เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
ของวิเศษอยู่กับธรรม
เวลานั่งภาวนาธรรมดาๆ ซึ่งเป็นเวลาปล่อยงานข้างนอก คือความคิดปรุงต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งสัมผัสสัมพันธ์ภายนอกแล้ว มาอยู่โดยลำพังจิต เฉพาะอย่างยิ่งจิตกับกายอยู่ด้วยกัน ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยเป็น เราเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าความจริงอย่างนี้จะเป็นขึ้นมาได้ เวลานั่งเหมือนนั่งท่าภาวนา คือระงับอารมณ์ความคิดปรุงกับสิ่งที่เกี่ยวกับภายนอก เหลือแต่ความรู้โดยหลักธรรมชาติของตนแล้วก็ดูร่างกาย
ความรู้ที่กำลังดูกายของตัวนั้น ทำให้รู้อย่างชัดเจนว่า กายอันนี้กับวัตถุต่างๆที่มีอยู่ภายนอกกายนั้น ไม่มีอะไรผิดแปลกกันเลย กายอันนี้จึงเป็นเหมือนวัตถุอันหนึ่งเช่นเดียวกับวัตถุภายนอก เหมือนไม่ใช่กายของตัวเลย มันเป็นเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่งเหมือนวัตถุภายนอกนั่นแล จากนั้นไปจิตก็ไม่เกี่ยวกับกายเลย อย่างนี้มันก็เหมือนกายไม่มี แต่ความรู้มันยังกระจายออกไปเหมือนกับว่าในโลกนี้ไม่มีวัตถุอะไรเลย เป็นความว่างเปล่าไปหมด ไม่มีอะไรปรากฏในความรู้สึกแม้นิดหนึ่ง
แต่ก็มีอีกแง่หนึ่งว่า ความรู้นี้ครอบโลกธาตุ ทั้งนี้เพราะความรู้นั้นแสดงตัวอย่างอิสระเต็มที่ ไม่มีสมมุติใดๆ มาผ่านมาเกี่ยวข้องในขณะนั้น โลกจึงเหมือนไม่มีเลย ทำไมจึงว่าจิตครอบโลกธาตุ เพราะความรู้นี้เด่นดวงอยู่แต่ผู้เดียว แต่มิใช่เด่นดวงแบบจิตอวิชชาดังที่เคยเด่นในใจมาแล้ว ฉะนั้นความเด่นดวงนี้จึงขอเรียกว่าตามภาษาป่าว่า เด่นนอกสมมุติ เด่นอิสระตามธรรมชาติของตน สิ่งเหล่านั้นจึงไม่ปรากฏ แม้มีอยู่ก็ไม่ปรากฏในความรู้สึก มีแต่ความรู้สึกปรากฏกับตัวเองโดยเฉพาะ มันจึงเป็นเหมือนครอบโลกธาตุไป ถ้าแยกออกไปว่าครอบโลกธาตุ ถ้าไม่แยกก็เหมือนไม่มีอะไรเลย เป็นหลักธรรมชาติของจิตประเภทนี้
พอส่งเข้ามาสู่ร่างกายมันก็กระจายไปหมดเสีย ร่างกายก็เหมือนไม่มี ถ้าแยกเข้ามาเป็นส่วนสมมุติว่าร่างกายมี ร่างกายมันก็เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น จึงเหมือนมันไม่ใช่อะไร ไม่มีอะไรกับเรา มันเหมือนกับวัตถุอันหนึ่งที่อยู่นอกกายเราไป อันนี้ก็เหมือนกับวัตถุอันหนึ่ง คือมันอยู่นอกใจ ถ้าพูดง่ายๆ ก็ว่าอย่างนี้เสียดีกว่า นี่คือเป็นหลักปัจจุบัน เป็นหลักธรรมชาติของจิตที่เป็นอยู่ตามลำพังตัวเองโดยไม่ต้องเสกสรรปั้นยอใดๆ เราพิจารณาและพูดตามความจริงของจิต
ถ้าจิตได้แยกตัวออกจากทุกสิ่งทุกอย่างเสียก็เป็นดังที่ว่านี่ เมื่อจิตยังมีกิเลสก็แยกกันออกด้วยความพากเพียรโดยวิธีต่างๆ จนกระทั่งกิเลสไม่มีเหลือเลย ส่วนกายยังมีเหลือ ความยึดมั่นถือมั่นในกายที่เคยเป็นมาก็สิ้นไป กายซึ่งเป็นของมีอยู่ก็มีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน แต่จิตก็เป็นอันหนึ่งของตัวเอง คือสิ่งนั้นๆ มีอยู่แต่มันแยกกันโดยหลักธรรมชาติ นี่จึงว่าเมื่อกิเลสสิ้นไปโดยสิ้นเชิงแล้ว มันไม่มีจริงๆ ภายในจิตที่เคยเป็นคลังกิเลสทุกประเภทมาดั้งเดิม
จะดูจำพวก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้ก็ไม่ใช่กิเลส มันเป็นเพียงอาการของขันธ์แต่ละขันธ์ๆ เมื่อยังมีกิเลสและกิเลสบงการ สิ่งเหล่านี้จึงจะเป็นเครื่องมือของกิเลสแต่ละอย่างๆ ไปได้ ถ้าไม่มีกิเลสตัวใดบงการออกมา ขันธ์แต่ละขันธ์ก็เป็นอาการอันหนึ่งๆ อยู่เท่านั้น ที่เรียกว่าขันธ์ล้วนๆ เป็นอย่างนั้นเอง กายแม้ไม่ยึดถือกายก็มีอยู่ แต่กิเลสไม่มีจึงไม่มีอะไรพาให้ยึดถือ นั่น มันผิดกันตรงนี้ มันไม่มีอะไรจะให้ยึด นี่เรียกว่าพูดสุดขีดของจิตของธรรมของกิเลส สามอย่างนี้ที่เคยเกี่ยวข้องพัวพันกันมา เฉพาะอย่างยิ่งกิเลสกับจิตเป็นสิ่งที่ฝังจมลึกภายในใจจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจิตเป็นอย่างไร กิเลสเป็นอย่างไร เพราะเป็นอันเดียวกันด้วยความกลมกลืน
จิตที่เป็นอันเดียวกันกับกิเลสนี้ กิเลสจึงมีอำนาจที่จะแสดงออกทุกแง่ทุกมุมก่อนธรรมจะแสดงออกมาทุกขณะ ด้วยเหตุนี้ท่านผู้มีความละเอียดกว่าพวกเรา หรือท่านผู้เรียนวิชาของธรรมของกิเลสจบสิ้นลงภายในจิตใจ อย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว มองดูพวกเราซึ่งกำลังพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส และถูกกิเลสกดหัวจนเงยหน้าอ้าปากไม่ได้นั้น ท่านจึงเห็นได้ชัดๆ รู้ได้ชัดๆ ว่าอาการใดที่แสดงออกมา เพราะกิเลสตัวใดประเภทใดบังคับออกมา เพราะกิเลสเป็นผู้ออกหน้าควบคุมและออกหน้าด้วยกำลังของกิเลสตัวใด แต่ละอาการๆ ของกิเลสที่แสดงออกมาจากตัวของเรานั้นท่านรู้ทั้งสิ้น เพราะท่านเคยปราบมันให้สิ้นซากไปจากใจท่านมาแล้ว
ฉะนั้นเราผู้โง่เขลาหลงเงาของกิเลส การประพฤติปฏิบัติต่อตัวเองเพื่อชำระกิเลส จึงมักมีกิเลสแทรกอยู่ในอิริยาบถและความเพียรแทบทุกประโยคโดยที่เราไม่รู้เลย แม้ที่สุดกำลังนั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนา คือทำความเพียรอยู่ในท่าต่างๆ นั้นแล ส่วนมากจึงมักเป็นท่าหรือกิริยาของกิเลสทำงานไปเสียทั้งมวล จะเป็นท่าของความเพียรในขณะจิตแรกทำภาวนาเท่านั้น นอกจากนั้นก็มีแต่กิเลสทำงานของตัวเองอยู่ในที่นั่งสมาธิภาวนา ในที่เดินจงกรม ในที่ทำความพากเพียรท่าต่างๆ ไปเสียหมด และมีแต่เป็นเรื่องความเพียรของกิเลสพอกพูนตัวบนหัวใจเราถ่ายเดียว เพราะสติปัญญาไม่ทันมัน เบื้องต้นเป็นอย่างนี้กันแทบทั้งนั้นสำหรับนักภาวนาเรา
เราไม่ทราบเบื้องต้นแห่งความเพียรภาวนาของเราเป็นอย่างนี้ เมื่อมีผู้ทราบเรานั้นแหละเราถึงจะได้ฟังเรื่องของเราว่าเป็นอย่างนี้ขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีผู้ทราบเลยก็ไม่มีผู้พูดอย่างนี้ขึ้นมาได้ จะนำอะไรมาพูดเพราะโง่เหมือนกันหมด เมื่อแยกกิเลสออกมาและแยกกิเลสออกจากกันได้มากน้อย และแยกออกจากกันได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ก็พูดกันได้เต็มปากและชัดเจน ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว
การประกอบความเพียรจึงต้องได้สอนเสมอเรื่องสติ สติเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกแห่งการประกอบความเพียร ปัญญาเป็นอันดับสอง ให้มีสติอยู่กับตัว ไม่ว่าจะภาวนาในธรรมแขนงใดบทใด ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดหรือทำงานใดอยู่ อย่างน้อยสติต้องมีคือรู้สึกตัว แม้จะไม่รู้อยู่กับธรรมบทใดเหมือนกับเรากำลังภาวนาก็ตาม แต่ให้สติมีความสืบต่ออยู่กับความรู้ของตน เวลาภาวนาจิตก็สงบได้ง่ายถ้าเป็นฝ่ายสงบ ถ้าเป็นฝ่ายปัญญาพิจารณาอะไร สติซึ่งอยู่กับตัวอยู่แล้วก็เรียกได้คว้าได้ทันกับความต้องการทุกเวลา
เราจึงกล้าพูดเสมอถึงเรื่องสติ และพูดแล้วพูดเล่าเพราะเห็นคุณค่าของสติ เป็นสิ่งที่เด่นมากในวงความเพียร ไม่มีอะไรเกินกว่าสตินี้ไปได้เลย ในจิตทั้งดวงอันถูกกิเลสหุ้มห่อจนมองหาจิตแท้ไม่เจอ ขยายออกมาทางกายก็หมดทั้งร่าง มันเป็นเรื่องของกิเลสหมดทั้งร่าง เพราะกิเลสจับจองไว้รอบตัวอยู่แล้ว กิริยาที่แสดงออก กิเลสจึงมีทางแสดงออกได้ก่อนธรรมเสมอเมื่อผู้ยังไม่มีสติปัญญารู้เท่าทันกับกิเลสประเภทต่างๆ ดังนั้นจึงต้องได้ใช้สติรักษา ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาอยู่โดยตลอดไม่เลือกกาลสถานที่
งานพอกพูนของกิเลสนั้นเป็นงานอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครบังคับก็เป็นไปเอง เพราะเคยชินกับใจของสัตว์โลกมานานแล้ว เคยใช้จิตใจของสัตว์โลกเป็นที่รองรับมาทุกแง่ทุกมุม ไม่มีใครที่จะช่ำชองยิ่งกว่ากิเลสเอาจิตของเราเป็นที่อยู่ที่อาศัย เป็นเครื่องไม้เครื่องมือหรือเป็นคนใช้ของมันพอกพูนตัวเอง กิเลสจึงมีความชำนิชำนาญมากในการบังคับบัญชาจิตใจให้เป็นไปในแง่ต่างๆ โดยที่ไม่ต้องตั้งใจมันก็เป็นไปได้ของมันเองเพราะมันคล่องตัว มันเคยกับงานของมันมานาน เรื่องของกิเลสเป็นอัตโนมัติภายในใจของสัตว์โลกดังที่กล่าวมานี่แล แน่ใจว่าพูดไม่ผิด
ทีนี้เรื่องของธรรมซึ่งยังไม่มีในใจหรือมีน้อย จึงต้องได้ใช้ความตั้งอกตั้งใจอย่างจริงจังด้วยเจตนา เต็มสติกำลังของตนด้วยกันทุกคน จึงจะกำจัดหรือชะล้างกิเลสออกได้โดยลำดับ การภาวนากำหนดอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออก สติเป็นเครื่องหยั่งอยู่กับองค์ภาวนานั้นไม่ให้จิตคิดปรุงออกไปได้ เราอย่าพากันเข้าใจว่าอารมณ์มาจากภายนอกเข้ามากวนใจ ไม่มีอารมณ์ใดมากวนใจ มีแต่ใจกวนตัวเอง กิเลสมันผลักดันออกมาให้คิด ผลักดันออกมาให้อาลัยเสียดาย ความคิดความปรุงต่างๆ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ที่จะมีจากสิ่งภายนอกก็คือสิ่งที่มาสัมผัส เช่น เสียง เป็นต้น เวลาเราภาวนาเสียงกระทบพับ ถ้าภายในนี้ไม่ปรุงขึ้นรับเสียงก็ไม่มีความหมาย แต่อาศัยเสียงทำให้จิตกระเพื่อมขึ้นมา ถ้าไม่มีอะไรเข้าส่งเสริมมันก็ดับไปเอง ไม่เป็นเรื่องเป็นราวต่อไป
ใจตัวคะนองนั้นแม้ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลยมันก็เป็นของมันได้เอง มันผลักมันดันออกมาให้คิดให้ปรุงให้เสียดายเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะกิเลสนั้นเป็นเจ้าเรื่องเจ้าเรืองอำนาจพาให้เป็น จงพากันทราบเอาไว้ ไม่มีสิ่งใดจะเกินกิเลสซึ่งเป็นเจ้าเรื่องไปได้จอมเรื่องก็คือกิเลสนี่แล เพราะฉะนั้นจงระมัดระวังเรื่องอันเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ จะพาให้แสดง ที่นักปฏิบัติเราทำใจให้สงบตามความต้องการไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าเรื่องนั้นคือเรื่องของกิเลส ความอยากคิดอยากปรุงเรื่องราวต่างๆ อดีตที่ล่วงมาแล้วกี่ปีกี่เดือนระลึกได้เมื่อไร เพราะกิเลสพาให้ระลึก ไม่ใช่เราระลึกได้เอง กิเลสพาให้ระลึกพาให้ติดพันในเรื่องนั้นๆ ไม่มีจบมีสิ้น จึงหลงกลมายาของมันเรื่อยไปไม่มีวันเบื่อหน่ายอิ่มพอบ้างเลย ความเพียรก็หายไปหมดเพราะถูกอารมณ์เหล่านั้นเข้ามาเหยียบย่ำทำลาย นี่เราจะทราบได้ชัดเมื่อถึงขั้นควรจะทราบได้ชัด หรือทราบได้อย่างเต็มภูมิเมื่อถึงขั้นสติปัญญาเต็มภูมิ ไม่ต้องบอกจะทราบได้เองบรรดาเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด ขออย่าละความพากเพียรเพื่อทราบสิ่งเหล่านี้ก็แล้วกัน
เอาซิ ลงกิเลสได้สิ้นไปจากใจหมดแล้ว ความอยากคิดเรื่องนั้นอยากปรุงเรื่องนี้ดังที่เคยหิวเคยอยากไม่มี จึงทำให้รู้เรื่องของกิเลสได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องของกิเลสทั้งมวลที่พาให้ปรุงต่างๆ พาให้เสียดายอารมณ์ พาให้เสียดายเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องใกล้เรื่องไกล เรื่องอดีตอนาคต มันไม่มีสิ้นสุดเลย วันเวลาหนึ่งๆ มีแต่เรื่องของกิเลสมันพาวาดภาพหลอกแบบลมๆ แล้งๆ ทั้งเพไม่มีหลักมีเกณฑ์ แต่ผลมันไม่ลมๆ แล้งๆ น่ะซิ มันกอบโกยทุกข์เข้ามาสู่หัวใจซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของกิเลสนี้ ให้เกิดความทุกข์ร้อนขุ่นมัวภายในจิตใจจนแทบเป็นแทบตายในบางครั้ง เป็นสิ่งที่น่าหลงลืมได้อย่างง่ายๆ เมื่อไร
จิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรจะเสียดายอะไร เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ความรู้ไม่มีเรื่องแอบอิง ก็ทำให้ทราบชัดว่าเรื่องทั้งหมดเกิดมาจากกิเลสทั้งสิ้น เมื่อไม่มีอะไรผลักดันมันก็ไม่มีเรื่อง ไม่มีเรื่องอยากให้ผลักดันออกมา ก็ประมวลลงได้ว่า อ๋อ เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากกิเลสซึ่งเป็นเจ้าเรื่องจอมเรื่อง เมื่อจอมก่อกวนนี้ถูกทำลายลงไปแล้ว ใจก็ไม่มีอะไรรบกวน เหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่ บ้านร้างคืออะไร คือกิเลสพังทลายไปหมด ตัวเป็นพิษเป็นภัยตัวฝักใฝ่ตัวไล่ไม่จน ยึดนั้นยึดนี้ คว้านั้นคว้านี้ถูกทำลายลงไปหมดนั่นแล แต่คนยังมีอยู่ก็หมายถึงขันธ์กับความรู้ที่ไม่เป็นภัยต่อสิ่งใดและต่อตนเอง เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ยังมีอยู่ นี่แหละที่ว่าเหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่ ขันธ์ยังมีอยู่ ความรู้นั้นยังมีอยู่ แต่ผู้ที่ก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายต่างๆ นานาทำให้ไม่สงบนั้น พังทลายไปหมดแล้ว จึงเป็นเหมือนกับบ้านร้าง
บ้านเรามันเต็มไปด้วยสุรายาเมา บ้านในขันธ์ ขันธ์ของกิเลสเป็นเครื่องมือของกิเลส มันจึงกลายเป็นเรื่องความมึนความเมา ความอับเฉาเศร้าใจทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มีมืดมีแจ้งมีสว่างอะไรบ้างเลย เมาอยู่ด้วยกิเลสตัณหาอาสวะ ทำภาวนาก็ไม่ลงถูกกิเลสฉุดลากไปต่อหน้าต่อตา เดินจงกรมอยู่ก็ไม่ชั่วกี่วินาทีก็เผลอไปแล้ว นั่งสมาธิตั้งท่าตั้งทางกับองค์แห่งสมาธิของตนก็ไม่ได้กี่วินาที ไม่อยากพูดถึงเรื่องนาทีหรือชั่วโมงเลย ใจถูกมันลากไปเสียแล้วๆ พอรู้ตัวที่ไหนได้มันอยู่บนเขียงและเป็นลาบไปแล้ว แหลมคมไหมกิเลส ดูเอา ฟังเอาซิ
เพราะฉะนั้นในตัวของคนแต่ละคน กิริยาที่แสดงออกมันจึงบอกชัดอยู่ในตัวว่า มีกิเลสล้อมหน้าล้อมหลังทุกอิริยาบถ ความจริงกิเลสจะเหนือธรรมไปได้ยังไง เมื่อธรรมเหนือกิเลสมองกิเลสมันต้องรู้ชัด เห็นเรื่องของกิเลสได้อย่างชัดเจน ที่ธรรมไม่เหนือกิเลสนั่นซิ กิเลสจึงเหยียบย่ำทำลายธรรมลงไปในท่าต่างๆ ของความเพียรจนไม่มีเหลือ นี่ละที่ภาวนาไม่ได้เหตุได้ผลไม่ได้เรื่องได้ราว หาความสงบร่มเย็นภายในตัวเองไม่ได้ก็เพราะเหตุดังกล่าวมานี้แล มันมีแต่กิเลสเข้าไปแทรกอยู่ในวงงานเสียหมด
เอาแต่ชื่อแต่นาม เอาแต่กิริยาแห่งการประกอบความเพียรมาอวดเจ้าของ ด้วยความสำคัญมั่นหมายว่า เราได้เดินจงกรมเท่านั้นชั่วโมงเท่านี้ชั่วโมง นั่งภาวนาเท่านั้นชั่วโมงเท่านี้นาที เอาแต่ลมๆ แล้งๆ มาหลอกตัวเองไปเป็นวันๆ โดยไม่คิดกระดากอายตัวเองหรือท่านผู้จริงจังบ้างเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น ผลคือความสงบร่มเย็นของใจจะเกิดได้อย่างไร ถ้าปฏิบัติตามที่ได้กล่าวมานี้ กิเลสตัวไหนจะดื้อด้านหาญสู้ธรรมไปได้วะ ใจต้องสงบลงจนได้ แม้ใจจะคึกคะนองยิ่งกว่าม้าตัวแสนคะนองก็เถอะ จะไม่พ้นอำนาจของสติและอำนาจของปัญญานี้ไปได้เลย
ในเบื้องต้นที่จะให้จิตสงบต้องไม่พ้นวิสัยของสติตามควบคุม ต้องเห็นผล ไม่เห็นได้ยังไง ทางที่ถูกอยู่ตรงนี้ ทางแห่งความสงบอยู่ที่สติสืบต่อ มีความเพียร มีความอดทนเป็นเครื่องสนับสนุนให้สติได้สืบต่ออยู่ด้วยความระมัดระวัง ใจต้องสงบต้องเย็น ที่ภาวนามากี่ปีกี่เดือนไม่ได้เรื่องเพราะมีแต่เรื่องเหลาะแหละๆ จะเอาเรื่องความจริงคือสมาธิธรรมปัญญาธรรมมาจากไหน
นี่แหละที่เป็นห่วงหมู่เพื่อนมาก หมู่เพื่อนมาอยู่ด้วยกี่ปีกี่เดือนก็ได้เทศน์ให้ฟังจนหมดเปลือกหมดพุงแล้ว เวลานี้ไม่มีอะไรเหลือ แล้วผลเป็นยังไงสำหรับผู้มาประพฤติปฏิบัติ พอเป็นทุนเป็นรอนเป็นพื้นฐานของหัวใจตนได้บ้างหรือไม่ นี่น่าคิดอยู่มาก พากันเสียดายอะไรกับโลกสงสารอันนี้ เราเกิดมาในท่ามกลางโลกนี้อยู่แล้ว ความเป็นอยู่ของจิตก็คือเรื่องของโลกล้วนๆ อยู่แล้ว ดีชั่วก็ควรจะเห็นผลกันมาโดยลำดับลำดา เพราะอยู่ด้วยกันคละเคล้ากันกับโลกมาเป็นเวลานาน เวลานี้จะปฏิบัติธรรม
รสของโลกเป็นขนาดไหนก็ได้เคยสัมผัสสัมพันธ์กันมาแล้ว โกหกกันได้อย่างไรเรื่องของโลกน่ะ รสของธรรมซึ่งจะเป็นเครื่องเทียบเคียงหรือเป็นคู่แข่งกันกับรสของโลกนั้น เรายังไม่เคยประสบพบเห็น แต่เราเชื่อต่ออรรถธรรม เชื่อครูบาอาจารย์จึงได้มาประกอบความพากเพียร ก็ควรจะเอาความเชื่อนี้หยั่งลงภายในหัวใจให้ลึกๆ บ้าง ถ้ายังไม่ลึกมาก ก็หยั่งเพื่อสงบอารมณ์ลงบ้างเสียก่อน หยั่งลงไปด้วยสติ บังคับจิตใจด้วยสติเพื่อความสงบ มันจะสงบไม่ได้จริงๆ เหรอ ใจจะคึกคะนองขนาดไหนก็เคยคึกคะนองมาแล้วตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ มันเคยสงบตัวลงด้วยความอ่อนเพลียเองของมันมีไหม นี่ไม่เคยมี ถ้าไม่สงบตัวลงได้ด้วยอำนาจของธรรม ปราบปรามสิ่งที่พาให้คึกคะนองนั้นให้ราบลงไปเป็นลำดับลำดา จิตจะหาความสงบตัวโดยลำพังไม่ได้เลย ปักใจลงไปซินักปฏิบัติ
เพียงขั้นสงบยังเอาไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร จะพูดอะไรถึงเรื่องขั้นปัญญาความเฉลียวฉลาดแหลมคมยิ่งกว่านี้ ซึ่งเป็นอันดับที่ออกไปจากความสงบ ใจหาความสงบไม่ได้ จะพิจารณาให้มีความแยบคายทางด้านปัญญาในแง่ต่างๆ ของธาตุของขันธ์เพื่อรู้แจ้งแทงทะลุในขันธ์นั้นๆ ไปได้อย่างไร เมื่อจิตก็กำลังฟุ้งซ่านรำคาญหิวโหยเต็มตัวอยู่ พาพิจารณาเรื่องอะไร สัญญาอารมณ์ก็ฉุดก็ลากไปเสีย ไม่เป็นปัญญาไม่เป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมาให้ชมได้บ้างเลย จึงต้องอาศัยการอบรมใจเพื่อความสงบได้เท่าที่ควร พอจิตมีความสงบตัวได้ จิตก็เริ่มอิ่มตัวขึ้นมาควรแก่การพิจารณาทางด้านปัญญาได้ ไม่หิวโหยกับอารมณ์ดังที่เคยเป็นมา นี่หลักการปฏิบัติจิตเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น ขอให้เป็นที่ลงใจสำหรับท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
เอาให้จริงให้จัง ของวิเศษอยู่กับธรรมแท้ๆ ไม่ได้อยู่กับกิเลสตัณหาอาสวะประเภทใดๆ พอที่จะหลงตามคล้อยตาม เคลิ้มหลับไหลไปตามมันอยู่ไม่หยุดหย่อนพอผ่อนคลายกันบ้างมีอย่างเหรอ พิจารณาซิ เคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์ จงประมวลกันลงในชาตินี้ นับแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้เราเคยสัมผัสสัมพันธ์กับเรื่องเหล่านี้มาแล้ว เพราะคลุกเคล้ากันมาตั้งแต่วันเกิด นอนจมกันมาอยู่แล้ว ไม่พอเห็นโทษเห็นคุณของมันบ้างเหรอ เอาสิ่งที่เคยเป็นมามาเทียบกับธรรมะดูซิเป็นอย่างไร ควรจะมีแก่ใจพินิจพิจารณากันตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมได้บ้างไหม
ความเลิศก็คือพระพุทธเจ้า ธรรมพาให้พระองค์เลิศ กิเลสไม่ได้พาให้เลิศ ทำไมจึงต้องคว้าเอากิเลสมาฟัดมาเหวี่ยงมาทำลายธรรมทั้งๆ ที่ประกอบความพากเพียรอยู่ได้ลงคอ มันน่าพิจารณาเอามากนะ หากว่าไม่เอากิเลสเข้ามาเหยียบย่ำทำลายธรรมในขณะที่ประกอบความเพียรอยู่แล้วทำไมจิตจะหาความสงบไม่ได้ เพราะเราทำเพื่อความสงบแท้ๆ และเราทำเพื่อปัญญาความเฉลียวฉลาดแหลมคม เพื่อความรู้แจ้งแทงทะลุตามความจริงทั้งหลายแท้ๆ ซึ่งเวลานี้กิเลสตัวจอมปลอมมันไปฝังของปลอมหลอกลวงไว้เต็มธาตุเต็มขันธ์เต็มอายตนะเต็มใจ จะถอนมันออกมาจากนี้เพื่อเห็นความจริงและลบล้างความปลอมนั้น
ในเบื้องต้นแม้จะรู้เพียงเล็กน้อยก็พอเป็นเครื่องทดสอบ พอเป็นคู่แข่งกัน พอเป็นเครื่องเปรียบเทียบกันก็ยังดี พอมีกำลังใจต่อสู้ ไม่เสียลวดลายนักปฏิบัติไปเสียทีเดียว นี่ไม่มีอะไรเป็นเครื่องเปรียบเทียบกัน ไม่มีอะไรพอเป็นคู่แข่งกันเลยเราจะหวังผลจากอะไร เมื่อมีแต่ลมๆ แล้งๆ ไม่มีน้ำมีเนื้อติดอยู่บ้างเลยอย่างนี้ ถ้าว่าความสงบก็มีแต่ความฟุ้งซ่านออกหน้าออกตาเสีย ว่าความฉลาดทางด้านปัญญาก็มีแต่ความโง่ออกหน้าออกตาเสียซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล แล้วเราจะหวังเอาอะไรมาเป็นสารคุณภายในใจเล่า นี่มันน่าคิดอยู่มากนะ ผมก็อดพูดไม่ได้ เพราะสอนหมู่เพื่อนมาเป็นเวลานาน ทำไมจิตใจถ้าได้ดื่มรสแห่งธรรมคือปรากฏผลยิบๆ แย็บๆ ขึ้นมาทางภาคปฏิบัติบ้างซึ่งเป็นสมบัติของตน มันจะอดพูดต่อครูอาจารย์และเพื่อนฝูงได้หรือ ผู้ปฏิบัติถ้ารู้เห็นผลจากการปฏิบัติของตนมากน้อย ต้องพูดได้เต็มปากด้วยความอาจหาญ เราเคยเป็นมาแล้วนี่ อยู่กับท่านอาจารย์มั่นก็เป็น
เวลายังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรทางสมถะและวิปัสสนา เวลาขึ้นไปหาท่านก็ไม่ทราบว่าจะพูดเรื่องอะไรกับท่าน มีแต่กลัวท่านจนตัวสั่น กลัวก็กลัวแบบไม่ได้เหตุได้ผล พอมันเข้าใจรู้เห็นสมาธิปัญญาจากจิตตภาวนามากน้อยเท่านั้น มันเกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาตามกำลังความรู้ความเข้าใจ ตามภูมิจิตภูมิธรรมของตนในเวลานั้น และพูดกับท่านได้อย่างเต็มปากเลย ความกลัวท่านหายไปหมด มีแต่ความอยากพูดถ่ายเดียว เพราะมันถึงใจเจ้าของจากการทำของเจ้าของเอง ทั้งเหตุที่ทำลงไปก็ถึงใจ ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็ถึงใจตามภูมิจิตภูมิธรรมของตัวเอง มันจึงพูดออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้านพูดเปรี้ยงๆ กับท่าน นี่ก็ได้เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังแล้ว
ถ้ามันเป็นมันรู้เห็นอยู่ภายในจิตจริงๆ ทำไมจะพูดไม่ได้ ต้องพูดได้ มันอยากพูดยิ่งกว่าอะไร ใจมันขยับตัวพับๆ ด้วยความกล้าหาญ เหมือนนักมวยคันมืออยากชกอยากต่อยนั่นแล ยิ่งเห็นครูบาอาจารย์ผู้ที่ตนเคารพเลื่อมใสเป็นที่ฝากเป็นฝากตายด้วยแล้ว ทำไมจะไม่อยากพูดกับท่าน เพราะครูบาอาจารย์ท่านเป็นที่ฝากเป็นฝากตายของเราแท้ๆ ต้องอยากพูดและต้องพูดอย่างจุใจกับท่าน เพราะเราไม่ได้พูดเพื่อความโอ้อวด เราพูดด้วยความจริงและความภูมิใจของเรา ขัดข้องตรงไหนให้ท่านบอกท่านแนะท่านจะว่าหนักเบาขนาดไหนยอมรับทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าธรรมแล้วต้องยอมธรรมจากครูบาอาจารย์ นอกจากกิเลสมันจึงไม่ยอมอะไรกับผู้ใด มีแต่จะสู้จะทำลายโดยถ่ายเดียว นี่หมายถึงความรู้ภายในใจของผู้ปฏิบัติ ถ้ารู้ขึ้นมาในใจแล้วต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกัน
เพียงขั้นสมาธิมันก็พูดได้ ยิ่งขั้นปัญญาสูงขึ้นไปโดยลำดับด้วยแล้วจะพูดไม่ได้ยังไง คิดดูเวลาท่านกำลังเจ็บป่วยหนักๆ ใครเข้าไปหาท่านได้เมื่อไร เรายังกล้าหาญเข้าหาท่านได้สบาย มันหากมีเรื่องจะพาให้เข้าหาท่าน ท่านนอนอยู่สบายเงียบๆ ตอนบ่ายๆ จิตของเรามันกำลังหมุนติ้วๆ ไม่มีเวลาว่างงานทั้งวันทั้งคืน บางคืนนอนไม่หลับเลย เพราะปัญหากับสติปัญญายังยุติกันไม่ได้ ภูมิจิตภูมิธรรมขั้นนี้ปัญหาต่างๆ จะไม่เกิดได้ยังไง มันต้องเกิด การต่อสู้กับกิเลสก็ต่อสู้กันทั้งวันทั้งคืนจะไม่ให้มีปัญหาได้ยังไง ก็กิเลสทั้งมวลมันเป็นตัวปัญหานี่ ธรรมจะฟาดฟันกับกิเลสทำไมจะไม่มีปัญหาต่อกันขึ้นมา มันจึงได้เรื่องเหล่านั้นแหละขึ้นมากราบเรียนท่าน จะเป็นเรื่องข้องใจก็กราบเรียนท่าน เป็นเรื่องความรู้ความเห็นเป็นที่แน่ใจแล้วก็กราบเรียนท่าน ให้ท่านเสริมต่อให้
ถ้าเราผิดตรงไหน ท่านก็แนะท่านก็บอก ที่ถูกตรงไหนแล้วท่านก็รับและเสริมต่อให้ ใจมันก็ยิ่งหนักมือลงไปเพราะแน่ใจว่าถูกต้องแล้ว เจ้าของก็แน่ใจอยู่แล้วด้วย ท่านผู้ผ่านไปแล้วพ้นไปแล้วเข้าใจรับรองให้ด้วยซ้ำลงไปอีก มันก็ยิ่งเพิ่มกำลังขึ้นไป ผมเคยรบกวนท่านอยู่เสมอ เวลาท่านเพียบทางร่างกายเราก็เพียบทางด้านจิตใจ เพราะตอนนั้นเราเพียบจริงๆ ทางจิตใจ จิตมันเข้าจุดรวมของมันนั่นแหละ มันจึงหมุนติ้วๆ ด้วยความเพียรและสติปัญญา ไม่มีเวลายับยั้งผ่อนคลายบ้างเลย เจ้าตัวผู้เป็นเวทีระหว่างกิเลสกับสติปัญญาต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันจึงแย่มาก เกือบเวทีพัง คือเกือบตายก่อนสติปัญญาจะชนะกิเลส
นี่ทำไมอยู่ด้วยกันนานแสนนานได้เรื่องได้ราวอะไรบ้าง ภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราวอย่าเข้าใจว่ามีความสบายนะ เพศเป็นแต่ชื่อว่าเป็นเพศที่สบายเฉยๆ ที่ไม่ได้ทำไร่ทำนาทำสวนซื้อถูกขายแพงเหมือนโลกเขา ถือเป็นเรื่องสบายเพราะไม่ได้ทำอย่างเขา นั่นเป็นเรื่องร่างกายต่างหาก ใจมันมีงานอยู่ตลอดเวลาจะเอาความสบายมาจากไหน งานของใจเป็นงานที่กิเลสมันบังคับให้ทำจะเอาความสุขมาจากไหน ถ้าไม่ใช่งานที่ธรรมบังคับให้ทำ
กิเลสบังคับเรามันยังบังคับได้ เรานำธรรมมาปฏิบัติ นำธรรมมาบังคับต่อสู้กับกิเลสทำไมเราท้อถอย ท้อถอยไปทำไม จะหวังเอาชัยชนะอะไรจากความท้อถอยอ่อนแอแพ้กิเลสเล่า แต่ก่อนก็แพ้อยู่แล้วยังจะถอยเพื่อแพ้หาอะไรอีก มันเลยแพ้ไปแล้วนี่ ไม่ใช่กิเลสจับใส่เปลโยนลงคลองไปแล้วหรือ ถ้ายังจะขืนถอยขืนแพ้มันอยู่อีก จงอย่าหวังกุสลา มาติกาจากกิเลส มันไม่มีให้เป็นแน่อย่าหวังๆ นอกจากจะสู้สุดเหวี่ยงเพื่อความชนะถ่ายเดียวเท่านั้น ความแพ้กิเลสมันดีเมื่อไร ถ้าดีโลกนี้วิเศษกันหมดแล้วสงสัยอะไร อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ครอบโลกธาตุอยู่แล้ว มันก็เหมือนกงจักรนั่นแล คำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่เหมือนกงจักรจะเหมือนอะไร เราสงสัยอะไรเวลานี้
ภาวนาให้จริงให้จังซินักปฏิบัติ ให้มันเห็นประจักษ์ ธรรมอยู่ที่ใจแท้ๆ เดี๋ยวนี้กิเลสมันครอบอยู่ที่ใจ กิเลสแทนธรรม ธรรมหาที่แทรกไม่ได้เพราะกิเลสบีบบังคับกีดกันไว้ไม่ให้แทรก เพียงแต่ขั้นสงบก็แทรกไม่ได้ จะทำความเพียรมันก็บังคับไว้กลับให้เป็นความเพียรของกิเลสไปเสีย ไม่ใช่ความเพียรเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อฆ่ากิเลส แต่กลับเป็นความเพียรของกิเลสสังหารธรรมไปเสียอย่างนี้ เอา พากันพิจารณาดูให้ดีตามนี้ซิ เราบังคับเราเพื่อความดีสำหรับเราเองจะเป็นอะไรไป
ร่างกายนี้มันก็จะแตกอยู่แล้วไม่กี่วันกี่เดือนกี่ปีนี้ เราหวังเอาอะไรจากกันมันก็เป็นร่างของมันอยู่เพียงแค่นี้ ถึงวาระของมันแล้วใครจะรั้งมันไว้ได้ ต้องพังลงด้วยกันทั้งนั้นแหละ แล้วอะไรที่เป็นสาระสำคัญนอกจากใจที่ไม่ต้องแตกต้องดับเหมือนสิ่งทั้งหลายเท่านั้นในตัวคน แต่สิ่งที่แทรกอยู่ที่ใจนั้นคือยาพิษน่ะซิ มันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไปอีกถ้าไม่รีบถอนยาพิษเสียแต่บัดนี้ ฉะนั้นจงเอาธรรมขับไล่เข้าไป สมถธรรม วิปัสสนาธรรม สมาธิธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม แทรกลงไปแฝงลงไปขับไล่มันออกไป นี้แหละตัวภัย จงขับออกให้พ้นตัวพ้นใจจะหมดภัย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ร่ำไปดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่นี้
การทำความเพียรต้องฝืนผู้ปฏิบัติ ต้องฝืนกิเลส ไม่ฝืนกิเลสจะฝืนอะไร สิ่งที่ให้ฝืนมีแต่กิเลสทั้งนั้น เพราะกิเลสมันฝืนธรรม กิเลสมันเป็นข้าศึกต่อธรรม กิเลสเต็มตัวเราทำไมจะไม่ฝืนธรรม เพราะจิตไปฝ่ายกิเลสอยู่แล้วโดยหลักธรรมชาติ ทีนี้เราฝืนกิเลสเพื่อคล้อยตามธรรมเพื่อปฏิบัติตามธรรม นำธรรมเข้ามาแก้กิเลสปราบกิเลสก็ต้องฝืนน่ะซิ เอ๊า ถึงไหนถึงกัน ตายก็ให้ตายไปซิ ในโลกนี้มันเว้นได้เมื่อไรป่าช้าเต็มไปหมด เขาทุกข์เขาลำบากเพื่อกิจการงานอื่นๆ เขาก็ตาย เราทุกข์ลำบากเพื่อการถอดถอนกิเลสฟาดฟันกิเลส จะตายก็ให้เห็นกับตัวเราเองดูซิ อะไรจะตายก่อนตายหลังก็ให้รู้กัน
สุดท้ายกิเลสนั่นแหละตาย ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ตาย จงกล้าทำลงไปจนได้เห็นความสามารถของตัวเองบ้างซิผู้ปฏิบัติธรรมน่ะ นี่มองหาสาระสำคัญของตนอันเป็นที่ภูมิใจในความพากเพียรการต่อสู้ ตลอดผลแห่งการต่อสู้ไม่เจอบ้างเลยนี้ทำยังไง เราจะเอาอะไรเป็นที่อบอุ่นเย็นใจ อย่างน้อยก็ให้เห็นสาระสำคัญของเราในการต่อสู้กับกิเลสบ้างซิ จะสมนามว่าเป็นนักบวชนักปฏิบัติธรรมตามรอยพระบาทของศาสดาองค์เอก ด้วยการต่อสู้ ด้วยชัยชนะ
ภาคปฏิปทาเวลาเด็ดก็ต้องเด็ด เอาจริงเอาจัง เวลารู้เห็นธรรมก็เป็นแบบเดียวกันนั่นแหละ มีอย่างเด็ดอย่างขาดอย่างถึงใจเหมือนกันกับประโยคแห่งความเพียรนั่นแหละ ความอาจหาญนี่ละเป็นสารคุณเป็นหลักใจสำคัญในการต่อสู้ ว่าเราเคยชนะมาแล้วด้วยวิธีการเหล่านี้ และวิธีการนี้แหละที่จะต่อสู้ในกาลต่อไปเพราะเป็นพยานแล้ว ผลก็เป็นต้นทุน อย่าว่าแต่เหตุเป็นต้นทุนเป็นพยานเลย ต่อไปก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป และจงทราบ ความเหนียวแน่นไม่มีอะไรเหนียวแน่นยิ่งกว่ากิเลส ไม่มีอะไรจะเหนียวแน่นและแก้ยากถอดถอนยากยิ่งกว่ากิเลสภายในใจของสัตว์โลก ตัดไม่ขาดได้ง่ายๆ ดีไม่ดียื่นด้ามดาบให้มันตัดหัวของเราด้วยซ้ำ เพราะความฉลาดแหลมคมไม่ทันมัน แม้นักปฏิบัติธรรมก็เถอะ ฉะนั้นจงอย่าภูมิใจและหยิ่งว่าตัวเป็นพระปฏิบัติ เท่าที่สังเกตเรื่อยมาในวงแคบๆ นี่แล ไม่ต้องพูดอื่นไกลที่ไหนละ
มองไปที่ไหน ผู้ใด องค์ใด หลวงตาบัวตัวเก่งด้วย มันเห็นแต่กิเลสเหยียบหัวคน เหยียบหัวพระเหยียบหัวเณรกรรมฐานเต็มไปหมดโดยไม่เลือกกาลสถานที่ ไม่เห็นพระกรรมฐานเหยียบหัวกิเลสได้หมอบราบกราบไหว้บ้างสักตัวสองตัวเลย ทั้งร้อยทั้งพันทั้งหมื่นทั้งแสนของกิเลสก็มีตั้งแต่ ต่างตัวต่างปีนกันขึ้นเหยียบหัวพระหัวเณรกรรมฐานอย่างเดียว น่าอับอายขายหน้า กิเลสเป็นแสนๆ เหยียบหัวขนาดนั้นยังสนุกสนานอยู่แบบทองไม่รู้ร้อนได้หรือ ยืน เดิน นั่ง นอน บรรดาอิริยาบถต่างๆ แม้ขณะภาวนาก็ให้มันขึ้นมันเหยียบอยู่นั่นแล
เราก็เหยียบมันให้ตายสักตัวสองตัวบ้างเป็นไร อย่างน้อยก็เหยียบหัวหลานแหลนของมันบ้างก็ยังนับว่าไม่เสียลวดลาย เมื่อยังไม่สามารถเหยียบตัวใหญ่ๆ ได้ก็เหยียบเหลนมันแหลกให้เห็นบ้างซิ และเหยียบเหลนมันเหยียบหลานมันและเหยียบลูกมันเข้าไป ฟันหัวแม่มันลงไป ฟันหัวพ่อมันลงไป ฟันหัวปู่ย่าตายายของกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปให้เห็นเป็นไร ผลแห่งการฟันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจด้วยปัญญานั้น จะแสดงตัวเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อย่างไรบ้าง จะได้รู้เห็นประจักษ์ใจของนักปฏิบัติ ที่กิเลสเหยียบหัวเรามาโดยลำดับนั้นมันอัศจรรย์ที่ตรงไหน เอามาเทียบกันบ้างซินักปฏิบัติ อยู่แบบเซ่อๆ ซ่าๆ อ้าปากให้กิเลสเอาของดีภายในไปกินจวนจะหมดอยู่แล้วอย่างไรกัน ไม่เสียดายบ้างหรือ โลกทั้งโลกเขารักสงวนและเสียดายกัน เราทำไมปล่อยให้กิเลสเอาไปกินแบบไม่สนใจอะไรกันอย่างนี้ สติมีจงตั้งขึ้น ปัญญามีจงพิจารณาอย่าอยู่แบบคนสิ้นท่า อย่างไรจะเอาตัวรอดพ้นไปได้จงขวนขวายอย่านอนใจ จะหมดลมหายใจไปก่อน
เราโง่ขนาดไหน แม้แต่เหลนๆ ของกิเลสก็ให้มันเหยียบหัวได้ไม่มีท่าทางอะไรเลย เหมือนเป็นของตายคอยมันอยู่แล้ว หลานกิเลสเหลนกิเลสที่ไหนก็ขึ้นเหยียบเอาๆ ลูกกิเลสโผล่ขึ้นมาก็เหยียบเอาๆ อย่าว่าแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายมันเหยียบมันขี้รดอยู่ทั้งวันทั้งคืนเลย แม่แต่ลูกๆ หลานๆ เหลนๆ มันก็ยังขี้รดเยี่ยวรดเราได้อย่างสบายไม่มีท่าต่อสู้ขัดขวางมันบ้างเลย เอ๊า สู้มันซิ จะได้เหยียบลูกเหยียบหลานเหยียบเหลนมัน ฟันหัวลูกหลานเหลนถึงพ่อถึงแม่ โคตรแซ่ปู่ย่าตายายของมันให้แหลกแตกกระจายไปจากใจ และเผาศพมันด้วยไฟคือตปธรรมให้เรียบไปเป็นไรวะ
เอ้า เพียรลงที่นี่ ที่ใจดวงนี้ ดวงที่เคยเป็นห้องน้ำห้องส้วมให้กิเลสขับถ่ายตลอดมานี้ จะกลายเป็นจิตชนิดใดขึ้นมาในใจดวงนั้นจะได้รู้กับเราเอง เมื่อธรรมได้เข้าครองใจแล้ว เริ่มตั้งแต่ขั้นสมาธิธรรมขึ้นไปถึงปัญญาธรรมขั้นนั้นๆ ตลอดถึงวิมุตติธรรมเต็มหัวใจแล้ว อะไรที่นี่จะเลิศยิ่งกว่าใจดวงนี้ ก็รู้เห็นชัดเจนละซิ ใครมีอำนาจมาปิดกั้นได้เมื่อไร นอกจากกิเลสอย่างเดียวเท่านั้นปิดกั้น เมื่อถอดถอนกิเลสออกหมดแล้วก็รู้เองเห็นเอง ไม่ถามใครให้โง่เพราะเคยโง่มาเต็มประดาจนเบื่อพอแล้ว ความเลวร้ายของกิเลสเป็นอย่างไร และความเลิศประเสริฐของธรรมเป็นอย่างไรในใจดวงเดียวนั่นแหละ เมื่อธรรมเข้าแทนที่แล้ว คราวนี้เป็นธรรมสมบัติเป็นอัตสมบัติขึ้นมาเป็นยังไงที่นี่ สนฺทิฏฺฐิโก มิใช่โมฆธรรม จะแสดงขึ้นกับตัวเองนั่นแล
นี่ซิผู้ปฏิบัติ ควรมีแก่ใจขะมักเขม้นอดทนให้มากซิ เรื่องภายนอกเพียงอาศัยไปชั่วกาลชั่วเวลาเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการประกอบความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสภายในใจ ทุกระยะให้จิตพร้อมด้วยสติปักลงจุดนี้อยู่เสมออย่าได้ลืมตัว ถ้าลืมตัวแล้วก็เหลวไหลไปไม่รอดนะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน นี่เคยบอกเคยเตือนเสียยิ่งกว่าเคยจนระอาใจในบางครั้ง
นี่ก็อ่อนเพลียไปเรื่อยๆ เป็นไปตามวัยเป็นไปตามโรค คิดดูตั้งแต่ออกพรรษามาแล้วนี้ไม่ค่อยได้ประชุมอบรมหมู่เพื่อนเหมือนแต่ก่อนเลย ก็เพราะสุขภาพไม่อำนวยนี่เป็นหลักใหญ่ วันไหนคิดว่าจะประชุม พอสังเกตดูตัวเองก็ไม่สะดวกเสีย ก็ต้องงดไปๆ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยงดการประชุมนานถึงขนาดนี้ ในการอบรมหมู่เพื่อนปีนี้รู้สึกว่าได้งดมาเสียนาน เรื่องการงานยุ่งเหยิงวุ่นวายก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เราปลีกได้สิ่งเหล่านั้น แต่ปลีกไม่ได้ก็คือโรคภายในตัวเรา อยู่เฉยๆ เวลามันจะเป็นก็เป็นขึ้นมา เมื่อมีอากาศอบอ้าวบ้างอะไรบ้างมักจะกำเริบได้ง่าย เมื่อเป็นขึ้นมาก็ขาดกิจที่เราจะต้องทำ ต้องเอนไปตาม คล้อยไปตามมันโรคอันนี้ ไม่คล้อยตามก็เป็นจริงๆ หมู่เพื่อนก็ให้เอาเทปไปฟังแทน เพราะได้เทศน์ไปมากมายก่ายกองอยู่แล้ว เครื่องเทปก็มีมาก ฟังด้วยความสนใจจดจ่อ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสที่เป็นตัวภัยออกจากจิตใจ ให้ใจได้มีความสง่าผ่าเผยด้วยอรรถด้วยธรรมขึ้นโดยลำดับ
ที่พึ่งในโลกอันนี้จะมีอยู่จุดใดเป็นจุดที่ภูมิใจที่สุด เราจะเห็นได้ชัดเจนภายในใจของผู้ปฏิบัติที่ได้สมาธิสมบัติปัญญาสมบัติและวิมุตติสมบัตินั้นแล จะไม่ได้จากจุดใดเลย หากผู้ปฏิบัติธรรมได้ดำเนินให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจะมาทราบกันที่จุดนี้ โลกกว้างแสนกว้างไม่มีจุดที่พอปลงจิตปลงใจลงได้ด้วยความตายใจ ไม่ต้องระแวงทุกข์มากน้อยจะแทรกจะโผล่ขึ้นมา มันมีจนได้ทุกแห่งหนบุคคลไป ทั้งนี้ไม่ได้ประมาทโลกแต่พูดตามความจริงของธรรม
เราเคยอยู่ในโลกมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าควรจะปลงใจลงได้ในจุดใดว่าเป็นความสุขความสบาย เราก็ปล่อยก็ปลงมานานแล้ว เพราะเราอยากจะปล่อยจะปลงใจลงสู่ความสุขความสบายกับโลกนี้มานาน แต่ส่วนมากมันไปเจอแต่สิ่งที่กลัวๆ ไม่ประสงค์นั่นแล มากกว่าจะเจอสิ่งพึงหวัง โลกเสาะแสวงหากันยุ่งไปหมด ไม่ใช่หาจุดหมายปลายทางหาความสุขความสบายเป็นที่ปลงจิตปลงใจไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมมันปลงไม่ได้ ปลงไม่ลง เพราะมันไม่มีที่ปลงเนื่องจากหัวใจไม่พาให้ปลง หัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ภายในตัวแล้วจะไปปลงที่ไหนมันก็เป็นไฟทั้งกองอยู่นั้นปลงลงได้ยังไง ถ้าไม่ดับไฟที่ตรงนี้แล้วปลงที่ไหนก็ปลงได้ เพราะจิตปลงตัวเองเรียบร้อยแล้ว เริ่มแต่สมาธิธรรม ปลงลงได้โดยลำดับ ปัญญาธรรมจนถึงขั้นวิมุตติธรรมปลงได้หมด เรียบ สบาย สุดท้ายก็อยู่ที่จุดนี้
เราจะไปหาปลงใจลงที่ไหนที่เป็นที่แน่ใจไว้ใจได้ นับแต่น้อยเปอร์เซ็นต์ไปจนกระทั่งถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มบริบูรณ์ ถ้าไม่ปลงลงที่นี่ไม่มีที่ปลง โลกกว้างแสนกว้างมันก็เป็นดินฟ้าอากาศไปอย่างนั้น แต่จิตใจนี่ซิมันแผ่กระจายความทุกข์ความลำบากไปเพราะคำว่าโลกกว้างแสนกว้างนั่นแหละ แตกแขนงออกไปมากขนาดไหนพอๆ กันหรือยิ่งกว่านั้นไปอีก ถ้าไม่ปลงลงที่จิตนี้ไม่มีที่ปลง ไม่มีที่เหมาะสม ไม่มีที่ตายใจได้ไว้ใจได้ จงพยายามหาที่ปลงให้ได้ด้วยความพากเพียรของเราเอง จะเหมาะยิ่งกว่าการหวังพึ่งใครๆ ในโลก
จงยกขึ้นเสมอพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าท่านปลงที่ไหนกัน ธรรมได้ปรากฏขึ้นให้โลกกราบไหว้บูชา ก็เพราะจุดนี้เท่านั้นเป็นที่ปลง พระพุทธเจ้าฆ่ากิเลสหมดแล้วธรรมก็เต็มดวงขึ้นมาที่นี่ พระสงฆ์ก็เหมือนกัน สรณํ คจฺฉามิ ให้ถึงจุดนี้ซิเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องกิเลส สรณํ คจฺฉามิ อยู่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องปล่งวาจา มันหากเป็นอยู่ภายในจิตใจ มีแต่หมอบราบ สรณํ คจฺฉามิ กับกิเลสอยู่ตลอด จะหาอรรถหาธรรมมา สรณํ คจฺฉามิ ที่ไหนมี ก็เหลวไหลน่ะซิผู้ปฏิบัติ
ธรรมของพระพุทธเจ้าค้านได้ที่ไหน หาที่ค้านไม่ได้ ยังเหมือนองค์ศาสดาประทับอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา สำคัญตรงนี้น่ะซิ ความจริงนั่นแหละคือศาสดาแท้ ความจริงแห่งองค์ศาสดาแท้คือความบริสุทธิ์ อันนี้บริสุทธิ์ยังไงนั้นก็ฉันนั้น เรื่องภายนอกเป็นเพียงปริยาย ความบริสุทธิ์คือองค์ศาสดาแท้ ร่างกายนี้เป็นเรือนร่างต่างหากไม่ใช่องค์ศาสดาที่แท้จริง นั่นเป็นเรือนร่างของศาสดา จึงมีการล้มหายตายจากไปเป็นธรรมดา นิพพานที่โน่นที่นี่เป็นเรือนร่างของตถาคต เป็นเรือนร่างของพุทธะ พุทธะแท้นิพพานที่ไหน สมมุติใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องได้ไม่มี โลกว่าสูญก็สูญไปแบบโลก นิพพานไม่ได้สูญแบบโลก ไม่ได้มีอยู่แบบโลกนี่ โลกจะเข้าไปถึงได้อย่างไงเท่านั้นเอง เพราะนั้นไม่ใช่แบบโลกที่งมเงากันนี่
จงตั้งใจปฏิบัติให้เห็นจริง พูดเหมือนหลอกกันเล่นว่ะ เมื่อถึงความจริงแล้วมันคำเดียวกันนั่นแหละ ไม่มีคำสองคำสามอะไรอีก ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงอันเดียวกัน ลงถึงใจเต็มที่แล้วก็เหมือนกันหมด พระพุทธเจ้ากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์เป็นความจริงอันเดียวกันหาความสงสัยไม่ได้ สงสัยอะไรท่าน ถ้าไม่สงสัยอันที่รู้อยู่นี่ จะไปสงสัยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่ไหนอีก พระสงฆ์ก็เป็นกิริยาของธาตุขันธ์ต่างหาก พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้ารวมแล้วอยู่ในธรรมแท่งเดียวกัน เท่านั้นพอ ไม่ต้องหางมเงา
ก่อนหน้านี้ก็พูดแล้วว่า มองไปทางไหนมีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวพระหัวเณรเต็มวัดเต็มวา ไม่ว่าเฒ่าว่าแก่ว่าหนุ่มว่าอะไร ถูกกิเลสมันกัดมันฟัดมันเหวี่ยงล้มกลิ้งพลิกไปพลิกมาเหมือนหมากัดกัน มันน่าโมโหนะผู้เป็นครูอาจารย์ที่ฝึกซ้อมให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ เมื่อมองไปทีไรเห็นแต่กรรมฐานเคลื่อนที่เป็นกระสอบให้กิเลสต่อยเอาเตะเอาอยู่ทุกอิริยาบถเช่นนั้น เดินจงกรมก็กลิ้งอยู่กับทางจงกรม นั่งภาวนาอยู่ก็กลิ้งกับที่นั่ง ภาวนาท่าใดก็กลิ้งอยู่กับภาวนาท่านั้น เดินไปไหนมีแต่กิเลสเหยียบหัวกัดแหลกกลิ้งกันอยู่ตลอดเวลา ทำไมจะไม่โมโห
เหมือนกับครูมวยเขาฝึกมวยศิษย์เสียจนเต็มที่ กำลังวังชาทั้งหลักวิชาทุกด้านฝึกให้จนหมดพุง แต่เวลาขึ้นเวทีกลับไปเป็นกระสอบให้เขาต่อยเขาเตะอยู่ปึ๋งๆ มันจะไม่โมโหได้ยังไงครูมวยน่ะ ก็เวลาสอนไม่ได้สอนให้เป็นกระสอบนี่นะ แต่กลับให้เขาตีต่อยเอาข้างเดียวไม่ตายแล้วเหรอ มันก็โมโหน่ะซิครูมวย ก็ลูกศิษย์ขึ้นไปเป็นกระสอบให้เขา ไม่ว่าเขาจะเตะจะศอกจะเข่าอะไรก็โอนโน่นโอนนี่อยู่อย่างนั้น ทำไมครูมวยที่ฝึกลูกศิษย์ของตนเต็มฝีมือแล้ว แต่ขึ้นไปให้เขาต่อยเหมือนกระสอบนั้นจะไม่โมโหล่ะ
อันนี้ก็เหมือนกันน่ะซิ เราก็สอนหมู่เพื่อน สอนเต็มที่เต็มฐานสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ดูอิริยาบถไหนก็มีแต่กิเลสมันตบมันต่อยตีตกเวทีตลอดเวลา มันอะไรกันนี่ น่าโมโหจริงๆ เพราะวิชาที่จะต่อยให้กิเลสหงายท้องมันมีอยู่นี่ วิชามวยก็เหมือนกันที่จะต่อยให้คู่ต่อสู้มันหงายก็มีอยู่ วิชาธรรมก็มี ทำไมจึงไม่มีทางต่อยกิเลสบ้าง ปล่อยให้กิเลสต่อยเอาๆ ยังพอมีหนังเหลืออยู่ไหม ดูมันถลอกปอกเปิกไปหมด ไม่รู้ว่ากลิ้งไปกี่พลิกกี่ตลบ มีแต่กิเลสต่อยเอาฝ่ายเดียวมันน่าโมโห ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ กิเลสกับเรามันไม่ทันมันนี่นะ
ทั้งนี้พูดเป็นข้อเปรียบเทียบให้ฟัง คือ กิเลสมันเร็ว มันแหลมคม ไม่ทันมันง่ายๆ เอ้า เรียนวิชาให้เหนือมันซิทำไมจะไม่รู้มันล่ะ กิเลสตัวนี้มันเคยอยู่ในหัวใจเรามาพอแล้วนี่นะ และถูกปราบแหลกไปเพราะวิชาใดทำไมจะไม่รู้เรื่องของมัน นั่นน่ะซิที่โมโหน่ะ พระกรรมฐานเป็นกระสอบให้มันต่อยเอาๆ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนครูอาจารย์น่ะ มองไปที่ไหนองค์ใดเห็นแต่ถูกต่อยเป็นกระสอบ มองไปที่ไหนเห็นแต่เศษกรรมฐานเคลื่อนที่ให้กิเลสต่อยเอาๆ ทุกขัง มันน่าโมโหอย่างถึงใจนี่นะ
เวลากิเลสต่อยเราก็ต่อยมาพอแล้ว เวลาเราต่อยมันก็ไม่ลืมนะ เวลากิเลสมีอำนาจมันเอาจริงๆ แหม มันกล่อมได้ มือไม้จิตใจอ่อนเปียกไปหมด มันร่ายมนต์เป่าไม่ถึงพรู๊ดอย่างนี้หรอกนะ เพียงมันร่ายมนต์เท่านั้นเราก็ล้มระนาวไปแล้ว มนต์ของกิเลสมันเก่งมากขลังมากนะ พอตั้งตัวได้ร่ายมนต์ธรรมะขึ้นมา ร่ายมนต์สติธรรม วิริยธรรมขึ้นมา ขันติธรรมขึ้นมา ต่อจากนั้นก็ร่ายปัญญาธรรมขึ้นมา เอาละที่นี่ เริ่มมีแพ้มีชนะขึ้นมาบ้างพอมีแก่ใจ ได้กำลังใจขึ้นมา มันล้มเพราะหมัดเรามีนะ คราวนี้ต่อยมึงล้ม คราวหลังเตะมึงล้ม คราวหลังก็ใส่ปั๋งล้ม โอ้ มันก็ล้มด้วยเท้ากูเหมือนกันอย่าว่าแต่กูล้มด้วยเท้ามันเลย กูล้มด้วยศอกมัน มันก็ล้มด้วยศอกกูเหมือนกัน กูล้มด้วยเข่า มันก็ล้มด้วยเข่ากูเหมือนกัน
เอาไปเอามา วิชาของมันที่เคยเอากับเราล้มนั้น เราก็เอาวิชาของเราล้มมันและเหนือมันอีก เหนือไปโดยลำดับ เอาละที่นี่ กิเลสตัวไหนมันจะโผล่ขึ้นมา โผล่ขึ้นมาก็แหลก ถึงขั้นสติปัญญาอันเกรียงไกรแล้วกิเลสหมอบ กิเลสหมอบก็คืออุบายของกิเลสนั่นแล แสดงว่าเรายังไม่ทันมัน ต้องหาเวลาให้มันโผล่ขึ้นมาเสียก่อน มันหมอบจึงไม่เห็นมัน เราก็คุ้ยเขี่ยขุดค้นหา เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมา การคุ้ยเขี่ยเป็นวิชาธรรม สติปัญญาคุ้ยเขี่ยจนกิเลสโผล่ขึ้นมาจนได้ ฟาดฟันจนแหลกๆ จนเรียบวุธภายในจิต อะไรจะมาโผล่ที่นี่ เอาจนน็อกหรือตายไปเลย ไม่ต้องให้มันฟื้นแหละ หามลงไปแล้วตายไปเลย นั่นเรียกว่านักรบชั้นเอก ไม่ใช่เอกมีนัยน์ตาข้างเดียว
พวกเรานี่มีแต่เอกตาเดียว มีนัยน์ตาข้างเดียวจึงถูกกิเลสต่อยเอาๆ จนเบื่อจะทนดู ต้องให้เอกแบบไม่มีคู่ต่อกรซิ ถึงจะเรียกว่าเอกแท้ ความเพียรก็เอก ความทรหดอดทนก็เอก สติปัญญาก็เอก ธรรมสมบัติที่ได้ครองภายในใจก็เอก แต่ไม่หาแข่งกับใคร อยู่อย่างสบายหายห่วง เสวยผลของการต่อสู้ไม่มีวันหมดสิ้นไปตลอดอนันตกาล ฉะนั้น จงพากันตั้งใจใฝ่ฝันในธรรมอันเอกซึ่งรอคอยผู้มีความเพียรอยู่แล้ว
เอาละจบเสียที |