ปลุกใจให้ตื่น
วันที่ 11 พฤษภาคม 2524 เวลา 19:00 น. ความยาว 64.48 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔

ปลุกใจให้ตื่น

 

        การมาอยู่ร่วมกันมาก ๆ แม้จะเป็นเจตนาที่เป็นธรรมก็ตาม แต่ผลที่ได้รับจะต่างกันอยู่มาก เพราะเวลามีมากภาระก็ต้องมาก การสัมผัสสัมพันธ์ต่อกันก็มีมาก ความคิดก็เพิ่มขึ้น ถ้าถูกรายหยาบ ๆ เข้ามาสับปนกันด้วยแล้วก็กระเทือนไปหมดทั้งวัด นี่เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้มาก สำหรับเพศของพระไม่ควรมีอย่างยิ่งเรื่องที่กล่าวมา เพราะพระทั้งโลกเขาทราบแล้วว่าเป็นเพศที่ทรงธรรมทรงวินัย เป็นเพศที่ถูกต้องดีงามหาที่ต้องติไม่ได้ เนื่องจากธรรมเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าด้านวินัยไม่ว่าด้านธรรมะทุกขั้น  ผู้เข้ามาทรงธรรมทรงวินัยจึงเป็นผู้ที่ไว้วางใจของตัวเองและโลก อย่าว่าแต่โลกชาวพุทธเลย แม้โลกพาหิรชนต่างศาสนาก็เป็นที่ไว้ใจได้

        เพราะผู้บวชคือผู้ทรงธรรมตามความสมมุติเป็นอย่างนั้น  ตามความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น  ที่ไม่เป็นไปตามความจริง ไม่เป็นไปตามความรับทราบของประชาชน ความเข้าใจของประชาชน ก็เพราะกิเลสแฝงเข้าไปทำลายความทรงธรรมนั้นให้กลายเป็นการแบกหามกิเลสไปเสียหมด  ไม่เรียกว่าทรงกิเลสจะเรียกว่าอะไร  กิเลสแสดงออกในอาการใด จะเป็นสิ่งที่แสลงแทงจิตแทงใจแทงหูแทงตาได้ทั้งนั้น

        การเรียนเรื่องของกิเลสจึงต้องเรียนในจุดสำคัญก่อนคือใจเพราะเป็นคลังของกิเลส  ทางเดินของมันก็ออกมาทางกายทางวาจา  ทางท่องเที่ยวของมันก็ออกมาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย แล้วนำอารมณ์เหล่านี้เข้าไปสู่จิตใจเป็นธรรมารมณ์  แล้วก็ท่องเที่ยวตามเรื่องราวต่าง ๆ อตีตารมณ์  นำเข้ามาครุ่นมาคิดมายุ่งเหยิงวุ่นวาย ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสที่ทำการก่อกวนจิตใจให้หาความสงบสุขไม่ได้ทั้งนั้น  จากนั้นก็แสดงออกมาภายนอกอันเป็นส่วนหยาบให้กระทบกระเทือนหมู่เพื่อน และระบาดสาดกระจายออกไปเป็นวงกว้างขวางหาประมาณไม่ได้  นี่ละกิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันตลอดมาอย่างนี้

        แม้เรามาบวชเป็นพระแล้วว่าเป็นผู้ทรงธรรมแต่กิเลสมันไม่ได้ทรงธรรม มันทรงฤทธิ์ทรงเดชของมันเอง  แสดงออกมาเป็นกิเลสทั้งนั้นไม่ได้เป็นอรรถเป็นธรรมเลย  ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วไม่ว่าจะออกมาทางอาการใด  ออกมาเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกมาเป็นส่วนใหญ่ส่วนหลักล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด ไม่ได้แสดงออกมาเป็นธรรม  เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้มาทรงธรรม ก็คือการชำระแก้ไขหรือปราบปรามกิเลสในขณะเดียวกัน จึงอย่าให้มันกระดิกตัวออกมาได้ในส่วนหยาบ ๆ  หากมันสุดวิสัยก็ให้แสดงอยู่ภายในเท่านั้นเมื่อเรายังไม่สามารถที่จะปลดเปลื้องหรือปราบปรามมันได้  นี่เป็นหลักใหญ่ของผู้ปฏิบัติของผู้จะทรงธรรม จากคำว่าทรงธรรมไปด้วยการปฏิบัตินี้แล้ว ก็เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลทรงวิมุตติหลุดพ้น

        การอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งต้องระวัง  ดังที่เคยอธิบายให้ฟังอยู่เสมอว่า  การคิดเกี่ยวข้องกัน การมองกัน ให้มองในแง่เป็นธรรมหนึ่ง  ในแง่แห่งความเมตตาหนึ่ง  ในแง่แห่งการให้อภัยหนึ่ง  หลักใหญ่มองกันอย่างนี้  หากมีการตักเตือนซึ่งกันและกันก็ให้ตักเตือนด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม ด้วยความเมตตาและมีการให้อภัยไว้เสมอ  ผู้รับก็พึงรับด้วยอาการนี้เช่นเดียวกัน  รับด้วยความจงรักภักดี  รับด้วยความเคารพนับถือ  รับด้วยความพอใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม  เรียกว่าเป็นธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย  ไม่ได้นิยมว่าเป็นอาวุโส ภันเต

        เพราะธรรมเป็นธรรมชาติที่ให้ความเสมอภาคคือความถูกต้องด้วยกัน  ใครพูดออกมาจะเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย ให้พูดเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นเหตุเป็นผล  ผู้ฟังก็ให้ฟังตามนั้นปฏิบัติตามนั้น มีกี่ร้อยกี่พันรายกี่ร้อยกี่พันองค์ก็ไม่มีการกระทบกระเทือนกัน เพราะเจตนาเป็นธรรมด้วยกัน  สิ่งใดที่สุดวิสัยผลิตออกมาเจ้าของเองก็ทราบ  เจ้าของไม่ทราบคนอื่นก็ทราบว่าไม่มีเจตนา แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะความไม่รอบคอบทำให้ผิดได้เหมือนกัน

        ข้อวัตรปฏิบัติ การมาศึกษาดูให้ดี  นี่เราตั้งใจมาศึกษา ตาให้ดูหูให้ฟังใจให้คิด นำไปเป็นคติได้ทั้งทางหูทางตาทางใจ อย่ามาอยู่เด้น ๆ ด้าน ๆ เพ่น ๆ พ่าน ๆ ใช้ไม่ได้ ให้ต่างคนต่างระวังใจของตัวนั้นแหละเป็นการระวังซึ่งกันและกันไปในตัว ถ้าไม่ระวังตัวก็ทำให้กระเทือนหมู่เพื่อน ลงได้ออกไปกระเทือนหมู่เพื่อนแล้วเป็นเรื่องหยาบมาก เพียงแต่กระเทือนอยู่ภายในจิตใจของเราก็ทุกข์ร้อนพอแล้ว เป็นความผิดพอตัวอยู่แล้ว ไหนจะต้องให้ระบาดสาดกระจายออกมากระทบกระเทือนหมู่เพื่อนอย่างนั้นดูไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่เลวทรามมาก ให้พากันระมัดระวังให้มากนักปฏิบัติเรา

