ความลืมตัว
วันที่ 4 พฤษภาคม 2524 เวลา 19:00 น. ความยาว 61 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔

ความลืมตัว

ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน ได้พิจารณาตามเหตุตามผลอรรถธรรม จากครูอาจารย์ที่ตนเคยอยู่อาศัยกับท่านมาแล้วด้วยความแน่ใจไม่สงสัย ตลอดการปฏิบัติที่เคยดำเนินมา จึงไม่ได้เอาป่าๆ เถื่อนๆ มาสั่งสอนหมู่เพื่อน เพราะฉะนั้นใครมาอยู่ก็ให้ดูกันเพื่อเหตุผลอรรถธรรมทุกๆ แง่ไป อย่ามาขวางกันเหมือนทัพพีขวางหม้อ เพราะการขวางกันนี้มันกระเทือนกันทั้งวัด นี่ต่างองค์ต่างมาศึกษาอบรมให้ละทิ้งนิสัยเดิมซึ่งขัดต่อหลักธรรมหลักวินัย อย่าเอามาใช้เป็นอันขาดถ้าไม่ต้องการก้างขวางคอตนและผู้เกี่ยวข้องซึ่งมีจำนวนมากด้วยกัน

นี่แหละการปฏิบัติตัวเองที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการปล่อยให้เป็นไปตามใจที่เคยเป็นมาดั้งเดิม ใจทั้งดวงนั้นมองหาจนไม่เห็น ไม่เจอเลย มีแต่กิเลสหุ้มห่อเสียจนมิด ตัวจริงของความรู้นั้นถูกกิเลสปิดบังจนมองหาตัวจิตไม่เจอ เรายังว่าเราดีอยู่เหรอ เมื่อจิตถูกหุ้มห่อด้วยสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายแล้ว การแสดงออกมาทางกายทางวาจา จะเอาความสะอาดสวยงามน่าดูน่าชมมาจากไหน เพราะตัวจิตเดิมซึ่งเป็นผู้บงการเป็นธรรมชาติที่สกปรกรกรุงรังอยู่แล้วด้วยสิ่งไม่เป็นท่าทั้งหลาย เอา จงเรียน จงปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องแม่นยำอย่าให้ผิดพลาด และคำที่ผมพูดนี้จำให้ดี จะเป็นความจริงอย่างนั้นไหม

เวลานี้ใจเราทั้งดวงมีแต่กิเลสบงการทั้งนั้น ธรรมไม่ได้บงการในหัวใจเลย เราจึงไม่ทราบว่ากิเลสเป็นอย่างไร ธรรมเป็นอย่างไร จนกว่าได้ปฏิบัติเข้าใจไปโดยลำดับ กิเลสค่อยจางไปๆ ธรรมแทรกเข้าไปๆ นั้นแหละจะค่อยรู้เรื่องกันไปเอง ถ้าหากไม่ได้ประพฤติปฏิบัติกำจัดมันแล้ว จนกระทั่งวันตายจะไม่เห็นเรื่องของธรรมเป็นของแปลกประหลาดและอัศจรรย์ยิ่งกว่าเรื่องของกิเลสที่ครอบอยู่ในหัวใจนี้เลย ด้วยเหตุนี้เองกิเลสจึงมีอำนาจเป็นข้าศึกต่อธรรมเรื่อยมาในหัวใจสัตว์โลก

เรามาบวชในศาสนาแต่กิเลสไม่ได้บวชด้วยให้ทราบไว้อย่างถึงใจ กิเลสคงเป็นกิเลสอยู่โดยดี เป็นตัวข้าศึกต่อธรรมอยู่อย่างสมบูรณ์ ไม่เคยสะทกสะท้านต่อการบวชนั่นเลยถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้าได้ทำการแก้การถอดถอนมันซึ่งเรียกว่ารบกัน นั่นแหละกิเลสจะไหวตัวและเริ่มกลัว ถ้ามีการปฏิบัติแทรกเข้าตรงไหนกิเลสจะไหวตัวตรงนั้น ถ้าจะพูดเป็นภาษาของเราเป็นปุคคลาธิษฐานก็ว่า กิเลสเริ่มร้อนตัวขึ้นมา เพราะถูกข้าศึกเข้าจู่โจมอยู่ทุกวันทุกเวลาด้วยความเพียรซึ่งเป็นอรรถเป็นธรรม อันเป็นเรื่องของกิเลสกลัว เพราะกิเลสกลัวธรรมอย่างเดียว ทั้งสามโลกธาตุนี้กิเลสเป็นเจ้าอำนาจทั้งนั้นจึงไม่กลัวอะไร แต่ธรรมนี้เหนือโลกท่านจึงเรียกว่า โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก กิเลสจึงต้องกลัว

ถ้าไม่นำธรรมเข้าไปกำจัดกิเลสจะไม่มีสะทกสะท้าน จะไม่มีกลัวเลย และไม่มีวันเบื่อหน่ายอิ่มพอที่จะอยู่ในจิตใจของสัตว์โลก เพราะสัตว์โลกก็ถูกมันกล่อมให้หลับและหาความอิ่มพอไม่ได้เช่นเดียวกันอยู่แล้ว นี่แหละเรากับกิเลสจึงเป็นอันเดียวกัน เวลาจะทำกิจการใดๆ ที่เป็นส่วนกุศลย่อมกระเทือนกิเลส กิเลสก็ขัดขืนต้านทานไม่อยากให้ทำ เราเองก็เห็นตามกิเลสไปเสียโดยไม่คิดอ่านไตร่ตรองอะไรเลย กลัวจะกระเทือนเรา คือกลัวจะลำบากลำบน จะฝ่าฝืนกิเลสเพื่อดัดแปลงตนเองด้วยธรรมให้เป็นคนดีเป็นพระดี ก็ถูกขัดขวางจากกิเลสซึ่งเราถือว่าเป็นเรานั้นเสีย สุดท้ายก็ไปไม่ได้ นี่คืออุปสรรคอันสำคัญที่จะก้าวไม่ออก

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสร้างคนให้ดี สร้างพระให้ดี ถ้าไม่มีธรรมเป็นน้ำเชื่อมอยู่แล้ว ความรู้ทั้งหลายที่เรียนมามากน้อย จะเป็นเครื่องมือของกิเลสนำไปใช้ทั้งมวล กลายเป็นความรู้ที่หาสาระไม่ได้ไปเสีย ไม่พอให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขภายในใจได้ เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นทั้งเครื่องมือสร้างคนให้ดี เป็นทั้งผลคือความสุขความพึงใจทั้งปัจจุบันและอนาคต เมื่อสร้างตนได้ดีมากน้อยตามกำลังความสามารถ

การจะเป็นคนดีต้องฝืน ฝืนต่อสิ่งที่ไม่ดีซึ่งเคยทำอยู่แล้วและชอบทำอยู่เสมอไม่มีวันอิ่มพอ ฝืนตรงนั้นแหละ ฝืนสิ่งนั้นแหละ อยากทำก็ไม่ทำ ความอยากเป็นเรื่องของข้าศึก อยากในสิ่งที่ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ต้องหักห้าม อยากในสิ่งที่จะทำตนให้เสียให้ล่มจมลงไปต้องหักห้าม เพราะนั้นคือฝ่ายต่ำที่จะฉุดลากเราให้เป็นคนต่ำลงไปชั่วช้าเลวทรามลงไป เราจึงต้องฝืนไม่ทำตามมัน นี่คือการรักษาและป้องกันตัว หรือการฉุดลากตัวออกมาจากสิ่งต่ำทรามทั้งหลายไม่ให้เป็นไปตามมัน จะกลายเป็นคนต่ำทรามลงไป จึงต้องฝืน จึงต้องหักห้ามต้านทาน

ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วต้องทำให้อยากทำทั้งนั้น ส่วนทางดีคือกุศลธรรมแล้วไม่อยาก คือไม่อยากทำ เพราะฤทธิ์ของกิเลสมีมากเกินกว่าที่จะอยากทำทางด้านกุศลธรรม ต่อเมื่อได้ใช้ความพยายามทำลงไปด้วยการฝ่าฝืนกันโดยทางเหตุผล ต่อสู้กับสิ่งไม่ดีทั้งหลายโดยทางเหตุผล ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำเราก็ทำ ไม่ว่าจะหนักเบามากน้อยเพียงไร เราทำโดยทางเหตุผลคือเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วฝืนต่อสู้กับกิเลสเรื่อยไป กิเลสตัวฝืนธรรมก็ค่อยเบาบางลง ความอยากในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายก็ค่อยอ่อนตัวลง เพราะมีการต่อสู้ต้านทานกันอยู่ทุกเวล่ำเวลา สุดท้ายความอยากทางฝ่ายต่ำทั้งหลายก็ค่อยเบาบางลงไปๆ ความอยากฝ่ายธรรมก็เริ่มมีกำลังขึ้นมา ผลที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญธรรมก็ประจักษ์ใจ มีความเย็นความสงบสุข เมื่อปรากฏผลขึ้นมามากน้อย ย่อมมีแก่ใจที่จะฝ่าฝืนบึกบึนหรือประกอบงานที่ดีนั้นให้มากมูนขึ้นโดยลำดับ ส่วนต่ำฝ่ายต่ำก็อ่อนลงไปๆ ฝ่ายดีก็มีกำลังมากขึ้น

ในเบื้องต้นต้องฝึกต้องฝืน ไม่ฝืนไม่ได้ ความปล่อยตามอำเภอใจ อยู่อย่างสบาย นอนอย่างสบาย กินอย่างสบาย อะไรๆ ก็อย่างสบายนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องกิเลสบ่งให้ทำทั้งนั้น เป็นอาการของกิเลสทำงาน เป็นงานของกิเลสซึ่งจะทำตัวให้เสียไปโดยถ่ายเดียว ไม่ใช่งานซึ่งจะส่งเสริมตนให้ดีขึ้น แต่เราไม่ทราบว่าเหล่านี้เป็นกิเลส เพราะสิ่งเหล่านี้กับเรามันติดแนบกันมาแล้วตั้งแต่วันเกิด ตั้งแต่เรายังไม่รู้จักเดียงสาภาวะ อันนี้ก็ติดก็ครอบหัวใจอยู่แล้ว หากว่าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องชี้แจงแสดงบอกไว้ เราจะไม่ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมสิ่งนี้เป็นกิเลสได้เลยตลอดไป

มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้ฉลาดแหลมคม แสดงวิธีแยกแยะให้รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ฝ่ายกิเลสรู้ฝ่ายธรรม และสอนวิธีประพฤติปฏิบัติเพื่อกำจัดสิ่งที่เป็นภัยแก่ตนตามขั้นตามภูมิไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งการสิ้นซากของกิเลส และที่สุดแห่งธรรมแห่งความประเสริฐภายในใจ กิเลสที่เคยห่อหุ้มเสียจนมิดมองหาจิตไม่เห็นนั้นหายไปหมด เหลือแต่จิตกับธรรม ธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันล้วนๆ หลังจากนั้นกิเลสประเภทใดแสดงออกจากใครออกจากผู้ใด ออกจากสัตว์ตัวใดจะรู้ทันที ผู้ที่ได้รู้เห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว กิเลสซ่อนกลไม่ได้ ปิดไม่ได้ เพราะได้ปราบมันแล้วด้วยความฉลาดสามารถของตน กิเลสยอมแพ้แล้วเพราะความฉลาด เมื่อเป็นเช่นนั้นมันจะแสดงออกมาในแง่ใดท่าใด ในบุคคลหญิงชายหรือสัตว์ตัวใดต้องรู้ทั้งนั้น ทันทั้งนั้น ทีนี้กลมายาของกิเลสปิดไม่อยู่ จะเคยลี้ลับมาเพียงใดก็เปิดเผยขึ้นมาหมด เพราะสติปัญญาหรือจิตธรรมชาติอันนั้นเป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว สว่างกระจ่างแจ้งรอบตัวหมดแล้ว ต้องมองเห็นหมดเรื่องของกิเลสทั้งมวลที่แสดงออกด้วยอาการต่างๆ จากสัตว์และบุคคล

การฝึกหัดจิตใจต้องทำให้จริงให้จัง อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ เหมือนจะทำให้คนอื่นคนใด หรือทำด้วยถูกบังคับบัญชาผลประโยชน์เป็นของเขา เราทำให้เขา เป็นเครื่องมือเขา หรือเป็นบ่าวคอยเอาค่าจ้างรายวันจากเขา นี่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราทำเพื่อเรา ทำความดี ถ้าถือธรรมเป็นหลักใจ หลักประพฤติตัว จะเป็นฆราวาส เป็นเด็ก เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยใดก็ย่อมสวยงามน่าดูน่าชมไปตามเพศและวัยนั้นๆ เพราะธรรมไม่เคยทำคนและสัตว์ให้ลดความน่าดูสวยงามและคุณค่าลงแต่อย่างใด ความสวยงามน่าดูในรูปร่างลักษณะนั้น ไม่สำคัญเหมือนความสวยงามทางด้านจิตใจและความประพฤติมรรยาทอัธยาศัยใจคอ ที่ได้รับการอบรมจากธรรมมาพอสมควรหรือได้รับการอบรมมาด้วยดีแล้ว นี่เป็นมรรยาทที่ซึ้งมาก สวยงามมากไม่จืดจางไปตามวัย

ผู้มีธรรมย่อมรักษาตนให้ปลอดภัยจากโทษทัณฑ์ได้ดี ไปที่ใดมาที่ใดย่อมมีสติรู้ทั้งผิดทั้งถูก รู้วิธีหลบหลีกปลีกตัวจากสิ่งที่ไม่ควรได้ดี ไม่โดนเอาๆ เหมือนคนไม่มีธรรม ไม่เคยได้อบรมในธรรม ผู้มีธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีธรรมไปที่ไหนมักกระทบกระเทือนตนและผู้อื่นอยู่เสมอ แม้อยู่คนเดียวก็อุตริแต่จะทำผิด การคบกับหมู่เพื่อนก็มีแต่เพื่อนที่เลวทรามฉุดลากกันลงไป เพราะไม่มีใครสนใจในธรรม แล้วจะหาความถูกต้องดีงามมาจากไหน เมื่อต่างคนต่างไม่ได้สนใจในธรรม สนใจแต่สิ่งต่ำช้าเลวทราม ก็มีแต่ความเลวทรามมาบวกกันเข้าๆ จะเป็นกองใหญ่โตขนาดไหน ถ้าสังคมก็เป็นสังคมที่เลวทราม เพื่อนฝูงก็เป็นเพื่อนฝูงที่เลวทราม แล้วเราจะเป็นคนดีเด่นมาจากไหนเมื่อตนก็เป็นคนเช่นนั้นเหมือนกันแล้ว ก็ไม่ผิดอะไรระหว่างเขากับเรา นี่ความไม่มีธรรมเครื่องยับยั้งชั่งตวงความประพฤติ ทำคนให้เสียได้ดังที่กล่าวมา

ส่วนความมีธรรมย่อมมีการดัดแปลงแก้ไขตน อันไหนไม่ดีก็คัดออกด้วยการละเว้น ยากลำบากขนาดไหนไม่ถือเป็นสำคัญ เพราะความดีและเรามีคุณค่ายิ่งกว่าความยากลำบากนั้นเป็นไหนๆ ความยากความลำบากในการดัดแปลงแก้ไขตนเองในการฝ่าฝืนต่อสิ่งที่ไม่ดีนั้น ก็เป็นคุณค่าสำหรับตัวเรา ไม่ได้เป็นการทำลายหรือสังหารตัวเราให้ล่มจมฉิบหายไป ผู้หวังความดีสำหรับตนทำไมไม่พอใจทำ

คนเราดีเพราะความประพฤติ อัธยาศัยใจคอดีเพราะการอบรม ไม่ได้ดีเพราะเนื้อเพราะหนังมังสังอะไร ไม่ได้ดีเพราะรูปร่างกลางตัวว่าสวยว่างามเฉยๆ ดีอันนี้ดีเพียงหลอกตาอยู่หน้าร้านเท่านั้น ไม่ใช่ดีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ดีอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่ดีเป็นคุณภาพ ดีด้วยความเสกสรร พอประพฤติตัวไม่ดีเสียเท่านั้นความดีความสวยงามเหล่านี้ก็ล้มเหลวไปหมด ไม่มีคุณค่า ถ้าประพฤติตัวเป็นคนดี ถึงรูปร่างกลางตัวจะไม่สดสวยงดงาม แต่คุณธรรมของคนนั้นหากพาให้งดงามอย่างเย็นตาเย็นใจไปเอง เป็นคนดีอยู่ในตัว นี่ดีไม่ลดละดีไม่จืดจางดีอย่างนี้ ใครจะมาคบค้าสมาคมก็ทำให้สนิทติดใจไม่มีความเบื่อหน่ายจืดจาง นี่แหละธรรมมีอยู่ที่ไหนย่อมเป็นเหมือนแม่เหล็กเครื่องดึงดูดความดีคนดีทั้งหลายให้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม คบค้าสมาคมกับใครเขาก็พอใจคบไม่อิดหนาระอาใจเพราะความดีของเรา

ธรรมจึงสร้างคนให้เป็นคนดีมานับกัปนับกัลป์ไม่ได้แล้ว คนเราดีด้วยธรรม ดีด้วยการประพฤติปฏิบัติ สัตว์ทั้งหลายดีด้วยเนื้อด้วยหนัง มีคุณค่าราคาด้วยเนื้อหนังกำลังวังชาของมัน อย่างที่ว่าเลี้ยงลูกปลูกโพธิ์ คำว่าเลี้ยงลูกก็คือบำรุงรักษา ความรับผิดชอบเต็มตัวทั้งพ่อทั้งแม่ญาติวงศ์ นี่เรียกว่าเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมา ปลูกโพธิ์ คำว่า โพธิ แปลว่าความเฉลียวฉลาด สอนกิริยามารยาท ส่งเข้าโรงร่ำโรงเรียนก็เพื่ออนาคตของลูก มีเท่าไรก็ทุ่มลงไปๆ เพื่อให้ลูกได้ศึกษาเล่าเรียนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อนาคตจะได้มีความแน่นหนามั่นคง ขนาดนั้นแลพ่อแม่ของคน

เวลามีโอกาสได้บวชก็ทำให้พ่อแม่ดีอกดีใจ แทบจะเหาะจะบินด้วยความปีติยินดีใจ สะอึกสะอื้นเพราะความตื้นตัน น้ำตาร่วงไหล นับแต่วันลูกเกิดมาก็มีวันได้บวชลูกนั้นแลเป็นชีวิตจิตใจที่มีคุณค่ามาก เป็นประวัติการณ์ในชีวิตของพ่อกับแม่ เพราะก้อนเลือดทั้งก้อนนี้ประคับประคองทะนุถนอมเลี้ยงดูมา ตั้งแต่อยู่ในท้องจนกระทั่งบัดนี้ ทุกข์ยากขนาดไหนก็อดก็ทนเอาด้วยความรักสงสาร แล้วได้ก้อนเนื้อนี้คือเราทั้งคนนี้เข้ามาบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการบวชการประพฤติปฏิบัติอรรถธรรม ด้วยร่างกายและจิตใจที่แสนเลี้ยงยากนี้ ซึ่งจัดว่าเป็นความถูกต้องดีงามอย่างยิ่งแล้ว จึงเป็นที่ยินดีแก่บิดามารดาวงศาคณาญาติเป็นอย่างยิ่ง

ความยินดีของพ่อแม่ที่มีต่อเรา ความปีติซาบซ่านทุกขุมขนนับแต่บนศีรษะลงมาถึงเท้าก็มีวันนี้ ความสุขมหาศาลที่ได้รับจากลูกก็มีวันที่ลูกบวชนี้ ตลอดเวลาที่ลูกได้ประพฤติปฏิบัติตัวเกี่ยวกับความเป็นนักบวชนี้แล พ่อแม่มีความภาคภูมิใจมากไม่มีสมบัติใดเสมอเหมือน ไม่หวังเอาอะไรจากเราแหละ ท่านหวังแต่อยากให้ลูกเป็นคนดี สมบูรณ์ด้วยศีลด้วยธรรมในตัวตลอดไปอยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้ลูกมีความรู้วิชาทั้งทางโลกทางธรรมเฉลียวฉลาดเพื่อรักษาตน

หากไปเป็นฆราวาสจะได้มีหน้าที่การงานเป็นหลักเป็นฐาน มีฐานะความมั่นคงในอนาคต ไม่อยากพบเห็นลูกตกนรกทั้งเป็นด้วยความเห็นผิดคิดนอกลู่นอกทางและการกระทำที่เลวทรามต่างๆ ผู้มั่นคงในเพศของพระท่านก็หวังพึ่งใบบุญแห่งคุณธรรมที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของลูก แม้ถึงคราวตายตาก็หลับสนิทไม่ห่วงใย นี่เป็นความมุ่งหมายอันใหญ่หลวงของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆ

การที่จะตอบแทนบุญแทนคุณพ่อแม่ด้วยสมบัติเงินทองเป็นต้นนั้น ส่วนมากพ่อแม่ไม่ค่อยสนใจคิดยิ่งกว่าอยากให้ลูกเป็นคนดี มีฐานะมั่นคงทั้งทางโลกและทางธรรมซึ่งเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้นเราจงพยายามเพื่อความเป็นคนดีพระดี หากทนต่อกระแสของโลกไม่ไหวเพราะความจำเป็นบังคับที่ต้องสึกออกไป ก็ให้นำหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติตัวเองตามเพศของชาวพุทธที่ดี อย่าลดละปล่อยวางตลอดอวสานแห่งชีวิต

การคอยสังเกตตัว เฉพาะอย่างยิ่งคอยสังเกตจิตนั้นสำคัญมากกว่าอื่นๆ จิตนั้นแลคือตัวคะนองที่สุด มันคิดไปทุกแง่ทุกมุมหาเวล่ำเวลาสงบตัวไม่ได้ ทั้งๆ ที่ภาวนาอยู่มันก็บุกออกมาต่อหน้าต่อตา หายไปต่อหน้าต่อตา โดดไปคว้าเอาฟืนเอาไฟมาเผาเราจนได้ ทั้งที่เรากำลังนั่งภาวนาพยายามควบคุมจิตให้สงบ ปราบความฟุ้งซ่านอันเป็นเรื่องของกิเลสให้สงบอยู่นั่นแล ในขั้นเริ่มแรกยังไงกิเลสมันก็ฟุ้งไปจนได้ นี่แหละที่ว่าภาวนาไม่เป็นไป เพราะความไม่เข้มแข็งภายในใจ กำลังใจมีน้อย ความสนใจมีน้อย ความเหลาะๆ แหละๆ ความใจลอยอันเป็นเรื่องของกิเลสมีมากกว่า ผลแห่งธรรมจึงไม่ค่อยเกิดได้

เวลาสั่งอะไรกับหมู่กับเพื่อนอย่างนี้มักมีความเคลื่อนคลาดอยู่เสมอ ทั้งนี้มันหากเป็นในนิสัยของผมเองที่ต้องจดจ่อในกิจการที่สั่งเสียนั้นๆ เพราะเราเป็นหัวหน้าในการอบรมสั่งสอน เมื่อสั่งอะไรใครคนไหนต้องจับไว้ๆ เพื่อดูผลว่าจะเป็นอย่างไร ก็แสดงหลักลอยให้เห็นอย่างชัดเจน บอกอย่างหนึ่งกลับเป็นอย่างหนึ่ง สั่งอย่างหนึ่งเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นหยาบๆ มันยังเคลื่อนให้เห็นต่อหน้าต่อตา จะพูดอะไรถึงเรื่องความละเอียดของกิเลสของธรรมว่าจะสามารถทำได้เป็นได้ยังไง นี่แหละที่ทำให้อ่อนใจนะ ก็ครูบาอาจารย์เป็นผู้สั่งเองทำไมให้คลาดเคลื่อนได้ นี่เคยเป็นผู้น้อยมาแล้วเคยจริงจังทุกอย่าง ยิ่งเรามาเห็นความเหลวไหลนี่ต่อหน้าต่อตา จึงทำให้เกิดความอิดหนาระอาใจ

ยิ่งภาวนาไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอีกด้วยก็ยิ่งทำให้คิดไปในแง่ต่างๆ อีกมากมาย ทำภาวนาอยู่ทุกวันทำไมจิตจึงไม่เป็นไป ถ้ามีการทำชนิดหนักเบากันบ้างตามเหตุการณ์ที่ควรหนักเบา มันควรจะเห็นเหตุเห็นผลกันในวันใดวาระหนึ่งแน่นอน พ้นมือไปไม่ได้ เพราะความฟุ้งซ่านเราก็เคยฟุ้งซ่าน ฟุ้งเสียจนหาขอบเขตเหตุผลไม่ได้ เป็นฟืนเป็นไฟหมดทั้งดวงภายในใจเพราะอำนาจของกิเลสเผา ก็เคยเป็นมาแล้ว เมื่อฟัดกันด้วยความเพียรอย่างเต็มเหนี่ยว จนความฟุ้งซ่านมันหมอบราบลงไปมีแต่ความสงบแน่ว ก็เคยเห็นเคยเป็นมาแล้ว เพราะคุณค่าแห่งความเพียร คุณค่าแห่งการเอาจริงเอาจัง ความเอาเป็นเอาตายเข้าต่อสู้กัน มันก็เห็นก็เป็นจนได้

แล้วทำไมหมู่เพื่อนทั้งที่ก็ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ มันจึงไม่ปรากฏผลเป็นที่พึงใจขึ้นมาให้ได้ชมบ้าง นี่ก็แสดงว่าความจริงจังไม่มี ทำอะไรก็กลัวแต่จะกระเทือนกิเลส ทีกิเลสเหยียบหัวใจเราไม่คิดจะว่าไง นี่ซิถึงว่าความเพียร ความเข้มแข็งของเรามันไม่ทันกลมายาของกิเลส แล้วจะให้เกิดความสงบเย็นใจได้ยังไง เพราะความเพียรและการต่อสู้ไม่สมดุลกัน

การพิจารณาก็เคยอธิบายให้ฟังแล้ว ว่าการแยกธาตุแยกขันธ์ด้วยปัญญาจงทำจริงทำจัง บังคับจิตเหมือนกับบังคับนักโทษ เพราะเวลานี้จิตกำลังเป็นนักโทษอยู่เต็มตัว เราบังคับให้มันเข้าสู่กรอบสู่มุมอันถูกต้องดีงามด้วยอำนาจของสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร ทำไมจะไม่เห็นเหตุเห็นผลกันในวาระใดวาระหนึ่ง พอที่จะจับเงื่อนนั้นดำเนินในวาระต่อไปได้ และเพิ่มพูนวิธีการที่เห็นว่าถูกต้องแล้วนั้นให้มีกำลังมากขึ้น เพื่อกิเลสในหัวใจจะได้อ่อนตัวลงไป ใจจะได้รับความสงบเย็นและโทษทัณฑ์ก็เบาบางลงโดยลำดับ จนพ้นโทษได้เป็นวรรคเป็นตอน

ถ้าทำแบบตามสบายๆ ก็เท่านั้นแหละ ไม่ได้เรื่องนะ และต่อไปจิตก็ยิ่งจะแหวกแนวกลายเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของยิ่งไปกันใหญ่ หนักเข้าก็ไม่ฟังครูฟังอาจารย์ ฟังแต่ทิฐิของตนซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งหยาบช้าลามก สุดท้ายก็ไปกันใหญ่ นี่ให้ระวัง ไม่ตั้งใจเวลามาศึกษาอบรมจะตั้งใจเวลาไหน วัดนี้เราระวังรักษาที่สุดเรื่องหมู่เพื่อนไม่ให้มีการมีงานอย่างอื่น มีแต่การภาวนา อยู่ด้วยกันมากน้อยก็ให้ต่างคนต่างหาความสงบเย็นใจสำหรับตัวเองด้วยจิตตภาวนาอย่างเดียว มีแต่การฝึกทรมานจิตใจอยู่ตลอดเวลาทั้งเช้าสายบ่ายเย็น อิริยาบถต่างๆ เว้นแต่หลับเท่านั้น ถือว่างานภาวนา งานสอดส่องมองดูความคิดความเคลื่อนไหวของใจนี้เป็นงานสำคัญภายในตัวอยู่โดยสม่ำเสมอ ทำไมจะหาผลคือความสงบร่มเย็นไม่ได้ ถ้าลงสติปัญญาเอากันจริงจัง ผลอันพึงหวังเป็นขั้นๆ ต้องเกิดได้ ทำไมจะเกิดไม่ได้เล่า

นี่ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร มีแต่เถลไถลออกนอกลู่นอกทางไปเสีย เมื่อทำความเพียรแบบเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ใจก็เถลไถลออกไปข้างนอกจะเอาเรื่องเอาราวอันเป็นธรรมมาจากไหน ถ้าใจถูกลากถูจากกิเลสออกไปข้างนอกแล้วมันจะคอยขึ้นเขียงอยู่เท่านั้นแหละ ถ้าเป็นสัตว์เมื่อปราศจากเจ้าของแล้ว เขาจะจับเอาขึ้นเขียงเมื่อไรก็ได้ นี่จิตถ้าขาดความสนใจ ขาดความพากเพียร ขาดความเคารพนับถือในครูในอาจารย์ ขาดความดูดดื่ม ขาดความมุ่งมั่นในอรรถในธรรมแล้ว มันจะต้องเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นอื่นไปทันที เพราะจิตอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ปล่อยอันนี้ต้องจับอันนั้นปล่อยอันนั้นต้องจับอันนั้น ปล่อยจากดีต้องจับชั่วทันทีเพราะความชั่วเคยติดกันมาอยู่แล้ว

ควรให้ได้หลักได้เกณฑ์ในเวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ในเวลาพรรษายังหนุ่มน้อยควรให้ได้หลักใจหลักธรรมไว้เป็นพื้นฐานซิ ถ้าไม่ได้ระยะนี้จะลำบากนะ ยิ่งไปเป็นครูเป็นอาจารย์เขาทั้งๆ ที่ยังหาความรู้หาหลักใจไม่ได้นั้น นั้นแหละตัวจม มีแต่ชื่อแต่เสียงลั่นฟ้าลั่นแผ่นดิน แต่คุณสมบัตินิดหนึ่งจะติดตัวติดใจไม่มี แบบนี้คือแบบไม่เป็นท่าเลย จากนั้นก็เถลไถลออกนอกลู่นอกทาง หาเรื่องก่อความรำคาญสร้างนั้นสร้างนี้ เอาละนะที่นี่ หาเกาแบบหมาขี้เรื้อนไปละ ที่ไหนมันคันจะไม่สนใจ แต่จะเที่ยวเกาที่ไม่คันให้ถลอกปอกเปิกไปอย่างไม่มีประมาณ จนกลายเป็นขี้เรื้อนทั้งตัวไปเลย จงจำไว้ให้ถึงใจนะ เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ในวงปฏิบัติที่จิตใจจืดชืดในธรรมปฏิบัติแล้ว

ถ้าไม่ได้ทำก็อยู่ไม่ได้ รำคาญ ต้องทำ ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความรำคาญเข้าไปอีก ตรงนี้ไม่ได้คิด สุดท้ายก็เอางานเอาการเป็นเพื่อนเป็นฝูง เอาญาติเอาโยมเป็นเพื่อนเป็นฝูงการติดต่อสมาคมกับญาติกับโยม ถือเป็นการเป็นงานสำคัญขึ้นมาแทนที่ของงานปฏิบัติจิตตภาวนาไปเสียแล้ว เกี่ยวกับเงินกับทองรายได้รายรวยเป็นเพื่อนเป็นฝูงเป็นสาระสำคัญยิ่งกว่าศาสนธรรมไปละ จนกลายเป็นศาสนเงินขึ้นมาแทนที่ศาสนธรรมไม่สงสัย ทีนี้อรรถธรรมก็เลยไม่มี การเอาอรรถเอาธรรมเป็นเพื่อนเป็นฝูงนั้นไม่สนใจเลย กลายเป็นเอาโลกเป็นเพื่อนเป็นฝูง จนเลยโลกไปเสียทุกอย่าง นี่แหละความไม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติแต่ต้นมือ

ถ้าจิตลงได้ไหลลงทางต่ำมันต้องไหลลงไปอย่างนั้นนะ นี่ก็เห็นอยู่แล้วอย่างชัดๆ จะว่าไง เต็มแผ่นดินไปพระนักปฏิบัติเราที่เป็นอย่างว่านั้น มันมีน้อยเมื่อไร นี่จึงวิตกวิจารณ์กับหมู่คณะวงปฏิบัติอยู่มากเรื่อยมา และสอนย้ำเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ ใครจะว่าพูดผิดเทศน์ผิดหรือถูก หู ตา ใจ มีทุกคน ให้ฟังเอา ดูเอา คิดเอา เพราะหลักศาสนธรรมที่ถูกต้องแม่นยำมีอยู่ไม่ได้อุตริพูด เรื่องที่กล่าวก็มีอยู่ตำตาตำใจเรื่อยมาไม่อดไม่อั้น ดูได้ตลอดเวลาไม่ต้องไปเที่ยวหาดูให้ลำบาก

อะไรก็ได้เทศน์ให้ฟังหมดแล้วไม่มีปิดบังลี้ลับ เทศน์อย่างหมดภูมิแล้ว ฝ่ายเหตุได้ดำเนินมาอย่างไรก็ได้ลากออกมาแสดงหมดตับหมดปอด ตลอดถึงผลที่ปรากฏเป็นยังไงๆ ก็ลากออกมาแสดงให้ฟังหมด ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะไม่ควรเป็นคติแก่ใจในการประพฤติปฏิบัติ และไม่พอที่จะเป็นกำลังใจของเราได้บ้างหรือยังไง จิตใจมันถึงได้เหลวๆไหลๆ หาหลักหาฐานไม่ได้

ถ้าใจหาความสงบไม่ได้ในวงของพระปฏิบัติเรานี้แล้ว จงอย่าพากันเข้าใจว่าใจจะหาความสุขได้จากอะไรในที่ไหนๆ นะ จิตนี้ถ้าไม่สงบก็ต้องเป็นไฟเผาตัวสุมอยู่ตลอดเวลาไม่อาจสงสัย แต่ถ้าจิตสงบได้บ้าง หรือสงบได้เป็นหลักเป็นฐานก็สบาย เพียงขั้นสงบเท่านั้นก็สบาย ถ้าไม่สงบนี่แหม ส่ายแส่เร่ร่อนหาฟืนหาไฟไม่มีเวลาหยุดยั้งตั้งตัวได้บ้างเลย ลิงร้อยตัวตามไม่ทัน เพราะความรวดเร็วของจิตยิ่งกว่าลิงร้อยตัว ลิงเที่ยวโดดกิ่งนั้นกิ่งนี้มันยังไม่เจอผลไม้พออิ่มปากอิ่มท้องของมัน ไอ้ลิงคือจิตตัวคิดตัวปรุงนี้โดดไปกิ่งไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟ มีแต่ไม้ผุ ไม้ผุพาให้หงายตูมๆ และเจอแต่ฟืนไฟคือกองทุกข์ทั้งมวลนั่นแล ไม่มีคำว่าเจอความสงบสุขพออิ่มใจบ้างเลย ถึงขนาดนั้นเรายังไม่เห็นโทษแห่งความคิดปรุงของเราอยู่เหรอ

เราเสียดายอะไรกับความคิดปรุงในอารมณ์ของโลก เราเคยคิดมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ไม่มีวันเวลาหยุดยั้งได้บ้างเลย ยังไม่เห็นโทษของมันอยู่หรือ เราเสียดายอารมณ์แห่งความคิดเหล่านั้นอะไรนักหนา จะภาวนาก็ทำไมจะตัดอารมณ์ที่เคยคิดเคยปรุงอันไร้สาระนี้ไม่ได้ อารมณ์ของธรรมเป็นของวิเศษวิโส ยิ่งกว่าอารมณ์เหลวไหลหลอกลวงทั้งหลายที่เคยคิดมาเป็นไหนๆ ทำไมจึงไม่บังคับใจให้คิดปรุงให้ถึงใจ เพื่อใจจะได้ถึงธรรมคือความสงบเยือกเย็นตามเข็มทิศที่มุ่งมาศึกษาอบรมธรรมเข้าสู่ใจ

ทุกข์ก็ยอมทุกข์ซิ เราเป็นนักรบ เป็นลูกศิษย์ตถาคต ซึ่งไม่เคยแสดงไว้ที่ไหนว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้อ่อนแอ คล้อยตามกิเลสตัณหาอาสวะจนได้ความวิเศษวิโสขึ้นมาเป็นศาสดาสอนโลก ความอ่อนแอที่พาให้พระองค์เป็นศาสดานี่เรายังไม่เคยเห็นในตำรับตำรา มีแต่ความฝ่าฝืนบึกบึนต่อสู้กันจนสลบไสลจึงได้ชัยชนะ ได้เป็นศาสดาขึ้นมาด้วยความเป็นนักต่อสู้ พระองค์ไม่ใช่เป็นนักถอยกรูดๆ อย่างพวกเรานะ พวกเรามีแต่กินแล้วนอน กอนแล้วนิน นั่นขัดกับการดำเนินของศาสดาไปถึงทวีปไหนแล้ว รู้กันบ้างหรือยังว่าพวกเราเดินสวนทางกับศาสนธรรมและศาสดา แล้วมันเกิดประโยชน์อะไรล่ะ เราก็เคยนอนมาแล้วจนหลังแบน เสียดายมันอะไรนักหนา เกิดมาก็นอนเป็นประจำชาติอยู่แล้วเรื่อยมา ส่วนความพากเพียรที่จะเป็นสาระอันสำคัญเป็นเครื่องประดับจิตใจ ส่งเสริมจิตใจให้ได้รับความสุขความเย็นใจ สว่างไสวยิ่งกว่าความสุขที่เคยผ่านมาตามโลกสงสารเป็นไหนๆ ทำไมจึงไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนี้ ไม่ใช่พวกเราถูกกิเลสเอาไม้ทิ่มแทงตาบอดกันหมดแล้วหรือ จึงไม่เห็นความสำคัญของสิ่งสำคัญที่ปราชญ์ท่านเห็นว่าสำคัญกันมาแต่ดึกดำบรรพ์

นักปฏิบัติต้องคิดต้องเทียบเคียงหาเหตุหาผลเพื่อเอาตัวรอดซิ ไม่อย่างนั้นจะว่าปฏิบัติเพื่อความฉลาด เพื่อเอาตัวรอดได้อย่างไร พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนโง่สอนไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม ล้วนแต่เป็นอุบายแห่งความฉลาดทั้งนั้น ท่านสอนให้ฉลาดไม่ใช่สอนให้โง่ เราต้องเอาจริงเอาจัง บังคับซิจิตน่ะ บังคับจิตไม่ได้ไม่มีทางนะ เพราะตัวเสนียดจัญไรตัวพิษตัวภัยมันมีเต็มอยู่ในจิต จงบังคับกันลงที่นี่ เบาบางก็เบาบางกันที่นี่ จิตมีความเบาบางจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ก็เหมือนกับโรคที่ทุเลาลงไปโดยลำดับนั่นแล ยาคือความเพียร สติ ปัญญาก็เพิ่มเข้าไป เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโรคหาย ความทุกข์เพราะโรคเหล่านั้นมันก็หมดไป นี่เราทุกข์เพราะกิเลสประเภทใด โรคคือกิเลสประเภทใดมันเสียดแทงจิต คำว่าโรคต้องเสียดแทงทั้งนั้นแหละ

กิเลสไม่เคยให้คนวิเศษวิโสอะไรโดยหลักธรรมชาติ นอกจากเสกสรรปั้นยอกันขึ้นเฉยๆ ว่าวิเศษอย่างนั้นวิโสอย่างนี้ ว่ากันไปลมๆ แล้งๆ อย่างนั้นเอง ความจริงมันไม่ได้เป็นดังที่เสกสรรกัน ขึ้นชื่อว่ากิเลสมีแต่ความเผาผลาญทั้งนั้น ธรรมไม่มีคำว่าเผาผลาญ มีมากมีน้อยเป็นที่กระหยิ่มอิ่มเอิบในจิตโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงมีผู้บริสุทธิ์ในโลก เพราะรสของธรรมนี้ชนะซึ่งรสทั้งหลาย ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ รสแห่งธรรม ชนะซึ่งรสทั้งปวง ฟังซิว่าทั้งปวง พอรสแห่งธรรมขั้นนี้เกิดขึ้น รสของสิ่งที่เราเคยติดมาขั้นนี้ก็ปล่อยวางกันไปเอง รสแห่งธรรมเหนือกว่าโลกามิสอันนี้ก็ปล่อยวางรสอันนี้ รสแห่งธรรมเหนือกว่ารสประเภทนั้นปล่อยประเภทนั้นๆ ปล่อยไปเรื่อยบรรดาโลกามิสภายในจิตใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปล่อยหมดไม่มีเหลือเลยบรรดาโลกามิสในโลกสงสาร ทั้งหยาบทั้งกลางทั้งละเอียดอันเป็นสมมุติด้วยกัน เพราะไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่ารสของธรรม จนกลายเป็นธรรมวิเศษพอตัว

มีมากที่อยู่ด้วยกันนี่ แต่อะไรๆ ก็ไม่เป็นท่าเป็นทาง ปล่อยให้กิเลสเหยียบย่ำอยู่ทุกอาการที่เคลื่อนไหว ทำอะไรให้มีความเจาะจงจดจ่อต่อเนื่องด้วยความเพียรซิ อย่าสักแต่ว่าทำ นั้นเป็นนิสัยของโลกสงสาร นิสัยของฆราวาสที่ไม่เคยอบรมศีลธรรม นิสัยของพระผู้เป็นศิษย์ตถาคตต้องต่างกับนิสัยของโลกมากทีเดียว กิริยาแห่งการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ความเคลื่อนไหวไปมาของจิตของกายวาจาต้องเป็นอรรถเป็นธรรม มีสติสตัง มีปัญญาพิจารณาสอดส่องในเหตุผล กระทำอะไรลงไปย่อมมีความจงใจ สติติดแนบอยู่กับงานที่ทำ เรื่องของพระต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นจะหาทางออกไม่ได้นะ วันไหนก็วันเก่า ก็วันเก่าน่ะซิเพราะมีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้น ถ้าเราไม่แก้เราให้ดีขึ้นก็ไม่มีอะไรในโลกอันนี้จะพาให้ดีหรอก

วันคืนปีเดือนมันเป็นสมมุติประเภทหนึ่งอยู่ตามธรรมชาติของเขา เราออกไปสมมุติเขา แต่การสร้างกองรับเหมากองทุกข์มันคือหัวใจคน นี่เราจะมาแก้ความรับเหมานั้นให้คลี่คลายออกไปจากใจ จะได้ลืมหูลืมตาอ้าปากสูดอารมณ์ที่บริสุทธิ์และดูทุกสิ่งทุกอย่างได้สะดวกสบาย แม้อยู่ในท่านกลางแห่งโลกที่เต็มไปด้วยความรุ่มร้อน เราก็หาความรุ่มร้อนไม่ได้ เพราะไม่มีเชื้อแห่งความรุ่มร้อนอยู่ภายในจิต เย็นตลอด

ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนก็เป็นไปซิ ก็รู้อยู่แล้วว่าร่างกายเป็นเรือนเป็นรังของโรค มันเจ็บตรงไหนก็อย่าไปอยู่ อย่าไปข้องไปแวะกับมันให้เกิดความทุกข์ความลำบากทางใจซิ อย่างกับบ้านของเรามันรั่วตรงไหนก็อย่าไปอยู่ซิที่มันรั่ว ที่มันดีมีอยู่เยอะก็ไปอยู่ที่มันไม่รั่วนั่นซิ ตรงนั้นก็รั่วตรงนี้ก็รั่วก็ไม่ไปอยู่ ตรงไหนไม่รั่วก็ไปอยู่ที่นั่น มันรั่วหมดหรือก็ทิ้งมันเสีย ของใช้อยู่อาศัยไม่ได้จะเสียดายมันหาประโยชน์อะไร เพราะมันหมดคุณค่าแล้วนี่

จิตใจร่างกายเราก็เหมือนกัน มันเจ็บปวดตรงไหนก็เท่ากับฝนรั่วที่นั่น ก็อย่าไปเกาะไปเกี่ยวไปพัวพันกับมันด้วยความโง่เขลา ให้อยู่กับความฉลาดซิ ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็รู้ว่ามันเจ็บ ใจไม่ได้เจ็บด้วยใจไม่ได้ทุกข์ด้วย เพราะใจรู้รอบหมดแล้วในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ทุกข์ประเภทนั้น หรือโรคประเภทนั้นยังไม่เกิดก็รู้รอบหมดแล้ว เมื่อทุกข์เกิดขึ้นก็อยู่ในข่ายแห่งความรู้รอบอยู่แล้วจะตื่นไปไหน ส่วนไหนเจ็บก็เจ็บ ที่ไม่เจ็บมีอยู่ ที่ดีมีอยู่ จิตใจไม่เจ็บ จิตใจไม่ปวด จิตใจไม่หลงไม่งมงาย จิตใจไม่ติดไม่พัวพัน ทุกข์อันนั้นก็ไม่เพิ่มความรุนแรงขึ้น คงเป็นไปตามสภาพของเขา เพราะใจไม่ไปเสริม ทุกข์ทางใจก็ไม่มี

ถ้าทนไม่ไหวธาตุขันธ์จะไปแล้วแหละ ธาตุนี้มันจะแตก จะแตกก็แตกไปซิ แม้สิ่งอื่นก็ยังแตกได้ ทำไมธาตุขันธ์ซึ่งอยู่ในโลกแห่งความแตกดับเหมือนกัน มันจะอยู่ค้ำฟ้าได้ยังไง จำต้องแตกสลาย เมื่อเยียวยารักษาไม่ไหวแล้วก็ปล่อยมันเสีย ใจของเราไม่ได้แตก มันแตกแต่ธาตุแต่ขันธ์ต่างหาก เมื่อรู้แน่อยู่ในใจอย่างนั้นแล้วจะไปหวั่นไหวกับอะไร นี่คือความเรียนโลกให้เรียนอย่างนี้และเข้าใจอย่างนี้ เมื่อเรียนให้ถึงโลกถึงธรรมแล้วต้องเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น ไม่วิตกวิจารณ์กับเรื่องความเป็นความตาย อะไรมันเป็นอะไรมันตายก็รู้หมดแล้ว ใจจะมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับสิ่งเหล่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มันเคยเป็นมาแล้วตั้งแต่กาลไหนกาลใด จิตใจของเราเมื่อฉลาดรอบตัวแล้วก็จะไปหลงอะไรกับสิ่งเหล่านี้ จะไปก่อทุกข์แก่ตนเพราะเรื่องเหล่านั้นทำไม ก็อยู่อย่างผู้รู้ผู้ไม่หลง อยู่อย่างผู้บริสุทธิ์พอตัวตามหลักธรรมชาตินั่นแล

การปฏิบัติสมัยไหนพระพุทธเจ้าสอนคนให้โง่มีเหรอ มีแต่สอนให้ฉลาด การปฏิบัติตัวให้ดีไม่ว่าสมัยไหนดีทั้งนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลกับสถานที่ แต่มันขึ้นอยู่กับการกระทำของคน เราเป็นผู้รับผิดชอบเราเอง จะกี่ภพกี่ชาติเกิดแก่เจ็บตายก็ใครจะเป็นผู้ไปแบกไปหามกองทุกข์ซึ่งติดไปกับภพกับชาตินั้นๆ ก็เราเอง ทุกข์ในเวลาประกอบความพากเพียรก็เพื่อจะสลัดปัดทิ้งสาเหตุแห่งทุกข์และทุกข์ทั้งหลายออก ทำไมจะทำไม่ได้ ทำไมจะทนไม่ได้ เราเป็นผู้เหมาะสมแล้วกับงานเหล่านี้ เพศอำนวยอยู่แล้วเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพศพระไม่มีใครรบกวนและรังแก เพศนี้เป็นเพศที่เย็น เป็นเพศที่สะดวกสบาย แต่เรามันลืมตนลืมเพศของตน ลืมหน้าที่ของตน สะดวกสบายเสียจนนอนใจกลายเป็นหมูในร่างของพระไป นี่เรียกว่านอนหลับทับสิทธิ์ สิทธิที่ควรได้ควรเป็นจากงานของตนก็ไม่ทำ สิทธิเป็นพระเขาไม่รบกวน ทางบ้านเมืองเขาไม่มายุ่งกวนเหมือนโลกทั้งหลาย ให้อยู่สะดวกสบาย

อาหารการบริโภค เวลาโคจรบิณฑบาตก็เต็มบาตรมา ใครก็ยินดีกันทั้งนั้นอยากทำบุญให้ทาน ปัจจัยเครื่องอาศัยขาดตกบกพร่องที่ตรงไหน แต่งานของเราที่จะทำให้เป็นสาระสำคัญในตัวเราน่ะซิมันขาด มันขาดตกบกพร่องอยู่ที่ตรงนี้ ต้องทำให้สมบูรณ์ซิ เครื่องสนับสนุนเพื่องานสำคัญเหล่านี้คือปัจจัยทั้งสี่ก็มีสมบูรณ์อยู่แล้ว มีแต่ผู้ดำเนินงานนี้มันบกพร่องในตัวเอง ผลที่ควรจะได้จะถึงจึงไม่ค่อยปรากฏกัน

ถ้าพระไม่สามารถจะทรงมรรคผลนิพพานได้ก่อนอื่นก่อนใครแล้ว ใครจะทรงล่ะ เพราะพระนี่ออกแนวรบแล้ว พร้อมทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่องแล้ว ถ้าพูดถึงความกังวลยุ่งเหยิงวุ่นวายกับความเป็นอยู่ ที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเครื่องใช้ไม่สอย การรับประทานหรือการขบฉันต่างๆ ก็มีเต็มไปหมด มีแต่งานเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา งานต่อสู้กับกิเลสอันเป็นภัยต่อจิตใจ ทำไมเราจะทำไม่ได้ งานมีเพียงอันเดียวเท่านี้ไม่ได้มากมายอะไร อยู่กับตัวเราเอง กิเลสถ้ามีมากก็เต็มตัวนี้เท่านั้น งานเพื่อฆ่ากิเลสถ้าว่ามีมากก็เท่าตัวเรา ไม่เลยตัวนี้ไปได้ จงฟาดฟันกันลงไป

เราอยากได้ยินได้เห็นหมู่เพื่อนพูดอรรถพูดธรรมจากการปฏิบัติให้ฟัง ผลเป็นยังไงบ้าง สอนก็สอนแทบล้มแทบตาย เกือบ ๓๐ ปีแล้วที่ออกมาสู่สังคมนี้ แต่ก่อนก็อยู่ในป่าในเขาไม่ยุ่งอะไรกับใคร สอนแต่ตนอยู่ในป่าในเขา ทั้งนี้ไม่ใช่อะไรหรอกคือสอนตนทรมานตน คำว่าสอนตนทรมานตนก็คือการต่อสู้กับกิเลสของตนนั่นแล ไม่ได้อยู่ในป่าในเขาแบบสัตว์ป่า แต่อยู่แบบคนมืดหนาสติปัญญาหยาบ ต้องฝึกฝนทรมานตนอย่างหนักอยู่เป็นประจำ จนลืมคิดไปว่าจะไม่มีคนมาเสกสรรให้เป็นครูเป็นอาจารย์ดังที่เป็นอยู่เวลานี้ซึ่งยุ่งจริงๆ

เอาให้จริงจังซิ ให้เห็นใจกับกิเลสขาดสะบั้นจากกันแล้วใจจะรู้สึกยังไง จะวิเศษหรือไม่วิเศษ ไม่ต้องมีใครมาเสกสรรก็รู้ประจักษ์กับตัวไม่สงสัย เอ๊า ทีนี้ยกมาสามโลกธาตุจะมาหลอกมาลวงมาด้วยกลมายาอย่างไรบ้าง ใจจะไม่มีหวั่นแม้เท่าเม็ดหินเม็ดทราย นั่นละคือความจริงแท้ ธรรมแท้ ลบไม่สูญ แต่นี้เราอยู่ด้วยกับความหลอกลวงทั้งนั้น ก็ตัวเราใจเรานั่นแหละมันหลอกเจ้าของ หลอกมาเท่าไรไม่เคยเข็ดหลาบก็คือกิเลสหลอกสัตว์โลกนั่นเอง

อุบายปัญญาของเรามี หลอกกิเลสบ้างซิ หลอกจนได้มองเห็นกิเลสเผลอที่ไหนต่อยเอาๆ จนถูกน็อกจากเราตกเวทีและตายไปเลย หาวันฟื้นไม่ได้ตลอดอนันตกาลนั่นซิ จะได้ชมตัวเองว่าเก่งจริงละที่นี่ ไม่เก่งแบบหลอกๆ หลอนๆ ดังที่เคยเป็นมา นั่นแหละพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านหลอกท่านต่อยกิเลสของท่านอย่างนั้น เอาจนตกเวทีไม่มีวันฟื้น

การไปเกิดแก่เจ็บตายที่ไหนก็เพราะกิเลสเป็นตัวยืนโรง พอตัวนี้หมดจากใจไปเสียเท่านั้นก็ไม่มีอะไรหลอกได้อีกในโลกนี้ แผ่นดินแผ่นฟ้าอะไรที่ว่ามีมากมายก่ายกอง ในแผ่นดินอันนี้ในโลกอันนี้ก็ไม่มีในความรู้สึก จึงเหมือนอะไรไม่มี ที่พาให้มีก็คือเรื่องของกิเลสเท่านั้นพาให้มี พาให้ทุกข์ พาให้ลำบาก พาให้กังวลวุ่นวาย เสียดแทงอยู่ตลอดเวลาไม่มีอิริยาบถใดว่างจากทุกข์ นอกจากเวลาหลับสนิทเสียเท่านั้น เพราะกิเลสสงบตัว พอตื่นขึ้นมามันก็ทำงานของมันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงในหัวใจ ทั้งอดีตอนาคตอารมณ์อะไรๆ ยุ่งไปหมด เราก็ยังไม่เบื่อหน่ายอิ่มพอกับความเป็นของกิเลส แล้วเราจะไปเห็นโทษกิเลสที่ตรงไหน แก้กิเลสได้ที่ตรงไหน เมื่อสิ่งเหล่านี้ทั้งมวลเป็นกิเลสเรายังไม่ทราบอยู่แล้ว จงฟิตเข้าซิสติปัญญาซึ่งเป็นธรรมที่ผลิตได้ ฟิตให้มีกำลังกล้าแข็งมีแรง สามารถฟาดฟันกับกิเลสให้แหลกแตกกระจายได้ จะนอนใจอยู่ทำไม

เราอยากเห็นผลแห่งการแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน ที่สอนมานี้สอนด้วยความแน่ใจ ไม่ได้สอนด้วยการด้นเดาเกาหมัด ไม่ใช่คุย เราสอนจริงๆ ตามที่ได้ประพฤติปฏิบัติมา ตลอดถึงผลรู้ยังไงเห็นยังไงนำมาพูดให้ฟังจนหมดโดยไม่สะทกสะท้าน เพราะธรรมของจริงนี่สะทกสะท้านหาอะไร ธรรมเป็นอย่างนี้จริงๆ เมื่อรู้อย่างนี้จริงๆ เห็นอย่างนี้จริงๆ แล้วจะไปสะทกสะท้านต่อใคร จึงเรียกว่า ของจริงลบไม่สูญ ใครรู้ขึ้นก็จริงทั้งนั้น ไม่ว่าครั้งไหนสมัยใดหรือผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น ต้องทรงความจริงเต็มส่วนเช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรแปลกต่างกัน

พระของพระพุทธเจ้าเป็นพระทรงมรรคทรงผล ทรงความสุขความเจริญสุดส่วน พระของเราทรงกันแต่ความทุกข์ความลำบาก ความขี้เกียจขี้คร้าน อ่อนแอท้อแท้เหลวไหล แน่ะ มันตรงกันข้ามๆ ไปหมด พระอะไรอย่างนี้ ถ้าคนเขาเรียกว่า พระเทวทัตก็จะโกรธให้เขาอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ พระของพระพุทธเจ้าเป็นพระอย่างนั้น ทีนี้เราเป็นพระของใครหรือเป็นพระอะไรกัน ถ้าจะว่าพระนอนเหมือนพระพุทธรูปปางนอนก็น่ากราบไหว้บูชา แต่นี้เป็นพระอะไรจึงเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เป็นพระเทวทัตคอยทำลายตัวเองด้วยกิริยาอาการดังกล่าวมา

พุทธะๆ คือใจของเราถูกเทวทัตกิเลสทำลายอยู่นี่ นี่แหละเทวทัตทำลายพุทธะในตัวเรา ส่วนเทวทัตที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้านั้นยกให้เป็นเรื่องของท่าน ไม่ไปแตะต้องยุ่งกวนท่าน แยกเข้ามาลงเรื่องเทวทัตคือกิเลสทั้งหลายที่ทำลายพุทธะของเรานี่ซิ ให้เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ทั้งวันทั้งคืน เราไม่เห็นเทวทัตตรงนี้จะปราบเทวทัตได้ยังไง เอาตรงนี้ซิ โอปนยิโก น้อมเข้ามาเป็นธรรมเครื่องสอนตนได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ามีปัญญาไม่จนตรอก ต้องเอาตัวรอดได้ด้วยอุบายของสติปัญญาไม่สงสัย

สมัยนี้ พาหิรชนก็ดี พุทธศาสนิกชนก็ดี มักตำหนิพุทธศาสนาว่าเป็นราวกับลัทธิไม่ใช่ของจริงมีจำนวนมาก โดยความรู้สึกของเขาเองบ้าง โดยอาศัยผู้นับถือและปฏิบัติศาสนาทำกันแบบลัทธิบ้าง ซึ่งไม่ถูกต้องกับความจริงของศาสนธรรม ศาสนาโดยอาศัยผู้นับถือและปฏิบัติลุ่มๆ ดอนๆ จึงเป็นสาเหตุให้คนตำหนิ จนทำคนให้กลายเป็นคนใจสกปรก ปากสกปรกไปด้วยศาสนาซึ่งเป็นธรรมที่สะอาดโดยไม่เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น จะอย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือเราผู้เป็นนักบวชปฏิบัติตามสวากขาตธรรม จงทำกาย วาจา ใจ ของตนให้สะอาดไปตามศาสนธรรมด้วย สุปฏิปนฺโน อุชุฯ ญายฯ สามีจิปฏิปนฺโน อย่าให้เคลื่อนคลาด ธรรมอันบริสุทธิ์สะอาดจะเป็นเราผู้เทิดทูนเป็นสมบัติของตัวเสียเอง ส่วนความสกปรกดังกล่าวมา ใครจะสนใจรับไว้ก็ไม่กระเทือนเราผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรมมหาสมบัติ ที่เกิดจากความตะเกียกตะกายของเราเอง

จงทราบอย่างถึงใจว่า ธรรมแท้ สวากขาตธรรมแท้ ทรงความจริงเหนือโลกธาตุ จึงไม่มีสมมุติใดรายใดในโลกธาตุนี้ จะลบให้สูญสิ้นจากความจริงเต็มส่วนของธรรมนั้นได้ จงพากันตั้งใจน้อม พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เข้าไว้เต็มดวงใจ และน้อมมาเพื่อปฏิบัติอย่างจริงจังเถิด ธรรมที่ลบไม่สูญนี้จะปรากฏขึ้นในมโนทวารของสุปฏิบัติบุคคลโดยไม่มีข้อกังขา เพราะธรรมนี้เป็นมัชฌิมาเป็นปัจจุบัน ที่คอยสัมผัสกับการปฏิบัติโดยถูกต้องอยู่ตลอดเวลาอกาลิโก ไม่มีใครมาเป็นใหญ่เหนือธรรมนี้ให้เป็นอื่นได้ตลอดไป

อย่าคิดว่าธรรมหมดเขตหมดสมัย มรรคผลนิพพานสุดเอื้อมหมดหวัง กิเลสตัวเคยเป็นข้าศึกของธรรมมาดั้งเดิมจะหัวเราะฟันหักฟันถอนไม่รู้ตัว จงทราบว่าศาสนธรรม คือเครื่องปราบกิเลสทุกประเภทมาแต่กาลไหนๆ ไม่เคยแพ้กิเลสเลย จงนำมาปราบกิเลสด้วยอุบายวิธีต่างๆ ด้วยการปฏิบัติและความแยบคายของตนเถิด ผู้นี้แลจะทรงมรรคผลนิพพานในท่ามกลางแห่งโลกที่ว่ามรรคผลนิพพานสุดเอื้อมหมดหวัง จงเอาให้ดี มอบชีวิตไว้กับศาสนธรรม อย่ามอบกับอะไรซึ่งล้วนเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หมุนตัวอยู่รอบด้านตลอดเวลาหาความไว้วางใจไม่ได้เหมือนธรรม ที่ไม่มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้

พระพุทธเจ้าประทับอยู่กับสวากขาตธรรมตลอดเวลา อย่าหลงบ้าว่าพระองค์เสด็จปรินิพพานสิ้นสูญไปแล้ว จงยึดสวากขาตธรรมเป็นหลักใจและหลักปฏิบัติให้แม่นยำ จะได้พบได้เฝ้าพระองค์อย่างเต็มใจที่สวากขาตธรรมนั้นด้วยกัน ไม่น้อยหน้าฆ่าตัวเองว่าพระองค์ไปสุดเอื้อมแล้ว

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต คือ ผู้รู้เห็น สนฺทิฏฺฐิโก ด้วยสวากขาตธรรมนั่นแล จะเป็นอื่นที่ไหนไป จงลงใจ ปฏิบัติให้จริงจัง ผลจะไม่เป็นอย่างอื่นจากที่กล่าวนี้ แต่จงระวังกิเลสมันชอบและคอยแอบคอยตาม อกุสลา ธมฺมา แก่ผู้กอนแล้วนิน คือกินแล้วนอนอยู่ทุกระยะนะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน ขณะเดียวกันจงตาม กุสลา ธมฺมา กิเลสให้ได้

เอาละหยุด


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก