การเกิดคือเชื้อไฟ
วันที่ 17 เมษายน 2525 เวลา 19:00 น. ความยาว 50.58 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๕

การเกิดคือเชื้อไฟ

นับแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ ทุกอิริยาบถความเคลื่อนไหวของเรามีแต่กิเลสเป็นผู้มีอำนาจออกหน้าออกตา ฉุดลากกวัดแกว่งกายวาจาใจของเราให้กลิ้งไปตามและไหวไปตามอยู่ตลอดเวลา นี่ล้วนแล้วแต่อำนาจของฝ่ายต่ำซึ่งกำลังครองหัวใจอยู่เวลานี้ นับแต่เริ่มแรกอุบัติขึ้นมา เราพูดในวงปัจจุบันของชาตินี้จนบัดนี้ เราไม่เคยมีธรรมมาเรืองอำนาจฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสให้แตกกระจัดกระจายไปจากใจของเรา ตรงกันข้ามมีแต่กิเลสทั้งนั้นเรืองอำนาจบาดจิตบาดใจให้ได้รับความกระทบกระเทือน ผลเป็นที่รวมลงก็คือความทุกข์ ร่างกายไม่เป็นทุกข์ ใจเป็นตัวทุกข์เป็นเรือนของทุกข์รังของทุกข์ คลังของทุกข์อยู่ตลอดเวลาไม่มีบกบาง

ผลที่กล่าวว่าเป็นทุกข์ ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วมาแต่กิเลสทั้งมวลไม่ได้มาจากธรรม เพราะธรรมยังไม่มีอำนาจพอที่จะขับไล่เหตุแดนผลิตทุกข์นั้นให้เบาบางลงไป ทุกข์จึงไม่มีวันเบาบาง จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ จะเคลื่อนไหวไปมาในภพชาติหนึ่ง ๆ ด้วยอากัปกิริยาใด ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสเป็นผู้ฉุดผู้ลาก เป็นผู้บังคับขู่เข็ญโดยที่เราเองไม่รู้สึกตัวเลยทั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้เราจึงควรเห็นโทษของมันแล้วพยายามรีบเร่งขวนขวายทางความพากเพียร อันเป็นวิธีการต่อสู้กันเพื่อระงับดับทุกข์ซึ่งเนื่องมาจากกิเลส ให้ค่อยเบาบางลงไปและดับไปด้วยความพากเพียรในด้านธรรมะของเรา มีธรรมะเท่านั้นเป็นคู่ต่อสู้กันได้กับกิเลส จะนำกิเลสมาต่อสู้กับกิเลสก็เหมือนกับเชื้อไฟเสริมไฟให้มีกำลังลุกรุนแรงขึ้นเท่านั้น

การต่อสู้กับกิเลสทุก ๆ ประเภทอย่าได้ทำด้วยความประมาทนอนใจ อย่าเอาวันคืนปีเดือนสถานที่นั่นที่นี่อันเป็นกลมายาของกิเลสมาหลอกลวงให้นอนใจ ว่าค่อยทำเวลานั้นค่อยทำเวลานี้ ค่อยไปทำในสถานที่นั่น ค่อยไปทำในสถานที่นี่ ค่อยทำในวัยนั้นวัยนี้ เวลาเช้าเวลาสายเวลาบ่ายเวลาเย็น เหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นกลมายาของกิเลสทั้งมวล ที่ฉุดลากเราออกจากทางดำเนินเพื่อปราบปรามมันโดยถ่ายเดียว การที่จะทราบเรื่องกลมายาของกิเลสเหล่านี้ได้ดีก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องมือที่จะพอทราบได้ นอกจากศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำคัญนี่เท่านั้น นี่ก็เรียกว่าเครื่องมือคือธรรม จะสามารถหยั่งทราบเรื่องของกิเลสไปได้โดยลำดับ

การเกิดตายแต่ละครั้ง ๆ ก็เหมือนกับเอาทุกข์เผาเราแต่ละครั้งแต่ละหน หรือเอาไฟเผาเราแต่ละครั้งละหนนั้นแล ครั้งใดที่เป็นครั้งที่เราเคยชินต่อไฟต่อความร้อนนั้น ๆ ไม่ปรากฏ เผาเข้าทีไรจุดใดในอวัยวะส่วนใดต้องร้อนไปตาม ๆ กันหมด ไม่เลือกว่าอวัยวะส่วนใด เป็นของชินชาได้เมื่อไร ไม่มีความชินชาได้เลยขึ้นชื่อว่าทุกข์แล้ว แล้วการเกิดตายมากี่ภพกี่ชาติก็คือการได้ถูกไฟเผามาแล้วทั้งนั้น ไฟคือกองทุกข์ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา เผาจิตใจเป็นหลักใหญ่มาแล้วด้วยกัน จึงไม่ควรที่จะนอนใจในการตะเกียกตะกายตัวเองออกจากฟืนจากไฟดังที่กล่าวนี้

คำว่าพุทฺธํ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ขอให้ทุก ๆ ท่านคำนึงถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระสงฆ์สาวกผู้รื้อฟื้นธรรม ให้ปรากฏกระจ่างแจ้งที่ดวงพระทัยและดวงใจด้วยความเหนื่อยยากลำบาก ไม่มีกองทุกข์ใดจะเกินกองทุกข์ในการต่อสู้กับกิเลสประเภทต่าง ๆ นั้นเลย เราพึงคำนึงถึงท่านถึงปฏิปทาของท่านอยู่เสมอ เป็นสักขีพยานหรือเป็นเครื่องชักจูงจิตใจของเราให้มีแก่ใจ และมีกำลังที่จะต่อสู้ฟาดฟันกับสาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ทั้งหลาย ได้แก่กิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ภายในหัวใจนี้

โลกกว้างแคบอย่าไปคาดอย่าไปเดาอย่าไปหมาย โลกใดก็ตามภพใดก็ตามกำเนิดใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่ากิเลสผลิตขึ้นมาแล้ว ต้องมอบทุกข์หรือจับทุกข์ยัดใส่ในหัวใจดวงนั้นภพนั้นกำเนิดนั้นมากน้อยจนได้ไม่สงสัย ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงไม่สอนผู้ที่ควรจะหลุดพ้นไปได้โดยสิ้นเชิงให้ตกค้างอยู่ในภูมิใดภูมิหนึ่ง ซึ่งเป็นภูมิของฟืนของไฟเจือปนอยู่ด้วยทั้งนั้น ทรงสอนหยั่งลงถึงจุดหมายปลายทางที่จะสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้แก่วิมุตติพระนิพพานนี้โดยถ่ายเดียว

ดังท่านสอนภิกษุบริษัท เฉพาะอย่างยิ่งในบทที่ท่านสอนนั้นเป็นบทธรรมชั้นเอก องค์ใดก็ตามเมื่อบวชเข้ามาแล้ว สอนให้พิจารณาจุดสำคัญที่เป็นเครื่องรัดรึงของจิตและเป็นจุดที่จิตมีความรักใคร่ชอบใจ สงวนมากที่สุด จิตสงวนมากเพียงไรก็คือเรื่องของกิเลสมากเพียงนั้น ท่านจึงสอนให้คลี่คลายให้เปิดออกในจุดที่กิเลสซ่อนตัวอยู่นั้นด้วยความรักสงวน จนกลายเป็นสัญชาตญาณขึ้นมาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จุดที่กิเลสรวมตัวรวมอยู่ที่นี่ ออกมาจากใจก็มารวมตัวอยู่ที่นี่

สิ่งอื่นยังพอทำเนา สมบัติสิ่งของบริษัทบริวารญาติมิตรสหายเพื่อนฝูงต่าง ๆ ยังมีเวลายึดมีเวลาปล่อยวางมีเวลาหลงลืมกันไปได้ ทรัพย์สมบัติเงินทองก็เหมือนกัน เพราะเป็นของนอกกาย ส่วนร่างกายนี้มันฝังจมอยู่นี้ตลอดไปเลย ไม่ว่าหลับตื่นลืมตาอะไรจะระลึกอะไรได้หรือไม่ได้ก็ตาม แต่ความตีกันไว้อย่างแนบสนิทติดกันจนแยกไม่ออกก็คือระหว่างอุปาทาน ที่เกิดมาจากใจความยึดถือกับร่างกายหรือกับขันธ์ทั้งห้านี้ติดแนบกันอย่างแนบสนิท ไม่มีเวลาพลัดพรากจากกันเหมือนสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนั้นเลย

ด้วยเหตุนี้จึงต้องได้ฉายธรรมเข้าไป ความมืดไม่เห็นตามความจริงนั้นคือเรื่องของกิเลส ความสว่างเพื่อส่องให้เห็นตามความจริงนั้นคือธรรม เริ่มตั้งแต่พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จะเป็นอวัยวะหรืออาการใดก็ตามขอให้เป็นที่ถนัดใจเถอะ เมื่อพิจารณาจับจุดใดแล้วจะเกี่ยวโยงกันไปหมดทั้งร่างกายอันนี้ เช่นเดียวกับไฟได้เชื้อจะค่อยลุกลามไป ๆ เมื่อเข้าใจตรงนี้แล้วก็ต้องเข้าใจตรงนั้นและเข้าใจตรงนั้น เมื่อเข้าใจภายนอกแล้วก็ต้องซึมซาบเข้าสู่ภายในจนตลอดทั่วถึง เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหน สิ่งที่ปิดบังลี้ลับอยู่ก็ทนสติปัญญาที่พิจารณาอยู่ไม่หยุดไม่ถอยไม่ได้ ต้องขยายตัวออกโดยลำดับลำดา ความจริงก็ย่อมจะเข้าถึงเป็นลำดับเช่นเดียวกัน เมื่อความจริงได้เข้าถึงมากน้อยเพียงไรอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น จะค่อยกระจายตัวลงไป เหมือนกับตัดทอนกำลังของมันลงไปโดยลำดับ

ท่านจึงสอนให้พิจารณาไม่ว่าภายนอกภายในเป็นความจริงด้วยกันเป็นมรรคเหมือนกันหมด ถ้าพิจารณาให้เป็นมรรค ถ้าให้เป็นกิเลสก็เป็นด้วยกันทั้งภายนอกภายใน เพราะธรรมมีอยู่ทั่วไปเช่นเดียวกับกิเลสมีอยู่ทั่วไป คิดอะไรให้เป็นกิเลสเป็นขึ้นมาได้จากหัวใจดวงเดียวนี้ ซึ่งเป็นนายช่างเอกอันสำคัญ ผลิตกิเลสขึ้นมาได้ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ชำนิชำนาญในหน้าที่ของตนมาก ด้วยเหตุนี้ธรรมซึ่งเราจะผลิตขึ้นมาใหม่ จึงต้องได้อาศัยความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถจนหลายครั้งหลายหน ความชำนิชำนาญก็จะค่อยปรากฏตัวขึ้นมา สิ่งที่ยังไม่เคยเห็นก็จะเริ่มเห็น สิ่งไม่เคยรู้ก็เริ่มรู้ขึ้นมาภายในใจ ในขณะที่รู้กับขณะที่จะปล่อยวางนั้นเป็นไปตามลำดับลำดาแห่งความเข้าใจของการพิจารณา นี่คือดับไฟดับวัฏจักรดับที่ตรงนี้

เวลานี้มีแต่กิเลสทั้งนั้นออกลวดลายเต็มตัวของมันรอบจิต แสดงอาการออกมาอาการใดล้วนแล้วแต่เป็นอาการของกิเลส อาการของธรรมแทรกมาไม่ได้เลย ถูกสลัดปัดทิ้งหมดด้วยอำนาจของกิเลสประเภทต่าง ๆ จึงต้องได้อาศัยความพยายามให้เต็มสติกำลังความสามารถ เพื่อธรรมจะได้ฉายแสงออกมา มีสมาธิธรรมหรือสมถธรรมเป็นต้น ใจที่หาความสงบไม่ได้ก็เท่ากับอยู่ในกองฟืนกองไฟตลอดเวลา โลกจะกว้างแสนกว้างก็ไม่มีความหมาย แต่มาปรากฏความทุกข์อยู่ที่ดวงใจของผู้หาบหามกิเลสนี้เท่านั้น การแก้จึงแก้ลงที่จุดนี้อันเป็นจุดสำคัญและเป็นจุดที่ถูกต้องแม่นยำด้วย พระพุทธเจ้าทรงสอนลงในจุดนี้

อย่าไปสงสัยในโลกธาตุกว้างแคบขนาดไหนหรือลึกตื้นหนาบาง นั้นเป็นอาการเป็นวัตถุความสมมุติแต่ละอย่าง ๆ ถ้าจิตไม่ไปเกี่ยวเกาะแล้วสิ่งนั้นก็ไม่เป็นภัยต่อใจของเรา สำคัญที่ใจมันคิดมันผลิตตัวเองอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสเป็นผู้บังคับบัญชา นี่เป็นของสำคัญ ผลิตอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่คำนึงถึงความลึกตื้นหนาบางหยาบละเอียดของผู้ผลิตนั้นเลย มันเต็มอยู่ภายในหัวใจจะไปคำนึงคำนวณได้อย่างไร มันสุดวิสัยหรือว่าเกินกว่าสติปัญญาของเราที่จะไปคาดไปหมาย ว่ามันมีความหนาแน่นมากน้อยเพียงไร มันแสดงตัวของมันอยู่ได้อย่างเปิดเผยได้อย่างองอาจกล้าหาญ เมื่อกำลังสติปัญญาของเรายังไม่พอ จึงต้องพยายามใช้สติปัญญาให้ดีอย่าปล่อยวาง นี่เป็นอาวุธที่สำคัญมาก

ความมุ่งมั่นที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ให้ถือเป็นจิตเป็นใจเป็นชีวิตหรือเหนือชีวิตของเรา เรื่องความพากเพียรทั้งหลายจะค่อยเป็นมาเอง ความพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงภายในจิตใจนี้เท่านั้นเป็นความประเสริฐเลิศโลก เป็นจุดที่ปลงวางลงได้ทุกสิ่งทุกอย่างบรรดาสมมุติที่เคยมีมากน้อย ซึ่งเราแบกหามอยู่ภายในจิตใจหนักมาขนาดไหนจะโล่งไปหมด อาโลโก อุทปาทิ คือสว่างจ้าไปหมด ปล่อยวางได้หมด

ดังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านแสดงว่า าณํ อุทปาทิ ปฺา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยพิจารณาไม่เคยรู้เคยเห็นมาตั้งแต่ก่อนเลย แต่บัดนี้เราได้รู้ได้เห็นเสียแล้ว คือ าณํ ญาณอันละเอียดแหลมคมที่สุดได้ซาบซ่านขึ้นแล้วภายในใจ ปัญญาได้ซาบซ่านขึ้นแล้ว วิชชาความรู้แจ้งแทงทะลุได้ซาบซ่านขึ้นแล้ว อาโลโก อุทปาทิ ความสว่างกระจ่างแจ้งได้ปรากฏขึ้นอย่างเต็มดวงแล้วภายในใจ นี่คือที่ปลงวางของกองทุกข์ทั้งมวล จะกี่แดนโลกธาตุก็ตามมาปลงที่ตรงนี้ ปล่อยวางกันที่ตรงนี้ ตัดสินกันที่ตรงนี้ ความเลิศประเสริฐก็มีอยู่ที่จุดนี้

เพราะแต่ก่อนไม่มีคำว่าเลิศ มีแต่คำว่าเลวคำว่าเหลว เพราะเรื่องของกิเลสเป็นเรื่องเลวทราม เป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องหลอกลวง ไม่ใช่เรื่องจริง เมื่อเกาะจิตดวงใดเข้าจิตดวงนั้นจึงกลายเป็นจิตที่เลว เป็นจิตที่เหลวไหล เป็นจิตที่หลอกลวง เป็นจิตที่หาความจริงไม่ได้ เต็มไปด้วยความจอมปลอม เพราะกิเลสหุ้มห่อด้วยความจอมปลอมของตน จิตทั้งดวงจึงกลายเป็นของปลอมไปตาม ๆ กันหมด แสดงออกแต่ละอากัปกิริยาล้วนแล้วแต่เอาของปลอมออกโชว์กันหลอกกัน หลอกกันไปเท่าไรก็ไม่เข็ดไม่หลาบ ถูกกิเลสต้มตุ๋นมาตั้งแต่กัปใดกัลป์ใด

ธรรมพระพุทธเจ้ามาประกาศ โก นุ หาโส กิมานนฺโท ? นิจฺจํ ชฺชลิเต สติ ,อนฺธกาเรน โอนทฺธา , ปทีปํ น คเวสถ ก็โลกสันนิวาสนี้เดือดร้อนและมืดบอดไปด้วยไฟราคะ โทสะ โมหะ เผาลนจิตใจอยู่ตลอดเวลา ท่านทั้งหลายยังเพลิดเพลินหาอะไร หัวเราะกันหาอะไร ทำไมจึงไม่แสวงหาที่พึ่ง ขณะนี้ก็ยังไม่ตื่นตัว ธรรมท่านประกาศกังวานขึ้นมาเช่นนี้ ยังไม่ตื่นตัวยังไม่เห็นโทษของกิเลส เราจะไปเห็นโทษด้วยอะไรถ้าไม่เห็นโทษของกิเลสด้วยอรรถด้วยธรรมดังที่กล่าวนี้แล้ว เราจะหวังเอาความวิเศษวิโสมาจากไหน

ฟังให้ถึงใจ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ เอาให้ดี ใจเป็นของสำคัญใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก แต่เวลานี้เลวมากเพราะกิเลสตัวเลวมากมันฝังใจ ใจจึงหาความวิเศษไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ใจนี้พร้อมที่จะวิเศษวิโสด้วยการเรียกร้องความช่วยเหลือจากเราอยู่ตลอดเวลา เอาให้จริงให้จังนักปฏิบัติ

เราอย่าไปคิดสงสัยในแง่มรรคผลนิพพานว่าอยู่ที่นั่นที่นี่อยู่ที่ไหน ๆ กาลเวลาใด สถานที่ใด ให้ดูจุดที่กิเลสมันผลิตกองทุกข์ขึ้นมามันผลิตที่ตรงไหน ราคะความกำหนัดยินดีเกิดขึ้นที่ตรงไหน ความเกลียดความชัง ความโกรธ เกิดขึ้นที่ตรงไหน พอใจไม่พอใจ ความเคียดแค้นขุ่นมัวมันเกิดที่ตรงไหน ให้พึงทราบว่าเกิดที่จิตดวงเดียวนี้เท่านั้น นี้ละสิ่งที่ก่อกวนให้ได้รับความลำบากอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่งและอิริยาบถต่าง ๆ ไม่มีเวล่ำเวลาปลงวางจากฟืนจากไฟที่เผาลนตัวเองนี้ได้เลย มันอยู่ที่จิตนี้

เพราะฉะนั้นจงพยายามประพฤติปฏิบัติกำจัดมันด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรของเรา ลงในจุดนี้ จะเป็นจุดที่ถูกต้องเหมาะสม ถ้าเป็นการเกาก็เกาถูกที่คัน ยาก็เป็นขนานที่ถูกต้องสำหรับโรคที่จะทำให้สงบและหายไปได้โดยลำดับลำดา ไม่มีจุดอื่นไม่มีจุดใดไม่มีสถานที่ใดเป็นที่ระงับดับทุกข์ได้นอกจากสถานที่นี้แห่งเดียว โดยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนแล้วว่ามีจุดนี้แห่งเดียว ขอให้จิตนี้ได้คลายตัวออกจากสิ่งที่หมักหมมอยู่ภายในอันเป็นเรื่องสกปรกจอมปลอมทั้งมวลนี้ออกไปโดยลำดับเถิด จิตจะเริ่มแสดงความจริงขึ้นมาตามธรรมของจริงที่ไม่เคยปลอมมาแต่กาลไหน ๆ

นี่ละที่ตัวของเราปลอมทั้งตัว จิตของเราปลอมทั้งดวง ปลอมเพราะกิเลสตัวปลอม ๆ นั้นทำให้ปลอมต่างหาก ไม่ใช่จิตปลอมโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง แต่มีสิ่งที่มาเคลือบมาแฝงทำให้ปลอม ทำให้รุ่มให้ร้อน ถ้าจะตายจริง ๆ ก็เอาความรื่นเริงบันเทิงมาล่อสักนิดหนึ่งพอให้มีลมหายใจต่อไป แล้วจากนั้นก็เอายาพิษฝังเข้าไป ๆ ถ้าถึงขั้นสลบไสลจะตายจริง ๆ ก็มีอะไรมาล่อสักนิดหนึ่ง หลอกไว้ ๆ อย่างนั้นแล นี่คือกลมายาของกิเลส

อุบายวิธีการของกิเลสแหลมคมขนาดนี้ ให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณาให้ถึงใจ เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร เป็นแต่เพียงว่าเราไม่ทราบอุบายวิธีการของมัน ว่ามีความเฉลียวฉลาดแหลมคมเพียงไรจึงได้ครอบหัวใจเรา เราไม่เคยเห็นโทษของมัน มันแสดงอาการต้มตุ๋นอาการหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่ากิเลสไม่มีอะไรเป็นความจริงที่จะยึดถือไว้ได้เลย นอกจากปลอมล้วน ๆ มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งการแนะนำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งวิธีการที่เรานำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส เป็นความถูกต้องดีงาม เป็นของจริงไปโดยลำดับ

ยกตัวอย่างเช่นร่างกาย กิเลสมันเสกมันสรรปั้นยอขึ้นว่าเป็นของสวยของงาม เป็นของน่ารักใคร่ชอบใจ เป็นเราเป็นของเรา ทุก ๆ ประโยคที่พูดขึ้นมานี้ ทุก ๆ อาการที่มีอยู่ในร่างกายนี้มันเป็นไปได้อย่างนั้นไหม ว่ามันสวยงามไหม เราพิจารณาเพียงชิ้นใดเท่านั้นในส่วนร่างกายนี้ ก็ทราบว่ามันขัดกันกับคำที่ว่าสวยงาม กับคำที่ว่าจีรังถาวร กับคำที่ว่าน่ารักใคร่ชอบใจเป็นไหน ๆ เมื่อธรรมสอดแทรกเข้าไป ดูตั้งแต่ผิวหนังเข้าไปเถอะ ขี้เหงื่อขี้ไคลเต็มไปหมด ขี้นั้นเป็นของดีแล้วเหรอ มันเต็มหมดทั้งตัว ผิวหนังก็เต็มไปด้วยขี้เหงื่อขี้ไคล แล้วถลกออกดูซิหนังภายในนั้นพลิกออกมาข้างนอกเป็นยังไง มันเปลี่ยนสภาพไปถึงไหนแล้ว

คนทั้งคนที่ว่าสวยว่างามนั้นพอถลกหนัง พลิกข้างนอกออกมาข้างในแล้วปิดไว้ตามเดิมนั้นก็ตามเราดูได้ไหม นี่เอาธรรมเข้าไปจับซิ คำว่าสวยงามมันเป็นยังไงสวยงามไหม เอาธรรมจับเข้าไปมันสวยงามได้ที่ไหน แล้วยิ่งดูเข้าไปในเข้าไปลึกเท่าไร ที่มันจอมปลอมหลอกลวงไว้นั้นว่าเป็นของสวยงาม มันยิ่งเยิ้มไปด้วยของปฏิกูลโสโครกตามหลักความจริงทั้งมวล เมื่อจิตของเราได้หยั่งลงไปสู่ความจริงด้วยปัญญาแล้ว มันจะทนยึดมั่นถือมั่นสำคัญตนไปตามกิเลสอยู่ได้อย่างไร มันต้องถอนตัวออกมาว่าถูกหลอกถูกลวงถูกต้มถูกตุ๋นมานานแล้ว คราวนี้ได้ทราบความจริงเสียแล้ว หาความเป็นจริงดังที่กิเลสเสกสรรปั้นยอนั้นไม่มีเลย ในอวัยวะทุกส่วนหมดทั้งร่างนี้เต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครก เต็มไปด้วยป่าช้าผีดิบ ทั้ง ๆ ที่ไม่ตายก็เหม็นคลุ้งอยู่ภายในตัวนี้อยู่แล้ว จึงต้องชะต้องล้างต้องอาบต้องสรง

สิ่งที่มาเกี่ยวข้องแม้จะสะอาดสะอ้านเพียงไรก็ตาม เมื่อร่างกายนี้ได้คลุกเคล้ากับสิ่งนั้น ๆ แล้ว จะกลายเป็นของสกปรกโสโครกไปหมด ไม่ว่าที่อยู่ที่อาศัย สบง จีวร เครื่องนุ่งห่มใช้สอย จะต้องได้ชะได้ล้างไปหมด เพราะส่วนใหญ่นี้พาสกปรก เรายังไม่ทราบว่าตัวนี้คือตัวสกปรกโสมมอยู่เหรอ ปัญญาหยั่งลงไปนักปฏิบัติอย่าถอยจากตรงนี้ ตรงนี้เป็นตรงที่กองทัพใหญ่ของกิเลสมันมีอยู่ที่นี่ด้วย และแปรทัพกลับแล้วกองทัพใหญ่ทับจิตของเราอยู่ที่นี่ด้วย มันผลิตขึ้นมามากน้อยเพียงไรก็เป็นกองทุกข์ทับหัวใจของเราอยู่นี้ ตัวกิเลสจริง ๆ นั้นเรียกว่าเป็นกองทัพเป็นผู้ผลิต เมื่อผลิตขึ้นมาแล้วก็เป็นภาระหนักทับหัวใจลงไปด้วยความทุกข์ความทรมาน เป็นของดีแล้วหรือ เรายังไม่เข็ดไม่หลาบอยู่หรือเรื่องกองทุกข์ที่เป็นขึ้นมา

นอกจากนั้นใจยังได้ถูกกดขี่บังคับเรื่อยมา ไม่มีเวลาที่จะปลดเปลื้องตัวเองจากสิ่งกดขี่บังคับนี้ได้เลย ถ้าไม่มีธรรมภายในใจแล้วจะหาวันหลุดพ้นจากทุกข์เป็นอิสระเสรีไม่ได้ และเป็นความประเสริฐหมดเรื่องหมดราวหมดกังวลทุกสิ่งทุกอย่างแล้วขึ้นชื่อว่าสมมุติในแดนโลกธาตุนี้ไม่ได้ ต้องเอาธรรมเข้าไปฉาย วิริยธรรมฉายลงไป ความพากเพียรอย่าถอย

พระพุทธเจ้าพ้นทุกข์เพราะความเพียร ไม่ใช่พ้นทุกข์เพราะความขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอ พระพุทธเจ้าพ้นทุกข์ด้วยความอดความทนความบึกบึนตัวเอง พระพุทธเจ้าและสาวกท่านพ้นทุกข์ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยศรัทธาความพากเพียรทุกแง่ทุกมุม ตรงกันข้ามเป็นเรื่องของกิเลสอย่าเอามาให้สนิทติดใจฝังจมอยู่ภายในตัวเองแล้วจะกดขี่ตัวเองลงไปหาความหลุดพ้นไม่ได้ตลอดไป พระพุทธเจ้าพ้นอย่างไร ท่านสอนไว้อย่างไร การยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ให้ยึดตามหลักธรรมนั้นเป็นสำคัญ

หลักธรรมนั้นแลจะเป็นองค์แทนของศาสดาโดยไม่ต้องสงสัย ภายในจิตของเรานี้แล ทั้งฝ่ายเหตุคือการดำเนิน ก็เหมือนกับเราเหยียบย่างตามรอยพระบาทของพระองค์ไป ผลที่ปรากฏขึ้นมากน้อยก็เหมือนกับจับชายจีวรของพระองค์นั่นแล จนกระทั่งถึงจิตที่บริสุทธิ์เต็มดวงแล้ว พระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นตถาคตเป็นที่ตรงไหน อะไรเป็นตถาคต อะไรเป็นศาสดา อะไรเป็นผู้วิเศษ จะหมดปัญหาลงในจิตดวงที่ปรากฏขึ้นกับเรานั้นทันที ไม่มีคำว่ากาลสถานที่ พระพุทธเจ้าปรินิพพานอยู่ที่โน่นที่นี่ เวลาเท่านั้นปีเท่านี้เดือน อันเป็นเรื่องของสมมุติ ความจริงแท้ ๆ เป็นธรรมชาติที่รู้ที่เห็นอยู่นี้ เหมือนกันนี้ไม่มีอะไรสงสัย แล้วจะสงสัยพระพุทธเจ้าที่ไหน

เราอย่าไปคิดเสาะแสวงหาที่นั่นที่นี่ ที่เกิดที่ตาย ที่ให้ความสุขความสบายที่ตรงไหนอีก เมื่อจิตนี้เข้าถึงขั้นพอตัวเต็มภูมิแล้วย่อมอิ่มตัว หมดความกังวลวุ่นวายส่ายแส่ต่าง ๆ ที่เคยเป็นมา หมดลงโดยสิ้นเชิงที่ตรงนี้ เรียกว่าเมืองพอ เมื่อจิตอิ่มตัวเต็มที่แล้วย่อมพอ ไม่ได้สนใจกับสิ่งใด ๆ ทั้งนั้น วันคืนมืดแจ้งเป็นเรื่องของสมมุติ เราไปว่ามันมืดมันแจ้ง ตัวมืดเองมันไม่เห็นได้รู้เรื่องของมัน ตัวแจ้งตัวสว่างมันไม่เห็นได้รู้เรื่องของมัน สถานที่กาลเวลามันไม่เห็นมีความหมายในตัวมัน เราไปให้ความหมาย เราก็หลงความหมายของเราเท่านั้นเอง เมื่อทราบทั้งสิ่งเหล่านั้น ทราบทั้งผู้ไปให้ความหมายอย่างชัดเจนรอบตัวแล้วก็ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง

มีจิตที่บริสุทธิ์พอตัวดวงเดียวเท่านั้น อยู่ไหนก็อยู่เถอะ ไม่ว่าจะอยู่บนดินฟ้าอากาศในน้ำบนบกที่ไหน เป็นธรรมชาติที่พอตัวที่บริสุทธิ์ เพราะธรรมชาตินี้ไม่ใช่ดินไม่ใช่น้ำไม่ใช่ลมไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่บนบกไม่ใช่ในน้ำ ไม่ใช่สิ่งสมมุติทั้งมวล แต่เป็นธรรมชาติของตัวเองโดยหลักธรรมชาติแห่งความพอตัว แห่งความบริสุทธิ์ แห่งความประเสริฐที่ผิดจากสิ่งทั้งหลายทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ เอาให้เห็นซินักปฏิบัติ ทำไมจะไม่รู้ไม่เห็น ธรรมมีอยู่ วิธีการแห่งธรรมที่ท่านสอนไว้มีอยู่ ดำเนินไป ปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์ผู้แนะนำสั่งสอนก็มีอยู่ เราไม่ได้ลูบ ๆ คลำ ๆ ที่ไหน มีตนมีตัวมีสักขีพยาน ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ก็เป็นสักขีพยานอันหนึ่ง สมุทัย อริยสจฺจํ ก็เป็นสักขีพยานอันหนึ่งในฝ่ายผูกมัด มคฺค อริยสจฺจํ ฝ่ายแก้ฝ่ายถอดฝ่ายถอนก็เป็นสักขีพยานอันหนึ่ง นิโรธความดับทุกข์ดับที่ตรงไหน ดับที่ตรงไหนตรงนั้นก็เป็นสักขีพยานได้อย่างเต็มตัว ดับสนิทก็เป็นสักขีพยานได้อย่างสนิทในความหลุดพ้น เอาให้จริงให้จัง

อย่าไปเห็นงานใดมีความสำคัญมากยิ่งกว่างานตะเกียกตะกายตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ งานนี้เป็นงานสำคัญ เป็นงานชิ้นเอก เป็นงานเลิศงานอันประเสริฐงานอัศจรรย์แต่สัตวโลกไม่อยากทำกัน เพราะกิเลสไม่ให้ทำ กิเลสกีดกันไว้หมด กิเลสมันหลอกมันลวงทุกแง่ทุกมุมที่จะให้พรากจากธรรมไปสู่อำนาจของมันตามเดิมที่เคยปกครองมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้จะปฏิบัติธรรมจึงต้องได้รบรากันกับกิเลส ความขี้เกียจขี้คร้านก็เป็นกิเลส ความท้อแท้อ่อนแอก็เป็นกิเลส ความน้อยเนื้อต่ำใจว่ามีวาสนาน้อยก็เป็นเรื่องของกิเลส ไม่มีวาสนาก็เป็นเรื่องของกิเลส ความสำคัญว่ามรรคผลนิพพานไม่มี มีแต่ครั้งโน้น ๆ ครั้งนี้ไม่มีก็เรื่องของกิเลส เราไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ เราเป็นผู้หนาแน่นด้วยกองกิเลสก็คือเป็นกลมายาของกิเลส

ให้พึงพากันทราบเสียเดี๋ยวนี้ เหล่านี้เป็นอุบายของกิเลสทั้งมวล เราไม่ทราบกลของมัน มันอยู่ข้างหลัง ตาเรามองไปข้างหน้าโน้นเราไม่ได้มองย้อนหลัง เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้สติปัญญามองย้อนหลัง สติปัญญานี้ไปข้างหน้าก็ได้ ย้อนหลังก็ได้ เอาให้ทันกับกลมายาของกิเลสเราจะได้เห็นเรื่องของมัน แล้วฟัดกันลงให้มันหงายท้องขึ้นฟ้าดูซิ มีแต่มันเอาเราหงายท้องขึ้นฟ้า ไม่หงายขึ้นฟ้ายังไง ล้มลงหมอนดังครืน ๆ ดีไม่ดีหมอนแตก แล้วเอาท้องไปไหนถ้าไม่หงายขึ้นฟ้า นั้นแหละกิเลสมันฟัดเอา ขี้เกียจขี้คร้านนอนทั้งคืนก็ไม่อิ่มพอ ถ้าไม่หิวไม่อยากจะลุกจะตื่นขึ้นมา พอใจในการหลับการนอน พอใจจมอยู่ในการต้มตุ๋นของกิเลสกล่อมมาโดยลำดับลำดา มีวันไหนเวลาใดที่เรามีความเบื่อหน่ายมีความรู้กลอุบายของมันแล้วเข็ดหลาบ

กิเลสไม่ทำคนให้เข็ดในกลอุบายของมันง่าย ๆ นอกจากธรรมเท่านั้นเข้าไปแทรกจึงจะเป็นคู่แข่งกันแล้วปราบกันได้โดยลำดับ ๆ เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงเป็นข้าศึกกัน เป็นมารของกันและกัน ต่อสู้กัน นี่เวลานี้อยู่ที่ใจของเรา คำว่ามารก็คือกิเลส อยู่ที่ใจของเรา ธรรมก็เป็นสิ่งที่เราจะผลิตขึ้นได้ที่ใจของเรา เอ้า ผลิตขึ้นมา พระพุทธเจ้าทำไมผลิตธรรมขึ้นมาได้ สอนธรรมเพื่อผลิตธรรมท่านสอนไว้แล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อผลิตธรรมทำไมผลิตไม่ได้ เราปฏิบัติตัวของเราไม่ได้เราจะหวังพึ่งผู้ใดให้เป็นผู้ปฏิบัติแทนเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ถึงคราวจนตรอกเอาให้เต็มอรรถเต็มธรรมเต็มภูมิสติปัญญาศรัทธาความเพียรของเรา เราจะได้เห็นผลแห่ง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ว่าตนเป็นที่พึ่งของตนนั้นพึ่งอย่างนี้ นั่นมันรู้

เวลาเข้าจนตรอกจนมุม เราไม่ต้องไปคิดหาผู้ใดแหละว่าจะมาช่วยเรา สติปัญญามีเท่าไรก็ฟัดกันลงไป ๆ มันหากเป็นไปเอง คนเราเมื่อถึงคราวจนตรอกแล้วไม่ใช่จะยอมจนตายอยู่เฉย ๆ ไม่ยอมจนตรอกเฉย ๆ มันหากมีอุบายวิธีที่จะคิดจะค้นจะหลบหลีกปลีกตัวเอาจนตัวรอดไปได้ นั่นจึงว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ให้นำมาใช้

ครูบาอาจารย์เป็นแต่เพียงผู้แนะแนวทางให้เท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่า ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ความเพียรที่จะยังกิเลสให้เหือดแห้งไปภายในจิตใจนั้น เป็นเรื่องของท่านทั้งหลายต้องทำเอง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเพียงผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น ไม่ใช่ผู้แก้กิเลสให้ท่านทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่กับหัวใจของเราด้วยธรรมบทนี้ ห่างไกลที่ไหนกับเรา ธรรมบทนี้กับเราห่างกันที่ไหน ทำไมจะว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปไหนมาไหน พระโอวาทองค์แทนศาสดามีอยู่ กังวานอยู่กับใจของเรา ทำไมจึงไม่นำมาแก้กิเลส

แล้วกิเลสมันห่างไกลไปที่ไหน กิเลสในครั้งพุทธกาลเป็นกิเลสประเภทใดหน้าใดวรรณะใด เกิดมาจากสกุลใด มันเกิดมาจากสกุลของกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าปู่ย่าตายายของกิเลส อันใดแสดงออกมามันเหยียบย่ำทำลายหัวใจให้เราได้รับความทุกข์ความทรมานอย่างแสนสาหัสเหมือนกันหมด จะไปสงสัยอะไรกิเลสครั้งนั้นกับครั้งนี้ว่าจะแปลกต่างกันในวิธีการที่จะทรมานสัตวโลกให้มีความทุกข์ความลำบาก ไม่มีอะไรต่างกัน เหมือนกันหมด ทีนี้การผลิตธรรมเข้าสู่ใจเราจะไปหากาลสถานที่ที่ไหน ธรรมก็มีอยู่ที่ใจนี้ พระพุทธเจ้าประกาศกังวานไว้ภายในใจของเรานี้ทุกคน มีประจำอยู่ที่ใจ วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะหลุดพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร นั่นใครเป็นคนแสดงไว้ แล้วใครเป็นผู้รับทราบ ใครเป็นภาชนะที่จะรับธรรมะเหล่านี้ไว้ถ้าไม่ใช่ใจของเราเองตัวของเราเอง แล้วห่างไกลที่ตรงไหนพิจารณาซิ

สติปัญญาเกิดที่ไหนถ้าไม่เกิดที่ใจของเรา พระพุทธเจ้าสอนให้เกิดที่ไหน สอนให้ใครเป็นผู้บำเพ็ญ เราเป็นผู้บำเพ็ญเพราะเราเป็นผู้ติดทุกข์ ทุกข์เป็นผู้เหยียบย่ำทำลายเรา เราจะแก้ทุกข์ด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรของเรา แล้วอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวของเรา ไม่ได้ไกลที่ไหน กิเลสฝังอยู่ที่นี่ธรรมก็เกิดขึ้นที่นี่ได้ กิเลสกับธรรมไม่ได้อยู่ห่างไกลกันจากจิตดวงเดียวนี้ มีจิตดวงเดียวนี้เป็นที่รับทั้งธรรมทั้งกิเลส จึงพยายามใช้ นำฝ่ายมรรคมาใช้ ในสัจธรรมนี้ฝ่ายมรรคก็มีสอง ฝ่ายแก้มีสอง คือ นิโรธ มรรค นี่เป็นฝ่ายแก้ฝ่ายถอดฝ่ายถอนฝ่ายปราบปราม นี่เป็นเรื่องของมรรค ทุกข์ สมุทัย เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเครื่องผูกมัดก่อให้เกิดในวัฏสงสารไม่มีประมาณ ส่วนนิโรธกับมรรคนี้เป็นสิ่งที่คลี่คลายขยายออก มัดแน่นเท่าไรถอดถอนแก้ไขออกให้หมดไม่มีอะไรเหลือภายในใจ อยู่ที่ใจดวงนี้ทั้งนั้น จึงว่าสัจธรรม คือ ของจริง เอาให้จริง

อย่าไปคำนึงคำนวณถึงเวล่ำเวลาเดือนปีนาทีโมงที่ไหน กิเลสมันเหยียบหัวใจเรามันไม่มีเวล่ำเวลา มันหาเวลาเช้าเวลาสายบ่ายเย็นปีนั้นเดือนนี้ชาติหน้าชาตินี้ที่ไหน เวลาเราหาบกิเลสอยู่เราไม่ได้คิดว่ามันหนักขนาดไหน บทเวลาจะประกอบความพากเพียรทำไมเห็นว่าหนักหนา เป็นความลำบากลำบน นี่ก็แพ้กลมายาของกิเลส ผู้ปฏิบัติไม่ทราบเรื่องกลมายาของกิเลสนี้แล้วจะก้าวไม่ออก ต้องเอาให้จริงให้จัง

สรุปความลงก็คือว่า รูปกฺขนฺโธ เวทนากฺขนฺโธ สฺากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ วิฺาณกฺขนฺโธ เป็นสำคัญ นี่ละเป็นที่ซ่องสุมของกิเลสทั้งมวล รวมอยู่ที่ตรงนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็จิต จิตเป็นตัวการสำคัญ ให้พิจารณาลงตรงนี้ จะพิจารณาขันธ์ไหนก็ตามขอให้เป็นมรรค เป็นวิธีถอดวิธีถอนเถิด พิจารณารูปหญิงรูปชายรูปสัตว์รูปบุคคลได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นอุบายของสติปัญญาเพื่อถอดถอนความลุ่มหลงของตนเป็นอันว่าไม่ผิด

เราอยากให้หมู่เพื่อนเห็น สอนอะไรสอนอย่างถึงเหตุถึงผลอย่างถึงพริกถึงขิง สอนเต็มสติกำลังความสามารถ แม้จะลำบากลำบนหรือสุขภาพไม่ดีก็ความห่วงใยหมู่เพื่อน สงสารหมู่เพื่อนไม่เคยลดละ ไม่เคยด้อยลงไปตามสุขภาพไม่ดีนั้นเลย เพราะฉะนั้นเมื่อได้โอกาสเมื่อไร พอเห็นว่าสมควรที่จะแนะนำสั่งสอนหรืออบรมกันไปได้แล้ว ต้องพยายามไม่ลดละ สมกับว่าได้รับหมู่เพื่อนไว้เพื่อการอบรมสั่งสอน เราเห็นใจของหมู่เพื่อนเพราะเราเคยเป็นผู้น้อยมาแล้ว ที่เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์นี้แทบล้มแทบตาย ที่จะได้ครูบาอาจารย์เป็นที่ถึงจิตถึงใจ เป็นที่แน่ใจ เป็นที่เคารพเลื่อมใส เป็นที่ไว้ใจตายใจได้ เราจึงกลายเป็นนักล่าอาจารย์ไป นี่เราก็เห็นใจ เพราะหาที่ยึดที่เกาะนี้เป็นของสำคัญ ใจไม่ได้เกาะอะไร เป็นผู้มุ่งต่อธรรมแล้วต้องเกาะครูเกาะอาจารย์เกาะอรรถเกาะธรรมที่ถูกต้องดีงาม แล้วใครที่จะมาแนะนำสั่งสอนให้ถูกต้องดีงามพอเป็นที่แน่ใจได้ นี่เป็นสำคัญ จึงต้องเสาะแสวงหา

จิตแต่ละดวงมีคุณค่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมากน้อยก็ได้ทนเอารับเอาไว้ หากว่าไม่ได้อยู่ในสำนักก็ให้ได้มาพักอบรมชั่วกาลชั่วเวลาแล้วผ่านไป ได้คติตัวอย่างที่เคยแนะนำสั่งสอน หรือจากหมู่จากเพื่อนจากผู้ใดก็ตาม อันเป็นความดีงาม แล้วไปประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นทางเดิน เพื่อเป็นเครื่องมือ จึงได้พยายามแนะนำสั่งสอนและรับหมู่เพื่อนไว้เสมอ การรับไว้รับด้วยน้ำใจ เพราะฉะนั้นคำว่ารับไว้จึงมีความหมายอันหนักอยู่มาก ต้องปฏิบัติตามความมุ่งหมายของตนที่รับไว้นั้นโดยสม่ำเสมอ หากว่าธาตุขันธ์พอเป็นไปได้ ไม่เคยละเคยปล่อยวางตั้งแต่ไหนแต่ไรมา

เพราะฉะนั้นขอให้หมู่เพื่อนจงเห็นใจตัวเอง ว่ามุ่งมาศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์ ท่านสอนอย่างไรให้นำไปประพฤติปฏิบัติ อย่าทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ เหลว ๆ ไหล ๆ อันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ไม่ใช่เรื่องธรรมของจริงที่จะพาเราให้หลุดพ้นไปได้ ธรรมอันใดเป็นของจริงที่จะพาให้หลุดพ้นให้พยายาม หนักเบาไม่ต้องว่า เราจมอยู่ในกองทุกข์นี้มานานขนาดไหน แล้วความทุกข์เพราะการประกอบความพากเพียรนี้จะไปถึงไหนทุกข์อันนี้ ยังมีวันยุติได้นี่ เมื่อถึงกาลเวลาที่มันชนะกันแล้วความทุกข์เพราะความพากเพียรนี้ก็หมดปัญหาไปเลย กลายเป็นปุ๋ยสนับสนุนความพากเพียรหรือสนับสนุนเราให้หลุดพ้นไปได้ เพราะอำนาจแห่งความเพียรเพราะอำนาจแห่งความทุกข์เหล่านี้

ทุกข์ในวัฏสงสารมันอุดหนุนเราให้เป็นคุณงามความดี ให้ได้หลุดพ้นจากทุกข์ที่ตรงไหน แต่เราทำไมจึงไปชอบทำไมจึงไปตายใจกับความทุกข์ที่กิเลสมันผลิตขึ้นมานั้นเอานักหนา ไม่ยอมเห็นโทษแม้นิดเดียวเลย แต่เวลามาประกอบความพากเพียรทำไมจึงให้กิเลสมาหลอกได้ว่ามันทุกข์มันยากมันลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ ดังที่กล่าวมาแล้ว อำนาจน้อย วาสนาน้อย สติปัญญาไม่มี นี่มันหลอกกันทั้งมวล เรายังจะให้มันกล่อมอยู่เหรอเวลานี้ ธรรมกังวานอยู่ตลอดเวลาภายในหัวใจของเราที่ครูบาอาจารย์และเราได้ยินได้ฟังมา ทำไมจึงไม่ให้แสดงตัวขึ้นมาบ้าง เพื่อต่อสู้ต้านทานกับกิเลสให้มันหมอบราบไปบ้าง อย่างน้อยพอหนังถลอกก็ยังดี

คราวนี้หนังถลอก คราวต่อไปเลือดเยิ้ม คราวต่อไป เอ้า ขาดสะบั้นไปเลยโดยลำดับลำดา เมื่อหนักเข้าไปกว่านั้นบรรลัยไม่มีเหลือภายในใจ นั้นละทรงอรรถทรงธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มที่เต็มฐาน อยู่ไหนอยู่เถอะ ตายเมื่อไรก็ไม่เห็นมีสำคัญอะไร เรื่องเกิดเรื่องตายเป็นเรื่องของสมมุติ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์พุทโธแล้ว ไม่มีคำว่าเกิดว่าตายเหมือนดังโลกสมมุติทั่ว ๆ ไป นั่นละหมดปัญหาหมดกันที่ตรงนั้น ขอให้ทุกท่านนำไปประพฤติปฏิบัติกำจัดตนจากสิ่งที่มันบีบบังคับทั้งหลาย อย่าไปคุ้นกับสิ่งเหล่านี้

ใคร ๆ จะคุ้นก็ตามพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คุ้น ผู้วิเศษไม่ได้สอนให้คุ้น ผู้ฉลาดไม่ได้สอนให้คุ้น คนโง่ต่างหากหลอกลวงกันไปตามยถากรรม มืดบอด เพราะมองไม่เห็นก็ไม่ทราบว่าจะเอาของดิบของดีอะไรมาสอนกัน ก็มีแต่เอาเรื่องความโง่เขลาเบาปัญญา ความติดจมอยู่ในกิเลสนี้มาพูดมาหลอกมาลวงกัน อันนั้นดีอันนี้ดี หลอกกันต่างคนต่างหลอก ต่างคนต่างมืดบอดก็หลอกกันด้วยความมืดบอดของตน ศาสดามีอยู่ให้เอาศาสดาเข้ามาเป็นผู้กำกับ มาเป็นผู้ชี้แนวทาง มาเป็นเครื่องยึดเครื่องเหนี่ยว พุทฺธํ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ เล็งอรรถธรรมวินัยให้ดีในการประพฤติปฏิบัติ นี่ละเป็นความไม่หลอก

เราอยู่ด้วยกับความหลอก กลมายาของกิเลสนี้อยู่มานานแล้ว ใคร ๆ ก็อยู่มานานไม่น่าสงสัย นอกจากเราจะพยายามตะเกียกตะกายให้เล็ดลอดออกไปได้จากบ่วงแห่งมารนี้เสียเท่านั้น เราจะมีความผาสุก คำว่าความทุกข์ความทรมานในการประกอบความเพียรจะขาดสะบั้นไปทันทีขณะที่กิเลสมันขาดสะบั้นออกจากใจ ทุกข์ก็ทุกข์เพื่อความเพียร ทุกข์เพื่อแก้กิเลสเป็นไรไป ทุกข์เพราะกิเลสก็เคยทุกข์มาแล้ว นี่เอาทุกข์เพื่อจะแก้กิเลสจะเป็นอะไรไป ต้องเอาอย่างนี้เข้าสู้กัน สติปัญญามีพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเอง กิเลสหลอกมาตรงไหน มันหว่านล้อมมาทางใด เพลงของมันกล่อมมาอย่างไร เพลงของธรรมกล่อมมันให้แหลกไปเหมือนกัน ให้มันหลับสนิทตายจมสมมุติอยู่นี้ เราพ้นจากสมมุติไปไม่ดีเหรอ นั่นอุบายของผู้ฉลาดผู้จะหลุดพ้น ต้องนำมาใช้โดยสม่ำเสมอ

สติปัญญาเป็นสำคัญอย่าลืมคำนี้ อย่าคอยเวล่ำเวลาว่าให้สมาธิเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เสียก่อนแล้วค่อยพิจารณาปัญญา ควรจะพิจารณาปัญญาเมื่อไร เอา เมื่อถึงขั้นที่ควรจะพิจารณา หรือผู้มีจิตอันสงบได้บาทได้ฐานพอเป็นความอิ่มตัวของใจแล้ว เอานำไปพิจารณาแยกแยะดูข้างนอกข้างใน เฉพาะอย่างยิ่งอสุภะอสุภังปฏิกูลโสโครกเป็นของสำคัญมาก เอาให้แหลกละเอียดให้เป็นสนามรบอยู่ตรงนั้นเลย เป็นเวทีมวยกันเลย เอาให้มันแหลกอยู่ตรงนั้น แล้วจิตที่เคยกังวลวุ่นวายกับเรื่องกิเลสตัณหาราคะอะไรเหล่านี้ มันจะสงบตัวเข้ามา ๆ เพราะอำนาจแห่งอสุภะอสุภังซึ่งเป็นยาอันวิเศษ เป็นผู้กำจัดปัดเป่าลงไปโดยลำดับจนกระทั่งหมดไปโดยสิ้นเชิง

การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร เหนื่อยแล้ว


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก