อริยสัจใหม่เอี่ยมอยู่ในจิต
วันที่ 25 มิถุนายน 2524 เวลา 19:00 น. ความยาว 47.51 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๔

อริยสัจใหม่เอี่ยมอยู่ในจิต

 

        ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นของพระองค์ใด  ย่อมมีแบบฉบับความจริงตายตัวอันเดียวกัน เป็นธรรมที่ละเอียดอ่อนสุขุมมาก ด้วยเหตุนี้ผู้จะปฏิบัติตามซึ่งเป็นความเคยชินมาจากสิ่งที่หยาบโลนฝังใจอยู่แล้ว จึงต้องฝืนกันทุกระยะของการปฏิบัติตามหลักธรรม  ไม่ฝืนก็ไม่เรียกว่าเราชำระสะสางสิ่งที่สกปรกซึ่งเคยฝังจมอยู่ภายในใจมาเป็นเวลานาน เพราะสิ่งที่เคยฝังจมอยู่นานๆ นั้น ย่อมแก้ยาก ถอดถอนยาก ถ้าพูดถึงการชะล้างก็ชะล้างยาก ประหนึ่งว่าเป็นเลือดเนื้ออันเดียวกันกับใจ

        การปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมจึงต้องได้ทุ่มเทกำลังลงเต็มความสามารถ เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชเรา จะนำนิสัยของโลกมาใช้มันก็เป็นโลกไปเสีย เพราะนิสัยนั้นออกมาจากรากเหง้าเค้ามูลแห่งความสกปรก คือกิเลสที่ฝังจมอยู่ภายในใจ อากัปกิริยาการแสดงออกของจิตไม่ว่าจะเป็นแง่ใด เป็นไปตามวิสัยของกิเลสที่ฝังจมอยู่นั้นทั้งนั้น เราอย่าว่าแทบทั้งนั้นเลยว่าทั้งนั้น

        นี่ตามปรกติของผู้ไม่ได้รับการอบรมทางด้านศีลธรรม และไม่มีการแก้ไขดัดแปลงตนบ้างเลย  ย่อมมีแต่เรื่องของกิเลสอาสวะออกแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา  จากนั้นก็ออกมาทางกายทางวาจาความประพฤติ การปฏิบัติจึงต้องฝืนกัน สิ่งใดไม่ฝืนในขั้นเริ่มแรกนี้ สิ่งใดไม่ฝืนสิ่งนั้นเป็นกิเลสทั้งมวล เว้นเสียแต่จิตที่มีขั้นภูมิอันละเอียด มีความดูดดื่ม เห็นโทษเห็นคุณภายในจิตใจเป็นลำดับลำดาขึ้นไป จนถึงขั้นเห็นโทษเต็มใจ เห็นคุณเต็มใจแล้ว อันนั้นไม่ได้ฝืน มีแต่การดูดดื่มทางความดี ความเพียรทุกประโยคเป็นไปด้วยความจงใจ  เป็นไปด้วยความดูดดื่ม  เป็นไปด้วยความเห็นโทษเห็นคุณอย่างแท้จริง  สำหรับขั้นเริ่มแรกนี้ ร้อยทั้งร้อยต้องได้ฝืนกัน พวกเรานี้พวกร้อยทั้งร้อย จะไม่ฝืนอย่างไร

        การมาบวชก็คือการแสดงเจตนาของตนอย่างเต็มที่  ตนเองก็รู้ คนอื่นก็รู้ ว่าจะมาบำเพ็ญคุณงามความดี  ในขณะเดียวกันก็เป็นการมาชำระสะสางสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย  ซึ่งอย่างน้อยก็ฝังอยู่ภายในจิตใจอยู่แล้วให้หมดไปโดยลำดับ ด้วยเหตุนี้จึงต้องได้ระมัดระวังตั้งสติคอยจดจ้องดูแลตนอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นก็เป็นไปในทางต่ำ  เพราะกระแสของจิตที่จะไหลลงทางต่ำนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด  พอเปิดช่องก็ไหลไปเลย เช่นเดียวกับน้ำไหลลงทางต่ำ

        อำนาจของกิเลสซึ่งเป็นฝ่ายต่ำนั้นมีความดึงดูดรุนแรงมาก ด้วยเหตุนี้จึงต้องได้ฝืนกันอย่างรุนแรง ไม่ฝืนบ้างเลยไม่มีทางที่จะเป็นคนดีได้  เฉพาะอย่างยิ่งที่จะให้จิตได้มีความสงบสุขเป็นที่น่าชื่นชมภายในตนเองนี้ จะไม่ปรากฏเลยถ้าไม่มีการฝืนกัน  เพราะกำลังของกิเลสมีมากดึงดูดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำว่ากาลสถานที่อิริยาบถ แต่เป็นธรรมชาติที่ดึงดูดอยู่ภายในตัวเอง ให้จิตได้ติดแนบอยู่ในนั้น ดีดตัวออกมาไม่ได้ การที่จะดีดตัวออกมาได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ นั้นต้องอาศัยการฝืน การประพฤติปฏิบัติต่อหลักธรรมอันเป็นทางถูกต้องแล้วที่จะแก้สิ่งเหล่านี้ออกไปได้โดยลำดับ เมื่อเห็นเป็นทางที่ถูกก็ต้องอุตส่าห์พยายามทำ

        โลกเขามีงานประจำตัวของเขาทุกๆ คน ไม่มีใครจะนอนอยู่เฉยๆ ในโลกนี้ เพราะธาตุขันธ์ความจำเป็นมีความบกพร่องต้องการอยู่ตลอดเวลา ต้องได้หามาเยียวยา นอกจากนั้นก็ยังเป็นไปเพราะอำนาจของกิเลสเป็นเครื่องดึงดูดหรือฉุดลากไปอีก ให้ทะเยอทะยานฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนเลยความพอดิบพอดี  กลายเป็นเรื่องโกยทุกข์เข้ามาเผาลนตนเองขึ้นอีกมากมาย โดยที่ตนเองก็ไม่ทราบว่านั้นคือความผิดเครื่องทำลายตนเอง

        นี่พูดถึงเรื่องการงานของโลก  ทุกข์ยากลำบากก็ต้องได้ถูไถกันไปไม่ว่าคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด จำเป็นต้องทำงาน จำเป็นต้องฝ่าฝืน จำเป็นต้องสมบุกสมบันในงานนั้น ๆ  ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะเยียวยารักษาธาตุขันธ์ หรือความเป็นอยู่ให้สืบต่อกันไปได้ตามความต้องการ  นี่พึงทราบว่าโลกมีงานอยู่อย่างนั้น

        ที่นี่ทางด้านธรรมะ คือผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ทรงธรรม เฉพาะอย่างยิ่งนักบวช เป็นผู้ทรงธรรมโดยตรง เป็นผู้ปฏิบัติธรรมโดยตรง  และงานของนักบวชคืองานของพระนี้เป็นงานประเภทใด   ก็ย่อมเป็นไปตามเพศของพระ   ซึ่งก็เรียกว่างานอันหนึ่งเหมือนกัน  นี่เราได้ตั้งหน้าตั้งตามาแล้ว พร้อมทั้งการประกาศให้โลกได้ทราบตลอดทั่วถึงว่าเราเป็นนักบวช  ได้ปฏิญาณตนเพื่อความเป็นพระแล้วตั้งแต่วันบรรพชาอุปสมบททีแรกเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้  ตัวเราก็รู้ได้อย่างชัดเจน งานประจำเพศของเราประจำหน้าที่ของเราคืออะไร

        ก็คือการชำระสะสางกิเลสประเภทต่างๆ ซึ่งหมักหมมอยู่ภายในจิตใจ  อันไม่ทำให้เกิดความสุขความสบายอะไรแม้แต่นิดเดียวเลย แม้จะเกิดขึ้นบ้างก็เพื่อความทุกข์จะตามมาในขณะต่อไปนั้นเอง  งานของเราคืองานฝึกฝนทรมานจิตใจ ซึ่งเต็มไปด้วยพิษภัยภายในจิตใจ ตัวพยศคือกิเลสประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะมีมากน้อย เป็นตัวเสนียดจัญไร เป็นตัวพิษตัวภัยต่อจิตใจทั้งนั้น

        เราอย่าเข้าใจว่ากิเลสประเภทใดประเภทหนึ่งจะมาให้คุณแก่เรา พอที่จะนอนใจ ตายใจแล้วเคลิ้มหลับไปตามเพลงกล่อมของมันนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เคลิ้มหลับไปตามเพลงกล่อมของกิเลสว่าเป็นเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้ง ผลของมันจะทำให้ได้รับความสุขความสบาย ไม่ปรากฏในคัมภีร์ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากตำหนิติเตียนทุกประเภทของกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจ  จงถอดถอนมันออกเสียให้หมดเท่านั้น  เป็นที่พอพระทัยของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนด้วยพระเมตตาสุดส่วนไม่มีใครเสมอเหมือน

        งานของพระเป็นงานที่ละเอียดลออ เป็นงานตัวอย่างของตัวเองด้วย เป็นงานตัวอย่างของโลกให้ได้ยึดไปประพฤติปฏิบัติดำเนินตาม ตามขั้นภูมิของเขาด้วย  เราจึงไม่ควรจะพรวดพราด ๆ ทำอะไรโดยไม่มีสติสตัง แบบโลกๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ การทำสิ่งใดประกอบสิ่งใดต้องมีความระมัดระวัง มีสติมีปัญญารอบตัวอยู่เสมอในงานนั้นๆ เฉพาะอย่างยิ่งงานจิตตภาวนาจะปราศจากสติไปไม่ได้  นี้เป็นงานสำคัญมาก สติเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องติดแนบกับงานไปอยู่โดยสม่ำเสมอ

        ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์เพราะเราทำงาน จะนอนอยู่เฉยๆ ให้กิเลสตัณหาอาสวะมันตกพรวดพราดๆ ไปจากจิตใจกลายเป็นความบริสุทธิ์ขึ้นมาอย่างนั้น ไม่มีในรูปในนามในบุคคลคนใดในจิตดวงใด เราอย่าคิดให้เสียเวล่ำเวลา อย่าละเมอเพ้อฝันไปด้วยการวาดภาพต่างๆ อันเป็นเครื่องหลอกตนจากกิเลส อย่างไรที่จะเป็นไปเพื่อความสงบร่มเย็น เป็นไปเพื่อความสว่างกระจ่างแจ้ง  ด้วยความเพียรของตน  จะหนักเบามากน้อยเพียงไรให้ทุ่มเทลงไป

        การประกอบความเพียรจะได้รับความทุกข์ในการประกอบความเพียรทุกประโยคโดยความชอบธรรมนี้ จะเป็นผลให้เกิดความสุข  ไม่มีอันใดที่จะทำให้ล่มจมเสียหายไปเพราะความเพียรและความทุกข์นั้นๆ เลย เราจึงไม่ควรเสียดายความสุขความสบายเพียงอยู่เฉย ๆ  หรือปล่อยไปตามกิเลสมันไม่ใช่ทาง

        นี่นักปฏิบัติเราเป็นไปไม่ได้เพราะไม่ยอมฝืน ฝืนบ้างเล็กๆ น้อยๆ  ก็ให้กิเลสมาวาดภาพหลอกไปเสีย ฉุดลากไปเสีย ทำความเพียรเท่านั้นนาที เท่านี้ชั่วโมง  ความจริงไม่ทราบว่าสติมีอยู่กี่นาทีกี่วินาทีภายในความเพียรนั้น มันมีแต่ร่างของผู้สำคัญตนว่าประกอบความเพียร เคลื่อนไหวไปมาอยู่เท่านั้น  เช่น  เดินจงกรม ก็เคลื่อนไปเคลื่อนมา นั่งสมาธิอยู่ร่างกายไม่เคลื่อน เหมือนเดินไปเดินมา ไม่เคลื่อนเหมือนเดินจงกรม  แต่ก็เคลื่อนอยู่ด้วยความสัปหงกงกงันในอาการของกาย  และเคลื่อนด้วยความเป็นจิตที่เลื่อนลอยหาสติสตังปกครองรักษาไม่ได้  ในเมื่อเป็นเช่นนั้นผลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  ผลไม่ได้เกิดขึ้นจากความเซ่อๆ ซ่าๆ ความปล่อยไปตามอำเภอใจอย่างนั้น  แต่เกิดขึ้นด้วยความระมัดระวัง  การต่อสู้การพินิจพิจารณาในแง่ต่างๆ ที่จะเป็นอรรถเป็นธรรม  เพื่อเป็นการกำจัดกิเลสไปโดยลำดับ

        นั่งอยู่ก็ให้เป็นที่ภูมิใจด้วยความเพียรของตน เดิน ยืน นอน เว้นแต่หลับเท่านั้น ให้เป็นที่ภูมิใจในความเพียรของตนว่าตนได้ทำงานโดยสม่ำเสมอ ด้วยความมีสติ นี่จัดว่าเป็นความเพียร  แม้จะยังแก้กิเลสตัวใดไม่ได้ก็ตามผู้มีสติอยู่ภายในตัวนั้นแล  จะเป็นการสั่งสมกำลังทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาให้เกิดขึ้นได้  ถ้าไม่มีสติเสียอย่างเดียว เดินจงกรมทั้งวัน ฝ่าเท้าแตกก็แตกไปแต่ฝ่าเท้าเช่นเดียวกับเขาโดนสะดุดนั้นแล ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเจ็บเปล่าๆ  สติที่สัมปยุตไปด้วยความเพียรนั้นแล จึงจะเป็นผลเป็นประโยชน์

        นี่ได้เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังเสมอ เพราะได้ดำเนินมาอย่างนั้น เราพูดทุกแง่ทุกมุมถอดออกมาจากตับจากปอดจริงๆ มาแสดงให้หมู่เพื่อนฟังเพื่อเป็นที่ลงใจ เป็นที่แน่ใจไม่สงสัย  เพราะผู้แสดงนี้ไม่สงสัย  ความสงสัยที่เป็นมามากน้อย ก็ได้เป็นมาแล้วได้ผ่านมาแล้วด้วยการประพฤติปฏิบัติ หายสงสัยก็หายสงสัยด้วยข้อประพฤติปฏิบัติ ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจตามหลักธรรมนั้นๆ แล้ว หายสงสัยมาเป็นลำดับๆ จนเป็นที่แน่ใจ  และการสั่งสอนออกไปก็ไม่มีที่สงสัย ไม่ว่าจะเป็นธรรมขั้นใด เราสอนหมู่เพื่อนด้วยความเต็มอกเต็มใจ ด้วยความแน่ใจทั้งนั้น

        เพื่อจะให้ผู้ฟังทั้งหลายเป็นที่แน่ใจว่าธรรมไม่ใช่โมฆะ ศาสนธรรมไม่ใช่เป็นบ้านร้าง เป็นตลาดร้างไม่มีคน เป็นศาสนธรรมร้าง ไม่มีธรรม ไม่มีตัวจริงคือสมาธิ ไม่มีตัวจริงคือปัญญา  ไม่มีตัวจริงคือมรรคผลนิพพาน เป็นแต่เพียงศาสนธรรมอันร้างๆ เปล่าๆ หลอกโลกกันอยู่อย่างนั้นไม่ปรากฏในศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า  เต็มไปด้วยมรรค ผล นิพพาน เต็มไปด้วยสมาธิ เต็มไปด้วยศีล เต็มไปด้วยปัญญาทุกขั้น เต็มไปด้วยวิมุตติหลุดพ้น

        สำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติตามหลักแห่งสวากขาตธรรมแล้ว ผลจะพึงได้รับเป็นขั้นๆ ภูมิๆ ไปอย่างนั้นไม่สงสัยไม่ว่าครั้งใดสมัยใด  เพราะศาสนธรรมเป็นธรรมที่คงเส้นคงวาอยู่ด้วยความชอบ จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ประหนึ่งว่าพระองค์มาประทานพระโอวาทด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง อยู่ต่อหน้าเรานี้ อย่าทำอย่างนั้น ก็เหมือนอย่างพระองค์เปล่งพระวาจาออกมาเอง ให้ทำอย่างนั้น ก็เหมือนพระองค์รับสั่งออกมาด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง  นี่สด ๆ  ร้อน ๆ อยู่อย่างนี้

        จึงแน่ที่ท่านรับสั่งกับพระอานนท์ว่า ธรรมวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาแทนเราเมื่อเราได้ผ่านไปแล้ว  จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราในกาลที่เราล่วงไปแล้ว  รู้สึกว่าซึ้งเอาจริงๆ  ศาสดาก็คือแนวทางที่สอนไว้นี้สดๆ ร้อนๆ ไม่มีคำว่าเมื่อวาน ไม่มีคำว่าพรุ่งนี้ มะรืน เป็นความจริงอยู่ในปัจจุบัน  นำมาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสได้ในหลักปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ได้โดยไม่ต้องสงสัย เราจึงควรเน้นหนักในความเพียรให้มาก

        อยู่กันหมู่มากมันรวนเรนะ ผมผู้ปกครองรู้สึกว่าหนัก เพราะมองไปในแง่ใดมุมใดมันสะดุดๆ ไม่ได้ประมาทหมู่เพื่อน ไม่ได้ยกตนว่าสูงกว่าหมู่เพื่อน ไม่ได้อวดตนว่าฉลาดยิ่งกว่าหมู่เพื่อน  สิ่งที่ขัดต้องบอกว่าขัด  ในฐานะว่าเราเป็นอาจารย์ ที่จะแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนให้ถูกต้องดีงามทุกแง่ทุกมุมจนหาที่ต้องติไม่ได้  เรามีความมุ่งหวังอย่างนั้น จึงต้องพยายาม  มองเห็นพับเรื่องสติมันก็ต้องวิ่งตาม ปัญญาไตร่ตรองไป ตามการสัมผัสสัมพันธ์ในหมู่คณะ ไม่ว่าจะมองเห็นไม่ว่าจะได้ยิน  อันนี้ปิดไม่อยู่ เรื่องสติ เรื่องความคิด พินิจพิจารณาในแง่ต่าง ๆ  เกี่ยวกับหมู่เพื่อน

        เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบ เราเป็นผู้จะบำรุงส่งเสริมหมู่เพื่อน ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ดี จนกระทั่งหาที่ต้องติไม่ได้ ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ด้วยความเฉลียวฉลาดแหลมคมของตน นี่เป็นความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าภายในจิตใจ จึงไม่เคยเหลาะแหละ  ไม่ว่าจะแนะนำสั่งสอนในแง่ใดมุมใดต่อหมู่คณะ ไม่เคยเหลาะแหละ เอาจริงเอาจัง  เพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัยจริง ๆ สิ่งใดเป็นภัยต้องบอกทันที สิ่งใดเป็นคุณก็บอก จ้ำๆ จี้ๆ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เพื่อให้ถูกให้แม่นยำเข้าไปโดยลำดับ ๆ

        อะไรจะเป็นแบบฉบับที่ถูกต้องดีงามแม่นยำที่สุดยิ่งกว่าศาสนธรรม ในการดำเนินตามเพื่อความราบรื่นดีงามแก่เรา  จะเป็นขั้นใดภูมิใด  ไม่นอกเหนือไปจากหลักธรรมนี้เลย ซึ่งมีหลายขั้นหลายภูมิที่ผู้ปฏิบัติจะพึงนำไปปฏิบัติและได้รับผลตามสติกำลังความสามารถของตน  ถ้าเป็นสินค้าก็เรียกว่าห้างใหญ่ร้านใหญ่ มีทุกประเภทที่จะเลือกได้จากห้างร้านนั้นๆ ไม่ว่าธรรมขั้นใด ความสุขขั้นใด  ที่จะได้จากการปฏิบัติของตน  มีสมบูรณ์อยู่ภายในศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านี้ทั้งนั้น จึงควรรีบเร่งขวนขวายปฏิบัติในเวลาที่ได้อยู่กับหมู่กับคณะ อยู่กับครูอาจารย์ ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอยู่เวลานี้

        เรื่องโลกเป็นของอนิจจัง  ธาตุขันธ์ของเราเป็นของอนิจจัง  ไม่ใช่เป็นของเที่ยง  แน่นหนามั่นคงอะไร การเปลี่ยนแปลงนั้น เปลี่ยนแปลงได้ตามหลักธรรมชาติของมัน ไม่มีใครที่บังคับบัญชามันได้ เปลี่ยนแปลงในทางเป็น เปลี่ยนแปลงในทางตาย เป็นไปได้ทั้งนั้น ในการพลัดพรากจากกันไปอย่างนี้ ไม่ว่าจะจากเป็นจากตายจากกันได้ทั้งนั้น จึงไม่ควรนอนใจ  เวลามาอยู่กับครูบาอาจารย์ ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ

        ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ซิ  เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งทุกข์ ที่กิเลสผลิตขึ้นมา ๆ ให้แบกให้หามอยู่ตลอดเวลา ทำไมไม่เบื่อหน่ายอิ่มพอ นั้นคือกองทุกข์แท้ๆ ความทุกข์ด้วยความพากเพียร ที่จะเอาบรมสุขมาครองหัวใจนี้ ทำไมจึงจะเห็นว่าทุกข์นี้เป็นภัย ยิ่งกว่าทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสผลิตขึ้นมาตั้งกัปตั้งกัลป์นานสักเท่าไร ตั้งแต่อัตภาพนี้มีกี่ปีกี่เดือนในชีวิตของเรา แบกตั้งแต่ทุกข์เพราะอำนาจของกิเลสผลิตขึ้นมาทั้งนั้น ทำไมไม่เบื่อหน่ายอิ่มพอ ไม่ชินชากันเสียบ้าง แล้วบ่นกันทำไม ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์อยู่อย่างนั้นจะว่าไง  ไม่มีคำว่าเก่า  ว่าใหม่

        ทุกข์ได้เกิดขึ้นมาเมื่อไรต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเลย กระทบกระเทือนทั้งร่างกายและจิตใจ ก็คือทุกข์นั้นแล นี่เราเคยผ่านมาแล้ว เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งความทุกข์ เพราะเป็นผลของกิเลส ทีนี้เราจะประกอบความพากเพียร  เป็นธรรมดาที่จะต้องได้รับความทุกข์ แต่ทุกข์เพื่อความสุขจะเป็นอะไรไป เราต้องมาเทียบเคียงซิทุกข์อันนี้มีคุณค่า ทุกข์อันนั้นไม่มีคุณค่าอะไรเลย ทุกข์จมไปเฉยๆ ทุกข์อันนี้ทุกข์มีคุณค่า การประกอบความเพียรเป็นความทุกข์  แต่จะได้ความสุขขึ้นมาในลำดับต่อไปโดยลำดับ จึงควรจะมีแก่ใจอาจหาญรื่นเริงต่อความพากเพียร

        อย่าปล่อยให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายทั้งๆ ที่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ในอิริยาบถต่างๆ ส่วนมากมีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลาโดยเจ้าตัวไม่รู้  เพราะกิเลสมันแหลมคมมาก ในตัวของเราในใจของเราทั้งดวงมีแต่กิเลสห้อมล้อมปิดบังไว้หมด  มองหาธรรมนิดหนึ่งก็ไม่เจอ ถ้ามีสมาธิธรรมก็เจอความสงบมองเห็นบ้าง  ปัญญาขั้นต่างๆ จะเริ่มมองเห็นไปโดยลำดับจนกระทั่งถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น แล้วทำไมจะไม่รู้เรื่องกิเลสมันแหลมคมขนาดไหน ก็เหนือมันแล้วนี่ ไม่เหนือมันทำลายมันไม่ได้ มันไม่ได้หายซากไปจากใจแหละถ้าไม่เหนือมัน

        เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เหนืออยู่เสมอ  ต้องต่อสู้ สมาธิก็ให้มีความสงบ ฝึกหัดเอาจนสงบทำไมมันสงบไม่ได้ ที่มันสงบไม่ได้ ก็เพราะกิเลสมีกำลังมาก ถ้าหากสติปัญญา  ศรัทธา  ความเพียรเรามีกำลังมากพอที่จะทำจิตให้สงบได้แล้ว  ต้องสงบ  จิตเป็นของฝึกได้ จิตเป็นของแยกจากสิ่งที่ชั่วคือกิเลสนั้นได้กลายเป็นจิตที่ดีขึ้นมา ความสงบสุขภายในจิตใจด้วยสมาธิ นั่นเป็นพื้นฐานแห่งความร่มเย็นของพระในขั้นเริ่มแรกแห่งการปฏิบัติ จากนั้นก็ความสงบเข้าไปเป็นลำดับ

        เมื่อควรแก่กาลที่จะพินิจพิจารณาแล้วก็พิจารณา ยกเอาธาตุเอาขันธ์ อันเป็นตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แบกมันอยู่เฉยๆ นี้แหละ อย่าไปแบกเฉยๆ โดยไม่ได้รับประโยชน์ แบกอนิจฺจ ทุกฺขํ  อนตฺตา ให้พิจารณา อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา  ให้เกิดประโยชน์โดยทางปัญญาของเรา ไม่จะไปคว้าโน้นคว้านี้ คว้ามรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นที่นี่  ไม่ได้อยู่ที่ไหน กิเลสไม่ได้ว่ามันอยู่ไหนแหละ  แต่อยู่ที่หัวใจคน หัวใจพระเณรเรา  ทุกข์ก็ทุกข์กันที่นี่  เดือดร้อนวุ่นวายต่างๆ ระส่ำระสายก็เกิดขึ้นที่จิต จิตเป็นเจ้าเรื่องเป็นผู้ก่อเหตุ  หลงภาพแห่งความคิดปรุงของจิตที่หลอกออกไป  เพราะอำนาจของกิเลสผลักดันออกไป ให้คิดให้ปรุงเป็นภาพต่าง ๆ ขึ้นมาอยู่ทั้งวันทั้งคืน อยู่ด้วยภาพหลอกหลอนตนเองทั้งนั้น

        ภาพหลอกหลอนนี้มาจากกิเลส เพราะสติปัญญาไม่ทันมัน มันก็หลอกได้เป็นความจริงความจัง เหมือนเป็นตัวจริงจริงๆ คิดเรื่องใดก็ตาม  เรื่องหญิงเรื่องชาย  เรื่องอดีตอนาคต ดีชั่วประการต่างๆ  มันจะเป็นภาพขึ้นมา  เป็นเรื่องราวขึ้นมาให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปตามมัน ทั้งฝ่ายเพลิดเพลิน ทั้งฝ่ายเศร้าโศก  เหมือนกับว่าเป็นตัวจริงขึ้นมา  เรายังไม่เห็นโทษของมันเลย เพราะไม่มีสติไม่มีปัญญา พินิจพิจารณาพิสูจน์มันให้เห็น จึงต้องใช้สติปัญญาพินิจพิจารณา

        เราเสียดายอะไรเรื่องความคิดความปรุงเหล่านี้ มันเป็นมาทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ประจำอยู่ตลอดขณะนี้ ตั้งแต่วันเกิดมา ได้ผลประโยชน์อะไรบ้างความคิดเลื่อนลอยตามอำนาจของกิเลส นี่เราจะคิดจะปรุงเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้มีภายในจิตใจของเราให้เป็นเหตุเป็นผล เพื่อลบล้างความคิดปรุงอันจอมปลอมทั้งหลายออกไปโดยลำดับ จนกระทั่งรู้ความจริงของมันอย่างชัดเจน ปล่อยวางกันได้หายสงสัย ทำไมเราจะไม่พยายาม  สิ่งที่แก้กันมีอยู่นี่  หาแต่เรื่องผูกมัดมาใส่ตัวเอง  มันก็ได้แต่เรื่องผูกมัด หาความสงบสบายไม่ได้

        ทรงแต่ผ้าเหลืองเฉยๆ ทรงมรรคทรงผลไม่ได้ทรงทำยังไง ผู้ปฏิบัติมาทำงานไม่ได้ผลได้ประโยชน์อะไรจากงานเลย เลยกลายเป็นงานเหลวไหลเหลวแหลกไปเสีย งานสมาธิก็เหลวแหลก เดินจงกรมก็เหลวไหล  นั่งภาวนาก็เหลวไหล ทำอะไรขึ้นชื่อว่าเป็นอรรถเป็นธรรม มีแต่ให้กิเลสมาเหยียบย่ำทำลายเตะถีบแหลกไปหมด ล้มละลายไปหมดตั้งตัวไม่ได้นี่เป็นของดีแล้วเหรอ เราไว้ใจเราได้ไหมอย่างนี้ แล้วเรายังจะนอนใจอีกต่อไปเหรอ เราต้องคิดทบทวนย้อนหน้าย้อนหลังซิ นักพิจารณา ไม่งั้นหาทางแก้ตัวให้รอดพ้นไปไม่ได้ จะถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายหลอกหลอนอย่างนี้ตลอดเวลา สติปัญญามี พระพุทธเจ้าแก้ด้วยสติ แก้ด้วยปัญญา แก้ด้วยความเพียร  เราถ้ามีความเพียรเพียรพินิจพิจารณา เพียรบังคับจิตใจที่มันดื้อด้าน เอาให้มันจนหมอบซิ

