เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๕
กิเลสไม่เหนือธรรม
คำว่าธรรมมีอยู่ตลอดเวลานั้น นั่นเป็นความจริงของธรรมที่เป็นอย่างนี้ตลอดมา มีอยู่เป็นอยู่เช่นนั้น แต่การที่จะรู้เห็นธรรมตามขั้นภูมิของธรรมของใจนั้น ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติเพื่อสัมผัสสัมพันธ์ธรรมนั้น ๆ แต่ละราย ๆ ไป ไม่ได้ตลอดทั่วถึงเหมือนกับคำว่าธรรมมีอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนั้นบรรดาผู้เสาะแสวงธรรมด้วยการปฏิบัติ จึงปรากฏว่าถ้าเป็นพระก็ท่านองค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในสถานที่เช่นนั้น เวลานั้น ท่านองค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในสถานที่นั้นเวลานั้นอิริยาบถนั้น เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในปัจฉิมยามของคืนวันเดือนหกเพ็ญเป็นต้น นี่คือการเข้าประสบธรรม บรรลุธรรม
ในขณะที่ว่าบรรลุธรรมก็คือการชะล้างหรือสังหารสิ่งที่ปกคลุมจิตใจ ไม่ให้ธรรมปรากฏขึ้นอย่างเต็มส่วนนั้นแล ผู้ที่จะสามารถสัมผัสสัมพันธ์ธรรมด้วยการปฏิบัติของตนนั้น จึงขึ้นอยู่กับอุบายวิธีการต่าง ๆ ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและกำลังวังชาของตน ไม่เช่นนั้นไม่มีทางทราบตามความจริงแห่งธรรมที่มีอยู่ และธรรมนี้จะสามารถสัมผัสได้ด้วยใจเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเป็นที่สัมผัส มีทางเดียวคือใจ การที่จะสัมผัสธรรมขั้นนั้น ๆ ได้ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ความสามารถแห่งการปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไร ธรรมก็ปรากฏขึ้นตามกำลังของตน
การเรียนจดจำธรรมนั้นเรียนวิธีการ จะเรียนได้มากได้น้อยก็ได้แต่ชื่อของธรรมไม่ได้สัมผัสธรรม สัมผัสแต่เพียงสัญญาความสำคัญมั่นหมายว่าธรรมนั้นน่าจะเป็นอย่างนั้น เห็นจะเป็นอย่างนั้น ธรรมขั้นนั้นเห็นจะเป็นอย่างนั้น นี่เป็นสัญญาคือเป็นความคาดหมายของจิตธรรมดา ๆ ที่ไม่เจอความจริง เพราะไม่ได้ปฏิบัติ การเจอความจริงต้องเจอด้วยการปฏิบัติ
ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียนมามากน้อย เช่น ศึกษาจากอุปัชฌายะในวงกรรมฐาน ๕ เป็นต้น นี่เรียกว่าภาคปริยัติ บอกสถานที่ที่ทำงาน พิจารณาคลี่คลายดูงานให้เห็นตามความจริงของมันเป็นสัดเป็นส่วนไป เป็นต้น นี่เรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติ การนำสิ่งที่เรียน คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น ไปคลี่คลายดูตามที่ท่านสอนไว้ว่าอาการนั้น ๆ แต่ละอาการเป็นอย่างไร พินิจพิจารณาดูอาการนั้น ๆ หรือในเบื้องต้นยังไม่สามารถจะคลี่คลายด้วยปัญญาได้ ก็นำธรรมบทนั้นมาบริกรรมให้จิตมีความจดจ่ออยู่กับอาการแห่งธรรมบทนั้น ๆ อันเป็นภาคสมถะเพื่อความสงบใจด้วยกรรมฐานแต่ละบท ๆ ที่ตนนำมาบริกรรมภาวนา
จากนั้นก็คลี่คลายดูอาการนั้น ๆ ไปโดยลำดับที่สัมผัสสัมพันธ์กันหรือดูดดื่มกันทั่วสรรพางค์ร่างกาย จนปรากฏเป็นความเห็นชัดโดยลำดับด้วยปัญญา ถึงขั้นซึ้งภายในจิต นี่เป็นความเชื่อแน่ว่าเป็นอย่างที่ท่านสอนจริง เช่น อนิจฺจํ ความแปรสภาพก็เห็นได้อย่างชัดเจนภายในการปฏิบัติของตัว ทุกฺขํ ความทุกข์ก็เห็นได้อย่างชัดเจนทั้งทางร่างกายและจิตใจ อนตฺตา ดูทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวนี้หาความเป็นตนเป็นตัวไม่ได้เลย แม้จะอยู่อาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดก็ตาม มันก็เป็นสภาพ อนตฺตา ปฏิเสธความเป็นตนเป็นตัวเป็นเราเป็นเขา เป็นของเราของเขาอยู่โดยหลักธรรมชาตินั้นแล
จิตได้หยั่งทราบเห็นชัดในสิ่งเหล่านี้ แล้วถอนตัวออกมาจากความยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิด ว่าเป็นตนเป็นตัวเป็นเราเป็นเขา เป็นของเที่ยงของสวยของงาม ของจีรังถาวร ว่าเป็นสิ่งให้เกิดสุข ปล่อยออกมาได้โดยลำดับ นี่คือผล เริ่มรู้เริ่มปล่อย รู้มากปล่อยมาก รู้น้อยปล่อยน้อย ปล่อยความกังวลความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นภาระอันหนัก นี่คือภาคปฏิบัติ ผลเกิดขึ้นอย่างนี้ในวงปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นการเรียนแล้วถ้าต้องการผล ไม่ต้องการชื่อของกิเลสและบาปธรรมเพียงเท่านั้น ก็จำต้องปฏิบัติเพื่อเห็นผล ตรงตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้เพื่อปฏิบัติ เช่น ท่านสอนไว้ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เป็นธรรมที่เกี่ยวโยงกันให้ถึงผลอันเป็นที่พึงพอใจ หากว่าธรรมทั้งสามอย่างนี้ขาดไปเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง เฉพาะอย่างยิ่งสองอย่างเบื้องต้นคือ ปริยัติ ปฏิบัติ ขาดไปเสีย ผลคือปฏิเวธความรู้แจ้งแทงทะลุจะไม่ปรากฏขึ้นได้เลย ด้วยเหตุนี้ธรรมสองภาคคือปริยัติ ปฏิบัติ จึงเป็นธรรมจำเป็น สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือปฏิบัติ
การเรียนนั้นอาจเรียนได้มากได้น้อยต่างกัน จำได้มากได้น้อย แต่สิ่งจำเป็นที่จะนำมาปฏิบัตินั้นไม่ถึงมากเพียงไรก็ตาม เมื่อเป็นที่ถนัดกับจิตใจของตนแล้วนำมาปฏิบัติ ก็สามารถกระจายไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะการปฏิบัตินั้นโดยลำดับลำดา จนสามารถรู้ไปตลอดทั่วถึงในส่วนหยาบเช่นรูปขันธ์ เกี่ยวกับสภาวธรรมทั่ว ๆ ไปในแดนโลกธาตุนี้ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งเป็นสภาวธรรมแต่ละอย่าง แม้จะละเอียดกว่ากันไปโดยลำดับก็พ้นสติปัญญาอันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติไม่ได้ จะต้องหยั่งทราบความจริงของสิ่งเหล่านี้
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าจิตยังไม่จริงตามหลักของสติปัญญาซึ่งเป็นธรรมของจริงในฝ่ายมรรคชี้บอกไว้เท่านั้น เมื่อได้นำสติปัญญาศรัทธาความเพียรเข้าวิพากษ์วิจารณ์ขุดค้นดูสิ่งที่เป็นของจริงทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยของจริงคือสติปัญญาดังที่กล่าวมานั้น ย่อมจะปรากฏความจริงขึ้นมาอย่างประจักษ์ใจไม่สงสัย
เราผู้มาปฏิบัติพึงมีความหนักแน่นในหน้าที่การงานของตน อย่าปล่อยให้จิตเขวไปในสิ่งที่เคยจำเจมาแล้วด้วยความทุกข์ความลำบากลำบน เพราะความลุ่มหลงงมงาย นี่เป็นสิ่งที่หลอกลวงจิตใจไม่ให้ก้าวเข้าสู่แดนแห่งความสงบได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วจึงไม่ควรติดใจ ควรเข็ดควรหลาบในสิ่งเหล่านี้ เพราะไม่เคยให้คุณ ไม่เคยให้ความผาสุกสบายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย นอกจากบีบบังคับไปโดยลำดับลำดา ถ้าจะตายจริง ๆ ก็มีอะไรมากรอกเสียนิดหนึ่งพอเป็นเครื่องล่อไม่ถึงกับให้ตาย แต่สัตว์ที่มีความโง่เขลาอยู่แล้ว เครื่องล่อนั้นก็คือกิเลส ความหลงไปตามเครื่องล่อนั้นก็คือกิเลส มันก็เข้ากันได้อย่างสนิทติดจม เห็นโทษเห็นคุณไม่ได้ แล้วก็จมไปด้วยกันอยู่อย่างนั้น
ผู้ปฏิบัติเพื่อจะกำจัดสิ่งที่จอมปลอมทั้งหลาย เต็มไปด้วยโทษโดยประการต่าง ๆ จึงควรตระหนักในใจ เราเชื่อกิเลสเราก็เชื่อมานาน กิเลสนี้ไม่ต้องมีใครเสกสรรปั้นยอ ไม่ต้องบำเพ็ญ ไม่ต้องทำหน้าที่ด้วยความจงใจ ตั้งหน้าตั้งตาสร้างเหมือนสร้างอรรถสร้างธรรมสร้างบารมีมันก็เป็นกิเลสขึ้นได้ เพราะพื้นเพของมันเป็นกิเลสอยู่แล้ว ภายในหัวใจล้วนแล้วแต่กิเลสห้อมล้อมหรือกลุ้มรุมอยู่หมด จนมองหาใจอันแท้จริงไม่เจอ เมื่อเป็นเช่นนั้นการแสดงออกแต่ละอาการของจิตจึงเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ไม่ต้องตั้งใจสร้างก็เป็นกิเลส
แต่เรื่องของธรรมนี้ต้องได้ตั้งจิตตั้งใจสร้าง ดังพระพุทธเจ้าทรงสร้างพระบารมีมา ๔ อสงไขยกำไรแสนมหากัป นี่ก็คือหมายความว่ามากต่อมากการสร้าง การสร้างจะไม่ทุ่มเทกำลังความสามารถทุกด้านทุกทางจนเต็มกายเต็มใจของตนแล้วจะจัดว่าสร้างได้ยังไง อยู่เฉย ๆ ไม่จัดว่าสร้าง ต้องได้พยายามเต็มที่เต็มฐาน การสร้างอรรถสร้างธรรมจึงเป็นความลำบากถ้าเราจะคิดในแง่ลำบาก แต่เราคิดกับเรื่องกิเลสสร้างความทุกข์ให้เรานั้น เราได้รับความทุกข์ความลำบากแค่ไหน หรือตะเกียกตะกายไปตามกิเลสนั้นมีความลำบากมากน้อยเพียงไร เมื่อเทียบกันแล้วทางด้านความทุกข์ด้วยการประกอบความพากเพียรนี้มีคุณค่า มีน้ำหนัก เป็นสิ่งที่ควรเชื่อมากกว่าการเชื่อและทำตามกิเลสเป็นไหน ๆ
การปฏิบัติธรรมจึงต้องได้มีสติคอยเตือนตนอยู่เสมอ อย่าให้หลงกลมายาของกิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่เคยรู้เคยเห็นเคยสัมผัสสัมพันธ์มาแล้ว ทั้งสุขทั้งทุกข์ของมันมีวิเศษวิโสประการใดบ้าง ใคร ๆ ก็ทราบมาด้วยกัน หากว่าจะวิเศษวิโสโลกทั้งสามนี้ก็วิเศษไปนานแล้วด้วยอำนาจของกิเลสพาให้วิเศษวิโส แต่นี้ไม่เห็นมีรายใดปรากฏเป็นความวิเศษหรือหลุดพ้นจากสภาพต่ำทรามนี้ไปได้ จึงต้องอาศัยการตะเกียกตะกายตัวเอง
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์ที่ยืนยันรับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ในการชี้แจงแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกด้วยสวากขาตธรรม หาที่สงสัยไม่ได้ทุกแง่ทุกมุม แม้เรายังไม่รู้ไม่เห็นก็ตาม เป็นสิ่งที่แน่นอนแล้ว หรือเป็นธรรมของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับกิเลสเป็นสิ่งที่จอมปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน เราต้องนำมาเทียบมาวัดมาตวงกัน ถ้าเราอยากจะหาทางออกด้วยความชอบธรรม และปฏิบัติตนด้วยความชอบธรรมแล้ว จิตต้องประหวัดถึงธรรมเสมอ ประหวัดถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมศาสดาเสมอ เราอย่าเห็นแก่ความยากลำบาก เพียงขณะ ๆ ที่ทำความเพียรบ้างเล็กน้อยนี้เท่านั้น
พระพุทธเจ้าทรงลำบากขนาดไหน เราควรจะนำมาเทียบ ตลอดถึงสาวกท่านที่เป็นสรณะของพวกเรา ไม่เช่นนั้นจะหาทางออกไม่ได้ ปฏิบัติไป ๆ ก็เป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะกิเลสตามเหยียบอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็ล้มให้มันเหยียบย่ำทำลายเสียจนแหลก ไปไม่รอด ก็เพราะหลงกลมายาของมันนั่นเอง ต้องให้มีความหนักแน่นผู้ปฏิบัติธรรม อย่าเหลาะแหละ ความเหลาะแหละเป็นเรื่องของกิเลส ความหนักแน่นในอรรถในธรรมในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อกำจัดกิเลสต่างหากเป็นธรรม การท้อถอยอ่อนแอทางความเพียรซึ่งเป็นทางด้านอธรรมแล้วเป็นเรื่องของกิเลส ให้พึงระมัดระวังเสมอ
อย่าคุ้นกับสิ่งใด ๆ ในโลกทั้งสามนี้ คุ้นกับสิ่งใดก็เท่ากับคุ้นกับตัวโจรตัวมารตัวมีพิษร้ายแรงนั่นแล ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่มันเป็นบริษัทบริวารเกี่ยวโยงกันด้วยกิเลสตัวปู่ย่าตายายเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นธรรมจึงหาที่แทรกไม่ได้ถ้าไม่เอาจริงเอาจัง เช่น สมาธิธรรม เราก็ปฏิบัติมานานเท่าไรแล้วทำไมจึงไม่ปรากฏความสงบร่มเย็นเป็นลำดับลำดา ซึ่งควรจะเป็นได้โดยไม่ต้องสงสัยถ้าปฏิบัติตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้อย่างแท้จริง จะพ้นมือไปไม่ได้ กิเลสไม่ได้เหนือธรรม แต่นี้เอากิเลสมาเหยียบย่ำธรรมนั่นซิ จึงหาผลอะไรไม่เจอ ผลก็มีแต่เรื่องของกิเลสผลิตขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ตนก็สำคัญตนว่าประกอบความพากเพียรอยู่นั่นแล แต่ไม่ทราบว่ากิเลสมันแทรกเข้ามาแต่เมื่อไร เพราะสติปัญญาไม่ทันมันธรรมเลยไม่ปรากฏ เพียงสมาธิธรรมก็ทรงตัวได้ผู้ปฏิบัติเรา
ตามปรกติของจิตจะต้องว้าวุ่นขุ่นมัวยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าอดีตอนาคต ปรากฏมากี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว มันก็ยังดูดดื่มติดใจในอารมณ์นั้น ๆ นี่ก็เพราะจิตไม่มีสมาธิหาที่เกาะนั่นเอง เกาะนั้นก็เป็นไฟ ไปเกาะที่นี่ก็เป็นไฟ เกาะอารมณ์ใดก็เป็นแต่ไฟทั้งหมด เพราะเราไปเกาะไฟคือเกาะกิเลสซึ่งเป็นตัวไฟก็ร้อนทั้งวันทั้งคืน นี่ถ้าไม่มีธรรมมันร้อนอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติชั้นวรรณะ มันขึ้นอยู่กับกิเลสกับจิตที่มีอำนาจครอบงำจิตธรรมเข้าแทรกไม่ได้นี้เท่านั้น จึงต้องได้พยายามให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วจิตจะสงบได้
หาอุบายวิธีต่าง ๆ สำหรับฝึกฝนทรมานตนเอง ซึ่งเป็นการทรมานหรือเป็นการปราบปรามกิเลสไปในตัว จิตจะสงบได้ไม่สงสัย ให้สังเกตนักปฏิบัติ ไม่สังเกตวิธีปฏิบัติการดำเนินของตนเองจะไม่ปรากฏผล แล้วก็จะทำแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ สุ่มสี่สุ่มห้าไปอย่างนั้นเรื่อยไป ผลสุดท้ายก็ล้มเหลวหาผลปรากฏไม่ได้เลยแม้สมาธิธรรมเพียงเท่านั้นก็ไม่ปรากฏ
จิตใจวุ่นวายอยู่ตลอดเวลามีความสุขที่ไหน ก็คือจิตดิ้นรนด้วยความทุกข์ความลำบากนั่นเอง กวัดแกว่งหาอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ เกาะตรงไหนก็มีแต่สิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าจิตสงบด้วยสมาธิแล้วไม่ยุ่ง จิตปล่อยสิ่งเหล่านั้นมาซึ่งเป็นส่วนหยาบๆ ปล่อยเข้ามาอยู่กับความสงบแล้วก็พอใจในอรรถในธรรม เหมือนกับว่าจิตนี้มีอาหารเป็นเครื่องดื่มนั่นเอง ความสงบนั่นแหละเป็นที่อยู่เป็นที่อาศัยเป็นที่พักสบายของจิต
อารมณ์ต่าง ๆ ที่เคยก่อเคยกวน ใจนี่แหละไปกวนไม่ใช่อารมณ์อะไรมากวนนะ ความผลักดันของกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในนี้ อยากสิ่งนั้นให้สนใจในสิ่งนี้ มันปริ่ม ๆ อยู่ตลอดเวลาภายในจิต แล้วเราก็ไปคิดเสียว่าอารมณ์นั้นมากวน อารมณ์นี้มากวน อารมณ์ไหนมากวนนอกจากอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากจิตนี้ไปเที่ยวหากว้านเอาต่างหาก นี่คือความจริง เพราะไม่มีอาหารดื่มเป็นที่พอใจมันถึงกว้านที่นั่นกว้านที่นี่ กว้านอะไรก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ ถ้าใจได้รับความสงบเยือกเย็นด้วยธรรมแล้วไม่กว้าน จะอยู่สงบร่มเย็นตามขั้นแห่งสมาธิของตน เท่านั้นเราก็พอมีต้นทุนพอมีลมหายใจที่จะสืบต่อกันไปเพื่อความพากเพียรให้ตลอดรอดฝั่งได้ เพราะอำนาจแห่งสมาธิเป็นเสบียงเครื่องหนุนจิตใจ
เมื่อใจมีความสงบใจย่อมจะอิ่มตัวไปตามขั้นแห่งความสงบ แล้วก็มีทางที่จะพิจารณาทางด้านปัญญาได้ด้วยความถนัดใจ ใจก็ไม่ส่ายไม่แส่ไม่หิวโหยเถลไถลออกไปสู่อารมณ์นั้นอารมณ์นี้ เหมือนอย่างแต่ก่อนที่ไม่เคยมีสมาธิหรือไม่เคยมีความสงบปรากฏในใจเลย ใจจะทำหน้าที่ของตนตามสติหรือปัญญาที่บังคับให้ทำ ผลจะปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ ให้เป็นที่เพลิดเพลินภายในใจ สมาธิก็เพลินในความสงบ ปัญญาก็เพลินในการขุดค้นพินิจพิจารณาและปรากฏรู้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ก็รู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมา เมื่อพอแก่กำลังของปัญญาที่ควรจะตัดกิเลสประเภทใด ตามขั้นของปัญญาได้ ปัญญาก็ซึ้งลงไป ๆ ตัดขาดลงไปโดยลำดับลำดา
เมื่อตัดกิเลสขาดตัวใดก็เหมือนกับเราฆ่าเสือร้ายตัวหนึ่ง ๆ ตายลงไป ๆ นั่นแลจะผิดอะไร เพราะกิเลสเป็นเหมือนเสือร้าย ฆ่ามันเสียจนได้ไปหมดตั้งแต่ปู่ย่าตายายของมันจนกระทั่งหลานเหลนไม่มีที่เกิดขึ้นต่อไปอีกแล้ว ทำไมจะไม่แสนสบาย บ้านเมืองต้องสงบสุข จิตใจก็มีความสงบสุข โดยไม่ต้องไปหาความสุขความสบายมาจากที่ไหน ไม่ต้องคาดต้องหมายไม่ต้องหวังนั้นหวังนี้อันเป็นลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยหวังมาเป็นเวลานานเท่าไรแล้ว เพราะอำนาจของกิเลสมันบีบบังคับ แล้วยังสร้างความหวังให้คนเป็นกองทุกข์ขึ้นสองชั้นสามชั้นเรายังไม่รู้สึกตัวว่าเป็นกลมายาของกิเลส
ต่อเมื่อเจอความสุขเพราะอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม และจิตใจก็สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมที่ว่ามีอยู่นั้นไปโดยลำดับลำดา จิตใจก็เอิบอิ่ม เบาก็เบา ความเบาภายในจิตใจผิดกับความเบาทั้งหลาย ความเอิบอิ่มภายในจิตใจ ความสุขภายในใจด้วยธรรมนี้ ผิดกับความสุขทั้งหลายเป็นลำดับลำดา แม้แต่ขั้นเริ่มแรกหรือขั้นหยาบ ๆ ก็ยังมีแปลกประหลาดกว่าความสุขอื่นใดอยู่แล้ว ยิ่งจิตใจได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมอันละเอียดเข้าไปโดยลำดับ ทำไมจะไม่เห็นคุณค่าของใจ ไม่เห็นคุณค่าของธรรมนับแต่สมาธิธรรมขึ้นไปถึงปัญญาธรรม ตลอดถึงวิมุตติธรรม จะรวมอยู่ที่ใจนี้ทั้งนั้นไม่อยู่ในที่อื่นใด
หมู่เพื่อนก็เข้าออกอยู่เรื่อยๆ พวกนั้นเข้าพวกนี้ออก ผู้นั้นมาผู้นี้ไปแต่หาหลักเกณฑ์ไม่ได้นี่ซิ ไม่หนักใจยังไงผู้อบรมสั่งสอน สั่งสอนด้วยความสัตย์ความจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยเจตนาเต็มความสามารถ ที่หวังดีต่อหมู่ต่อเพื่อน แม้ทุกข์ยากลำบากก็ทนเอา เพราะเทียบใจท่านใจเราว่ามีความหวังเช่นเดียวกัน ก็อุตส่าห์พยายามสั่งสอน หมู่เพื่อนที่มาอยู่อาศัยก็ควรจะมีแก่จิตแก่ใจให้เต็มที่เต็มฐานเต็มเม็ดเต็มหน่วยต่อการประพฤติปฏิบัติ
หูตามีดูอะไรให้คิดให้อ่านไปพร้อม อย่ามาแบบเผอ ๆ เรอ ๆ อะไรแบบคนตาบอดหูหนวก อะไรก็ไม่ได้ยิน คือจิตไม่จดจ่อเสียอย่างเดียวก็เหมือนไม่ได้ยิน ไม่คิดไม่อ่านไม่เห็น ตาก็ลืมอยู่อย่างนั้นแต่มองไม่เห็นเพราะปัญญาไม่มีพอที่จะถือเอาสาระจากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินได้ จากหมู่เพื่อนและครูอาจารย์และสภาวธรรมทั่ว ๆ ไปซึ่งมีอยู่ทั่ว ๆ ไปเช่นเดียวกันให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้บ้างก็ไม่เกิด นี่มาปฏิบัติอยู่กับหมู่กับเพื่อนกับครูอาจารย์ก็มาระเกะระกะกีดขวางกันไปโดยไม่รู้สึกตัวนั้นแหละ มีอยู่เยอะ ให้ระวังสำรวมในตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเราบอกว่ามาศึกษาอยู่แล้ว ดูให้ดีฟังให้ถึงใจ การกระทำข้อวัตรปฏิบัติซึ่งเป็นส่วนรวมก็เหมือนกัน การปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ เช่น เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาก็ให้ตั้งอกตั้งใจทำ อย่ามาอ่อนแอท้อถอย อย่ามาทำความเกียจคร้านกีดขวางศาสนาอยู่ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้าจะพูดถึงว่าท้าทายก็ท้าทายความจริงอยู่เสมอ ท้าทายด้วยความจริง เพราะธรรมนี้เป็นธรรมที่มีความจริงสุดส่วน ทำไมผู้ปฏิบัติจึงไม่รู้ไม่เห็น ไปทำอะไรกันอยู่ เครื่องมือหรือแถวทางที่แนะไว้ทุกแง่ทุกมุม ก็ชี้ไปในจุดที่จะให้ประสบพบเห็นธรรมทั้งนั้น แต่ผู้ปฏิบัติทำไมจึงไม่พบไม่เห็น เดินกันไปยังไง ปฏิบัติกันไปยังไง ถ้าไม่ใช่ให้กิเลสมันจูงจมูกไปทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน แม้สถานที่ทางจงกรมอันเป็นที่ประกอบความพากเพียร ก็เต็มไปด้วยกิเลสทำหน้าที่ของตนอยู่นั้นเสีย จนมองไม่เห็นอรรถเห็นธรรม ว่าธรรมอย่างไรบ้างเกี่ยวกับธรรมทั้งหลายนั้น มีแต่กิเลสรุมล้อมอยู่เสียหมดในอิริยาบถต่าง ๆ แล้วจะหาธรรมมาจากที่ไหน นี่น่าอิดหนาระอาใจนะ
กิเลสเจริญในหัวใจมันมีความสุขที่ไหน ถ้าหากจะเทียบก็เหมือนกับว่าหายใจปลาอยู่เท่านั้นแหละ มีเกลื่อน หายใจปลาอยู่เท่านั้น คอยแต่จะขาดลมหายใจ ดูกิเลสได้รุมล้อมที่หัวใจเป็นอย่างนั้นแหละ มันมีอำนาจมากเท่าไรก็เหมือนโรคมันกำเริบมาก มองดูก็มองแต่ลมหายใจที่จะดับเมื่อไรเท่านั้น นี่ผู้ปฏิบัติก็เหมือนกันมีแต่กิเลสมันมัดอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับจะสิ้นลมอยู่นั้นแหละ สิ้นลมแห่งความหวัง หวังมรรคผลนิพพานหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่การปฏิบัติไม่ได้ตรงไปตามร่องรอยแห่งธรรมท่านสอนไว้เลย จะเอาอะไรมาเป็นผลเป็นประโยชน์ ก็เป็นคนหมดหวังไปเท่านั้นเอง
สิ่งที่จะพิจารณาก็เห็นอย่างชัด ๆ อยู่แล้วภายในร่างกายนี้ก็ดี บังคับลงไปซิจิต สติปัญญาลงไปในร่างกายนี้จะไปเจออะไร ถ้าไม่เจอของจริงจะเจออะไรเพราะของจริงเต็มส่วนร่างกายมีอยู่แล้ว เป็นแต่ของปลอมที่มันเสกสรรปั้นยอลม ๆ แล้ง ๆ มองหาไม่เจอไม่เห็นเลย ทำไมจึงไปลงใจเชื่อมันถึงขนาดนั้น ว่านิจฺจํ ของเที่ยงมันเที่ยงที่ไหน ในร่างกายทุกส่วนตลอดอาการของจิตทุกอาการมีความเที่ยงตรงที่ไหน กิเลสมันหลอกว่าสิ่งนี้มั่นคงถาวรและสวยงาม สวยงามอะไร ดูซิความจริงประกาศกังวานอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจนี้อยู่แล้ว ทำไมจึงไปเชื่อกิเลสได้อย่างลงคอแบบสนิทติดจม ไม่ฟื้นจิตขึ้นมาสู่ธรรมอันเป็นของจริง ให้เห็นของจริงนี้บ้างเลย เป็นยังไงนักปฏิบัติเรา
ก็เคยเทศน์ให้ฟังแล้ว ร่างกายทุกส่วนนี้เป็นป่าช้าผีดิบผีสดผีแห้งอยู่แล้ว เราเอาความวิเศษวิโสอะไรมาจากนี้ เสกสรรปั้นยอไปอะไร เสกลม ๆ แล้ง ๆ ว่าเป็นของเที่ยงตรงแน่นหนามั่นคงถาวร เป็นของสวยของงาม เป็นเราเป็นของเรา ว่าไปเฉย ๆ มีแต่ลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น ความจริงไม่ได้เห็นด้วยไม่ได้เป็นไปด้วยนั้นเลย ความเชื่อตามสิ่งเสกสรรปั้นยอลม ๆ แล้ง ๆ นี้จึงเป็นสิ่งที่ทำลายความจริงให้พิจารณาหาความจริงไม่เจอ นี้ต่างหากที่เราไม่เห็นทุกวันนี้ ถ้าเราพิจารณาตามนี้แล้ว พิจารณาแล้วพิจารณาเล่ามันก็หยั่งเข้าถึงความจริงตามสิ่งที่มีอยู่ภายในร่างกาย อันเต็มไปด้วยความจริงโดยไม่ต้องสงสัย
กำหนดดูซิในร่างกายนี้มีอะไร หนังมันหนาขนาดไหน บาง ๆ เท่านั้น ผิวหนังฟังซิมันหนาแน่นที่ไหน ผิวหนังเท่านั้นละหุ้มห่อปิดหน้าร้านเอาไว้ ภายในเข้าไปนั้นเป็นอะไร ดูกันได้เมื่อไร ถลกหนังออกดูซิดูกันได้เมื่อไรทั้งเขาทั้งเรา เกลื่อนไปด้วยสิ่งปฏิกูลนี้ทั้งนั้น แล้วโลกนี้น่าอยู่ที่ไหน เราจะไปฝืนใจยึดถือได้หรือ ไปดื้อด้านยึดมั่นถือมั่นได้ยังไง ไม่ดื้อ กิเลสต้องยอมธรรมเสมอถ้าธรรมเหนือกว่าแล้ว เพราะสิ่งสำคัญมั่นหมายต่าง ๆ เป็นเรื่องของกิเลส ความจริงนี้คือธรรม พิจารณาลงให้ถึงความจริง ความจริงเป็นหลักเป็นฐานเป็นกฎเป็นเกณฑ์เห็นได้อย่างชัดเจนทั้งตาเนื้อทั้งจิตใจ ทำไมจึงไม่ยอมพิจารณาให้เห็นตามความจริงนี้ ฝืนไปไหน
ก็ทราบอยู่แล้วว่ากิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกัน การฝืนความจริงก็คือการฝืนธรรมก็เป็นเรื่องของกิเลส ก็ทำลายตนเองนั่นแหละ คำว่าทำลายธรรม ธรรมก็อยู่กับตัว ไม่ทำลายตัวเองจะไปทำลายที่ไหน ก็เราปฏิบัติเพื่อเรานี่ การฝืนการปีนเกลียวกับธรรมก็คือการทำลายเรา พิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งซิ
คลี่คลายออกไปตั้งแต่หนัง ผม ดูซิ ถลกออกดูให้ชัดเจนด้วยปัญญาตามความจริงมีอยู่อย่างนั้นจริง ๆ หาที่ค้านไม่ได้ เอาจนกระทั่งหมดทั้งร่างนี้แล้วดูได้เมื่อไร จากหนังก็เป็นเนื้อ เอ็น กระดูก มีแต่ของปฏิกูลโสโครกเต็มหมดในร่างอันนี้ รูปขันธ์เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ยึดได้ลงคอเหรอถ้าลงได้เห็นชัดเจนแล้ว จิตต้องถอนความยึดมั่นถือมั่น ก็ว่างละซิที่นี่
ก็มีแต่ร่างกายนี้เท่านั้นมันปิดไว้หนายิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก พอเปิดร่างกายอันเป็นความเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของสวยของงามของจีรังมั่นคงนี้ออก ให้เป็นไปตามหลักความจริงคือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภังแล้ว มันก็เวิ้งว้างไปหมดละซิ ไม่มีอะไรมากีดมาขวาง ปัญญาทะลุไปหมด จิตใจจะไม่สบายจะไม่สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นยังไง จิตเป็นยังไง กายเป็นยังไง ก็รู้กันเอง ไม่ต้องถามใครก็รู้เพราะความจริงมีอยู่กับตัวทุกคน ถ้าลงถึงขนาดนั้นแล้วจิตจะไม่สว่างกระจ่างแจ้งมีเหรอ เป็นไปได้เหรอ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงเงา ๆ เท่านั้น
เวทนา ความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ ก็เป็นอาการอันหนึ่งที่เกิดขึ้นทางร่างกายและจิตใจ ฟังแต่ว่าอาการ ๆ เป็นไร อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ประจำอยู่หมด สญฺญา อนิจฺจา แน่ะ สังขาร วิญฺญาณํ อนิจฺจํ อนตฺตา พิจารณาลงในแบบเดียวกันด้วยปัญญา มันก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด สิ่งสำคัญมั่นหมายว่านั้นเป็นเรานี้เป็นของเราก็หมดไป ๆ นี่ความจอมปลอมหมดไปเหลือแต่ความจริง เวทนาที่มีอยู่ตามร่างกายส่วนต่าง ๆ ก็สักแต่ว่าปรากฏเป็นความจริงของเขาแต่ละอย่าง ๆ สุดท้ายก็คือจิตนี้ตัวเป็นบ้า ไปเที่ยวกว้านนั้นไปเที่ยวงมนี้ ลูบนั้นคลำนี้ ยึดนั้นยึดนี้มามัดคอตัวเอง เมื่อปัญญาได้เปิดเผยแก้การมัดตัวเองออกไปแล้วก็โล่งไปหมดโดยลำดับลำดา จิตก็ยิ่งสง่างาม
ทีนี้มันปล่อยแล้วจะไปยึดอะไร ไปเป็นกังวลเป็นความทุกข์ความลำบากกับอะไร เหตุที่เป็นความทุกข์ความลำบากก็เพราะไปหลงรักสิ่งนั้นไปหลงชังสิ่งนี้ ไปเกลียดสิ่งนั้นไปยึดสิ่งนั้น รักก็ยึดชังก็ยึด เกลียดโกรธก็ยึดต่างหาก เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงก็ถอนสิ่งเหล่านี้เข้ามา แล้วจะไปรักอะไรไปชังอะไรไปเกลียดไปโกรธอะไร จิตย้อนเข้ามาเป็นตัวของตัวตามลำดับลำดาแห่งขั้นภูมิของจิตของธรรม ความหวังพึ่งนั้นพึ่งนี้ก็หมดไป ๆ สุดท้ายก็พังทลายลงหมดบรรดากิเลสตัณหาอวิชชาซึ่งรวมอยู่ที่หัวใจ เมื่อปัญญาอันแหลมคมทำลายแตกกระจายไปหมดแล้วหวังพึ่งอะไร สามแดนโลกธาตุนี้มีจุดไหนพอที่จะพึ่งพิงอิงอาศัยให้เป็นที่วางใจได้มีไหม ไม่มีอะไรก็รู้ได้ชัดเจน แล้วอะไรที่เป็นที่ไว้ใจตายใจได้ก็รู้อยู่ในขณะเดียวกันนั้น กังวลกับอะไรที่นี่
โลกจะว่ามีก็ได้ไม่ว่ามีก็ได้ เมื่อจิตใจไม่ไปสำคัญเสียอย่างเดียวด้วยความลุ่มหลงแล้ว สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้มาผูกมามัดจิตใจนี่นะ ไม่ว่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างๆ ทั่วแดนโลกธาตุ มีความเป็นจริงของเขาอยู่อย่างนั้นประจำตน เขาไม่ได้ว่าเป็นข้าศึก เป็นคุณเป็นโทษแก่ผู้ใด ตัวที่เป็นข้าศึกก็คือใจนี้แหละ เพราะฝังยาพิษไว้ที่ตัวเอง แย็บออกไปตรงไหนก็ยึดก็ถือก็รักก็ชังก็เกลียดก็โกรธ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาตัวเอง
เมื่อปัญญาได้ชะล้างลงไป ๆ จนกระทั่งไฟเหล่านี้ดับลงไปจนไม่มีเหลือแล้วอะไรจะเป็นภัย ตัวเองก็ไม่เป็นภัย เพราะตัวเองไม่หลง ความหลงคือกิเลสได้สิ้นไปแล้วเอาความหลงมาจากไหน ความรู้ก็รู้อยู่แล้วนั่นจะไปหารู้ที่ไหนอีก รู้เอามาจากไหนอีก เป็นความรู้ที่แท้จริง เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องหามาเพิ่มมาเติมและไม่ต้องวิตกวิจารณ์ว่าจะหลุดลอยไปไหน ลดหย่อนผ่อนตัวลงไปยังไงบ้างพอให้เกิดความกังวลวุ่นวายกับความรู้ที่ลดตัวลงไป ไม่มี อกาลิโก มีความพอตัวอยู่ตลอดกาลคือจิตดวงนั้น นั่นคือผลของการปฏิบัติ นี่ที่ว่าปฏิเวธะ
รู้แจ้งที่ตรงไหนถ้าไม่รู้แจ้งที่มันมืดๆ บอดๆ ผูกๆ มัดๆ ตัวเองอยู่นั้นจะไปรู้ที่ไหน แก้ก็แก้ลงที่ตรงนั้น เมื่อแก้กันหมดชะล้างกันหมดจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว จะเอาอะไรมาเป็นภัย ไม่มีภัย อยู่ไหนก็อยู่ อยู่ได้อยู่ตามความจริง แม้ธาตุขันธ์มีอยู่ก็ไม่หลง ปฏิบัติกันตามความจำเป็น ตามสัญชาตญาณที่รับผิดชอบกันไปเท่านั้น ที่จะให้เสกสรรปั้นยอว่านั้นเป็นเราเป็นของเราแล้วแบกหามเหมือนอย่างแต่ก่อน นั่นเป็นเรื่องของกิเลสต่างหาก เมื่อกิเลสไม่มีแล้วอะไรจะพาให้แบกให้หาม อะไรมาบังคับให้หลง ธรรมล้วน ๆ ไม่หลง ธรรมล้วน ๆ ไม่แบกไม่ยึดไม่ถือ ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ธรรมจึงไม่เคยเป็นข้าศึกต่อผู้หนึ่งผู้ใดในโลกนอกจากเป็นคุณโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
เราผู้แสวงหาธรรมจะปฏิบัติยังไง จึงจะรู้จะเห็นธรรมที่ว่าประกาศกังวานด้วยความมีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ให้สัมผัสสัมพันธ์ที่จิตของเราผู้ต้องการธรรม ผู้เสาะแสวงหาธรรม เราจะทำวิธีใด นั่งก็นั่งมาพอ นอนก็นอนมาพอ ยืนมาพอ กินมาพอ ขี้เกียจขี้คร้านมาพอ เป็นทางเสาะแสวงหาธรรมเหรอทางนี้ ความเพียรต่างหาก อันนี้เป็นเพียงเยียวยาธาตุขันธ์ไว้พอยังมีชีวิตเพื่อประกอบธรรมที่ตนมุ่งหวังนี้ ให้ได้สมบูรณ์ตามความมั่นหมายของเราเท่านั้นหรือความมุ่งหวังของเรา อย่าให้อะไรมาแซงธรรม ต้องยกธรรมขึ้นเสมอ
การขบการฉันการเป็นอยู่หลับนอน อย่าให้กิเลสเข้ามาเหยียบย่ำในขณะนั้นให้ระมัดระวังเสมอ อย่าให้ลิ้นแซงธรรม ถ้าลิ้นแซงธรรมก็เห็นแก่รสแก่ชาติเห็นแก่ความเอร็ดอร่อย ท้องแซงธรรมก็อยากกินมาก ๆ จะได้นอนมาก ๆ ขี้เกียจมาก ๆ แล้วกิเลสจะได้ท่วมหัวใจไม่มีวันโผล่ขึ้นมาได้เลย นั่นเหรอผู้ต้องการมรรคผลนิพพาน นั่นคือคลังกิเลสต่างหาก เสาะแสวงหาอะไรก็มีนั้นขึ้นมาเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของมีอยู่กับหัวใจ ผลิตขึ้นได้ภายในใจทั้งกิเลสทั้งธรรม เราจะเลือกอะไร สมกับเราเป็นลูกศิษย์ตถาคตได้มาบวชในพุทธศาสนาว่าจะชำระกิเลส เราจะชำระแบบไหน หรือจะชำระแบบที่ว่ากินแล้วนอนกอนแล้วนิน ขี้เกียจขี้คร้านมาก ๆ นี้เหรอ นั่นไม่ใช่การชำระกิเลส เป็นการกว้านกิเลสมาเผาเราให้ฉิบหายวายปวงไปสด ๆ ร้อน ๆ ต่างหาก ให้พากันจำเอาไว้ผู้ปฏิบัติ
เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจะเชื่อใคร ของวิเศษพระองค์ก็แสดงไว้หมดแล้ว ของเลวทรามต่ำช้าที่สุดก็พระพุทธเจ้าแสดงไว้หมดแล้ว ทรงรู้ทรงเห็นแล้วจึงมาแสดง ทั้งโทษทั้งคุณ กิเลสเป็นเรื่องของโทษ ธรรมเป็นเรื่องของคุณ แสดงไว้อย่างถึงใจทุกบททุกบาทแล้วธรรมะ เราผู้ปฏิบัติยังจะมานอนใจนอนจมอยู่นี้สมควรแล้วเหรอ เมื่อไรจะขุดค้นธรรมที่ว่าประกาศกังวานอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ให้ปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเราดวงกำลังมุ่งหวังอยู่เวลานี้ ตั้งแต่สมาธิธรรมขึ้นไปเป็นขั้น ๆ ดังท่านกล่าวไว้ตามตำรับตำรา สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ท่านบอกไว้นั่นเป็นชื่อของธรรม ธรรมที่แท้จริง องค์ของธรรมแท้ก็จะปรากฏที่จิตถ้านำธรรมะท่านมาปฏิบัติตามที่ท่านชี้บอกไว้
ปฏิบัติยังไงจิตจึงจะสงบ ก็เอากันซิบังคับกันลงไป เวลากิเลสผาดโผนก็ต้องผาดโผนทางความเพียร กิเลสผาดโผนเราอ่อนแอไม่ได้ ตายจมอยู่นี้แหละ กิเลสผาดโผนต้องผาดโผนในการต่อสู้ เมื่อกิเลสลดตัวลงผ่อนตัวลงอ่อนกำลังลง สติปัญญาศรัทธาความเพียรไม่ต้องบอก จะมีความเข้มแข็งไปโดยลำดับ คำว่าจะลดหย่อนไปตามนั้นไม่มี มีแต่จะเข้มแข็ง แต่เกี่ยวกับเรื่องการทรมานทางด้านร่างกายนั้นมีได้ ส่วนจิตใจนี้ไม่มีมีแต่ความเข้มแข็งถ่ายเดียว เพราะเห็นคุณค่าของธรรมไปโดยลำดับแล้วจะทำให้คนอ่อนแอได้ยังไง
ธรรมไม่เคยทำคนให้อ่อนแอ กิเลสต่างหากทำคนให้อ่อนแอ ทำคนให้นอนใจ ธรรมแล้วไม่ทำคนให้นอนใจ มีแต่มีความเข้มแข็งและมีความเฉลียวฉลาดรอบตัว จนกระทั่งกิเลสหลุดลอยไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นั้นแหละเป็นอิสระแท้ ใครจะเสกสรรปั้นยอว่าวิเศษหรือไม่วิเศษไม่สำคัญ พอตัวหมดแล้ว คำว่าวิเศษนั้นก็เป็นชื่ออันเป็นสมมุติอันหนึ่งต่างหาก คำติเตียนก็เป็นโลกธรรม คำชมเชยก็เป็นโลกธรรม
ฟังแต่ว่าโลกธรรมมันเหมือนกาฝากเท่านั้น แต่เวลาทำลาย-ทำลายได้เร็ว ที่จะเอาเนื้อเอาหนังกับกาฝากจริง ๆ ไม่ได้เรื่อง สิ่งเหล่านี้จะเอาเป็นเนื้อเป็นหนังกับมันจริง ๆ ไม่ได้ เราอย่าไปตื่นอย่าไปหลง ทำจิตให้พอตัวแล้วเท่านั้นพอ ไม่มุ่งอะไรใครจะว่าวิเศษไม่วิเศษ ก็ลมปากของเขา ไปตื่นอะไรเพียงลมปาก ดูกิเลสนี่ซิมันอยู่ที่นี่ ใครไม่มาพูดมาบอกมันก็มีอยู่ที่นี่ ใครไม่มาพูดมาบอกมันก็เผาอยู่ที่นี่ แก้ที่นี่แล้วใครจะมาชมเชยสรรเสริญหรือไม่สรรเสริญไม่เห็นมีปัญหาอะไร กิเลสหมดไปแล้วสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจ อยู่ไหนก็อยู่ได้สบายเท่านั้น นั่นจึงเรียกว่าความอิ่มพอของใจ ทำให้พอซิ
ธรรมที่กล่าวเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมด้น ๆ เดา ๆ ไม่ใช่ธรรมลม ๆ แล้ง ๆ ของพระพุทธเจ้า แต่เป็นธรรมของจริงล้วน ๆ ถ้าผู้ปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มที่เต็มฐานตามหลักธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว จะได้เป็นเจ้าของแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านี้โดยไม่ต้องสงสัย จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เอาจริงเอาจัง อย่าเพ่น ๆ พ่าน ๆ เด้น ๆ ด้าน ๆ กีดขวางหูขวางตาดูไม่ได้ อยู่กันไปมาก ๆ แล้วเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปนะ นี่เคยผ่านมาแล้ว อยู่กับครูบาอาจารย์มีพระเณรมากเท่าไรก็ยิ่งหนักอกหนักใจ ครูบาอาจารย์ท่านก็หนักไปแบบหนึ่ง แต่เราผู้คอยดูแลเพื่อความสงบร่มเย็นในวงหมู่คณะที่อยู่ร่วมกันก็หนักไปแบบหนึ่ง นี่เคยเห็นมาแล้วเคยผ่านมาแล้ว อย่าให้รู้ให้เห็นในสิ่งที่ไม่เป็นท่านี้อีก ขอให้ต่างองค์ต่างตั้งอกตั้งใจ
อยู่ด้วยกันให้ถือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยความเป็นธรรม อย่าอยู่ด้วยทิฐิมานะว่าตนมีความรู้ชั้นนั้นชั้นนี้ ว่าตนมีฐานะอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องของโลกอย่านำเข้ามาเกี่ยวกับวงศาสนาวงนักบวชเรา วงนักบวชเรามีแต่ความรักกันด้วยความเป็นธรรม สนิทสนมกันด้วยความเป็นธรรม ความเชื่อถือกันด้วยความเป็นธรรม ให้อภัยกันด้วยความเป็นธรรมทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ด้วยกันได้ เป็นก็เป็นตายก็ตายด้วยกัน นั่นความเป็นธรรมแท้ ลูกศิษย์ตถาคตเป็นอย่างนี้
ไม่ได้มีคำว่าชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำเข้ามาเกี่ยวข้องเผาลนกันเลย มีแต่อรรถแต่ธรรมล้วน ๆ นี่คือความอยู่เป็นสุขระหว่างแห่งเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกัน สำหรับนักบวชเราอยู่อย่างนั้น ใครพูดไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยให้ถือหลักถือเกณฑ์ถือเหตุถือผลเป็นที่ตั้ง อย่าพูดด้วยทิฐิมานะอวดรู้อวดฉลาด มันเป็นความโง่เต็มตัวภายในผู้นั้นอย่าเอามาขายตลาด สถานที่นี่ไม่ใช่เป็นสถานที่ขายจ่ายตลาดแห่งกิเลสความโง่เขลาของตน ที่สำคัญตนว่าเป็นความฉลาด มันเป็นการขายตัวด้วยความโง่ อย่านำมาขาย ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้จริงให้จังต่ออรรถต่อธรรม
การแสดงธรรมก็เห็นสมควร หยุดเท่านี้
|