        เพราะเรามาฆ่ากิเลส สิ่งใดที่เข้าใจว่าตัวดีนั้นแลคือเรื่องของกิเลสมันจะทำให้เราชั่ว  การอวดดีอวดเด่นอวดความรู้ความฉลาดความสามารถของตน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลที่จะทำคนให้เสียหายและล่มจม ไม่ใช่จะทำตนให้เป็นคนดี การมีความสำเหนียกศึกษาด้วยความสนใจอยู่เสมอจากสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ผู้มาเกี่ยวข้อง นั่นคือเป็นนักธรรมะโดยแท้ คอยสำเหนียกเอาเหตุเอาผลด้วยความจงรักภักดีต่อกัน และนำไปประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง พยายามแก้ไขดัดแปลงอยู่เช่นนั้น นั่นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม ดำเนินธรรม  ในขณะเดียวกันก็เรียกว่าแก้กิเลสไปในตัว

        การได้ยินได้ฟังการอบรมจากครูจากอาจารย์แล้ว อย่าให้เป็นลักษณะที่เทน้ำใส่หลังหมา เทปัวะลงไปมันสลัดทีเดียวหายหมดไม่มีเหลือน้ำแม้หยดเดียวอยู่บนหลังหมานั้น ที่เทศนาว่าการอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มอรรถเต็มธรรมเต็มสติกำลังความสามารถ กิเลสมันพาสลัดเสียหนเดียวเท่านั้นไม่มีเหลือเลยธรรมภายในใจที่ได้ยินได้ฟังมา ยังเหลือแต่กิเลสกองท่วมหัวอยู่อย่างนี้ใช้ไม่ได้เลย ต้องศึกษาด้วยความจริง

        ธรรมนั้นออกมาจากท่านผู้จริงจัง  พระพุทธเจ้าไม่มีใครจะจริงจังเสมอพระองค์  สัจบารมีฟังซิใครเป็นคนตั้งออกมาแสดงออกมา  พระองค์ไม่ทรงดำเนินและเห็นผลมาก่อนแล้ว และเป็นผู้ทรงสัจธรรมเหล่านี้ จะนำออกมาแสดงแก่โลกได้อย่างไร  ทุกบททุกบาททุกแง่ทุกมุมที่ทรงนำออกมาประกาศสอนโลก  เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทดสอบผ่านมาแล้วทั้งเหตุทั้งผลด้วยดีทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความบกพร่อง  มีความสมบูรณ์ตลอดสาย  จึงได้นำธรรมเหล่านั้นมาสั่งสอนโลก  ท่านว่าสัจบารมีอย่างนี้ ใครเป็นคนประกาศสอนโลกถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า  คนไม่มีความสัตย์ความจริงทำอะไรเหลาะ ๆ แหละ ๆ หาเหตุหาผลหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ เลื่อนลอย โอนเอน คลอนแคลน ไม่มีหลัก  ต้องมีหลักใจ  ทำอะไรลงด้วยเหตุผลแล้วให้เป็นไปด้วยความจงใจ ด้วยความจริงจังทุกอย่าง  เมื่อถูกต้องด้วยเหตุผลแล้วตัดสินใจทำลงไปอย่างนั้นถึงถูก  ฝึกหัดนิสัยเจ้าของอย่าให้เป็นคนเหลาะแหละ

        การชำระกิเลสไม่ใช่เป็นของง่าย ๆ  เป็นสิ่งที่ยากเพราะฝังจมอยู่ภายในจิตนี้มาเป็นเวลานาน ไม่สามารถที่จะนับอ่านได้เลยแม้ตัวเองซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องกับกิเลสมาตลอดกาลก็ตาม แต่เมื่อพูดถึงปัจจุบันแล้วก็เต็มอยู่ภายในจิตจึงแก้ยาก เหนียวแน่นมาก  การชำระสะสางจะทำด้วยความอ่อนแอท้อแท้เหลวไหลใช้ไม่ได้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มกิเลสไปเท่านั้น จึงต้องเอาจริงเอาจังทำด้วยดี

        บังคับจิต กิเลสพาฉุดพาลากออกมาในแง่ต่าง ๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสจิตใจจะไม่มีความอิ่มพอ ไม่มีความเข็ดหลาบ  คิดไปเท่าไรทุกข์เท่าไรก็ยอมทุกข์ ไม่สนใจในเรื่องของทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความคิดความวุ่นวายอันไม่ดีนั้นเลย  ถูกมันลากมันถูไปถลอกปอกเปิกไปหมดก็ยังไม่เห็นโทษ นี่ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น  ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วมันฝืนหัวใจเพราะกิเลสพาให้ฝืนไม่ใช่เราฝืนเองนะ กิเลสเป็นข้าศึกกับธรรมต้องฝืนธรรมเสมอโดยเอาเราเป็นเครื่องมือ มันอยู่ที่หัวใจเราจึงต้องบังคับใจเรา บังคับกายวาจาไปในตัว เพราะกายวาจานี้เป็นเครื่องมือของจิต จิตเป็นเครื่องมือของกิเลสเป็นที่อยู่ของกิเลส จึงต้องฉุดต้องลากต้องถูต้องไถไปตามเรื่องของกิเลสเสมอ

        การพินิจพิจารณาและการปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ใช้ความเข้มแข็งอดทนจริงจังก็จะไปไม่รอดนะ  เราได้เคยพูดเสมอว่างานในโลกนี้ยังไม่เห็นงานไหนที่หนักหนาและได้ทุ่มเทลงถึงขั้นถึงเป็นถึงตาย เหมือนงานต่อสู้กับกิเลสชำระกิเลสถอดถอนกิเลสเลย  และความเฉลียวฉลาดก็ไม่มีอะไรเกินกิเลสในบรรดาสมมุติซึ่งอยู่ในโลกธาตุนี้ กิเลสเป็นเบอร์หนึ่งเป็นจอมวัฏจักร  ด้วยเหตุนี้จึงแก้กันได้ยาก  แต่ยังไงก็ไม่พ้นวิสัยของผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติด้วยอรรถด้วยธรรม  เพราะธรรมเป็นสิ่งที่เหนือกิเลสอยู่ตลอดเวลา  ไม่เคยด้อยกว่ากิเลสเลยถ้านำมาใช้ นอกจากจะทิ้งไว้เฉย ๆ เช่นอย่างศัสตราอาวุธจะมีพิษมีภัยทำอันตรายให้แก่ข้าศึกได้มากมายเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อไม่นำมาใช้มันก็เป็นวัตถุอันหนึ่งอยู่เท่านั้นไม่เห็นสำเร็จประโยชน์อะไร

        นี่ธรรมะก็เหมือนกัน สติท่านสอนเราท่านไม่สอนคัมภีร์ใบลาน ปัญญาก็สอนเรา  ความเพียร-เพียรพยายามสืบต่อกันอยู่เสมอ ด้วยความมีสติระลึกรู้ตัวอยู่เสมอด้วยปัญญา ในเวลาที่ใช้ปัญญาให้ใช้ ความอุตส่าห์พยายาม  ความอุตส่าห์เป็นผลท่านจึงสอนให้อุตส่าห์  ความเพียรทำให้เกิดผลดีในทางที่ถูกที่ดีท่านจึงสอนให้เพียร  สติใช้ในทางที่ถูกที่ดีเป็นผลดีขึ้นโดยลำดับ ท่านจึงสอนให้มีสติให้อบรมสติ  ปัญญาใช้ในทางที่ถูกที่ควรตามหลักธรรมย่อมเป็นสิ่งที่ดีมาก  ทำคนให้ดีสุดยอดก็คือสติปัญญาศรัทธาความเพียรซึ่งเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น  ท่านสอนท่านมอบแต่ของดี ๆ ให้พวกเรา แต่เถลไถลไปเอาสิ่งที่เป็นเดนเป็นมูตรเป็นคูถมาพอกหัวใจเสียทั้งวันทั้งคืนไม่มีความอิ่มพอนี่ซิ  มันจึงเป็นการขัดแย้งต่อหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นข้าศึกต่อศาสนา ต่อศาสดา ต่อครูต่ออาจารย์ ต่อตัวเองไปเสียหมด เพราะอำนาจของกิเลสมีกำลังมากกว่า

        เราควรจะภูมิใจได้เข้ามาทรงเพศแห่งบรรพชิตนักบวช  ได้มาประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ดีงามตามหลักของนักปราชญ์ราชกวีทั้งหลาย ท่านได้พาดำเนินและเห็นผลมานับไม่ถ้วนแล้ว ด้วยหลักธรรมที่แสดงไว้เหล่านี้  มรดกใดสิ่งใดที่จะเลิศยิ่งกว่าธรรม  นี่ก็เป็นมรดกตกทอดมาจากพระพุทธเจ้าและสาวกท่านมาถึงพวกเรา การบวชก็บวชตามเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้าและสาวกที่ดำเนินมาแล้ว การประพฤติปฏิบัติท่านก็สอนวิธีที่เป็นสิริมงคลแก่ตน ให้พวกเราทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติด้วยความเทิดทูน พวกเราส่วนมากมีแต่กิเลสมันมาฉุดมาลากจับฟัดจับเหวี่ยงเข้าป่าเข้าพงไปเสีย เหลือตั้งแต่ตัวกิเลสล้วน ๆ มาครองหัวใจอยู่เป็นเจ้าของนี่ซิมันน่าสลดสังเวช

        ดูกิเลสมันเป็นของง่ายเมื่อไร ดูได้ยากที่สุด  อยู่ในหัวใจเราแต่ก็ตามไม่ทันดูมันไม่เห็นไม่รู้  โน้นครูบาอาจารย์ท่านดู ผู้ท่านผ่านท่านพ้นท่านรู้เหตุรู้ผลรู้เรื่องรู้ราวกับมันแล้วดูรู้  เราเองไม่รู้  จึงต้องสอนวิชาที่จะรู้เรื่องของกิเลสแก้กิเลสต่อสู้กิเลสให้  ธรรมทั้งหมดเป็นธรรมแก้กิเลสทั้งนั้น  เป็นธรรมที่เป็นสิริมงคล เป็นธรรมอันอุดมอย่างยิ่ง  นำเข้ามาประดับสติปัญญาของเรานี้  คนเรามีคุณค่าอยู่ตรงนี้แหละที่เป็นหลักใหญ่ที่สุด

        คำว่าความสุขความเจริญที่โลกต้องการมาทุกหย่อมหญ้า มาจากไหนถ้าไม่ใช่มาจากการทำดี  การทำชั่วที่จะให้เกิดความสุขความเจริญมันเป็นไปไม่ได้  เช่นอย่างเขาฉกเขาลักเขาไปปล้นได้เงินมาเป็นล้าน ๆ ก็ตาม จะมีแต่กิริยาว่าได้เงินมาเป็นล้าน ๆ เท่านั้น หัวใจนั้นจะเป็นไฟทั้งกอง อย่าเข้าใจว่าเขาจะมีความสุขถ้าไม่ชอบธรรมแล้ว  ถ้าชอบธรรมแล้วมีความสุข  มีมากมีน้อยเป็นความสุขได้ทั้งนั้นเพราะเป็นความชอบธรรม จะนำความสุขมาให้โดยตรงตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้

        นี่เราแก้กิเลสแก้โดยธรรม แก้ให้ถูกตามอรรถตามธรรม ทำไมกิเลสจะไม่หลุดลอยลงไปโดยลำดับยังผลอันเป็นสุข หรือความสงบสุขขึ้นมาเป็นขั้นๆ ต่อจิตใจของเราผู้บำเพ็ญ  นำปัญญามาใช้มันต้องรู้ต้องฉลาด  พระพุทธเจ้าสอนธรรมเครื่องฉลาดให้แท้ ๆ ท่านไม่ได้สอนธรรมโง่ให้พวกเรา  ธรรมพระพุทธเจ้าคำว่าธรรมโง่ไม่มีมีแต่ธรรมฉลาด  เรานำเข้ามาประพฤติปฏิบัติทำไมจึงกลายเป็นความโง่  เพราะยื่นด้ามดาบให้กิเลสเสียมันก็ฟันเรานั่นซิ  ดาบคม ๆ แทนที่จะฟันกิเลสกลับยื่นด้ามดาบให้กิเลส  มันก็กลับมาฟาดเราแหลกแตกกระจาย  เดินจงกรมเพียงสองหย็อกสามแหย็กสามก้าวสี่ก้าว  สติตั้งไม่ได้เลยหายไปหมดถูกกิเลสเตะพังทลายลงไปแล้ว  ยังเหลือแต่ความเซ่อซ่าก้าวขาไปก้าวขามา  เหมือนกับคนไม่มีสติสตัง เหมือนคนบ้าอยู่ตามถนนหนทาง มันเป็นความเพียรอย่างไรทำอย่างนั้น

        เราจะรู้ได้ชัด ๆ ว่ากิเลสเก่งขนาดไหน ทั้ง ๆ ที่ตั้งสติสตังประคองความเพียรอยู่นั้นยังถูกมันลากไปได้ต่อหน้าต่อตา เราจะไม่เห็นว่ากิเลสแหลมคมจะเห็นอะไรแหลมคม   ถ้าว่าสติปัญญาของเราแหลมคมทำไมไม่ทันกลมายาของกิเลสมาฉุดลากเราในขณะนั้น  เราจะเห็นได้เวลาจิตมีความละเอียดลออ  สติปัญญาของเรามีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าขึ้นไปเพราะการอบรมของเรานี้โดยลำดับรู้ได้โดยลำดับ มันกระเพื่อมตรงไหนพับ กิเลสมาสัมผัสตรงไหนพับ  คำว่ากิเลสสัมผัสหมายถึงว่ากิเลสกระเพื่อมออกจากใจ มันจะไปเที่ยวหาเหยื่อมากินนั่นซิหาอาหารมากิน  พอกระเพื่อมพับมันตามกันแล้ว  กระเพื่อมพับรู้  ถึงขั้นที่จะตามฆ่านั้นกระเพื่อมพับตามกันเอาให้เห็นเหตุเห็นผล  นั่นในเวลาที่ควรจะทันยังไงก็ทนไม่อยู่  ไม่ได้ตั้งใจว่าจะตั้งสติสตัง แต่มันเป็นการตั้งอยู่โดยหลักธรรมชาติของมัน

        เหตุที่สติปัญญาตั้งขึ้นมาได้โดยหลักธรรมชาติเพราะอะไร  ก็เพราะความถูไถความเสือกคลานของเราด้วยความเพียรของเรา ไม่หยุดไม่ถอยนั่นแล กำลังทางธรรมะคือสติธรรมปัญญาธรรมก็เจริญขึ้นมาเรื่อย ๆ กิเลสประเภทไหนแสดงออกมันทันกัน ๆ จากนั้นก็ฆ่ากันพินาศสันตะโรไปเรื่อยจนถึงขั้นกิเลสหมอบ

        เวลานี้กิเลสแสดงอิทธิพลมีอิทธิพลมากภายในหัวใจเรา ธรรมะข้อใดมาแทนที่จะเข้าไปปราบกิเลสก็ไปยื่นด้าม เหมือนกับด้ามดาบ เพราะธรรมะเป็นเหมือนดาบให้กิเลสเสีย ให้กิเลสฟันเอา ๆ เดินจงกรมอยู่ก็ถูกมันเตะสติสตังแตกกระจายไปไหนไม่รู้ มีแต่คนสิ้นท่าบ้าตามถนนเดินกลับไปกลับมาไม่ได้เรื่องได้ราว  จากนั้นก็มาทวงเอามรรคผลนิพพานจากเวล่ำเวลาการเดินการก้าวไปก้าวมาของตนในลักษณะบ้านั้นอีก  ยิ่งเป็นบ้าสองชั้นสามชั้น  เราพิจารณาซิว่าเราโง่ไหม หรือว่าเราฉลาดอยู่เหรอเมื่อไม่ทันกับกิเลส ทั้ง ๆ ที่เราขึ้นเวทีจะต่อกรกับกิเลสเอาให้มันแหลก แล้วกลับยังไม่ได้ยกครูถูกกิเลสเตะตกเวทีไปแล้วทันกันไหมอย่างนั้น  จะว่าใครโง่เรากับกิเลส

        เราเป็นผู้ทรงธรรม-ธรรมนี้เคยปราบกิเลสได้ชัยชนะมามากต่อมากแล้ว ทำไมเราเป็นผู้ทรงธรรมจึงไม่เป็นท่าเป็นทางอะไรเลย ถ้าเป็นนักมวยก็ขึ้นไปเป็นกระสอบให้เขาต่อยเขาเตะเขาตีเอาเสียจนแหลกไม่มีสติสตัง นี่ละระหว่างกิเลสกับธรรม ผู้นำธรรมมาฝึกหัดตนในเบื้องต้นเป็นอย่างนี้

        เคยเป็นมาด้วยกัน ตั้งสติได้ ๑ นาที พยายามเอาให้ได้ ๑ นาที  พอนาทีที่สองเอาไปแล้ว  บางทียังไม่ถึงนาทีมันเอาไปแล้ว  เร็วไหมกิเลส รวดเร็วไหม คล่องตัวไหม  ไม่คล่องยังไงมันเคยคล่องตัวมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดแล้วบนหัวใจของเรานี้  เพราะฉะนั้นจึงต้องพลิกธรรมขึ้นมาเอาจริงเอาจัง  ถึงวาระจะสู้กันสู้

        อย่าเสียดายความคิดในแง่ต่าง ๆ ซึ่งเคยคิดมานานแล้วไม่เกิดผลประโยชน์อะไรนอกจากกวนใจของตนให้ได้รับความทุกข์ความลำบากเพราะความคิดเท่านั้น  เวลานี้เราจะปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม  เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะเอากิเลสเข้ามาทำลายจิตใจ  เพราะปกติมันก็มีอยู่แล้วมันทำลายอยู่แล้วภายในจิตใจ  การปฏิบัติธรรมก็เพื่อจะกำจัดกิเลส ทำไมจึงต้องเสียดายความคิดความปรุงซึ่งเป็นไปเพราะอำนาจของกิเลส  มันขัดแย้งกันไหมกับความต้องการของเรา  เราต้องคิดต้องยอกต้องย้อนอุบายสติปัญญาให้ทันกับมัน  ที่พูดเหล่านี้เป็นอุบายของสติปัญญาที่จะให้ทันกับกิเลสต่างหาก ให้นำไปคิด

        คิดมาเท่าไรแล้วในเรื่องโลกเรื่องสงสารเคยมีความอิ่มพอไหม เอามาทดสอบดูซิ  แล้วในเมื่อมันไม่อิ่มพอมันมีความสุขไหมในความไม่อิ่มพอนั้น  มันก็ยิ่งเพิ่มทุกข์ขึ้นไป แล้วจะหาความอิ่มพอที่ไหน ความอิ่มพอกับกิเลสไม่เคยมีในโลกธาตุนี้ นตฺถิ ตณฺหาสมา  นที ความอยากไม่ว่าอยากประเภทใดขึ้นชื่อว่าเป็นความอยากของกิเลสแล้วหาความอิ่มพอไม่ได้ทั้งนั้น  ความอยากในธรรมมีความอิ่มพอ  เพราะฉะนั้นความอยากทั้งสองประเภทนี้จึงไม่เหมือนกัน

        บางคนก็เข้าใจผิดไปเสีย ให้กิเลสตบตาเอาเสียก็มากต่อมาก ถ้าจะประกอบคุณงามความดี  ความอยากทำทานก็ดี ความอยากรักษาศีลก็ดี ความอยากภาวนาก็ดี ความอยากพ้นทุกข์ก็ดี  ความอยากได้บุญได้กุศลก็ดี ก็ถือว่าเป็นตัณหาไปหมด เคยมีคนมาถาม  เลยหาช่องเดินไม่ได้  แล้วทำยังไงทำอะไรก็มีแต่ความอยาก ๆ เป็นกิเลสไปหมด  แล้วจะให้เดินยังไง

        ก็คนตายเท่านั้นแหละเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนไม่มีความอยาก อยากตายไหมล่ะ บางทีโมโหก็ตอบไปอย่างนั้น  ความอยากมันมี ๒ ประเภท  ความอยากที่เป็นเพราะอำนาจของกิเลสนี้ไม่มีเมืองพอ  อยากจนกระทั่งตั้งกัปตั้งกัลป์ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย ตลอดภพตลอดชาติตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่มีคำว่าอิ่มพอ  ขึ้นชื่อว่ากิเลส ความอยากที่เป็นกิเลส กิเลสทำให้อยาก  แต่ความอยากทางด้านธรรมะนี้พอ  ทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาเพื่อบุญเพื่อกุศลเพื่อมรรคผลนิพพาน เวลาดำเนินไปตามความอยากนี้เป็นมรรค คือทางดำเนินเพื่อบุญเพื่อกุศลเพื่อความพ้นทุกข์จะเป็นกิเลสตัณหาได้ยังไง  ถ้าเป็นกิเลสตัณหาใครจะพ้นทุกข์ไปได้

        การต่อสู้กิเลสอย่างสุดเหวี่ยงนี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องของธรรมทั้งนั้น กิเลสมาหนักขนาดไหน กำลังของเราจะให้หนักขนาดไหนจึงจะทันกับกิเลสจะสู้กิเลสได้  กำลังของเราหมายถึงว่ากำลังของด้านธรรมะ  เรียกว่ามรรคเครื่องมือหรือเครื่องดำเนินทางดำเนิน ต้องเอาให้หนักไม่หนักไม่ทันกัน แพ้ ไม่หนักก็แพ้กิเลส  ต้องให้มีน้ำหนักกว่ากิเลส นี่เรียกว่าเป็นมรรค

        เมื่อจิตมีความสงบเยือกเย็นเข้าไปเท่าไร  จิตใจก็ยิ่งอยากประกอบความพากความเพียรเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่นี่ความอยากมีกำลังขึ้นเรื่อย  ความขยันหมั่นเพียรก็หนักขึ้นไป ๆ จนถึงขั้นที่ว่าความขี้เกียจขี้คร้านหายหมด  ก็ความขี้เกียจขี้คร้านเป็นเรื่องของกิเลสนี่  มีแต่ความเป็นนักต่อสู้เท่านั้น  คำว่าความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไม่มีเหลือเลย  การประกอบความพากความเพียรเมื่อถึงขั้นที่มันจะหมุนตัวไปเองแล้วมันเป็นอัตโนมัติ  ไม่มีคำว่าขี้เกียจขี้คร้านต้องรั้งเอาไว้มันจะเลยเถิด  ความเลยเถิดก็ไม่ใช่มรรค  บังคับไว้ให้พอดีกับความเป็นธรรม

        ในธรรมท่านจึงอธิบายไว้ถึงเรื่องสมาธิ เมื่อได้บำเพ็ญสมาธิเวลาต้องการความสงบ ก็ให้พยายามดำเนินในความสงบ  ให้จิตได้รับความสงบอย่างแท้จริง  แต่เวลาจิตถอนออกมาจากความสงบแล้วให้ใช้ปัญญาออกทำงาน เมื่อใช้ปัญญาออกทำงานมีความเมื่อยล้าภายในจิตใจแล้วให้เข้าพักในความสงบในเรือนคือสมาธิ ให้ทำอย่างนี้เรื่อย ๆ ไปท่านว่าอย่างนั้น

        เราก็เคยเรียนเพราะมีอยู่แล้วในธรรม  บทเวลามันเข้าตะลุมบอนกันจริง ๆ แล้วลืมหมด  อรรถธรรมที่ท่านสอนไว้ซึ่งเป็นความเหมาะสมอันนี้มันลืม ถ้าว่าติดสมาธิก็ติดเสียจนไม่ยอมที่จะพิจารณาทางด้านปัญญาเอาเลย  ก็เห็นความรู้ที่แน่ว ๆ อยู่อันเดียวนั้นว่าจะเป็นมรรคผลนิพพานเสียท่าเดียว ก็ติดอยู่เสียจม  นั่นมันไม่พอดี เวลาออกทางด้านปัญญา เมื่อเห็นผลทางด้านปัญญาแล้ว ก็มีแต่เห็นผลทางด้านปัญญาท่าเดียว มิหนำซ้ำยังกลับมาเห็นโทษของสมาธิอีกว่านอนตายอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร  ทีนี้ก็ฟัดกันไปกับกิเลส  ก็ไม่ถึงไหนมันจะตายนี่  เพราะความคิดทางด้านปัญญาก็เป็นงานนี่ ความคิดความปรุง จิตไม่กระเพื่อมเป็นปัญญาได้ยังไง

        ปัญญาขั้นแก้กิเลส ก็ต้องทำงานด้วยความคิดความปรุงสลับซับซ้อนอยู่ไม่หยุดไม่ถอยก็เหนื่อย มีแต่จะเอาท่าเดียวๆ กำลังไม่มีก็จะเอาท่าเดียว มันไม่พอดี  เมื่อรู้สึกเหนื่อยเพลียภายในจิตใจก็ต้องเข้าพักในสมาธิถึงถูก  นี่ความเหมาะสมพอดีแท้ ๆ อยู่ตรงนี้  ถึงจะอยากทำเท่าไรก็ตามต้องพัก  ก็เหมือนอย่างเราดำเนินงานทำงาน  จะเพลินไปเท่าไรกับหน้าที่การงาน  ถึงเวลาควรพักต้องพัก ถึงเวลารับประทานต้องรับประทานไม่งั้นไม่มีกำลังที่จะหนุนงานนั้น  นี่สมาธิก็เป็นเครื่องหนุนปัญญา หนุนงานคือปัญญา ต้องไปให้พอเหมาะพอสม

        นี่เราพูดถึงเรื่องความอยากนะ  คืออยากพ้นทุกข์  ความอยากมากเท่าไรเรื่องการหมุนของจิตคือสติปัญญามันยิ่งหมุนติ้ว ๆ ๆ ไม่มีเวลาที่จะพักผ่อนหย่อนตัวเลย  นั่นเพราะอำนาจแห่งความอยาก  ความอยากอันนี้เป็นความอยากหลุดพ้น  ไม่ใช่ความอยากนอนจมอยู่ในกิเลสนี่จะจัดเป็นกิเลสได้ยังไง  ส่วนมากไปเข้าใจผิดจะทำอะไรก็กลัวแต่จะเป็นตัณหา อยากโน้นอยากนี้ก็เป็นตัณหา  อยากเป็นฝ่ายธรรมเป็นตัณหาที่ไหน  ถ้าอย่างนั้นจะเดินที่ไหนคน

        กิเลสยังมีทางเดินของมัน ธรรมะไม่มีทางเดินเพื่อแก้กิเลสจะเอาอะไรไปเดิน  กิเลสอยากธรรมะก็อยากซิ  อยากอะไรอยากฆ่ากิเลสซิ  กิเลสก็อยากฆ่าธรรมอยากทำลายธรรม  เราก็อยากทำลายกิเลสซิ ความอยากต่อความอยากฟัดกัน สุดท้ายก็สู้ความอยากของธรรมะไม่ได้  เอาให้กิเลสหงายตึงๆ พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายล้วนแล้วแต่ผู้ที่ต่อสู้กิเลสด้วยความอยากทั้งนั้น นี่อยากเป็นอรรถเป็นธรรม ไม่ใช่อยากแบบเป็นตัณหาจะเป็นกิเลสได้ยังไง ความอยากเป็นกิเลสมันถึงเป็น ความอยากไม่เป็นกิเลสจะอยากสักเท่าไรก็ไม่เป็น เดินคนละทาง กิเลสมันเดินสวนทางกันกับธรรมะ เอ้า สมมุติว่าธรรมะมีภายในจิตใจเท่าไร  จิตใจยิ่งมีความนิ่มนวลไปโดยลำดับ ๆ อ่อนโยนเมตตาสงสารไปโดยลำดับ  ส่วนกิเลสมีแต่ความโหดร้ายทารุณ มีแต่จะฆ่าจะฟันจะเอาให้ฉิบหายวายปวงท่าเดียว นี่มันเดินสวนทางกันอย่างนี้  ยกอันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้นนอกนั้นก็เหมือนกันหมด

        กิเลสไม่เคยไปตามร่องรอยของธรรม  ต้องสวนทางกับธรรมเสมอ  เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าเป็นข้าศึกกัน ต้องใช้ความพยายาม  อย่าเชื่อความขี้เกียจขี้คร้านของตนเอง  เคยเชื่อมานานแล้วไม่เกิดผลประโยชน์อะไร ให้เชื่อธรรม  ถ้าเชื่อธรรมต้องบึกบึนต้องอุตส่าห์พยายาม  เราบวชมาเพื่อเชื่อธรรม  พุทฺธํ  ธมฺมํ  สงฺฆํ  สรณํ  คจฺฉามิ  เราถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ  หมายความว่ายังไงสรณะ  เป็นที่ฝากเป็นฝากตายได้  ฝากเป็นฝากตายได้ทั้งข้อวัตรปฏิบัติ ทั้งความเชื่อความเคารพนับถือในธรรมของท่าน  ประพฤติปฏิบัติเอาธรรมเทิดทูนในหัวใจ  ธรรมว่ายังไงเดินอย่างนั้น แบบธรรมว่านั้น  เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์ตายก็ตาย ธรรมสอนอย่างนี้  นั่นเรียกว่า ธมฺมํ  สรณํ  คจฺฉามิ

        พุทฺธํ  สรณํ  คจฺฉามิ  พระองค์เป็นยังไง  การประกอบความเพียรล้มลุกคลุกคลาน คอยแต่ขี้เกียจขี้คร้าน แบกแต่ความขี้เกียจขี้คร้านเหมือนพวกเรานี้เหรอ  ถึงท่านจะมีความขี้เกียจขี้คร้านเพราะท่านมีกิเลสก็ตาม แต่การต่อสู้กิเลสของท่านมีเต็มที่ มีโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งมีกำลังมากปราบกิเลสเรียบวุธไปภายในพระทัย  นี่ก็พุทฺธํ  สรณํ  คจฺฉามิ เอามาเป็นตัวอย่างซิท่านทำยังไง ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ  เกิดขึ้นมาได้ยังไงถ้าพุทธะไม่เกิดเสียก่อน  ธรรมเกิดขึ้นจากพุทธะ  พุทธะรู้ธรรมแล้วก็แสดงทั้งเหตุทั้งผลมาประกาศสอนโลกให้เป็นที่เข้าใจในวิธีการประพฤติปฏิบัติ  ส่วนผลแท้ธรรมแท้นั้นจะเป็นผู้ได้รับโดยไม่ต้องถามใคร  สงฺฆํ  สรณํ  คจฺฉามิ ท่านดำเนินยังไง  ถ้าพูดถึงเรื่องทางเหตุท่านดำเนินยังไง  ทางผลเป็นที่พอใจไหมเราได้ยินท่านสำเร็จมรรคผลนิพพาน  นั่นละสรณํ  คจฺฉามิ  ของพวกเรา

        คำว่า กิเลส  สรณํ  คจฺฉามิ มันมีไหมล่ะ ความขี้เกียจขี้คร้าน สรณํ  คจฺฉามิ  ความอ่อนแอปวกเปียกสรณํ  คจฺฉามิ เคยมีไหม พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้ไหม ความเซ่อ ๆ ซ่าๆ สรณํ  คจฺฉามิ  ความระเกะระกะ สรณํ  คจฺฉามิ เคยมีไหม  แล้วพวกเราทำไมจึงชอบเอานักเอาหนา แบกหามอยู่ไม่ยอมให้ลงบ่าเลย มันสรณํ  คจฺฉามิ ยังไงกัน  ไปที่ไหนมีแต่แบกสรณํ  คจฺฉามิ เหล่านี้เต็มไปหมด  ความขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอความมักง่าย  ติดเอาแท้ ๆ ไม่ยอมปล่อยเลย  ปากว่า พุทฺธํ  สรณํ  คจฺฉามิ  บทเวลามองดูหัวใจ มีแต่กิเลสทุกประเภท สรณํ คจฺฉามิ มันติดพันอยู่นั้นไม่เคยยอมออก  ฟาดให้มันแหลกแตกกระจายไปซี

        เป็นยังไงธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะ  ท่านประกาศสอนโลกมาได้ ๒๕๐๐ ปีเป็นยังไง  ใครจะเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมประเภทนั้น ที่พระองค์ประกาศออกมานั้นเป็นกิริยาของธรรม  ธรรมแท้อยู่ในพระทัยของพระองค์ อยู่ในใจของพระสาวก  ธรรมแท้นั้นเป็นยังไง ถามเจ้าของบ้างซิกิเลสมันเป็นยังไง  อยู่หัวใจเรามันเป็นยังไง  ความโลภมันเกิดขึ้นมันฝังอยู่ภายในจิตใจมันเป็นยังไง  ความโกรธเป็นยังไงให้ความสุขเราไหม  ความโลภเป็นยังไงให้ความสุขเราบ้างไหม  ความหลงงมงายเป็นยังไงให้ความสุขเราบ้างไหม  แล้วที่นี่ธรรมที่ท่านว่าประเสริฐ ๆ นั้นน่ะเป็นยังไง กิเลสประเสริฐ ๆ มีที่ไหน แต่ทำไมจึงชอบนักชอบหนาถามเจ้าของ

        ธรรมอันเลิศอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าครองพระสาวกทั้งหลายท่านครอง และเราได้ถือเป็นคติตัวอย่างและสรณํ คจฺฉามิ อยู่เวลานี้ท่านเป็นยังไง ท่านรู้ที่ไหนท่านเห็นที่ไหนท่านปฏิบัติยังไง ย้อนเข้ามาถามตัวเองบ้างซิ  ซักตัวเองให้มันแหลกแตกกระจาย ซักตัวเองก็คือซักกิเลสนั่นแหละ  นี้ละสติปัญญาเอามาซักอย่างนี้ซิ อุบายวิธีปฏิบัติ  ให้มันเห็นดูซิน่ะ

        สมาธิได้ยินแต่ชื่อเกิดประโยชน์อะไร  เรียนกระทั่งถึงวันตายก็ได้แต่ชื่อ  มันได้แต่ชื่อได้ประโยชน์อะไร  เช่นอย่างเรามีเงินล้านอย่างนี้  มีแต่ชื่อว่าเงินล้านตัวเงินบาทเดียวไม่มีติดกระเป๋าไม่ติดมือเกิดประโยชน์อะไร  พิจารณาอย่างนั้นซิ  ให้เห็นสมาธิตามหลักที่ท่านสอน  องค์สมาธิแท้คือยังไง  นั้นคือชื่อของสมาธิว่าความแน่นหนามั่นคงของใจ  มีแต่ความแน่นหนาเฉย ๆ ลักษณะอาการความสง่าผ่าเผย ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของสมาธิอันแท้จริงนั้นเป็นยังไง ให้มันเห็นที่หัวใจรู้ที่หัวใจ

        ใจเท่านั้นจะเป็นผู้สัมผัสธรรมเหล่านี้ไม่มีอะไรสัมผัสได้ หูก็สัมผัสไม่ได้ ตาสัมผัสไม่ได้  จมูก ลิ้น กาย สัมผัสไม่ได้สัมผัสธรรมประเภทนี้ มีแต่ใจดวงเดียวเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสได้  เอ้า พิจารณาลงไปซิ  พอจิตมีความสงบเยือกเย็นแล้ว นั้นละศาสนาจะเป็นของอัศจรรย์ที่ตรงนั้น เพียงแต่จดจำมาเฉย ๆ มาบวชอย่างนี้ เราอย่าเข้าใจว่ากิเลสมันบวชกับเรานะ  มันย่ำยีตีแหลกอยู่ภายในหัวใจตลอดเวลา หัวใจของพระนั่นน่ะมีแต่ชื่อว่าพระ แต่กิเลสไม่ได้บวชพระมันสนุกเหยียบหัวใจพระ เราไม่คิดบ้างเหรอเหล่านี้น่ะ ฟาดมันลงให้แตกกระจายเป็นไร

        จิตทำไมจะสงบไม่ได้  ธรรมเครื่องบังคับจิตให้สงบมีอยู่  แล้วใครเป็นผู้ปฏิบัติเวลานี้ที่จะทำให้จิตได้รับความสงบด้วยธรรม  ถ้าพูดถึงเรื่องปัญญาพระพุทธเจ้าสอนที่ตรงไหน  ปัญญาจะรู้อะไร  กิเลสมันอยู่กับอะไรก็สอน  เบื้องต้นก็สอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ  นี่ละรังของกิเลส รังแห่งความรักก็อยู่ตรงนี้  รังแห่งความเกลียดความโกรธก็อยู่ตรงนี้ อยู่นี้หมด  ผิวหนังบาง ๆ นี่แหละมันหลอก มันจริงเมื่อไร  มันสวยมันงาม-งามที่ตรงไหน กิเลสมันหลอก ของปลอมมันปลอมอย่างนี้รู้ไหม เราถือว่ามันเป็นความจริงเราถึงได้หลง

        พิจารณาตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าซิว่า เกสา  โลมา นขา ทันตา ตโจ  นั่นละคือความจริง เอ้า มันสะอาดที่ตรงไหนดูซิ หนัง  แม้แต่ผิวหนังยังไม่เห็นสะอาดอะไรเลย ขี้เหงื่อขี้ไคลเต็มไปหมดแล้วเข้าไปข้างในเป็นยังไง  นี่คือความจริง ความจริงแท้เห็นอยู่ชัด ๆ ความสวยความงามไม่มี  มันเสกสรรปั้นยอมาก็ยังตื่นลมตื่นแล้งกันไป  นี่ท่านสอนให้ดูของจริง ดูแล้วดูเล่าพิจารณาไปมาเพราะถูกกิเลสมันปิดตาเสียหมด ต้องเอาแว่นตาคือปัญญาสอดส่องเข้าไปดูเข้าไปหลายครั้งหลายหนก็ค่อยเห็นค่อยชัดชึ้นมา ๆ   พอหยั่งเข้าถึงความจริงแล้วมันยอมเอง  จิตใจที่เคยหนักหน่วงเพราะอำนาจของกิเลสมันกดมันถ่วงนั้นค่อยดีดขึ้นมา ๆ

        พิจารณาเห็นกายตามความจริงมากน้อยเพียงไร จิตใจยิ่งมีความยิ้มแย้มแจ่มใส  สลดสังเวชในความหลงของตนไปโดยลำดับ ๆ เพราะกิเลสลวง กิเลสหลอก กิเลสต้มตุ๋น  มันก็เห็นที่นี่ อ๋อ กิเลสต้มตุ๋นเราอย่างนี้หลอกเราอย่างนี้  หลอกมานานเท่าไร  เพียงรู้เท่านี้ก็เห็นโทษของกิเลสในขั้นนี้ เอ้า กิเลสขั้นละเอียดเข้าไปสติปัญญาจะตามทันไปโดยลำดับ ๆ  ไม่พ้นอำนาจของสติปัญญาไปได้เลย  ฟาดลงไปจนแหลกแตกกระจายหมดทั้งร่างของเรานี้ เอ้า สวยตรงไหนงามตรงไหน  กองกระดูก หนังห่อกระดูกมันงามที่ตรงไหน  เสกสรรปั้นยอกันมาเฉย ๆ ด้วยอำนาจของกิเลสไม่ใช่ด้วยอำนาจของธรรม

        เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ทำไมจะยอมให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวใจเหมือนฟุตบอล  กลิ้งไปกลิ้งมาทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน  หาขณะจิตที่จะมีความสงบเย็นใจภายในด้วยอรรถด้วยธรรมไม่ได้เลย มันสมควรแล้วหรือกับเพศของพระ หน้าที่ของพระที่มาประพฤติปฏิบัติ งานของพระเป็นอย่างนั้นเหรอ  งานของพระคืองานสั่งสมกิเลสนั่นเหรอ  งานของพระเป็นงานที่ถอดถอนกิเลสซึ่งเป็นของจอมปลอม  เอ้า  ฟาดลงไปให้มันแหลก

        สติปัญญามีเท่าไรคิดขึ้นมาค้นขึ้นมา  สติปัญญาจะเกิดขึ้นด้วยความพินิจพิจารณา  ในเบื้องต้นต้องฝืนกันการพิจารณา  เมื่อได้เหตุได้ผลได้ต้นได้ปลายพอเป็นต้นทุนแล้ว เอาละที่นี่ เมื่อปัญญาออกแล้วเอาเถอะ  กิเลสจะหนายิ่งกว่าภูเขา ๗ ชั้น ๗ ลูกก็ตามเถอะ มันจะพังทลายราบไปหมด  สามโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรที่จะแหลมคมยิ่งกว่าปัญญา  สามารถพิจารณาแตกกระจายไปได้เป็น อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา สภาวธรรมทั่วโลกดินแดนนี้มีแต่สมมุติทั้งนั้น  รู้ตามเป็นจริง  จิตจะไปยึดอะไรเมื่อเราเปิดความจริงให้เห็นทุกด้านทุกมุมแล้วจะไปถืออะไรยึดอะไร  มันถอนเข้ามาเอง ๆ  ที่ว่าอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในรูปในเสียงในกลิ่นในรส ก็เพราะความถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตนนี่แล สุดท้ายก็คือความถือมั่นของจิตเป็นหลักใหญ่

        เมื่อพิจารณาให้เห็นชัดเจนตามความเป็นจริงแล้วมันก็ถอนตัวเข้ามา ๆ ถอนเข้ามาจนกระทั่งไม่มีเหลือภายในร่างกายนี้เลย  ธาตุขันธ์อันนี้ก็ดูแล้ว  ถ้าว่าหนังห่อกระดูกมันก็ห่อจริง ๆ นี่ความจริงธรรมพระพุทธเจ้าหลอกคนเมื่อไร  มีแต่กิเลสทั้งนั้นหลอก ธรรมไม่ได้หลอกนี่นะ  เราชอบของหลอกมันก็หลอกเราเรื่อยน่ะซิ  แล้วเราเห็นผลอย่างไรบ้าง ผลอัศจรรย์อะไรที่ได้รับการอบรมจากกิเลสผลเป็นยังไง  มีแต่กองทุกข์ นั่นเห็นไหม  พิจารณาให้เห็นชัดเจนมันปล่อยของมันเอง

        ความปล่อยวางจากกิเลสถ้าหากว่าเป็นของไม่เลิศ พระพุทธเจ้าเลิศได้ยังไง  ความติดจมของกิเลสใครเป็นคนเลิศมีไหม  ไม่เห็นมีสักรายเดียวนี่  ความหลุดพ้นจากกิเลสเท่านั้นเป็นผู้เลิศ เป็นจิตดวงเลิศ  จิตที่ฟุ้งซ่านรำคาญวุ่นวายทั้งวันทั้งคืนเป็นจิตเลิศได้ยังไง  จิตมีความสงบเย็นร่มเย็นต่างหากเป็นจิตเลิศ  จิตโง่เขลาเบาปัญญาเป็นจิตเลิศยังไง  จิตมีความเฉลียวฉลาดแหลมคมทันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ปลดเปลื้องตัวได้โดยลำดับลำดา นั่นเป็นจิตที่ประเสริฐ ธรรมที่ประเสริฐต่างหาก

        ฟาดมันทะลุไปหมด  ขันธ์ทั้งห้ามีอะไรบ้าง  รูปก็หมายถึงกายนี้ กองรูปกองกายนี้ กองหนังห่อกระดูกนี่  เวทนา ความสุขความทุกข์ เมื่อปัญญาได้สอดเข้าไปตรงไหนมันทนไม่ได้กิเลสต้องพัง ๆ เพราะปัญญาเป็นของจริงกิเลสเป็นของปลอม ของปลอมจะสู้ของจริงได้เหรอ  คิดดูอย่างธนบัตรมีร้อยใบพันใบก็ตามก็สู้ธนบัตรจริงใบเดียวไม่ได้  ของจริงของปลอมมันลบล้างกันได้อย่างนี้  แต่นี้เราเอาแต่ของปลอมมาลบล้างของจริงนั่นซิ  อยู่กับของปลอมทั้งวันทั้งคืนก็ว่าตัวดิบตัวดีตัววิเศษวิโส  ลืมโลกลืมสงสาร เพราะความลืมเนื้อลืมตัว ลืมตนว่าถูกกิเลสต้มตุ๋นไม่ได้รู้สึกตัว  แก้เข้าไปซิ

        สติปัญญาเป็นของสำคัญมาก  นตฺถิ  ปญฺญาสมา  อาภา แสงสว่างไหนความเฉียบแหลมไหนจะสู้ปัญญาได้  กิเลสตัวไหนจะสู้ปัญญาได้มีเหรอ  เอาให้มันแหลกลงไปซิ  เมื่อมันเปิดออก ๆ  จิตนี่ยิ่งกระหยิ่ม หมุนติ้ว ๆ กำลังช้างสาร ๕ เชือกก็สู้กำลังของสติปัญญานี้ไปไม่ได้ อันนี้ยังพุ่ง ๆ จนแทงทะลุไปหมด  กิเลสอยู่ที่ตรงไหน ๆ ตามขุดตามค้น  เอ้า ที่นี่เมื่อกิเลสมีกำลังน้อยแล้วมันสู้สติปัญญาไม่ได้แล้วก็ต้องหมอบ หาหลบหาซ่อน สติปัญญาคุ้ยเขี่ยขุดค้นเอามาฆ่าฟันแหลกหมดไม่มีอะไรเหลือ  สุดท้ายก็ตีแตกกระจายทั้งอุโมงค์ของมัน ได้แก่จิตซึ่งเป็นที่อยู่ของอวิชชา

        กิเลสวิเศษวิโสอะไร ธรรมดวงที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตนี้เป็นยังไงที่นี่  เทียบกันซีเป็นยังไง  เอ้า น้ำตามันจะไม่ร่วงเหรอเกิดความสลดสังเวชตนเอง  โห  ถูกกิเลสมันหลอกมาจนขนาดนี้ หนึ่งเกิดความสลดสังเวชในความหลงของตน น้ำตาก็พัง  ความอัศจรรย์ในธรรมกับจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วนี้คือยังไง อัศจรรย์ นี้น้ำตาก็ร่วง เห็นความอัศจรรย์ร่วง ไม่นึกว่าจิตจะเป็นอย่างนี้  หือ จิตแท้เป็นอย่างนี้เหรอ

        แล้วเราจะเอาอะไรไปพิสูจน์ เอาอะไรไปแยกถ้าไม่ใช่ธรรมเท่านั้น  อย่างอื่นอย่าเอามาใช้อย่าเอามาแยก แยกธาตุแยกขันธ์แยกจิตแยกใจ พิสูจน์จิตใจ หรือพิสูจน์นรกสวรรค์ พิสูจน์บาปพิสูจน์บุญ พิสูจน์กิเลสตัณหา ถ้าไม่ใช่ธรรมเป็นเครื่องพิสูจน์ ตายเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์ เอาธรรมไปพิสูจน์  พระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้ด้วยธรรม รู้ได้ด้วยธรรม เห็นได้ด้วยธรรม  ความรู้ความเห็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ปลอม  เมื่อเป็นเช่นนั้นคำว่าบาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มีนิพพานมีปลอมได้ที่ไหน  กิเลสมันปลอมต่างหาก มันว่าอันนั้นไม่มีอันนี้ไม่มี มันหลอกต่างหากยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่เหรอเวลานี้  เราจะเชื่อกิเลสหรือเชื่อศาสดา ใครวิเศษวิโส  เอาตรงนี้ซิ เอาให้จริงจังนักปฏิบัติ

เอาแค่นี้ละ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก