อย่าเสียดายป่าช้า
วันที่ 21 มีนาคม 2525 เวลา 19:00 น. ความยาว 40.3 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕

อย่าเสียดายป่าช้า

การมาบวชในพระพุทธศาสนาออกมาจากเจตนาที่สำคัญ เป็นเจตนาที่สละทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมที่จะแก้ไขถอดถอนสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตัวเองตามหลักธรรมที่ท่านประกาศสอนไว้ ให้หลุดลอยไปจากใจกลายเป็นใจที่เป็นอิสระขึ้นมา เพราะฉะนั้นเจตนานี้จึงไม่เหมือนเจตนาใด ๆ ที่เราเคยใช้เคยผ่านมา เจตนาในการบวชในการประพฤติปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นนี้เป็นเจตนาอย่างแรงกล้า ใคร ๆ จึงไม่กล้าสามารถจะประกาศเจตนาของตนออกมาจากจิตใจได้อย่างแท้จริง ผู้ที่ท่านเสียสละออกบวชประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่ประโยคเริ่มแรกจนกระทั่งถึงได้ชัยชนะข้าศึกที่เข้าเหยียบย่ำทำลายภายในจิตใจของตนเป็นเวลานานแสนนานนั้น ท่านมีเจตนาอย่างนี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น

ถ้าเจตนาไม่แรงกล้า บวชมาเพียงเป็นขนบธรรมเนียมเป็นประเพณีนั้น การประพฤติปฏิบัติที่จะให้สิ่งที่เป็นข้าศึกคือกิเลสประเภทต่าง ๆ หลุดลอยไปจากหัวใจนั้น ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะโง่เขลาเบาปัญญาและเปราะที่สุด พอที่จะหลุดลอยออกไปได้ด้วยเจตนาเพียงแบบโลก ๆ และเป็นเจตนาของกิเลสนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกท่านจงทราบเจตนาของตน แม้บวชในเบื้องต้นเรายังไม่รู้จุดหมายปลายทางอันใด ไม่เหมือนผู้เคารพเลื่อมใสศาสนาอย่างแรงกล้า ที่ได้ฟังจากพระโอวาทของพระพุทธเจ้าก็ตาม เพราะสมัยนี้เรื่องประเพณีขนบธรรมเนียมนี้ เป็นสิ่งที่เข้าสนิทติดจมกับจิตใจของชาวพุทธเรามาอย่างแยกไม่ออก เพราะฉะนั้นการบวชจึงมีเจตนาแยกหลายแขนง ไม่อาจทราบได้ว่าเจตนาอันใดเป็นเจตนาที่เด็ดเดี่ยว เป็นเจตนาที่มุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า หรือเจตนาอันใดที่เป็นเจตนายังถูกหลอกหลอนจากกิเลสมาบวชพอเป็นขนบธรรมเนียมเป็นประเพณีเพียงเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ท่านที่บวชมาแล้วในศาสนา ทราบหรือยังว่าเวลานี้สวากขาตธรรม คือธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ผู้ที่พ้นทุกข์โดยชอบจากศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีจำนวนมากมายไม่อาจจะคณนานับได้ นี้ออกมาจากที่ท่านหลุดพ้นจากสิ่งกดขี่บังคับทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว

เพราะฉะนั้นสวากขาตธรรมจึงเป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ประกาศกังวานอยู่ภายในจิตใจของเราทุก ๆ ท่านที่มุ่งหวังต่อแดนพ้นทุกข์ ไม่มีคำว่าล้าสมัย เป็นมัชฌิมาเหมาะสมอย่างยิ่งแล้วกับเพศของเราที่ได้สละตนออกมาบวชในพุทธศาสนา เพื่อรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งหลาย และดำเนินตนตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ด้วยความเคารพทั้งหลักธรรมหลักวินัย ไม่เคลื่อนคลาดผิดพลาดตกหล่นไปจากความรู้สึกของตนว่าได้เป็นอย่างนั้น นอกจากไม่รู้ไม่เห็นไม่ทราบ นั่นเป็นความผิดพลาดที่ให้อภัยได้ เป็นความผิดพลาดที่เจ้าของไม่เดือดร้อนมากนักและผู้อื่นก็ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากความผิดพลาดประเภทนั้น ๆ ผิดจากความผิดพลาดที่มีเจตนาเป็นไหน ๆ

เมื่อเราทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักแห่งสวากขาตธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มสติกำลังความสามารถของเราแล้ว นั้นแลชื่อว่าเราเดินตามร่องรอยของศาสดา และจะถึงจุดมุ่งหมายในวันใดวันหนึ่งแน่นอน แม้พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายจะทรงหลุดพ้นและหลุดพ้นไปเป็นเวลานานเพียงไร นั้นเป็นเพียงกาลสถานที่อันไม่หนีจากมืดกับแจ้งนี้ไปได้เลยเพียงเท่านั้น ผู้ดำเนินตามพระพุทธเจ้าอยู่โดยสุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิฯ แล้ว จะต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ เรียกว่าก้าวหน้าเสมอไป ไม่ถอยลับกลับหลังคืนสู่มหันตทุกข์ทั้งหลาย ที่ฝังจมอยู่ภายในจิตใจและบีบคั้นจิตใจสัตวโลกอยู่ตลอดเวลานี้

อันใดที่สำคัญในโลกนี้ เรียนธรรมต้องเรียนโลก เพราะโลกกับธรรมคละเคล้ากันอยู่ เมื่อเรียนโลกเมื่อเรียนธรรม เรียนธรรมย่อมจะซึมซาบไปถึงโลก แต่การเรียนโลกที่จะมาซึมซาบถึงธรรมนั้นเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่มีเจตนาที่จะศึกษาธรรมะแอบแฝงไปด้วย ความรู้ทางด้านธรรมะจะไม่มีเลย แต่ผู้ที่เรียนธรรมะนั้นจะต้องทราบเรื่องของโลกไปโดยลำดับลำดา เพราะโลกถ้าเราจะกล่าวโดยส่วนรวมแล้วก็คือหมู่สัตว์ หมู่สัตว์หมายถึงใครถ้าไม่หมายถึงสัตวโลกที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารมีจิตใจเป็นตัวการสำคัญนี้ไม่มีอะไรคำว่าเป็นสัตวโลก เฉพาะอย่างยิ่งใจเป็นสำคัญ

สตฺต แปลว่าผู้ยังติดยังข้อง ใจติดข้องอะไรถึงผ่านถึงพ้นไปไม่ได้ ท่านผู้วิเศษวิโสท่านผ่านพ้นไปมากน้อยเพียงไร เราทำไมจึงมากำดำกำขาวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ และไม่ทราบความเป็นมาของตนทั้ง ๆ ที่หอบภพหอบชาติอยู่ตลอดอนันตกาลมาแล้วจนกระทั่งปัจจุบัน และยังจะหาบหามภพชาติซึ่งออกจากวิบากคือการกระทำของตน และออกจากต้นเหตุของวิบาก คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สรุปความลงแล้วว่า ผู้ใดเป็นผู้แบกผู้หาม ผู้ใดเป็นผู้รับความสุขความทุกข์ กระทบกระเทือนอยู่กับสิ่งเหล่านี้เวลานี้ถ้าไม่ใช่กายกับจิตนี้เท่านั้น เฉพาะอย่างยิ่งจิตเป็นสำคัญ

กายไม่มีอะไรกระทบกระเทือนแต่จิตต้องมีกระทบกระเทือนอยู่เรื่อย ๆ ตลอดอิริยาบถเว้นแต่หลับสนิทเสียเท่านั้น ส่วนร่างกายหากไม่เป็นโรคเป็นภัยเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อน ก็เรียกว่าเป็นเรื่องของปกติ ว่าสบายดีเหรอ นั่นหมายถึงสุขภาพทางร่างกาย ส่วนใจสบายดีเหรอนี้ทำไมจึงไม่ได้ถามกัน เพราะใจไม่สบายเอาอะไรมาถามกัน ท่านเหมือนเราเราเหมือนท่าน ทั่วทั้งโลกธาตุมีแต่ผู้แบกกองทุกข์ จมอยู่ในความทุกข์เพราะอำนาจแห่งกิเลสซึ่งเป็นเจ้ามหาอำนาจกดขี่บังคับไว้ตลอดเวลา หาเวลาว่างไม่ได้เลย จะเอาความสุขมาพอสวัสดีเหรอได้ยังไง

เพราะฉะนั้นจิตจึงเป็นของสำคัญมาก ในสามแดนโลกธาตุนี้ขอสรุปความลงมาในความรับผิดชอบของเราคือกายกับใจเป็นสำคัญ ใจเป็นของสำคัญอันดับหนึ่งไม่มีอะไรเสมอ ไม่มีอะไรมีน้ำหนักในความสำคัญยิ่งกว่าใจดวงนี้ การเกิดมาถ้าไม่ใช่ใจเข้าไปสมสู่อยู่ร่วมกับธาตุขันธ์สิ่งสมมุติทั้งหลายแล้วใครจะเป็นผู้ไป ในปัจจุบันนี้ร่างกายของเราที่เกิดมานี้เรายังพอทราบได้ว่าเวลานี้เราเป็นมนุษย์ ในร่างกายแห่งความเป็นมนุษย์มาก็นับว่าดีกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่มาก นี่เราก็หาได้ทราบไม่ว่า จิตได้เข้าปฏิสนธิเข้าแทรกซ้อนกับสิ่งเหล่านี้มาได้ด้วยเหตุผลกลไกอะไร เมื่อปรากฏขึ้นมาพอรู้เดียงสาภาวะแล้วจึงรู้ว่าตนเป็นมนุษย์ ไม่ได้รู้ในขณะที่มาเกิดพอที่จะตกแต่งเอาตามความต้องการได้

ด้วยเหตุนี้สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นไปตามวิบากแห่งกรรม มีอวิชชาเป็นเชื้ออันสำคัญที่พาให้เกิด การที่จะเกิดในที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ นั้นเป็นเพราะอำนาจแห่งวิบาก เพราะกิเลสเป็นผู้สร้างวิบาก พาให้สร้างวิบากขึ้นมา เมื่อสร้างขึ้นมาแล้วส่วนมากก็มีแต่ทำให้เกิดความทุกข์ความลำบาก ส่วนบุญที่เป็นแง่แห่งธรรมพาสร้างก็มีน้อย ด้วยเหตุนี้เวลาเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแล้วถึงทราบได้ว่าเป็นนั้น ๆ อย่างสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายเขาทราบหรือไม่ก็ไม่รู้ว่าเขาได้เกิดเป็นอะไร ที่ว่าสัตว์นั้นชื่อนั้น ๆ นั้นเป็นเรื่องของมนุษย์ตัวปากเปราะไปหาเรื่องหาราวพูดใส่ชื่อใส่นามเขาต่างหาก ตัวเขาเองเขาหาได้ทราบไม่ว่าเขาเป็นสัตว์ประเภทใด เป็นธรรมชาติอันใด

มนุษย์เราจึงมักยกตนข่มสัตว์ทั้งหลายอยู่เสมอ ว่าตัวมีดีกรี ตัวมีศักดิ์ศรียิ่งกว่าสัตว์ ทั้ง ๆ ที่เป็นนักโทษในเรือนจำแห่งวัฏจักรด้วยกันเรายังทราบไม่ได้ ถ้าหากจะเอาความสุขความทุกข์ไปเทียบกันกับสัตว์ทั้งหลายที่เขาไม่ใช่เป็นมนุษย์แล้วนั้น เราจะถือว่ามนุษย์เรานี้มีความสุขมากกว่าเขาอย่างนั้นเหรอ อันนี้วัดกันไม่ได้ แม้แต่อยู่ในวัดป่าบ้านตาดนี้สัตว์มีจำนวนเท่าไรที่อาศัยอยู่ในวัด และอาศัยการเลี้ยงดูของวัดอยู่ตลอดมานี้ เขามีความสุขความทุกข์แค่ไหน เราว่าเราเป็นพระ เราว่าเราเป็นคน จะถือว่าตนมีความสุขยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็เป็นการเข้าใจผิดไปอีกโดยไม่ต้องสงสัย เขาไม่มีความคิดอะไรมากมายพอที่จะเสาะแสวงหาฟืนหาไฟมาเผาลนตนเองมากยิ่งกว่ามนุษย์ ที่สำคัญตนว่าฉลาด เพราะฉะนั้นความทุกข์มนุษย์เราจึงอาจมากกว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้ ท่านจึงไม่สอนให้ประมาทกัน

นี่ร่างนี้เราก็ทราบแล้วว่าเป็นร่างมนุษย์ ที่เกิดมานับว่าเป็นผู้มีวาสนา ได้ก้าวเข้ามาสู่ขั้นมนุษย์รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาป ศาสนาท่านก็ประทานไว้สำหรับแดนมนุษย์นี้เป็นแดนสำคัญ ถ้าเป็นทางก็ตรงสี่แพร่งเลยทีเดียว จุดศูนย์กลางแห่งศาสนาประทานไว้สำหรับมนุษย์ ไม่ได้ให้เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมสัตว์เดรัจฉานตัวใดเป็นเจ้าของศาสนา เพราะนั้นยังอาภัพไม่สมบูรณ์ในการรับศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ มนุษย์นี้สมบูรณ์ นับว่าเราเป็นชาติที่เหมาะสมแล้ว

เวลาตายจากอัตภาพมนุษย์แล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เป็นอะไรอีก หรือนรกอเวจีที่ไหนเราก็ทราบไม่ได้ เพราะวิบากมีอยู่ภายในจิตใจแต่ไม่เคยประกาศให้เจ้าของรู้เลย ด้วยเหตุนั้นจึงไปด้วยความไม่รู้ไม่เห็น อยู่ด้วยความไม่รู้ไม่เห็น เสวยกันไปอย่างนั้น วกไปเวียนมาของเก่าของใหม่ เช่นเดียวกับคนตาบอดถูกจูงไปไหนกี่ตลบทบทวนก็ไม่ทราบว่านี้เป็นของเก่านี้เป็นของใหม่ เหยียบไปย่างไปเตะโน้นชนนี้ไปตามประสีประสาของคนตาบอด จิตใจที่บอดด้วยอำนาจของกิเลสปกคลุมหุ้มห่อจนมิดตัวแล้วก็ย่อมเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน จะไปเกิดในภพใดชาติใด กำเนิดสูงต่ำขนาดไหน ได้รับความสุขความทุกข์มากน้อยเพียงไรเราไม่อาจจะทราบได้ วกเวียนไปมา และไม่รู้ได้ว่าเคยได้รับความทุกข์ความลำบากมามากน้อยเพียงไร

คนเราถ้าทราบเรื่องความเป็นมาของตนแล้ว ทำไมจะไม่กระตือรือร้นในเรื่องการเสาะแสวงหาคุณงามความดี เพื่อสลัดปัดทิ้งกองทุกข์ทั้งหลายที่เป็นมหันตทุกข์ ซึ่งตนได้เคยแบกหามมาแล้วเป็นเวลานานเล่า ต้องตะเกียกตะกาย ใจมนุษย์นี้เป็นใจสำคัญยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย เข็ดหลาบก็เข็ดหลาบด้วยสติปัญญา มีทางที่จะหลีกเลี่ยงตนด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้ยิ่งกว่าสัตว์ ทำไมมนุษย์จะไม่ตะเกียกตะกาย

แต่นี้ก็เพราะเราไม่รู้ ถูกปิดบังด้วยความมืดมิดปิดทวารเสียหมด จึงต้องวกเวียนเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติมาขนาดไหนก็ต้องยอมรับกัน ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาอยู่ตลอดเวลามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้นั้นแล หากว่าพอรู้ได้ใครจะมายอมจมอยู่นี้ นี่ละจึงว่าจิตเป็นของสำคัญมาก การมาบวชในศาสนาให้เพ่งเล็งถึงความปลดเปลื้องความทุกข์ความทรมานทั้งหลาย อันเป็นผลเกิดขึ้นมาจากเชื้อตัวสำคัญคือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตัวมืดมิดปิดทวารภายในใจ ต้องชำระแก้ไขตรงนี้ให้ได้ ถือใจเป็นสำคัญ

สิ่งภายนอกเป็นเพียงเครื่องอาศัยไปชั่วกาลชั่วเวลาเท่านั้น พอให้ยังมีชีวิตอัตภาพเป็นไปได้บำเพ็ญคุณงามความดี สมมักสมหมายสมความมุ่งมาดปรารถนา จนกระทั่งถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ได้ เพราะอำนาจแห่งความเพียรที่มีความเหนียวแน่นมั่นคง ไม่เหลาะแหละวอกแวกคลอนแคลนโอนโน้นเอนนี้ สิ่งภายนอกมีสมบูรณ์บริบูรณ์แล้วไม่ต้องไปคิดไปยุ่ง อาหารปัจจัย จีวรเครื่องนุ่งห่มใช้สอยก็เหลือเฟือ บิณฑบาตอาหารการบริโภคไม่ทราบว่ากี่ประเภท เหลือเฟือ

ที่อยู่ที่อาศัยอะไรที่ว่าสมบูรณ์ หลักแห่งความสมบูรณ์ของเสนาสนะคืออะไร ไม่ใช่หอปราสาทราชมณเฑียรกี่ชั้นหรือสี่ชั้นห้าชั้นเก้าชั้นสิบชั้น รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย นี่คือความสมบูรณ์แห่งเสนาสนะที่อยู่ที่อาศัยของพระผู้มุ่งจะฆ่ากิเลสให้วอดวายไม่ให้มีซากเหลืออยู่ภายในใจ เสนาสนะเป็นที่เพียงพอแล้ว อย่างที่เราอยู่ทุกวันนี้จะให้เพียงพอขนาดไหนอีก ถ้าไม่เรียกว่ามันเฟ้อ มันโก้หรูจนเกินไปจนลืมเนื้อลืมตัว จะเรียกว่าเสนาสนะนี้สมบูรณ์หรืออย่างนั้น ถ้าผู้จะติดหาความสะดวกตามนิสัยของกิเลสวัฏวนภายในหัวใจแล้ว จะถือว่าได้อยู่ดีอยู่สะดวกสบาย ถ้าถือตามหลักธรรมแล้วก็ว่าบกพร่องมาก ไม่ได้เหมือนครั้งพุทธกาลที่ท่านอยู่อาศัยมา ส่วนมากมีแต่เสนาสนะในป่าในเขา ตามร่มไม้ในถ้ำเงื้อมผาไปอย่างนั้น นั่นคือเสนาสนะที่สมบูรณ์ในครั้งพุทธกาลเป็นอย่างนั้น

ยาแก้โรคแก้ภัยก็ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า นี่ไม่ว่ายาขนานใดเต็มไปหมด มีกระทั่งตู้กระทั่งหีบยาเต็มไปหมดแล้วบกพร่องที่ตรงไหน ไม่มีอะไรบกพร่องแล้วสำหรับภายนอกพอที่จะให้เกิดความกังวล มันบกพร่องอยู่ที่ภายในใจของเรา คือความเพียรบกพร่อง สติบกพร่อง ปัญญาบกพร่อง ความอดทนบกพร่อง การต่อสู้บกพร่อง เหล่านี้ละเป็นสิ่งที่บกพร่อง จงพยายามรื้อฟื้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา อันจะให้เกิดกำลังในการต่อสู้กิเลสอาสวะทั้งหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมั่นคงมาก

ไม่มีอะไรในโลกธาตุนี้จะเหนียวแน่นมั่นคงและเฉลียวฉลาดแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสแต่ละประเภท ๆ เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะต่อสู้กับสิ่งที่เหนียวแน่นมั่นคงและเฉลียวฉลาดพอตัว จนได้เป็นเจ้าอำนาจครอบหัวใจของสัตวโลกแล้วเราจะทำอย่างไร เหลาะ ๆ แหละ ๆ อยู่ได้ยังไง จึงต้องอาศัยหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเครื่องมืออันสำคัญทันสมัยกับกิเลส ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะต่อสู้จนได้ชัยชนะในธรรมทั้งหลายได้ นี้แลนำมาประพฤติปฏิบัติ นำมาเป็นเครื่องมือฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไป

คำว่าแดนพ้นทุกข์จะไม่พ้นที่ไหน พ้นตรงที่เคยถูกคุมขังเคยถูกบีบบี้สีไฟอยู่ภายในใจนี้แล พ้นกันที่นี่ แก้กันลงที่นี่ อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งใด สถานที่ใด อันใดที่มีอยู่ในโลก ยิ่งกว่าการแก้กิเลส ถอดถอนกิเลสฟาดฟันหั่นแหลกกิเลสให้ฉิบหายวายปวงไปจากใจนี้เป็นสิ่งที่ดีและดีเลิศไม่มีอะไรดียิ่งกว่านี้ การงานใดการเสาะแสวงหาใด สู้การงานที่จะแก้กิเลสถอดถอนกิเลสฆ่าฟันหั่นแหลกกับกิเลสนี้ไม่ได้สำหรับเพศของพระ งานนี้เป็นงานชิ้นเอกเป็นงานอันสำคัญ เป็นเนื้อเป็นหนังของพระจริง ๆ ให้ตั้งอกตั้งใจมุ่งมั่นต่องานของตน ให้ถึงจุดหมายปลายทางอันท่านแสดงไว้แล้วโดยชอบธรรม

เรายังสงสัยอะไรในโลกอันนี้ทั้ง ๆ ที่เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งโลกนี้ เราไม่ต้องว่าโลกที่ไหนวุ่นวาย เราดูโลกหัวใจเรานี้ก่อนอื่นในขันธ์ห้าของเรานี้ก่อนอื่น รูปคือร่างกายของเรานี้มันกวนมากน้อยเพียงไรในวันหนึ่งคืนหนึ่ง จนกระทั่งถึงปีถึงเดือนตลอดมาจนถึงบัดนี้ ตั้งแต่วันเกิด มันก่อกวนเรามากเท่าไร ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับธาตุกับขันธ์ พาอยู่พากินพาขับพาถ่าย วิ่งเต้นขวนขวายเพื่อธาตุเพื่อขันธ์นี้เป็นความทุกข์ความลำบากมากน้อยเพียงไร

ความเจ็บปวดแสบร้อนแต่ละอย่าง ๆ ที่กระทบกระเทือนอยู่ภายในธาตุในขันธ์ แล้วกระเทือนถึงจิตใจนี้มีมากมายเพียงไร มีการยุติกันไปที่ไหนบ้าง ยุติก็เพียงสงบชั่วคราวจากนั้นก็เหยียบย่ำทำลายเราอยู่ตลอดสำหรับธาตุขันธ์ หาเกาะหาดอนที่ไหนพอที่จะพึ่งพิงอิงอาศัยให้เป็นความร่มเย็นไม่ได้ แล้วจิตใจก็ถูกบีบบังคับอยู่ตลอดเวลา ด้วยความคิดความปรุงซึ่งเกิดมาจากอำนาจของกิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ บีบบังคับให้คิดให้ปรุง ให้ทะเยอทะยานให้ว้าวุ่นขุ่นมัวอยู่ตลอด มีอะไรเป็นสถานที่ที่ให้มีความสุขความเจริญ ให้เป็นความสะดวกกายสบายใจ

ถ้าไม่ใช้ความเพียรเพื่อบุกเบิกฟาดฟันสิ่งที่เป็นข้าศึกอยู่ภายในใจนี้ออกมากน้อยจะหาความสุขไม่เจอ กี่กัปกี่กัลป์ก็อยู่ด้วยความทุกข์ความทรมาน เหมือนกันกับย้ายนักโทษจากเรือนจำนี้ไปสู่เรือนจำนั้นนั่นแลผิดแปลกอะไร เรือนจำไหนก็คือที่คุมขัง ต้องถูกบังคับบัญชาเพราะฐานะเราเป็นนักโทษหาอำนาจไม่ได้อยู่นั้นแล

นี่ก็เราเป็นนักโทษถูกกิเลสบีบบังคับอยู่ตลอดเวลา จะย้ายภพย้ายชาติไปเกิดในภพใดชาติใดในสามแดนโลกธาตุนี้ เราอย่าเข้าใจว่าไม่ใช่คุกไม่ใช่ตะรางไม่ใช่เรือนจำแห่งวัฏจักรของจิต นี่คือวัฏจักรทั้งนั้น นอกจากจะให้พ้นไปเสียเท่านั้นจึงจะเป็นอิสระเสรี มีเท่านั้น เอ้า คิดออกนอกจากเราไป ต้นไม้ภูเขาเป็นต้นไม้ภูเขามีความวิเศษวิโสอะไรกับมัน ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ หาความวิเศษวิโสอะไรกับดินฟ้าอากาศ ผู้คนหญิงชายก็เป็นผู้คนหญิงชาย เกลื่อนไปด้วยความทุกข์ความทรมานลำบากลำบนเช่นเดียวกัน หาความวิเศษวิโสอะไรกับขันธ์นั้น ๆ

เราตื่นอะไรเวลานี้ เอ้า คิดไป ดินก็เป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ วิเศษวิโสอะไร เราเสาะแสวงหาอะไรดิ้นรนมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้เจอแล้วหรือยังในสิ่งที่เราต้องการว่าเป็นความสุขความเจริญ สำคัญมั่นหมายหลอกนั้นหลอกนี้หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลามาจนกระทั่งถึงบัดนี้ มีผลปรากฏเป็นที่พึงหวังอะไรบ้าง ไม่มี เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเรายังจะฝืนหลงไปตามกลมายาของกิเลสที่หลอกลวงอยู่เหรอ เราเป็นนักปฏิบัติได้หลักธรรมอันเป็นเครื่องสว่างกระจ่างแจ้งส่องดูหัวใจคือสติปัญญาของเรา เป็นเครื่องส่องหัวใจอยู่กับตัวแล้ว ทำไมจึงต้องปล่อยวางอาวุธเหล่านี้ ถ้าเราต้องการให้หลุดพ้นจากที่คุมขังเราต้องเอาให้จริงให้จัง

อย่าเสียดายชีวิต เคยตายมาแล้วไม่รู้กี่ชีวิตแล้ว เสียดายเท่าไรก็ตาย ให้เสียดายแต่ความหลุดพ้น กลัวจะไม่หลุดพ้น เอ้า กลัวตรงนั้นอย่าไปกลัวที่อื่น ตรงไหนบกพร่องฟาดฟันกันลงไป บำรุงกันขึ้นมา จึงชื่อว่านักรบตามหลักศาสดาที่พาดำเนินมาแล้ว อย่าท้อถอยอ่อนแอ เพศของพระไม่ใช่เพศท้อถอย เป็นเพศสุขุมละเอียดคัมภีรภาพ เป็นเพศที่อดทน เป็นเพศที่คิดที่อ่านไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดถึงจิตจะคิดออกมาปรุงออกมาเรื่องใด เมื่อเป็นผู้มีสติปัญญาอยู่ด้วยความตั้งท่าตั้งทางอยู่เสมอแล้ว ทำไมจะไม่ทราบความคิดปรุงอันเป็นเครื่องยุแหย่ก่อกวนที่ออกมาจากใจของตนแท้ ๆ

สติปัญญามีอยู่ในจุดเดียวกันทำไมจะไม่ทราบเรื่องของกัน แล้วกิเลสก็อยู่ในจิต เกิดอยู่ในจิต สติปัญญาเครื่องแก้กิเลส เครื่องฟาดฟันหรือปราบปรามกิเลสก็อยู่ในจิตผลิตขึ้นมาได้ พระพุทธเจ้าผลิตมาแล้ว สาวกทั้งหลายท่านผลิตมาแล้ว และต่อสู้กับกิเลสจนได้ผลเป็นที่พอพระทัยและพอใจของท่าน ได้หลุดพ้นไปได้เพราะอำนาจของสติปัญญาศรัทธาความเพียร ทำไมเราจะมาแบกมาหามคำว่าสติคำว่าปัญญาเฉย ๆ โดยไม่นำมาใช้สำหรับตัวเอง แล้วจะหวังความหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ที่ไหน

เอาให้จริงให้จังนักปฏิบัติอย่าท้อถอยอ่อนแอ อย่าเสียดายป่าช้า อย่าห่วงใยอะไรในโลกสงสารนี้ ตัวของเรานี้เป็นตัวโลกสมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าทุกข์เราก็ได้ทราบว่าทุกข์พอแล้ว ไม่ต้องว่าถ้าทุกข์ ความทุกข์เราได้ทราบมาเต็มหัวใจ เราเป็นผู้รับผิดชอบในขันธ์ของเราตั้งแต่วันเกิดมา มีทุกข์มากน้อยเพียงไรทางด้านร่างกายและจิตใจ เราสงสัยอะไรว่าโลกทั้งหลายนี้จะอยู่หอวิมานลานฟ้าที่ไหนว่าจะมีความสุขความสบาย มันเป็นแบบเดียวกันเพราะอยู่ในที่คุมขังอันเดียวกัน นอกจากจะสลัดปัดสิ่งที่กดขี่บังคับให้เราอยู่ในที่คุมขังของเขานี้ออกเป็นอิสระเสรีเสียเท่านั้นเราจะสบาย หายห่วง อนาลโย หมดอาลัยแล้วเพราะได้เคยอยู่แล้ว ได้เคยสัมผัสสัมพันธ์กับโลกอันนี้มานานแล้ว

ใจเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์ใจเป็นผู้รับทราบ ใจเป็นผู้ได้รับความกระทบกระเทือนก็ได้รับกระทบกระเทือนเป็นเวลานานแล้วสงสัยที่ไหนอีก ส่วนธรรมยังไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กันเลย เอาซิเอาให้ได้สัมผัสสัมพันธ์ คำว่าสมาธิคือความสงบนี้ก็เป็นพื้นฐานแห่งความสุขที่จะให้เกิดความดูดดื่ม ลึกซึ้งเข้าไปถึงธรรมที่ละเอียดยิ่งกว่านี้ ก็จะเกิดขึ้นได้ที่ใจของเราผู้เป็นนักปฏิบัตินี้แลไม่ได้อยู่ที่ไหน พยายามทำให้เกิดทำไมใจจะสงบไม่ได้ มันเคยกำเริบเสิบสานมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ ทำไมเราจะยังเพลินกับมันอยู่เหรอ มันให้ผลอย่างไรบ้างความกำเริบเสิบสานอันนั้น ล้วนแล้วตั้งแต่นำมาซึ่งความทุกข์ความลำบากความทรมานจิตใจให้เหี่ยวแห้งยุบยอบอยู่ตลอดเวลา

อยู่ด้วยความยุบความยอบ อยู่ด้วยความทุกข์ความลำบากความทรมานทางด้านจิตใจเป็นที่น่าอยู่แล้วเหรอ อยู่ด้วยความสงบเยือกเย็นภายในจิตใจ เป็นของที่น่าอยู่ยิ่งกว่าความกำเริบเสิบสานความวุ่นวี่วุ่นวายเป็นไหน ๆ เพียงขั้นนี้ก็เห็นความสงบเป็นที่น่าอยู่น่าอาศัยน่าภูมิใจยิ่งกว่านั้นอยู่แล้ว ยิ่งทำให้จิตสงบแน่วแน่ลงไปมากยิ่งกว่านั้นก็ยิ่งน่าอยู่เข้าไปโดยลำดับ ในขณะที่จิตได้รับความน่าอยู่จากธรรมทั้งหลาย ก็เป็นขณะเดียวกันที่ขณะจิตนั้นจะต้องตำหนิความวุ่นวี่วุ่นวายของตนเอง คือเห็นโทษของตัว

เอาซินักปฏิบัติ เราปฏิบัติไม่ได้ใครจะได้ในโลกนี้ เราเป็นผู้รับผิดชอบเราแท้ ๆ ไม่มีใครรับผิดชอบใครนอกจากเราเท่านั้น อุบายวิธีการใด ๆ ที่จะเป็นไปเพื่อความพยุงจูงจิตใจของเราให้หลุดพ้นจากสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งบังคับทั้งหลาย เอา ค้นหามาพิจารณามา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนโง่ สอนให้คนมีความเฉลียวฉลาดพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคมมาแก้กับกิเลสด้วยวิธีการต่าง ๆ นำมาใช้ สติปัญญามีอย่านอนกอดกันอยู่เฉย ๆ เอาให้จริงให้จังในการประพฤติปฏิบัติ

เวลาพิจารณาค้นคว้าก็เหมือนกัน ธาตุขันธ์ทุกแง่ทุกมุมก็ได้ทราบชัด ๆ แล้วในตำรับตำราท่านก็บอกไว้ ครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์สอนไว้แล้วว่าในกองธาตุนี้คืออะไร มีอะไรอยู่ในนี้ อะไรวิเศษ ผมหรือวิเศษ ขนหรือวิเศษ หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกหรือวิเศษ อวัยวะส่วนภายในตับไตไส้พุงอาหารใหม่อาหารเก่าเหล่านี้หรือวิเศษ ถ้าวิเศษเราก็ควรจะวิเศษมานานแล้ว เพราะเราอยู่กับสิ่งเหล่านี้คลุกเคล้ากับสิ่งเหล่านี้ ยึดมั่นถือมั่นแบกหามกับสิ่งเหล่านี้ด้วยอุปาทานมานานแล้ว ทำไมจึงไม่เห็นมีความสุข แล้วเรายังจะฝืนแบกหามมันอยู่เหรอ ไม่พิจารณาคลี่คลายดูหลักความจริงที่มีอยู่ตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้เราจะเห็นความจริงที่ไหน

ความจริงต้องเห็นอยู่ที่สิ่งจอมปลอมอันกิเลสเสกสรรปั้นยอไว้นี้แลไม่อยู่ที่ไหน เปิดความจอมปลอมของกิเลสออกเราจะเห็นความจริงโดยลำดับลำดา ตั้งแต่ผิวหนังเข้าไปจนกระทั่งถึงอวัยวะส่วนในและตลอดทั่วถึงไม่มีสิ่งใดเหลือแล้วจะได้ถอน การยึดมั่นถือมั่นมันก็เหมือนกันกับเอาหนามหรือเอาหลาวยอกเข้าในหัวใจเรานั่น ผลเป็นยังไง เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถูกแหลมหลาวยอกเข้าในหัวใจเป็นยังไง กิเลสมันเป็นแหลมเป็นหลาวยอกเข้าในหัวใจ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น พิจารณาแยกแยะกันออก ถอดออกถอนออก แหลมหลาวได้แก่ความยึดมั่นถือมั่น ด้วยปัญญาของตนให้เห็นตามความจริง

พิจารณาทั้งภายในภายนอกตลอดทั่วถึง เที่ยวกรรมฐานเที่ยวอยู่ในวงอวัยวะนี้ เอ้า จะเที่ยวในอวัยวะใดก็ตามก็เป็นกรรมฐานเหมือนกัน เที่ยวอยู่นั้นหลายตลบทบทวน ไม่ยอมให้มันไปไหน จิตนี้เคยได้ส่งได้ส่ายแส่ไปมามากแล้วไม่เห็นได้ผลได้ประโยชน์อะไร คราวนี้จะเอาธรรมบังคับ กิเลสบังคับเคยบังคับมานานแล้ว ผลปรากฏขึ้นมามีแต่กองทุกข์ทั้งมวล บัดนี้จะให้ธรรมเป็นเครื่องบังคับจิตใจให้ใช้กระแสจิตหรือให้ใช้อาการของจิตมีสติปัญญาเป็นสำคัญ กับสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในธาตุในขันธ์อันนี้ให้เห็นตามความจริงแล้วจะได้ละได้ปล่อยวาง ถอดเสี้ยนถอดหนามออกจากจิตใจ จนกระทั่งถึงถอดออกหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือภายในจิตใจแล้ว นั้นแลที่นี่พ้นแล้วจากแหล่งแห่งสามแดนโลกธาตุนี้ ได้หลุดพ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาเสียดแทงจิตใจได้อีกแม้นิดหนึ่ง เพราะกิเลสไม่มีแล้ว

มีกิเลสเท่านั้นเป็นเครื่องเสียดแทงจิตใจ ก่อกวนจิตใจ ไม่มีอะไรก่อกวน ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มทั่วปฐพีหรือในสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรเป็นข้าศึกเหมือนกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตใจนี้เป็นตัวทำลาย เห็นโทษก็ต้องเห็นกันที่นี่ แก้ก็ต้องแก้กันที่นี่ ให้เห็นเหตุเห็นผลให้รู้แจ้งเห็นจริงตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว จะรู้กันที่ใจ ไม่มีอะไรเป็นผู้รู้ธรรมทั้งหลาย ในขณะเดียวกันไม่มีใครเป็นผู้ที่จะรู้เรื่องของกิเลสถอดถอนกิเลสนอกจากสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรนี้ และรู้แจ้งธรรมก็คือสติปัญญานี้แล จะเป็นผู้บุกเบิกสิ่งที่ปิดบังธรรมทั้งหลายไว้ให้เปิดเผยตัวออกมา ทั้งสมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม หลุดพ้นกันที่นี่ไม่หลุดกันที่ไหนแหละ

นี่ก็พยายามแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนเต็มสติกำลังความสามารถ อยากให้รู้อยากให้เห็นในธรรมทั้งหลายที่แสดงมาโดยลำดับลำดาจนกระทั่งถึงปัจจุบันวันนี้ แสดงด้วยน้ำใจจริง ๆ ต่อหมู่ต่อเพื่อน ท่านผู้ใดที่มาจากที่ใดก็คือพระ เป็นผู้มุ่งหวังต่ออรรถต่อธรรมด้วยกัน เห็นใจที่มา เพราะฉะนั้นผู้ที่มาจงได้สังเกตสอดรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในข้ออรรถข้อธรรมที่ท่านชี้แจงแสดงไปก็ดี หรือหมู่เพื่อนที่เกี่ยวข้องกัน สัมผัสสัมพันธ์กันทางตาทางหูทางใดก็ดี ให้นำไปคิดนำไปเป็นคติเครื่องเตือนใจสอนใจ จึงสมชื่อกับว่าเป็นการมาศึกษาอบรม

อย่ามาระเกะระกะกีดขวางกันถ่วงกันลงเหมือนลูกตุ้มมันหนัก ผู้นั้นมาผู้นี้ไป พระองค์นั้นมาพระองค์นี้ไป คณะนั้นมาคณะนี้ไป มากีดมาขวางกันโดยหาเหตุหาผลไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเจตนามันก็หนักได้ ซุงทั้งท่อนไปแบกดูซิมันมีเจตนากับเราไหมแต่มันหนักไหม นั่นแหละสิ่งที่มันกีดมันขวางก็เหมือนซุงทั้งท่อน และเหมือนหอกเหมือนหลาวด้วย ทิ่มแทงไปในหัวใจองค์นั้น ในสายตาองค์นี้ในหูองค์นั้น เพราะความไม่ระมัดระวัง จะเจตนาไม่เจตนาก็ตามไม่สำคัญ ท่านจึงสอนให้ระมัดระวัง จะไม่ได้มีสิ่งรกรุงรังหูตานี้ออกมาแสดงกีดขวางหมู่เพื่อนทิ่มแทงหมู่เพื่อน ให้พากันตั้งใจศึกษาจริง ๆ ทำอะไรอย่าทำเล่นอย่าเหลาะ ๆ แหละ ๆ ฝึกหัดนิสัยให้จริง ทำอะไรให้มีเจตนาให้มีสติให้มีปัญญารอบตัวอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เอาฝืนกันไป การฝืนนี้ฝืนกับกิเลสสู้กับกิเลสต่างหาก เมื่อกิเลสสิ้นไปแล้วหมดไปแล้วไม่มีอะไรจะฝืน ฝืนหาอะไรเป็นความจริงล้วน ๆ ด้วยกันแล้วไม่มีอะไรจะฝืนกัน

เวลานี้จริงกับปลอมมันแทรกมันแซงมันโต้ตอบหรือต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา เราจึงได้ฝืนเราจึงได้รบ เราจึงได้ฝึกฝนทรมานกันเวลานี้ ฝึกฝนทรมานนี้อะไรเป็นเหตุให้ฝึกฝนทรมาน ก็คือต่อสู้กับกิเลสซึ่งเป็นตัวข้าศึก เพราะเป็นเจ้าอำนาจบนหัวใจมาเป็นเวลานานนั้นแล จึงเป็นของยากของลำบาก ยากลำบากก็ช่าง ความยากความลำบากเป็นปุ๋ยอันสำคัญที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ ปราบกิเลสให้ราบลงภายในจิตใจได้เพราะความทุกข์ยากลำบากนี้เป็นธรรมที่สุดแล้วในหัวใจของเรา อย่านำความท้อแท้อ่อนแอว่าทุกข์ว่ายากว่าลำบาก อันเป็นกลมายาของกิเลสมาหลอกลวงใจเลย นั่นเป็นกลมายาของกิเลสให้รู้ไว้

ถ้าเรื่องของธรรมแล้ว เอ้านักสู้สู้ไป กิเลสตายมากน้อยเพียงไร นั้นแหละเป็นความชอบธรรมของนักสู้เป็นก็เป็นตายก็ตาย เราไม่ตายให้กิเลสตาย สุดท้ายกิเลสก็ตาย เราไม่ตายแหละ จะตายยังไงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนทำความเพียรตาย สอนให้คนทำความเพียรเพื่อฆ่ากิเลสตายต่างหากนี่ ไม่มีในหลักธรรมพระพุทธเจ้าว่าสอนให้ทำความเพียรเพื่อตาย ไม่มี สุดท้ายกิเลสตายทั้งนั้น นี่เราเอะอะก็กลัวแต่จะตาย

เอาให้เห็นจริงเห็นจังให้เห็นกิเลสตายบ้างซิ เมื่อเห็นกิเลสตายไปบ้างภายในหัวใจแล้ว มันย่อมมีความกระหยิ่มมีพลังใจภาคภูมิใจ เพราะในขณะเดียวกันธรรมก็ปรากฏขึ้นมาเป็นความสงบเป็นความเย็นใจ เป็นความสง่างามภายในจิตใจ อยู่ที่ไหนก็เย็นสบาย ๆ ขึ้นโดยลำดับ ๆ พอกิเลสหลุดลอยไปมากน้อยธรรมปรากฏขึ้นมาให้เกิดความสะดวกสบาย จนกระทั่งถึงสว่างกระจ่างแจ้งไปหมด โลกวิทู รู้แจ้งหมดแล้วในแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีใครที่จะรู้แจ้งยิ่งกว่าจิต และในขณะเดียวกันถ้ามีสิ่งปกคลุมดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะมืดมิดปิดตายยิ่งกว่าจิตจนตรอกจนมุมยิ่งกว่าจิต ถูกกิเลสบีบบังคับจนหาทางออกไม่ได้ ปิดตาย

บทเวลาเปิดกิเลสออกหมดไม่มีอะไรเหลือ ถอนกิเลสออกหมดทั้งรากแก้วรากฝอย เผาด้วยตปธรรมแล้ว นั้นแหละที่นี่สันติมหาสันติ ความสงบอันล้นพ้น พ้นจากแดนสมมุติโดยประการทั้งปวง ทั้ง ๆ ที่ธาตุขันธ์นี่เป็นสมมุติ แต่จิตใจเป็นวิมุตติหลุดพ้นแล้วจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีอะไรที่จะมากดถ่วงจิตใจอีกแล้ว นั้นแลเป็นผลที่พระพุทธเจ้าทรงประสบและสาวกทั้งหลายทรงรู้ทรงเห็น และประทานธรรมไว้ให้พวกเราทั้งหลายได้ดำเนินเพื่อจุดนั้น เพื่อธรรมอันเลิศดวงนั้น นั้นแลเป็นสิ่งที่เลิศ นอกนั้นไม่เห็นว่าอะไรเลิศ

นี่เวลานี้เรามาหาธรรมเลิศอันนั้น ที่ยังไม่เห็นก็เพราะถูกสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายมันปิดมันบังมันปกคลุมหุ้มห่อเอาไว้อย่างมิดตัว มันรักมันสงวนที่สุดไม่ยอมให้เราแตะ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ พร้อมกับการระวังกลมายาของมันที่จะหลอกเรา ในเวลาประกอบความพากเพียรได้รับความทุกข์ความยากความลำบากบ้าง เอาให้ดีตรงนี้ แล้วก็ไม่พ้นที่จะหลุดไปจากอำนาจของมันและเหยียบย่ำทำลายมันลงเสีย ที่นี่เรียกว่าราบ-ราบอย่างนั้นเอง กิเลสราบ อย่าให้จิตราบเพราะอำนาจของกิเลส

เวลานี้เรามาพลิกตัวในการต่อสู้ให้กิเลสราบด้วยอำนาจแห่งความเพียรของเรา นั่นละชื่อว่าได้ทำประโยชน์ของตนโดยสมบูรณ์แล้ว ทีนี้ประโยชน์ของโลกก็จะตามมาเองมากน้อยตามแต่กำลังความสามารถของผู้นั้นจะนำออกแสดงได้มากน้อยเพียงไร หรือผู้มาเกี่ยวข้องจะควรได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไรตามอุปนิสัยความสามารถฉลาดของเขาก็ได้ไปโดยไม่เสีย เราก็ไม่เสีย เขาก็ได้รับประโยชน์ เมื่อได้ธรรมเป็นมหาสมบัติครองอยู่ภายในจิตใจแล้วกินกระทั่งวันตายก็ไม่หมด เอ้า เทศน์ไปสอนไปสอนใครหากรู้จักประมาณ รู้จักเวล่ำเวลาความเหมาะสมไปในตัวนั้นโดยหลักธรรมชาติ ไม่มีคำว่าหมดว่าสิ้น และรู้ประมาณเต็มที่เต็มตัว นั่นพระพุทธเจ้าและสาวกท่านทำประโยชน์ให้โลกได้โดยสมบูรณ์ เพราะท่านเป็นผู้มีประโยชน์อันสมบูรณ์ภายในองค์ของท่านแล้ว

เราในขณะนี้มาทำประโยชน์ตนให้สมบูรณ์ มีหน้าที่อันเดียวที่จะมารับการอบรมสั่งสอนจากครูจากอาจารย์ ท่านว่าอะไรสอนอะไรเราพยายามหยิบพยายามจับเอามาเป็นข้อคิด เอามาเป็นคติสอนใจตนเอง ไม่ว่าครูบาอาจารย์หมู่เพื่อนท่านผู้ใดทำถูกต้องดีงามเป็นคติเตือนใจได้ ยึดเอามาเป็นหลักปฏิบัติของตนทันที ๆ ชื่อว่าผู้มาอบรมศึกษา จะไม่เปล่าประโยชน์ ไม่เสียท่าเสียที จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้รักษาเจตนาของตนที่ได้มุ่งในการบวชมาแล้วและปฏิบัติมาโดยลำดับ อย่าคิดย้อนหลังในเรื่องความทุกข์ความลำบากในการประกอบความเพียร แล้วจะไปเป็นข้าศึกต่ออนาคตในการประกอบความเพียรในวงปัจจุบันและอนาคตข้างหน้าโดยไม่ต้องสงสัย

ทุกข์ก็ทุกข์ไปเถอะ ทุกข์ขนาดไหนก็ได้ก้าวมาแล้วขนาดนี้ นี้จะก้าวไปอีกไม่ถอยหลัง จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางแล้วไม่ต้องบอกก็รู้เอง จึงขอให้ทุกท่านได้นำไปประพฤติปฏิบัติ

การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร เอาละ รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้ว


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก