไม่สงสัยพระพุทธเจ้า อ๋อ หลุดพ้นอย่างนี้เอง พ้นอย่างนี้เอง พุทธะแท้คืออะไร พระพุทธเจ้าองค์เอกแท้คืออะไรก็รู้เอง ก็คือองค์เอกอันนี้แล นอกจากนั้นก็มีแต่เรือนร่างเท่านั้นเอง พระกายก็เป็นเรือนร่างของพุทธะที่อาศัยอยู่ พระสาวกอรหัตอรหันต์กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์ก็จะสงสัยไปที่ไหน รู้แบบเดียวกัน เห็นแบบเดียวกัน ความจริงเท่ากัน ถ้าจะพูดประเสริฐก็ประเสริฐแบบเดียวกันแล้วสงสัยไปไหน
เมื่อถึงขั้นหมดสงสัยสิ้นสงสัยแล้วก็ต้องสิ้นอย่างนั้น จึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก เห็นเองรู้เอง ไม่ต้องไปถามใครอีกแหละอันนี้ ดังที่ท่านแสดงไว้ในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อตำรับตำรา ไม่ให้เชื่อตามครูอาจารย์ที่ควรเชื่อได้ อะไรเหล่านี้ อันนี้เป็นธรรมขั้นสูงอยู่มาก แต่ส่วนมากเราจะเข้าใจว่าเป็นธรรมท่านสอนกาลามชนว่าพวกนั้นเป็นธรรมดา ๆ ความจริงธรรมนี้เป็นธรรมที่สูงอยู่มากทีเดียว ท่านหมายถึงธรรมอันนี้ คือให้รู้ประจักษ์ตัวเองนั้นละ
ฟังจากพระพุทธเจ้ามาจะเอาความเชื่อจากพระพุทธเจ้ามาเป็นมรรคผลนิพพานของตัวเองก็เป็นไปไม่ได้ ท่านสอนนั้นเป็นความจริงสำหรับท่าน แต่เมื่อเรายังไม่เห็นอันนี้เรายังไม่จริง พอมาเจอกันเสียอย่างประจักษ์แล้ว นี้ละจริง ไม่เชื่อใครที่นี่ เชื่อตัวนี้ถนัดยิ่งกว่าเชื่อใคร ๆ ทั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนเข้ามาที่ตรงนี้ ให้เชื่ออย่างนี้ ให้รู้ให้เห็นอย่างนี้ แล้วก็เชื่อเอง นี่แหละกาลามสูตรจึงเป็นธรรมที่สูงมากทีเดียว
ถ้าพูดตามธรรมชาติแล้ว หรือตามสมมุติทั่ว ๆ ไป หรือในขั้นทั่ว ๆ ไปแล้ว ไม่เชื่อครูอาจารย์จะเชื่อใคร ผู้ควรเชื่อได้ก็ต้องเชื่อซิ ไม่เชื่อตำรับตำราเราเรียนมาทำไม สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบ ๆ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้เป็นธรรมที่ชอบทั้งนั้น ไม่เชื่อเหล่านี้จะเดินได้ยังไง ก็ต้องเชื่ออันนี้ เดินไปตามนี้ แต่บทสุดท้ายแล้วให้เชื่อตรงนั้น ให้เชื่อตัวเอง เพราะธรรมเหล่านี้จะส่งเข้าไปสู่จุดนั้น จุดเชื่อตัวเอง พอถึงนั่นแล้วก็ปล่อยหมด ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์รวมลงเป็นจุดเดียว เชื่อตรงนั้นด้วยตัวเอง นั่น ที่ท่านแสดงไว้ในกาลามสูตร ลงจุดนี้เอง
อย่างพระสารีบุตรท่านพูดนั้น ท่านพูดถึงเรื่องธรรมที่ควรเชื่อตัวเอง แม้พระพุทธเจ้าเราก็ไม่ได้สนใจที่เชื่อพระองค์ เราเชื่อเราเองนะ ท่านว่าอย่างนั้น จนพระปุถุชนทั้งหลายไปฟ้องร้องพระพุทธเจ้าว่าพระสารีบุตรเป็นมิจฉาทิฐิ เหยียบย่ำทำลายศาสดา หรือดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบทันที แต่เพื่อจะเอาเหตุเอาผลจากพระสารีบุตร ชี้แจงกับพวกตาบอดหูหนวกนั้น ก็รับสั่งให้พระสารีบุตรเข้าเฝ้า แล้วรับสั่งถามว่า เป็นอย่างนั้นจริงใช่ไหม ว่าใช่ แน่ะ ข้าพระองค์เชื่อพระพุทธเจ้าก็เชื่อ แต่เชื่อเพื่อเข้ามาสู่จุดที่จะเชื่อตัวเองนี้ แน่ะ เมื่อถึงที่นี่แล้วข้าพระองค์หมดปัญหา ไม่เชื่อใคร เชื่อธรรมชาติอันนี้" เออ ถูกแล้วสารีบุตร นั่นฟังซิ นี่แหละที่แสดงไว้ในกาลามสูตร หมายถึง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺญูหิ และ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เอง เห็นเอง
ภาคปฏิบัติเท่านั้นที่จะเข้าสู่จุดนี้ได้ ปริยัติก็เป็นแนวทางสอนเข้ามา เดินตามปริยัติเดินเข้ามาด้วยการปฏิบัตินี้ ปฏิเวธก็จะเข้าใจโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งรู้แจ้งแทงทะลุโดยตลอดทั่วถึง เรียกว่าเชื่อตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วไม่เชื่อใคร เชื่อตามหลักธรรมชาติ เชื่อตามหลักความจริง ที่มีที่เป็นอยู่กับตัวเองนี้ นั่น
ผู้ที่จะทรงธรรมเหล่านี้ได้ ก็คือต้องปฏิบัติมีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการปฏิบัติ พระสาวกบรรลุธรรมด้วยการปฏิบัติ ไม่ได้บรรลุธรรมด้วยเพียงแค่ความจดจำเฉย ๆ แต่บรรลุด้วยการปฏิบัติ แม้การฟังเทศน์ก็เป็นภาคปฏิบัติภาคหนึ่งเหมือนกัน ไม่ด้อยกว่าการปฏิบัติทั้งหลาย ดีไม่ดีเป็นอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ แต่สำหรับเราเองถนัดว่าภาคปฏิบัติจากการฟัง โดยครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในทางศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้น แสดงนี้ เป็นภาคปฏิบัติอันเยี่ยมกว่าการปฏิบัติโดยลำพังตนเองเป็นไหน ๆ เพราะไม่ต้องไปปรับไปปรุง ไปแก้ไปไข ไปหุงไปต้ม ท่านปรุงให้มาเรียบหมด เราเพียงจะดื่มกิน ๆ เท่านั้น นี่หมายถึงท่านผู้ที่ชี้แจงด้วยเหตุด้วยผล ตามความรู้จริงเห็นจริงของท่านจริง ๆ ไม่ผิดพลาด
แต่การแสดงก็มีหลายแง่หลายภูมิ ขึ้นอยู่กับผู้แสดงเป็นสำคัญ ถ้าผู้แสดงรู้อรรถรู้ธรรมภูมิใดก็จะแสดงภูมิอรรถภูมิธรรมนั้นได้ชัดเจน เช่น ภูมิสมาธิก็อธิบายสมาธิได้ชัดเจน ภูมิปัญญาขั้นใดก็อธิบายภูมิปัญญาขั้นนั้นได้ชัดเจน ภูมิสูงสุดของปัญญาแล้วก็อธิบายได้อย่างแตกฉาน เต็มอรรถเต็มธรรม เต็มเหตุเต็มผล เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีสงสัยถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น ไม่มีอัดมีอั้น ท่านแสดงได้อย่างเต็มภูมิ เพราะท่านเป็นผู้ทรงไว้แล้วซึ่งวิมุตติโดยสมบูรณ์ภายในใจแล้วนี่ ท่านจะไปลูบ ๆ คลำ ๆ ยังไง ท่านต้องพูดออกมาอย่างฉะฉาน ตามหลักความจริงที่รู้อยู่เห็นอยู่ภายในองค์ของท่านเองแล้วนั้นแล
จึงขอให้ทุกท่านได้ประพฤติปฏิบัติ ให้มีความเห็นภัยเสมอ อย่านอนใจ สิ่งอะไรก็ตามอย่าถือเป็นของสำคัญยิ่งกว่ากิเลสที่ฝังใจอยู่เวลานี้ ที่จะแก้จะถอดจะถอน ปราบปรามมันให้สิ้นซากไปจากใจนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก จากนั้นไม่สำคัญ เพียงอาศัย ๆ ไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น อาหารการบริโภคปัจจัยต่าง ๆ จีวร สบง ที่อยู่ที่อาศัยเพียงได้อาศัยไป เพื่อการประกอบความเพียรได้รับความสะดวก ขอให้ความเพียรสะดวกเถิดอะไรสะดวกหมด ตรงนี้เป็นสำคัญ อะไรจะสะดวกจะสมบูรณ์ก็ตาม ถ้าความเพียรไม่สะดวกแล้วไม่เป็นท่า ให้ยึดอันนี้เป็นหลักไว้
เช่นอาหาร สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้ มันเหลือเฟือเสียพอแล้วเท่าที่ได้ปฏิบัติมา เพราะธรรมนั้นมักจะเจริญรุ่งเรืองแก่จิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัติโดยวิธีบก ๆ พร่องๆ ขาด ๆ เขิน ๆ เขียม ๆ อดอยากขาดแคลน พูดง่าย ๆ ธรรมไม่ค่อยเกิดในสถานที่สมบูรณ์พูลผลด้วยปัจจัย ๔ จำให้ดี ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านพาดำเนินมาอย่างนี้
อย่างท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์เสาร์ เป็นต้น ในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านหาอยู่แต่ที่อด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ โดยไม่สนใจกับสิ่งเหล่านั้นว่าจะมาเป็นอุปสรรคอะไรเลย แต่มุ่งเพื่อการประกอบความพากเพียรด้วยความสะดวกสบายของท่านต่างหาก ท่านจึงหาอยู่ในที่เช่นนั้น อดอยากขาดแคลนท่านไม่สนใจ ขอให้ธรรมสมบูรณ์ภายในใจ การประกอบความเพียรไม่ขาดวรรคขาดตอน เป็นที่สะดวกสบาย นั้นเป็นที่ต้องการสำหรับท่านนักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
แม้ท่านพ้นทุกข์ไปแล้วท่านก็ถือเป็นอัธยาศัยอีกด้วย ท่านไม่กังวลกับจตุปัจจัยไทยทานทั้งหลาย เพียงอาศัยไปวันหนึ่ง ๆ ท่านได้อยู่สะดวกสบายในระหว่างขันธ์กับจิตในสถานที่ที่เหมาะสมเช่นนั้นเท่านั้น ท่านเป็นที่พอใจจนถึงอายุขัยของท่าน จำให้ดี จึงได้พูดเสมอ ถ้าวันไหนอาหารมาก ๆ ทำให้วิตกวิจารณ์ ก็จะทำยังไงมันเป็นเอง เป็นเรื่องของศรัทธาญาติโยมของเขา เขาต้องการบุญ เจตนาคนละประเภท ๆ เขาไม่ผิด เราไม่ผิดถ้าเราปฏิบัติตัวของเราถูก ถ้าเราปฏิบัติตัวของเราต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ถูก เขาถูกแต่เราผิดเป็นไปได้ แน่ะ ให้รู้
เราอย่าให้ปากให้ลิ้นมันแซงธรรม มันเดินล้ำหน้าธรรม รสอะไรก็ตามสู้รสธรรมไม่ได้ อย่าให้ลิ้นแซงธรรมได้ อย่าให้ท้องให้ปากเหยียบย่ำทำลายธรรม ให้รู้ตัวเสมอ อาหารประเภทใดเป็นไปเพื่อความสะดวกสบายในการประกอบความพากเพียรของเรานี้สำคัญมาก นั้นแหละดี
เราอย่าไปหลงตามโลกตามสงสาร ว่าอาหารประเภทนั้นประณีตบรรจง อันนี้ต่ำช้าเลวทราม นั้นเป็นเรื่องของโลก ๆ ที่สกปรกภายในจิตใจต่างหาก กิเลสมันหลอก แต่ถือว่าเป็นเยี่ยม ถือว่าเป็นประณีตบรรจง ความจริงมันสกปรกในหัวใจของสัตว์ ถ้าใจที่สะอาดอันใดที่เป็นอรรถเป็นธรรม อาหารประเภทใดที่เป็นไปเพื่อธาตุขันธ์ได้รับความสะดวกสบายไม่กำเริบเสิบสาน แล้วจิตใจได้รับความสะดวกสบายในการประกอบความพากความเพียร นั้นแลคืออาหารสัปปายะ ให้ถือว่าจุดนั้นคือธรรม เรื่องของสมมุตินิยมเอาแน่ไม่ได้ เราอย่าเอาเข้ามากีดขวางลวงใจเรา จะหาธรรมเกิดที่ใจไม่ได้
เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรเท่านี้
พูดท้ายเทศน์
เมื่อวานนี้คนหนึ่งที่มากับหมอมหาวิทยาลัยขอนแก่น ใส่กันเสีย เอาหนักเหมือนกันนะ เปรี้ยง ๆ พูดออกมาเป็นเรื่องตำหนิผู้ที่ออกบวช เหมือนกับว่าปลีกตัวออกไปหาอยู่คนเดียวไม่ทำประโยชน์ให้โลก เป็นลักษณะนั้น หลีกจากสังคม ก็ว่าไม่ช่วยสังคมนั่นเอง
พอว่าปั๊บก็ขึ้นมาปุ๊บเลยทันที พระพุทธเจ้า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เห็นไหม เป็นนักสังคมหรือไม่สังคม พิจารณาซิ มีใครบ้างที่เป็นศาสดา เป็นครูของโลกทั้ง ๓ ใครอวดเก่งเอามาซี ว่าเป็นนักสงเคราะห์ เป็นนักสังคมช่วยสงเคราะห์คนได้มากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้ามีไหม พระอรหัตอรหันต์แต่ละองค์ ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นนักสงเคราะห์นักสังคม สอนโลกใครได้มากยิ่งกว่าท่าน ใครทำมากยิ่งกว่าท่าน ภาระมากยิ่งกว่าท่าน แม้แต่หลวงตาบัวตัวเท่าหนู บางวันยังแทบล้มแทบตายนอนจะไม่หลับ คนมาเกี่ยวข้องจะว่าสังคมหรือไม่สังคม พิจารณาซี ว่าศาสนาทำความขวนขวายน้อยไม่เห็นแก่ใครได้ยังไง ศาสนาไม่ใช่สอนคนให้ใจดำน้ำขุ่นนี่นา ใครจะมีความเมตตายิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าพระสงฆ์ท่านผู้เป็นอรรถเป็นธรรมมีเหรอ ต้องว่าอย่างนั้นซิ
พูดถึงเรื่องของโลก ๆ มันวุ่นวายอะไร ๆ เรื่องวุ่นวายมันเรื่องของกิเลสต่างหากนี่ เรื่องธรรมไม่ได้วุ่นวาย ไม่ทำความวุ่นวายให้แก่ผู้ใด แต่คนไม่อยากสนใจความไม่วุ่นวาย แต่อยากสนใจความวุ่นวายต่างหากนี่ ความโลภพาคนให้วุ่นวายไหม ความไม่โลภพาคนวุ่นวายที่ไหน ความโกรธพาคนให้วุ่นวาย ให้เดือดร้อน ให้ทำลายกัน ความไม่โกรธทำลายใคร พิจารณาซิ
เอาละที่นี่นะ