มันเป็นยังไงพวกนี้ มาศึกษาเพื่ออะไร วัดนี้กำลังเริ่มจะเหลว ๆ ไหล ๆ แหลก ๆ แหวกแนว ไปละนะ เราอกจะแตก มีมากเท่าไรยิ่งนับวันเหลวลงเลวลงทุกวัน ๆ นะ แล้วก็หลั่งไหลกันมา ๆ มาหาประโยชน์อะไร มาศึกษาไม่ได้มีความจริงความจังอะไรเลย มาเล่น ๆ ได้เหรอ นี่ไม่ได้รับเล่นไม่ได้สอนเล่นนี่ เพราะไม่เคยปฏิบัติแบบเล่น ๆ มา ศาสนาก็ไม่มีแบบเล่น ๆ มองดูเดี๋ยวนี้กำลังเริ่มแล้วนะ มันอกจะแตกแล้วนะผู้ดูแลอยู่นี่ มามากเข้า ๆ คละเคล้ากันเข้าแล้วมันเลยกลายเป็นโรงลิเกละครโรงบ้าโรงบาร์ไปแล้วนะนี่
เราไม่เห็นอะไรเป็นของวิเศษอัศจรรย์ยิ่งกว่าความเพียร เพราะธรรมท่านบ่งบอกว่าอย่างนั้นนี่ สิ่งเหล่านั้นไม่เห็นเป็นของจำเป็นอะไรยิ่งกว่าการประกอบความเพียร เพื่อแก้ผีแก้ยักษ์อยู่ภายในจิตใจนั่นออกไป มาก็แบกกิเลสมาอยู่แล้ว ยังจะมาสั่งสมกิเลสกันอยู่ในสถานที่ที่ควรชำระกิเลสนี่เหรอ แล้วมันเข้ากันได้ยังไง เด้น ๆ ด้าน ๆ อืด ๆ อาด ๆ เนือยนาย เหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล เหยียบอยู่บนหัวใจคน บนกิริยามารยาทของคนที่แสดงออก มีแต่กิเลสบ่งบอกออกมาทั้งนั้น ธรรมบ่งบอกออกมาที่ตรงไหน มองดูแล้วมันขวางตาทุกที ฟังก็ยังขวางหูอีก
ก็เคยพูดอยู่แล้วว่ากิเลสมันแหลมคมขนาดไหน จะมาตั้งใจแก้กิเลสก็ตั้งใจซิ จะมาให้กิเลสจูงจมูกอยู่ได้ยังไง มันลากมันถูไปอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ มีแต่เรื่องกิเลสมันลากมันถูเอา ถ้าธรรมดาแล้วมันถลอกปอกเปิกมันขาดไปได้เหมือนอวัยวะทั้งหลาย เหมือนสิ่งทั้งหลายกระทบกระเทือนแล้ว มันมีอวัยวะที่ไหนพวกเรานี่พระนี่ แม้แต่กระดูกก็ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว เพราะกิเลสมันลากมันถู มันลากมันจูงยังไม่ทราบอยู่เหรอเวลานี้ เราจะเอาอะไรไปแก้กิเลส หรือจะเอากิเลสไปแก้กิเลสเหรอ เคยได้ยินไหมเอากิเลสไปแก้กิเลสมีที่ตรงไหน นอกจากธรรมแก้กิเลสเท่านั้น
นี่เวลามากเข้าค่อยเริ่ม ๆ เลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วนะ ถ้าดูอยู่ทุกระยะทำไมจะไม่รู้ ถ้าเรียนเรื่องธรรมปฏิบัติธรรมเพื่อดูกิเลสทำไมจะไม่รู้เรื่องกิเลสมันแสดงออก นอกจากจะไม่สนใจกิเลสกับธรรม จึงให้กิเลสเหยียบเอา ๆ อย่างโรงน้ำร้อนนี่อย่ามาหัวสุมกันอยู่ตลอดเวลานะ ใครมีอะไรจะฉันก็ฉัน รีบหนีรีบทำการทำงานของตนคือสมณธรรม นี่เราก็อนุโลมนะเรื่องน้ำร้อนน้ำชาเหล่านี้ แต่ก่อนไม่ได้มีแหละ พึ่งมาอนุโลมนี่ มันเลยอนุโลมไปแล้ว จะกลายเป็นอนุแหลกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนะ
อันนี้ฉันพอเยียวยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเท่านั้นไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังอะไร นี่มันจะกลายเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ไม่ได้ฉันอยู่ไม่ได้จะตายไปแล้วนะนั่น เรื่องความเพียรเป็นยังไง ความเพียรด้อยอยู่ได้ไหม ด้อยเท่าไรยิ่งอยู่ได้ ยิ่งนอนจม มันทันกันไหมกับกิเลสถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เคยบอกอยู่แล้วกิเลสมันจมในหัวใจมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว มันเป็นของแก้ยากนะถ้าไม่ใช้ความพินิจพิจารณา ใช้ความพากเพียรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เหมือนความเพียรในกิจการงานใด ๆ
ความเพียรเกี่ยวกับเรื่องของกิเลส ต้องเป็นความเพียรที่หนักแน่น เป็นความเพียรที่ละเอียดสุขุม ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาทุกแง่ทุกมุม มันถึงจะทันกิเลส ถึงจะแก้กิเลสได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีวิชาแขนงใดที่จะมาแก้กิเลสออกจากหัวใจของคนและสัตว์นี้ได้ นอกจากวิชาธรรมเท่านั้น ละเอียดไหมเก่งไหมกิเลส แหลมคมไหม ไม่มีวิชาใดแก้มันได้ ในสามแดนโลกธาตุนี่ไม่มีวิชาใดเลยที่จะสามารถแก้กิเลสตัวฉลาดแหลมคม ตัวร้ายกาจ ตัวเป็นยักษ์เป็นผีเหยียบย่ำหัวใจ กัดฉีกจิตใจของสัตว์โลกมาเป็นเวลานานแสนนาน ไม่มีวิชาใดจะแก้มันได้ ทำลายมันได้ นอกจากวิชาธรรมเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อัศจรรย์พระพุทธเจ้า ผู้เป็นองค์ประกันของสัตว์โลกทั้งหลายด้วยความเสียสละเป็นตายทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ไม่ทรงอาลัยเสียดายเลย เอ้า อันใด ๆ ใครจะมีความรักความชอบอะไร พระองค์ก็มีหัวใจเหมือนกัน จะต้องมีความรักชอบเกี่ยวพันห่วงใยเหมือนกัน แต่ก็ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่ผูกมัดหัวใจได้อย่างแน่นหนามั่นคงออกไป เมื่อออกไปแล้วก็ยังไม่แล้ว ยังต้องได้รบกันอยู่อีกแทบเป็นแทบตาย พระประวัติก็บอกไว้แล้วเป็นของง่ายไหม นั่นความจะเป็นศาสดาสอนโลก เป็นผู้ประกันชีวิตของโลก เอาชีวิตของพระองค์เป็นประกันเลยเพื่อรับรองสัตว์โลก ขนสัตว์โลกให้พ้นจากเรือนจำคือวัฏจักรนี้ ยากหรือไม่ยากเราพิจารณาซิ
ถ้าเป็นนักปฏิบัติต้องพิจารณาในสิ่งเหล่านี้ด้วย อย่าว่าแต่เพียง พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เพียงปากพูดนั้นเลยไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้หยั่งถึงจิตถึงใจหยั่งถึงปฏิปทาเครื่องดำเนินของพระองค์ เป็นแบบเป็นฉบับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเป็นแบบฉบับที่แก้กิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นแบบฉบับที่สั่งสมกิเลส กอบโกยกิเลสขึ้นมาเหยียบย่ำทำลายหัวใจ แต่เป็นแบบที่ถอดถอนกิเลสฆ่าฟันกิเลสเอาให้พินาศฉิบหายไปทั้งนั้น จนกลายเป็นศาสดาของโลกขึ้นมา ในท่ามกลางแห่งความมืดบอดในวงวัฏจักรนี้ ยากหรือไม่ยาก
นี่ละวิชานี้ ใครไปขุดค้นมาได้มีไหม มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นขุดค้นวิชานี้ขึ้นมา รื้อถอนพระองค์และสัตว์โลกได้เรื่อย ๆ มา ยากหรือไม่ยากพิจารณาซิ ขนาดไหนกิเลส เอ้า เทียบกันซิ มีธรรมเท่านั้นที่จะแก้ได้ นอกนั้นไม่มีทาง เพราะเป็นเครื่องมือของมันทั้งหมดไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะสังหารทำลายมัน เป็นเครื่องมือของมันทั้งนั้น นี่เราตั้งหน้าตั้งตามาประพฤติปฏิบัติแล้วทำไมจึงไม่ดำเนิน ทำไมจึงไม่คิดถึงเรื่องความเสียสละของพระองค์จนถึงชีวิตจิตใจจะตายก็ยอมเสียสละ แล้วได้ธรรมมาสอนโลก สอนพวกเราซึ่งเพียงล้างมือเปิบเท่านี้ยังเป็นไปไม่ได้แล้วทำไง เราจะหวังผลประโยชน์อะไร
ความเป็นอยู่ของเราอย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้มันเกิดประโยชน์อะไร จะควรนำไปเทียบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ไหม ความเป็นอยู่ของเราอย่างทุกวันนี้ มันมีแต่เรื่องของกิเลสเป็นข้าศึกของธรรม เป็นข้าศึกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ทั้ง ๆ ที่ประกอบความพากเพียรอยู่นั้นแล อิริยาบถทั้งสี่เคลื่อนไหวไปมาอะไร มันมีแต่กิเลสชักจูงให้เคลื่อนให้ไหว ไม่ใช่ธรรมชักจูงให้เคลื่อนให้ไหว ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของธรรมชักจูงให้เคลื่อนไหวแล้ว ควรจะมีสติ ควรจะมีปัญญา กิเลสควรจะถลอกปอกเปิกไปบ้างอย่างน้อย มากกว่านั้นกิเลสพังทลาย เพราะสติปัญญานี้ไม่เคยล้าสมัยมาแต่ไหนแต่ไร ความพากเพียรเหล่านี้พระองค์ได้เคยใช้มาแล้ว สติปัญญาก็เคยใช้มาแล้วทั้งนั้นเห็นผลประจักษ์พระทัย ถึงได้ประกาศพระองค์เป็นศาสดาสอนโลก และสอนโลกได้ทั้งสามโลกธาตุ เพราะอำนาจแห่งธรรม มีสติธรรม ปัญญาธรรมเป็นต้น
ความเป็นอยู่ทุกวันนี้ของเรามันเป็นยังไง ได้เอาไปเทียบไปเคียงท่านบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เทียบเคียงก็นั้นแหละคือนอนให้กิเลสเหยียบจมูกอยู่นั้น ถ้านำไปเทียบเคียงบ้างแล้วก็จะได้รู้สึกเนื้อรู้สึกตัว แล้วจะได้รีบเร่งขวนขวายเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อการแก้การถอดถอนกิเลส แล้วจะได้เห็นความแปลกประหลาดภายในจิตใจขึ้นมา ซึ่งต่างกับกิเลสที่ครองหัวใจบีบบังคับหัวใจมาแล้วตั้งแต่กาลไหน ๆ อยู่โดยลำดับลำดา และรู้เรื่องระหว่างกิเลสกับธรรมได้อย่างเต็มหัวใจ
เราสงสัยอะไรเวลานี้ เสียดายอะไร ตาก็เคยได้เห็นมาแล้วตั้งแต่วันเกิดรู้เดียงสาภาวะมา มันได้ประโยชน์อะไร หูก็ได้ยินได้ฟังมาแล้ว จมูก ลิ้น กายและสิ่งสัมผัสสัมพันธ์เหล่านี้เคยสัมผัสสัมพันธ์กันมาแล้ว มันได้ประโยชน์อะไร ถ้าหากจะปล่อยให้เป็นไปตามที่เคยเป็นมาแล้วนี้ เอาสิ่งที่เคยเป็นมาแล้วนี้มาเทียบดูซิ มันได้ประโยชน์อะไรบ้าง เวลานี้เราต้องการจะสัมผัสสัมพันธ์กับธรรม ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอันเป็นเครื่องมือของใจ นำมาใช้ในทางด้านอรรถธรรม
ดูให้เป็นธรรม ฟังให้เป็นธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ให้เป็นธรรม นี่ถ้าผู้ปฏิบัติต้องพลิกสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่กิเลสโดยถ่ายเดียว แต่อาศัยกิเลสเป็นเครื่องผลักดันออกมาให้สิ่งเหล่านี้มีอาการเคลื่อนไหวไปตามอำนาจของมันเท่านั้น นี่เราจะนำสิ่งเหล่านี้เครื่องมือเหล่านี้กลับเข้ามาเป็นฝ่ายของธรรม เป็นเครื่องมือของธรรม เอ้า นำมาใช้ซิสติปัญญามี อยู่เฉย ๆ ทำไม จะหวังเอาประโยชน์จากสถานที่กาลเวลาแบบลม ๆ แล้ง ๆ ยังไงกัน ถ้าไม่หวังเอาจากความพากเพียรของตน
มันด้อยที่ตรงไหนขุดค้นลงไป พยายามส่งเสริมลงไปซีถ้าผู้ต้องการจะหลุดพ้นจริง ๆ ก็ต้องหลุดพ้นโดยไม่ต้องสงสัย เพราะธรรมนี้ไม่เคยล้าสมัย เป็นมัชฌิมา พร้อมเสมอมัชฌิมา เหมาะสมตลอดเวลาไม่ว่าจะนำไปปราบกิเลสชนิดใด ตั้งแต่หยาบสุดจนกระทั่งถึงละเอียดสุด ไม่นอกเหนือไปจากมัชฌิมาธรรมนี้ไปได้เลย จึงเรียกว่าธรรมเหมาะสม มัชฌิมาแปลว่าเหมาะสมในการปราบกิเลสทุกประเภท
อยู่ไป ๆ วันหนึ่ง ๆ กินไปนอนไป แม้แต่สัตว์เขาก็กินได้นอนได้อย่าว่าแต่มนุษย์ทั่ว ๆ ไป ย่นเข้ามาถึงตัวของเรากินได้นอนได้ มันมีความแปลกประหลาดอะไร ต่างจากโลกอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่โลกทำได้ทั่ว ๆ ไป มีความจำเป็นอยู่ด้วยกัน สิ่งที่เรามาเสาะแสวงหาอยู่เวลานี้เราไม่ได้หาอย่างนี้นี่ เราหาแบบพระพุทธเจ้า หาแบบพระสงฆ์สาวกเพื่อจะเห็นธรรมอันประเสริฐเลิศโลกนั้นขึ้นภายในจิตใจ เพราะใจเท่านั้นเป็นผู้จะสัมผัสสัมพันธ์ธรรม รู้เห็นธรรม หนักเบาลึกตื้นหยาบละเอียดแค่ไหนจะนอกเหนือจากใจไปไม่ได้
ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ไม่ใช่ภาชนะสำหรับที่จะรับรองที่จะให้รู้ให้เห็นอรรถธรรม เป็นภาชนะอันดีของอรรถธรรม นอกจากใจดวงเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นธรรมจะมีอยู่ขนาดไหนนานเท่าไรมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม ถ้าลงเป็นคนใจบอดแล้วมันเท่านั้น อย่าว่าแต่เพียงกี่กัปกี่กัลป์เลย ให้เลยไปอีกกี่กัปกี่กัลป์มันก็ไม่มีทางทราบได้ เหมือนคนตาบอดตั้งแต่กำเนิดนั้น จนกระทั่งวันตายมันก็ไม่มีวันที่จะมองเห็น มันจะมองเห็นทั้ง ๆ ที่มันตาบอดได้อย่างไร
ก็มันตาบอดจะมองเห็นได้อย่างไร สิ่งทั้งหลายมีอยู่ทั่วไปในโลกมันก็ไม่เห็น คนตาดีเขาเห็นกันทั้งนั้น หูดีได้ยินทั้งนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ไม่ได้ปิดบัง เมื่อมันเหมาะกับวิสัยของอวัยวะใดที่จะรับทราบได้มันรับทราบทั้งนั้น ๆ แต่ธรรมนี้ไม่มีอะไรที่จะรับทราบได้นอกจากใจดวงเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ปรับปรุงจิตใจให้เหมาะสมกับธรรมขั้นนั้น ๆ ที่จะเข้าสู่กันได้ สัมผัสสัมพันธ์กันได้ สถิตอยู่ภายในจิตใจได้นับตั้งแต่ขั้นสมาธิขึ้นไป
สมถธรรมคือความสงบใจ ปัญญาธรรมคือความละเอียดลออความแยบคาย การพินิจพิจารณา ความเฉลียวฉลาดแก้ตัวเอง เห็นสิ่งที่เป็นภัยแก่ตัวเอง แก้สิ่งที่เป็นภัยแก่ตัวเองโดยลำดับลำดา นั่นแหละที่นี่สมาธิธรรม ใจไม่เคยสงบก็สงบได้ ที่เราเคยอ่านเคยจดจำมาจากตำรับตำราเท่าไรใครก็จำได้เหมือนกัน สมาธิ ๆ สมถะ ๆ แต่มันไม่เคยมีสมาธิ ไม่เคยมีสมถะภายในหัวใจ เพราะใจไม่รับ รับแต่ชื่อเป็นความจำเฉย ๆ มันไม่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับใจเพราะการปฏิบัติจริง มันจึงไม่รู้ไม่เห็น
ศาสนาของพระพุทธเจ้าเลยกลายเป็นตำรับตำรา เป็นกระดาษเศษไปหมด เป็นตัวหนังสือเป็นตัวอักษรไปเฉย ๆ ไม่มีความแปลกประหลาดอัศจรรย์อะไรเลย ก็เพราะคนไม่แสดงความแปลกประหลาด ไม่แสดงความกระตือรือร้นในการที่จะประพฤติปฏิบัติตามหลักแห่งสวากขาตธรรมนั่น แล้วสุดท้ายอะไรไร้ค่า ศาสนาไร้ผล ศาสนานั้นอยู่ที่ไหน อะไรไร้ค่าถ้าไม่ใช่มนุษย์นี่ไร้ค่า เราเองเป็นคนไร้ค่า ไร้ความพากความเพียร ไร้สติไร้ปัญญา ไร้ศรัทธาความเพียรทุกด้าน แล้วจะไม่ไร้มรรคผลนิพพานได้ยังไง
สมาธิก็ไร้ละซีเมื่อเหตุเป็นเครื่องหนุนไม่มี เป็นเครื่องบุกเบิกไม่มี สมาธิจะเกิดขึ้นได้ยังไง ปัญญาความฉลาดก็ได้ยินแต่ชื่อ จำได้แต่ชื่อ ใจของตัวโง่ยิ่งกว่าสัตว์แล้วเอาอะไรมาฉลาด แล้วกิเลสมันโง่เหรอ กับความโง่ของเรามันเข้ากันได้เหรอกับกิเลสตัวฉลาดนั่นน่ะ นำมาใช้ซิผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าลงจิตได้ฉลาดแล้วกิเลสจะหนาแน่นยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกก็เถอะ ยังไงมันก็พังทลาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระสงฆ์สาวกในสมัยของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ประกาศกังวานมาเป็นเวลาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ความกังวานแห่งความแจ้งความชัด แห่งของจริงทั้งหลายที่กล่าวมานี้มีอยู่ ศาสนาจะเป็นโมฆะได้อย่างไร
นอกจากเราเท่านั้นเป็นโมฆะไร้สาระ ทำอะไรที่จะเป็นสาระมันไร้ไปหมด กิเลสพาให้ไร้ ศาสนาก็เลยมีแต่ตำรับตำรา ผลสุดท้ายก็ให้กิเลสมันไปเหยียบศาสนาเข้าอีกว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ใครจะปฏิบัติไปเท่าไรก็ปฏิบัติไปเถอะ สมัยนี้มรรคผลนิพพานไม่มี มันไม่มีแหละสำหรับโมฆบุรุษโมฆสตรีคนนั้น จะมีได้ยังไง ก็มันไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรม ไม่เคยสนใจกับการประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน แล้วจะเอามรรคผลนิพพานให้เกิดมีขึ้นมาได้ยังไง มรรคผลนิพพานไม่ใช่ลมไม่ใช่แล้งพอที่จะพัดโน้นโชยนี้ไปอย่างนั้น เกิดขึ้นด้วยความมีเหตุผล
เปิดออกซิมันมืดมิดปิดตาอยู่ที่ไหน ตรงไหนที่มันรกรุงรัง สถานที่ใดมันจะรกรุงรังขนาดไหนก็ให้มันรกรุงรังเถอะ ถากถางฟาดฟันเข้าไป ไฟเผาเข้าไป ความเตียนโล่งจะแสดงขึ้นโดยลำดับลำดา แล้วความเตียนโล่งหมดสมัยแล้วเหรอ มันหมดสมัยสำหรับคนขี้เกียจ ถ้าลงถากลงถางลงไปแล้วความเตียนโล่งก็ปรากฏขึ้นในสถานที่รก ๆ นั้นแหละ เวลานี้จิตมันรกด้วยกิเลสตัณหาอาสวะ ไม่ถากไม่ถางมันด้วยข้อวัตรปฏิบัติ ด้วยความพากเพียร ด้วยสติปัญญา สิ่งที่รกรุงรังคือกิเลสทุกประเภทนั้นจะสลายตัวไปได้ให้กลายเป็นความเตียนโล่งขึ้นมาได้ยังไง เราเอาธรรมเข้าไปปัดไปกวาดไปฟาดไปฟันมันซิ
พระองค์เป็นศาสดาเอกก็รู้อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าคือศาสดาองค์เอก ธรรมก็คือธรรมอันเอก ศาสนธรรมอันเอกทีเดียว ตรัสมาแล้วด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบฟังให้ดี ๆ นิยยานิกธรรมพร้อมเสมอที่จะนำสัตว์โลกผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ให้พ้นจากทุกข์ไปได้โดยลำดับ ๆ จนกระทั่งพ้นโดยสิ้นเชิง นี่มัชฌิมาธรรม เหมาะอยู่ตลอดเวลา แล้วที่ว่ามรรคผลนิพพานว่าหมด ๆ นั้นหมดไปไหน หมดด้วยอำนาจของความมืดบอดของคนมีกิเลสไม่สนใจกับธรรมต่างหาก
ผู้ที่ว่ามรรคผลนิพพานหมด ผู้เช่นนั้นแลคือผู้ไม่ได้สนใจกับธรรม มรรคผลหมดจริงสำหรับตัวของคนคนนั้น แต่ผู้ปฏิบัติอยู่ศาสนาไม่ได้มีใครเป็นผู้ผูกขาด ใครเป็นเจ้าอำนาจมาผูกขาดศาสนาเมื่อไร ใครปฏิบัติก็ได้ละซิ ศาสนธรรมเป็นสมบัติกลาง แม้แต่อยู่ในวงวัดนี้ก็เอาซิ ความพากเพียรของใครมีความยิ่งหย่อนต่างกันผลจะเป็นต่างกันอย่างนั้น เราอย่าว่าตั้งแต่ทั่วโลกธาตุนี้เลย ในหัวใจของเรานี้ก็เหมือนกัน เวลามันจะหมดก็เพราะกิเลสเหยียบย่ำทำลายให้หมด มันหมดความเพียร ขี้เกียจขี้คร้านซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ก็ทำลายธรรมทั้งนั้น สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นมีขึ้นอันเป็นสิ่งที่พึงใจย่อมไม่มี มีแต่ปล่อยให้กิเลสเหยียบเอา ๆ โดยตัวเองไม่รู้
ท่านกล่าวไว้ ๆ เพื่อให้รู้ให้เห็นแท้ ๆ ไม่ใช่กล่าวไว้เพื่อหลอกลวงสัตว์โลกนี่ เช่นว่าสมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี วิมุตติก็ดี หรือว่าความบริสุทธิ์หลุดพ้นก็ดี ไม่ได้นอกเหนือไปจากวงความเพียรที่เป็นไปด้วยธรรม มีสติปัญญาศรัทธาความเพียรเป็นต้นนี้ไปได้เลย ผู้ปฏิบัติจึงไม่ควรให้จิตเหินห่างจากนี้ ถ้าเป็นผู้ต้องการใกล้ชิดสนิทกับสมาธิ ปัญญาและมรรคผลนิพพานทุก ๆ ขั้นไป จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ จะไม่นอกเหนือจากสวากขาตธรรมและการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมนี้เลย
เอานี้เป็นหลักซิ เราได้ถือว่าชาวบ้านชาวเมืองขี้หมูราขี้หมาแห้ง สรณํ คจฺฉามิ ที่ไหน ตั้งแต่วันบวชมาก็ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่เอาเป็นหลักเป็นเกณฑ์เอาเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่ฝากเป็นฝากตายด้วยความเชื่อถือจริง ๆ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ด้วยการปฏิบัติของเรา พระพุทธเจ้าปฏิบัติทำไมหลุดพ้น สาวกทั้งหลายปฏิบัติด้วยธรรมที่ทรงสอนไว้แล้วนี้ทำไมหลุดพ้น เหตุใดเราปฏิบัติทำไมจึงไม่หลุดพ้น มิหนำซ้ำกลายเป็นเครื่องผูกมัดตัวเองไปโดยไม่รู้สึก มันเป็นยังไง
ก็เพราะปล่อยให้กิเลสเข้ามาเหยียบย่ำทำลายในวงความเพียร ทั้ง ๆ ที่เจ้าของเข้าใจว่าประกอบความพากเพียรนั้นแล แต่ไม่มีสติสตัง ไม่มีปัญญาพอที่จะรู้เท่าทันเรื่องกิเลส ความแทรกของกิเลสซึ่งเป็นของละเอียดมากที่สุด มันจึงไม่ได้เห็นเรื่องเห็นราวอะไร
นี่เคยมาเสียจนน่าสลดสังเวชนะ บางครั้งบางคราวกิเลสมันเหยียบเอา ๆ จริง ๆ พยายามเท่าไรก็ไม่ฟื้น จึงหนีจากครูอาจารย์ไม่ได้ ไปอยู่ลำพังคนเดียวแทนที่ว่าจะประกอบความพากเพียรในระยะที่เรายังไม่ได้หลักจิตหลักใจ ไปทำความพากเพียรแทนที่จะเป็นสติเป็นปัญญาเป็นความเพียรก็เป็นไปไม่ได้ ถูกกิเลสฉุดลากเอาต่อหน้าต่อตา เห็นชัด ๆ รู้ชัด ๆ เคยเป็นมาแล้ว แต่เป็นที่เข้าใจอันหนึ่งว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะหนีจากครูจากอาจารย์ไม่ได้
เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ เพราะอำนาจธรรมของท่าน ความเชื่อความเคารพความเลื่อมใสท่านก็เป็นความร่มเย็น เพราะอานุภาพแห่งธรรมของท่านด้วยทำให้อบอุ่น จากนั้นก็ได้ยินได้ฟังการแนะนำสั่งสอนหนักเบา ตลอดถึงการดุด่าว่ากล่าวไปตามกิริยาของกิเลสที่แสดงออก สัมผัสสัมพันธ์ในระหว่างผู้ไปศึกษากับท่าน มันก็ได้สติสตังขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตมีหลัก หลักจิตตั้งแต่สมาธิขึ้นไปเริ่มมีหลัก จากนั้นก็เป็นขั้นปัญญา
พอจิตสงบแล้วก็เย็นคนเรา มีเกาะมีดอนเป็นที่พึ่งพิงเป็นที่อิงอาศัย ถ้าหาความสงบไม่ได้เลยเราจะหวังอะไรในโลกนี้ เฉพาะอย่างยิ่งเพศของพระและเพศของนักปฏิบัตินี้ด้วยแล้ว เราหวังเอาอะไร เคว้งคว้างไปหมดจิตใจหาธรรมเป็นที่ยึดเป็นที่เกาะไม่ได้ สมาธิธรรมก็ไม่มี คือความสงบนิดหน่อยก็ไม่มี นั่นตาย ตอนนี้ละตอนมันลำบาก จึงต้องได้หักโหมกันอย่างเต็มที่ พอฝึกพอทรมานแบบไหนต้องเอากัน เช่นอย่างอดนอน ผ่อนอาหารนี้ มันเป็นเหตุให้ทำก็เพราะว่ามันมีสาเหตุที่จะต้องทำ
เพราะเรื่องของธาตุของขันธ์นี้มันทับจิตใจได้ เมื่อจิตเป็นกิเลสธาตุขันธ์ก็กลายเป็นกิเลสไปหมด กิเลสมีกำลังมาก สิ่งที่เสริมมีมากกิเลสก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้นไป นี่ละที่ได้อดอาหาร ผ่อนอาหารลงไป เพื่อกำลังทางธาตุขันธ์จะไม่รุนแรงมากนัก ให้สติปัญญาก้าวเดินออกได้แล้วก็พิจารณาตัวเองไปในแง่หนักเบาของความเพียร ในแง่หนักเบาของวิธีการฝึกทรมานตน พอจับได้ในเงื่อนใดพอเป็นหลักเป็นเกณฑ์ก็ต้องได้เน้นหนักเข้าในเงื่อนนั้น ในวิธีการนั้น พอจิตมีความสงบเย็นใจทีนี้ก็โล่ง เพราะความสงบของจิตนี้ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายในสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย อยู่สบาย ๆ รื่นเริง
ปัญญาเมื่อได้นำมาพินิจพิจารณาค้นคว้า ค้นคว้าก็ค้นคว้าในตัวของเรานี่แหละเป็นอันดับหนึ่ง ร่างกายทุกสัดทุกส่วนกิเลสมันปักมันเสียบมันแทรกมันซึมเข้าไว้หมด ว่านั่นก็เป็นเรานี่ก็เป็นเรา หมดทั้งร่างนี้ก็เป็นเรา มันไปแย่งเอาดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นส่วนผสมของธาตุนี้มาเป็นเราเป็นของเรา มาเป็นของสวยของงาม มันไม่ยอมพูดตามความจริง มันไม่ยอมบอกตามความจริง มันไม่ยอมรับความจริงของธรรม
พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ประกาศธรรมเครื่องปราบกิเลสตัวจอมปลอมที่ไปปักเสียบนี้ โดยวิธีการว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้นะ เอ้า ๆ พิจารณาให้ดีนะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันเป็นยังไงมันวิเศษวิโสที่ตรงไหน ธาตุเดิมของมันก็คือธาตุดินแท้ ๆ เมื่อมาอยู่อย่างนี้มันวิเศษวิโสที่ตรงไหน เราว่าสวยว่างามมันสวยงามที่ตรงไหน ดูให้เห็นความจริงของมัน ความสวยงามนี้เป็นเรื่องของกิเลสหลอก เอ้าพิจารณาตามความจริงลงไปมันมีความสวยงามที่ตรงไหน หมดทั้งร่างหาความสวยงามไม่ได้นอกจากเป็นของปฏิกูลโสโครกเต็มไปหมด น่าอิดหนาระอาใจ น่าขยะแขยง ไม่ว่าข้างนอกข้างในมันเป็นเหมือนกัน
ยิ่งเข้าไปป่าช้าด้วยแล้วเป็นยังไง น่าสลดสังเวชไหม ใครจะไปมีความรื่นเริงบันเทิงในป่าช้าซึ่งเป็นสถานที่สกปรกโสมมที่สุด เป็นสถานที่น่าปลงธรรมสังเวชความเป็นความตายได้ที่สุด แล้วก็มาดูในอวัยวะของเรานี้มีอะไร มีความรู้คือใจเป็นผู้รับผิดชอบประสับประสานไว้เท่านั้น สิ่งใดที่เป็นยังไงมันก็เป็นอยู่ตามหลักธรรมชาติของมัน เราสมมุติว่าหนังมันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นหนัง สมมุติว่าเนื้อ เอ็น กระดูก มันก็ไม่ได้ว่าเป็นเนื้อ เอ็น กระดูก จิตหากไปสมมุติ จิตที่เป็นด้วยอำนาจของกิเลสมันแทรกมันไปสมมุติมันหลอกมันต้มมันตุ๋นอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่เริ่มเป็นอวัยวะขึ้นมามีความรู้สึก มันก็ยัดของปลอมเข้าไปให้ อันนี้ของเรานะ อันนั้นของเรานะ แข้งของเรา นี้ขาของเรา อวัยวะมือของเรา หัวของเรา ผมของเรา เล็บของเรา ขนของเรา ฟันของเรา หนังของเราเข้าไป อวัยวะทุกสัดทุกส่วนมันว่าเราว่าของเรา นอกจากนั้นมันยังหลอกเข้าไปอีก ว่าเป็นของสวยของงามน่ารักใคร่ชอบใจ มันมีแต่กิเลสล้วน ๆ เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนี้ มันจริงเมื่อไร มันปลอมทั้งนั้น ถ้าปลอมทั้งนั้นแล้วก็คือว่ากิเลสทั้งมวล
ด้วยเหตุนี้จึงต้องได้ใช้ธรรมซึ่งเป็นของจริง พิจารณาแยกแยะลงให้เห็นของจริง พิจารณาด้วยปัญญาจนเห็นตามเป็นจริงของมันทุกสัดทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอสุภะก็เห็นประจักษ์ใจ ไม่ว่าจะเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ว่าจะเป็นธาตุอะไร ๆ มันก็ลงถึงใจ ๆ ก็ปล่อยวางลงตามความจริงของมัน ทีนี้ไม่ไปยึดไม่ไปถือว่านั้นเป็นเรานี้เป็นของเรา นั้นเป็นของสวยของงาม เพราะมันปลอมทั้งนั้นนี่ เราไปเอาของปลอมได้ยังไง เมื่อพิจารณาลงด้วยปัญญาซึ่งเป็นของจริงแล้ว ก็ทราบของจริงขึ้นมาก็ปล่อยของปลอมไปเรื่อย ๆ ทรงไว้ตั้งแต่ของจริงโดยลำดับ สุดท้ายก็ปล่อยได้
ความวุ่นวายความทุกข์ทั้งหลายก็เกิดขึ้นเพราะความหลง ออกจากนั้นอันดับต่อไปก็ความยึดความถือ และความรักใคร่ชอบใจ ความรักความสงวน มันเป็นบ่อแห่งเสี้ยนแห่งหนามแห่งฟืนแห่งไฟ ถอดถอนออกไป ชะล้างลงไปด้วยน้ำคือสติคือปัญญา พิจารณาหลายครั้งหลายหนจนเป็นที่เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วใครจะไปยอมยึดมั่นถือมั่นอยู่ได้สิ่งเหล่านี้ มันเป็นหลักธรรมชาติของมันอย่างนั้นแท้ ๆ
ถ้าพูดถึงขั้นอสุภะอสุภังปฏิกูลโสโครกก็เห็นประจักษ์ชัด ๆ หลอกกันได้ยังไง ถ้าพูดถึงเรื่องความแตกความสลายความทะลาย ความชราคร่ำคร่ามันก็เห็นชัด ๆ ในรูปของบุคคลคนเดียวเช่นเรานี้ มันเปลี่ยนแปลงมาเท่าไรแล้วจนกระทั่งถึงบัดนี้เปลี่ยนไปเท่าไร มันจะเปลี่ยนไปจนกระทั่งถึงที่สุดของมัน แล้วก็ลงสู่ธาตุเดิมของมัน จะไปยึดมันด้วยเหตุผลกลไกอะไร
ธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องฝืนของจริง ธรรมเป็นไปตามความจริง กิเลสต่างหากเป็นสิ่งที่ฝืนธรรม เป็นสิ่งที่ฝืนความจริง เมื่อพิจารณาให้เห็นชัดลงไปแล้วมันถอนทั้งนั้น ความหนักหน่วงถ่วงใจ ความทรมานใจเพราะอำนาจของกิเลสก็เบาลงไป ๆ เพราะภาระคืออุปาทานยึดมั่นถือมั่นนั้นเบาลงไป ๆ จนกระทั่งปล่อยได้ทั้งร่างกาย ปล่อยได้ทั้งภายในใจ ใจที่มีกิเลสอยู่ภายในนั้นก็รู้เท่าได้ปล่อยวางได้ ทำลายได้ไม่มีอะไรเหลือ สิ่งที่เหลือคืออะไร ก็มีแต่จิตบริสุทธิ์ล้วน ๆ
ให้เห็นซิจิตบริสุทธิ์ล้วน ๆ เป็นยังไง นั่นละท่านว่าธรรมล้วน ๆ ธรรมอยู่ที่ไหนที่นี่ เริ่มแต่สมาธิธรรมไปก็รู้อยู่แล้วว่ามีอยู่ที่ใจ เกิดอยู่ที่ใจ สัมผัสที่ใจ ใจเป็นผู้รับทราบ ใจเป็นที่สถิตของธรรมทุกประเภท จนกระทั่งถึงวิมุตติธรรมจะนอกเหนือจากจิตนี้ไปที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่กาลโน้นสมัยนี้ดังบุรุษตาฟางพูดตาบอดพูดนี่นะ ว่ามรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัยแล้ว กิเลสมันหมดเขตหมดสมัยหรือไม่ทำไมไม่พิจารณามันบ้าง กิเลสหมดไหม ถ้าไม่ทำให้หมดมันไม่หมด
อันนี้ก็เหมือนกันมรรคผลนิพพานถ้าไม่ทำให้หมดไม่หมด ทำให้มีต้องมีทำไมจะมีไม่ได้ เพราะนี้เป็นของจริงอยู่แล้ว กิเลสมันยังสลายตัวไปได้ ความบริสุทธิ์ของจิตนี้สลายไปไม่ได้ เป็นแต่เพียงกิเลสตัวปลิ้นปล้อนหลอกลวง มันมาหลอกมาต้มมาตุ๋นหุ้มห่อมัดรัดรึงตรึงตราไปหมด จนกระทั่งหาที่กระดิกไม่ได้เท่านั้นเอง มันจึงหมุนตัวไปตามกิเลส กิเลสหลอกยังไงก็เชื่อไปตาม ว่านรกไม่มีก็เชื่อ สวรรค์ไม่มีก็เชื่อ นิพพานไม่มีก็เชื่อ บาปไม่มีบุญไม่มีเชื่อไปหมดถ้าเป็นกลมายาของกิเลสแล้ว
เรื่องของธรรมคือความจริง ไม่มีได้ยังไงเห็นอยู่รู้อยู่นี้ สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงมาดั้งเดิม พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ ๆ ของจริงนี้ทั้งนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่เป็นแต่เพียงว่าไม่มีหูมีตาให้ดูให้เห็นให้ได้ยินเท่านั้นเอง เมื่อได้รู้ได้เห็นแล้วปฏิเสธได้ลงคอเหรอ ก็ต้องยอมรับความจริง ภพชาติต่าง ๆ มันมีแต่ภพมนุษย์เท่านี้เหรอแม้แต่ที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อมันยังไม่มีแต่ภพมนุษย์ ภพของสัตว์ยังมีเยอะ
ในวัดเรานี้ดูซิมันมีกี่ประเภทสัตว์น่ะ มันแปลกต่างกันอะไรบ้างเราก็รู้ก็เห็นอยู่แล้ว แย้ก็เต็มวัดนี่เป็นภพเป็นชาติหนึ่ง ๆ ของเขา นกก็เต็มวัด กระรอกกระแตเต็มวัด เหลือบยุงเต็มวัด มดอะไรบ้างเหล่านี้เต็มวัด แต่ละภพละชาติที่มองเห็นด้วยตาเนื้อก็มีอยู่นี้ แล้วสิ่งที่ละเอียดกว่านี้ทำไมจะไม่มี แม้แต่ภพของสัตว์นี้ก็ยังมีส่วนหยาบส่วนละเอียด มีร่างเล็กร่างใหญ่ต่างกันอยู่อย่างนี้ แล้วที่นอกเหนือไปจากตาของเราที่จะเห็นนี้ทำไมจะไม่มี ถ้าไม่มากยิ่งกว่านี้เป็นไหน ๆ นั่น
สติปัญญามี ปัญญาญาณมี เปิดกิเลสออกจากจิตใจหมดแล้วมันทะลุไปหมด ทำไมจะไม่เห็นทำไมจะไม่รู้ แล้วทำไมจะไม่เชื่อว่าเป็นความจริง นี้ละศาสดาองค์เอกที่ว่าโลกวิทู รู้แจ้งโลกไม่ว่าโลกไหน โลกหยาบโลกละเอียด ภพชาติใดของสัตว์ประเภทใด ตลอดถึงพวกภูติผีปีศาจอะไรบ้างเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นภพเป็นชาติของเขาแต่ละอย่าง ๆ ทั้งนั้น มีมาดั้งเดิม เราจะไปลบล้างไม่ให้มีได้ยังไง สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงตามหลักวิบากกรรมของสัตว์ ที่จะต้องไปเสวยชาติในภพน้อยใหญ่ของตน ๆ แล้วใครจะไปลบล้างได้ ไม่มีใครลบล้างได้
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้ จึงทรงสอนตามหลักความจริง สิ่งใดที่ไม่ดีสอนให้ละ สิ่งนั้นไม่ดีสอนให้ละ มันจะได้ไม่ฉุดลากไปในคติที่ไม่เหมาะสมหรือคติที่เป็นทุกข์ อันใดที่ดีสอนให้บำเพ็ญ จนกระทั่งถึงสุดยอด ความหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่ต้องกลับมาเกิดในภพในชาติ แบกทุกข์นี้อีกต่อไป นั้นแลเป็นสิ่งที่ชอบยิ่ง ก็สอนเพื่อนิพพานนั่นเอง เอาให้จิตบริสุทธิ์ซี จิตซึ่งเป็นตัววัฏจักรเพราะอำนาจของกิเลสพาให้เป็นพาให้หมุน สลัดปัดกิเลสตัววัฏจักรนี้ออกให้หมดจิตจะหมุนไปไหนอีก เมื่อไม่มีเครื่องดึงดูด ไม่มีเครื่องบังคับ ไม่มีเครื่องขับไสจิตจะหมุนไปได้ยังไง ไม่หมุนไม่ไป
ถ้าเป็นธรรมล้วน ๆ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้ว ไม่มีอะไรมาดึงดูด จิตนี้ก็ไม่ได้ดึงดูดอะไร เอาให้เห็นซิพระพุทธเจ้าสอน สอนในหัวใจของพวกเราทุกวันนะ เอาให้รู้ซิทำไมจะไม่รู้ ธรรมนี้เป็นปัจจุบันธรรมอยู่ตลอดเวลา ครึไปไหนล้าสมัยไปไหน ถ้าไม่ทำตัวของเราให้ล้าสมัย ให้ครึในตัวเองต่างหาก แล้วก็เป็นข้าศึกต่อธรรม เป็นข้าศึกตัวเองนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นข้าศึก ไม่มีอะไรเป็นธรรม ทั้งนี้อยู่กับเราทุกคน พากันเอาให้จริงให้จังซิ พูดมามันคันฟันนี่นะ นี่น่ะ ๆ อยากว่างั้นนะ ไม่เห็นหรือตาบอดหรืออยากว่างั้น
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอกไม่ใช่ศาสดาตาบอดมาหลอกโลกได้ยังไง สิ่งที่รู้แล้วเห็นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้มาสอนโลก แล้วมันหายไปไหนมันสูญไปไหน ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายปิดหูปิดตาอะไรนักหนา สิ่งที่มีอยู่ไม่ยอมดูไม่ยอมเห็นนี่อยากว่างั้นนะ เอาให้ถึงซิ ถึงธรรมแล้วก็ถึงใจทุกอย่าง กล้าพูดได้ทุกอย่างนั่นแหละ สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นแล้วทำไมจะไม่ทราบประจักษ์ แม้แต่เด็กไปพบเหตุการณ์อะไร ๆ อย่างนี้ ไปค้านเขาได้เหรอ ก็เขาเห็นด้วยตาของเขาเองนี่ แล้วพูดเป็นภาษาเดียวกัน เขาพูดว่ายังไง เรื่องราวอะไร แม้แต่เด็กก็ยังพูดได้อย่างอาจหาญอย่างฉะฉาน ผู้ใหญ่ไปค้านเขาได้เหรอเขาดูถูกเอา
นี่ก็ขอให้เป็นของจริงธรรมของจริงลงไปภายในจิตใจซิ พระพุทธเจ้าเป็นองค์ศาสดาที่ว่าอาชาไนยเห็นไหม ก็เพราะความรู้จริงเห็นจริงจึงทรงอาจหาญ ประกาศธรรมสอนโลกได้ทั้งสามแดนโลกธาตุ ในจำนวนสัตว์โลกนี้มีใครเป็นผู้เฉลียวฉลาดสามารถเป็นอาชาไนย สอนโลกได้ทั้งสามเหมือนพระพุทธเจ้ามีไหม เอามาเทียบกันซิ แล้วเราเอาธรรมของศาสดามาสอนเรา ทำไมจะยอมให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งตายเกิดประโยชน์อะไร นักปฏิบัติไม่พลิกตัวเองพิจารณาตัวเองพิจารณาอะไร ปฏิบัติธรรมน่ะ ธรรมอยู่ที่ไหน ความโง่มันอยู่ที่ไหนเอาลงไปตรงนั้นซิ ให้จริงให้จัง
สอนหมู่เพื่อนมาก็หนักหนาแทบล้มแทบตายจะว่ายังไงอีก ความเพียรเป็นยังไงกันถึงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เห็นตั้งแต่ตะครุบแต่เงาอยู่งั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวมันเลย แล้วจะไปเห็นตัวมันยังไง สอนก็สอนทุกแง่ทุกมุม สอนหมู่เพื่อนสอนจริง ๆ เพราะฉะนั้นผู้มาปฏิบัติอย่ามาทำเล่น ๆ ให้เห็นนะ มันเกลื่อนแผ่นดินอยู่แล้วเรื่องเล่น ๆ น่ะ ไม่ใช่ธรรมเรื่องเล่น ๆ เรื่องเล่น ๆ กับเรื่องหลอก ๆ ก็อันเดียวกัน มันเป็นคู่กัน มันกลมกลืนกันเป็นอันเดียวกัน ผู้ปฏิบัติต้องให้จริงให้จังซิ เหลว ๆ ไหล ๆ เหลาะ ๆ แหละ ๆ ได้เหรอ
ธรรมเหลาะแหละไม่มี ธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนให้เหลาะแหละไม่มี เหลว ๆ ไหล ๆ ก็ไม่มี เหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เรายังจะคุ้นยังจะชินยังจะตายใจกับมันอยู่เหรอ
เอาละ เหนื่อย