        จิตใจเป็นของฝึกได้  ฝึกไม่ได้ธรรมสอนไว้ทำไม พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านฝึกได้มาเท่าไรแล้ว  จนกลายเป็น สรณํ  คจฺฉามิ ของพวกเรา

        เราจะฝึกใจของเราดวงเดียวเท่านี้ทำไมจะฝึกไม่ได้ มันขาดตกบกพร่องอะไร เสริมขึ้นมา ผลิตขึ้นมา บำรุงขึ้นมา มันมีกำลังได้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ความขี้เกียจขี้คร้านเป็นกิเลสให้ทราบเสีย  ความอ่อนแอท้อแท้เป็นกิเลสทั้งนั้นให้ทราบเสีย ผู้ปฏิบัติจึงต้องแก้สิ่งเหล่านี้ ความอ่อนแอมันเป็นกิเลส จะแก้วิธีไหน เข้มแข็ง ฝืนกันสู้กัน ความอ่อนแอ ท้อแท้ ความเกียจคร้าน ตั้งเป็นความขยันความเข้มแข็งขึ้นมา  ความโง่เง่าเต่าตุ่น  ตั้งสติขึ้นมาให้ดี  พินิจพิจารณาทางด้านปัญญา แก้กันในตรงนี้ ๆ สิ่งที่แก้มีอยู่  นอนกอดนอนจมอยู่เฉย ๆ ทำไม เราจะหวังเอาประโยชน์อะไรถ้าไม่ดำเนินตามหลักธรรมที่จะพึงทำ  ที่จะแก้สิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายภายในจิตใจของเรา

        เราจะหาความสุขจากอะไร ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ สถานที่ต่าง ๆ ดินฟ้าอากาศ เป็นสิ่งเหล่านั้น แต่ละอย่าง ๆ ตามธรรมชาติของเขา จะเอามาเป็นเราเป็นของเรา  เป็นความสุขความสบาย เป็นมรรค เป็นผล นิพพานได้ที่ไหน ไม่มีที่จะเป็นไปได้ นอกจากที่จะผลิตขึ้นภายในจิตใจ ระหว่างกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกกับธรรมที่จะต่อสู้กันอยู่เวลานี้  เพื่อเอาชัยชนะขึ้นมาภายในจิตใจของเรานี้ ไม่มีทางอื่น เอาตรงนี้นักปฏิบัติอย่าถอย ตรงนี้เป็นชัยชนะ เป็นสถานที่จะให้ชัยชนะแก่เรา

        ความขยันนั้นแลที่จะได้ผลมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นที่พอใจ ความขี้เกียจขี้คร้าน ความอ่อนแอเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล เป็นการสั่งสมกิเลส เดินไปตามมันเท่าไรยิ่งเป็นการเพิ่มพูนกิเลสขึ้นมา จนจะยกไม่ขึ้นก้าวไม่ออก เป็นของดีแล้วเหรอ เอาให้มันคล่องตัวซิ เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งความโง่ด้วยกันนั่นแหละ ไม่มีใครที่จะเป็นมหาบัณฑิต นักปราชญ์ จอมเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่วันเกิด มันเกิดมาด้วยความโง่ด้วยกันนั่นแหละเพราะกิเลสทำคนให้โง่ แม้กิเลสจะเฉลียวฉลาดเพียงไรก็ตาม มันยิ่งฉลาดในการทำคนให้โง่เราก็ทราบ เพราะฉะนั้น เราจึงเกิดในท่ามกลางแห่งความโง่ ทีนี้จะนำธรรมเข้าไปซักฟอก ไปแก้ไขทำลายสิ่งเหล่านี้ จึงต้องปฏิบัติด้วยธรรม ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์

        ตายก็ตายไปเถอะ ตายด้วยความพากเพียรนี่ไม่เสีย ไม่ขาดทุนสูญดอก ต้องยอมรับ  ให้เห็นซิที่ พระพุทธเจ้าว่า ทุกฺขํ  อริยสจฺจํ  ทุกข์เป็นของจริง เราอ่านแต่ในหนังสือเหมือนนกขุนทอง ไม่เห็นความหมายอะไรในนั้น ไม่เห็นความจริงในคำว่าทุกฺขํ  อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริง-จริงอย่างไร ถ้าเราได้ค้นโดยปัญญาตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนี้ ทุกฺขํ  อริยสจฺจํ  จะหาที่ค้านไม่ได้ กราบเหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้าเรานั้นเลยละ หรือเหมือนพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจของเราไม่ได้นอกเหนือไปจากนี้เลย จริงอย่างนี้หรือ เห็นทุกข์-ทุกข์จริงอย่างนี้หรือ  เหตุที่จะได้เห็นทุกข์จริงอย่างนี้  ก็เพราะปัญญาแยกแยะดูให้เห็นตามความจริง

        ตามปกติของจิตนี้มันจะเหมาเอาหมดร่างกายทั้งร่างว่าเป็นเรา นี่คือกิเลสพาให้เหมา กิเลสหลอกเข้าใจไหม  ไม่ใช่ของจริง กิเลสเป็นของปลอม มันหลอก   เราก็ปลอมไปตามมันว่าร่างกายทุกส่วนเป็นเราเป็นของเรา เวทนา สุข ทุกข์ทั้งหลาย เฉยๆ จึงเป็นเรา เป็นของเราขึ้นมา ทั้งกายเวทนา จิตเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คิดได้ หมายรู้ ปรุงแต่งต่างๆ รับทราบรับเห็นใดๆ เป็นเราเป็นของเราไปหมด กิเลสพากว้านเอามาให้แบกให้หาม ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ยอมเห็นโทษ เพราะปัญญาไม่มีพอที่จะสอดส่องเห็นความจริง ด้วยเหตุนี้ ทุกฺขํ  อริยสจฺจํ  จึงเป็นโมฆะสำหรับเราที่เรียนแบบนกขุนทอง

        เอ้าปฏิบัติให้จริงจังลงไปซิ คำพูดที่ว่า ทุกฺขํ  อริยสจฺจํ จะเป็นโมฆะได้ที่ไหน อยู่ที่หัวใจของเรานี่เป็นความจริง  ขอให้ปัญญาหยั่งถึงเถิดจะไม่ไปไหนเลย ความจริงเราจะคว้าขึ้นมาจากการพิจารณานี้จนได้แหละ สมุทัย อริยสจฺจํ ก็เหมือนกัน เมื่อมันต่างอันต่างจริง เรายังไม่พูดถึงเรื่องสมุทัย อริยสจฺจํ  เอาให้มัน ทุกฺขํ  อริยสจฺจํ  ในขั้นของกายนี้เสียก่อน แล้วจะไปเห็นความจริงของจิตว่าเป็นสัจจะเหมือนกัน

        มันเกิดที่ตรงไหนความทุกข์ ทุกข์ที่ตรงไหน มันจะต้องหมายตรงจุดใดจุดหนึ่งจนได้ว่าตรงนี้เป็นทุกข์ เพราะมันมีแง่หนักเบาต่างกันในบรรดาทุกข์ที่เกิดในร่างกายของเรานี้ มันทุกข์ที่ตรงไหนให้จับจุดนั้นให้ดี  พิจารณาแยกแยะดู  ทุกข์มันเป็นสภาพอันหนึ่งเป็นนามธรรมเป็นสักแต่ว่ารู้ว่าทุกข์ กายเป็นวัตถุ กายมีรูปลักษณะ มันจะเป็นอันเดียวกันได้อย่างไร พิจารณาแยกดูกายให้เห็นชัดว่า กายนี้เป็นทุกข์จริง ๆ เหรอ

        ดูให้ดี ถ้ากายนี้เป็นทุกข์ คนตายแล้วไปเผาไฟมันว่าไง  มันไม่เห็นบ่น เพ้อละเมอต่างๆ  ว่าเป็นทุกข์เดือดร้อน มันไปไหนถ้าว่ากายเป็นทุกข์แล้ว เผาไฟมันต้องดิ้นซิ  คนตายแล้วไม่เห็นดิ้น ทั้งๆ ที่กายมีอยู่ เนื้อหนังเอ็นกระดูกแต่ละชิ้นละอันโยนเข้ากองไฟมันว่าไง  มันไม่เห็นว่าอะไร แล้วทุกข์นี้มันเป็นอันเดียวกันได้ยังไงเมื่อเป็นเช่นนั้น คนตายแล้วไปเผาไฟไม่เห็นว่าเป็นทุกข์นี่ พิจารณา จากนั้นก็ย้อนออกมาดูทุกข์ ทุกข์มันก็สักแต่ว่าทุกข์ ไม่มีรูปมีลักษณะมีสีสันวรรณะ  มันเป็นแต่ธรรมชาติอันหนึ่ง   เป็นความจริงของมันอยู่เท่านั้น ทุกข์ๆ ตัวทุกข์เองก็ไม่ทราบความหมายของตนเองด้วย ไม่ทราบความหมายของเราผู้ที่ไปหมายมันว่าเป็นทุกข์ด้วย  กายก็เหมือนกัน แม้ทุกข์จะเกิดขึ้นมากน้อย กายก็ไม่ทราบว่าตนเป็นทุกข์ และไม่ทราบว่าเวทนามาให้ทุกข์แก่ตนด้วย

        เรายกเอาเพียงเรื่องทุกขเวทนาขึ้นมาอันเดียวเท่านี้ก็กระจายไปหมดไม่ว่าสุขไม่ว่าอุเบกขาแหละ  เพราะเป็นนามธรรมด้วยกัน แยกแยะตรงไหน จ่อลงตรงนั้น สติจ่อลงตรงนั้น ปัญญาแยกแยะที่ตรงนั้น  ไม่ยอมให้หนีไปไหน ทุกข์ก็ทุกข์ ตายก็จะตายอยู่จุดนี้จุดของจริงนี้ คืออริยสัจจะนี้  ไม่ต้องอยาก อยากให้หาย ไม่ต้องอยาก ความอยากนั้นเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว อยากไม่ทำงานแต่อยากร่ำอยากรวยอยู่ มันเกิดประโยชน์อะไร พิจารณาเราต้องการจะให้เห็นความจริงนี้เท่านั้นวันนี้ ความจริงจะมีมากน้อยเพียงไร  เอ้า ๆ แสดงขึ้นมาให้เห็น  ฟาดกันลงไปด้วยสติปัญญาหมุนติ้วลงไป ทุกข์มากเท่าไร เอ้า  ตายก็ตายตรงนี้ จะตายด้วยสติตายด้วยปัญญา ไม่ได้ตายด้วยความโง่ ไม่ได้ตายด้วยความอ่อนแอ ไม่ได้ตายด้วยความอยากให้ทุกข์ดับแต่จะตายลงไปด้วยความจริง

        สุดท้ายมันก็รู้ขึ้นมา อ๋อ  ทุกข์เป็นของจริง-จริงอย่างนี้เหรอ เต็มหัวใจแล้ว กายก็เป็นของจริงอันหนึ่ง  เวทนาก็เป็นของจริงอันหนึ่ง จิตก็เป็นของจริงอันหนึ่งเท่านั้น ต่างอันต่างจริง แม้ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นว่าเป็นจิตจริงๆ จิตมันก็ไม่มีในจิต จิตก็เป็นจิต ถ้าหากว่าจิตเป็นทุกข์ ทุกข์ดับทำไมจิตไม่ดับไปด้วยนั่น  ทุกข์เป็นจิต ถ้าหากว่าทุกข์เป็นจิต จิตเป็นทุกข์ ทุกข์ดับไป จิตต้องดับไปด้วย แต่นี้จิตไม่ดับ ทุกข์อันนี้พึ่งเกิดมาและพึ่งดับไปนี้   จิตมีอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อไรมันเป็นอันเดียวกันได้อย่างไร แยกด้วยสติด้วยปัญญา แยกจนเห็นชัดเจนแล้ว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ไม่ต้องพูด เด่นทีเดียว เอ้าทีนี้มันจะตายในขณะนั้นก็ตายเถอะถ้าลงต่างอันต่างจริงแล้ว  จะไม่มีการกระทบกระเทือนถึงจิตใจเลย แต่มันไม่ตาย  เรื่องกลัวตายก็เรื่องมันหลอกต่างหากนี่

        เพียงเท่านี้เราก็ทราบเรื่องอริยสัจใหม่เอี่ยมอยู่ในจิตของเรานี้  ไม่ได้มีคำว่ากี่ร้อยกี่พันปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ถ้าเป็นวัตถุต่างๆ มันก็สิ้นกาลสิ้นสมัยไปแล้วแหละ เป็นผุยเป็นผงไปหมด แต่ธรรมของจริงนี้ลบไม่สูญ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะว่าเก่าว่าใหม่ได้ยังไง จะว่าอดีตอนาคตได้ยังไง เป็นของจริงในวงปัจจุบัน  เฉพาะอย่างยิ่งในตัวของเรานี้  เห็นชัดๆ สดๆ ร้อนๆ  ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ก็สดๆ ร้อนๆ สมุทัย อริยสจฺจํ สดๆ ร้อนๆ มรรค นิโรธ อริยสจฺจํ ก็สดๆ ร้อนๆ อยู่ภายในจิตนี้ จึงเรียกว่ามัชฌิมา เสมอต้นเสมอปลาย  คงเส้นคงวาด้วยความจริงของตนอยู่เสมอ  ไม่มีคำว่าอดีตอนาคต  ให้พิจารณาลงตรงนี้

        เอาให้จริงให้จังผู้ปฏิบัติ  อย่าท้อถอยอ่อนแอ ไม่ใช่ทาง  ไม่ใช่ทางให้มีความสุข ความเจริญ ไม่ใช่ทางแก้กิเลส นอกจากเป็นทางพอกพูนกิเลสขึ้นมาภายในจิตใจเท่านั้น ธรรมงอกไม่ได้ ธรรมจะงอกขึ้นได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร ความหนักก็เอาเบาก็สู้ใช้ด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรไม่ลดละ นี่ธรรมเกิดขึ้นได้ตรงนี้ให้ยึดเอาตรงนี้  ทุกข์ขนาดไหนก็ตาม ถ้าทุกข์ด้วยวิธีการที่จะแก้กิเลส  ทุกข์ด้วยวิธีที่จะทำความเจริญขึ้นภายในใจ  เอ้า  ทุกข์เถอะ  ทุ่มมันลงไป

        เขาจะค้าเอากำไรเขาต้องลงทุน อยู่ ๆ จะเอากำไรมาจากไหน   ถ้าไม่มีทุนไปซื้อมาก่อน  อันนี้ต้นทุนก็คือทุกข์ ความเพียรนี่เเหละต้นทุน  เอ้า  ทุกข์เท่าไรฟาดลงไปให้มันเห็นชัดๆ ภายในจิตนี่ กิเลสร้างไปจากจิตใจเป็นยังไง กิเลสรุมล้อมอยู่ภายในจิตใจทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ตั้งกัปตั้งกัลป์หาที่ปลงที่วางไม่ได้ หมอบราบอยู่กับกิเลสตลอดเวลามันเป็นยังไง กิเลสสิ้นซากไปจากจิตใจแล้วจิตเป็นยังไง ให้มันได้เห็นซิ พระพุทธเจ้าสอนเพื่อเห็นนี่แท้ๆ ไม่ได้สอนเพื่ออะไรนี่นะ  เราพูดแล้วก็คันฟันนะ เพราะไม่ได้พูดด้วยความด้นเดา พูดด้วยความจริงจังจริงๆ  นี่น่าๆ อยู่อย่างนี้ทำไมจึงไม่เห็นไม่รู้กัน  หรือไม่ปฏิบัติ ท่านว่าขยันก็อ่อนแอเสีย ท่านว่าให้ฉลาดก็โง่เสีย ให้ตั้งสติก็เผลอเสีย มันลบล้างศาสนธรรมอยู่ตลอดเวลาก็เหมือนกับลบล้างตัวเองทำลายตัวเองอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

        พากันตั้งอกตั้งใจนะ พระที่มาบวชใหม่ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ คอยเงี่ยหูฟังหมู่เพื่อน ครูบาอาจารย์  มีความขยันหมั่นเพียร ตื่นดึกลุกเช้า  ทำการทำงานอะไรให้เข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ  นั้นเป็นนิสัยของฆราวาสของโลกหาประมาณไม่ได้ ไม่มีขอบมีเขตมีเหตุมีผล  หลักศาสนธรรมเป็นของมีเหตุมีผล ให้พากันตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติ  ชีวิตของเราในความเป็นนักบวชนี้มีคุณค่า เพราะฉะนั้นการปฏิบัติของเราจึงให้มีคุณค่าไปตามๆ กัน

เอาละหยุดเท่านี้ก่อนฝนตกแล้ว

พูดท้ายเทศน์

        เพียงหลักปฏิปทาการดำเนินภายนอกนั้นมันเหมือนกับกิ่งก้านสาขา ต้นลำหรือรากแก้วอยู่ที่หลักใจ อันนี้สำคัญมาก ถ้าใจไม่มีหลักอย่างน้อยไม่มีความสงบ จะร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ  นี่ได้ร้อนมาพอแล้วนะจึงได้นำมาพูด เอาสิ่งที่เป็นมาแล้วทั้งนั้นแหละมาพูด   ร้อนนี่ร้อนมาก ธรรมดามันก็ร้อนมาก ยิ่งจิตเสื่อมยิ่งร้อนมากผมน่ะ โอ้โห  เป็นฟืนเป็นไฟ เพราะความอยากได้กลับคืนนั่นแหละ อย่างที่เคยพูดให้ฟัง ร้อนมากจริงๆ นะ ดีอย่างหนึ่งที่ไม่ถอยเท่านั้นเอง เอาจนได้ จากนั้นมาฟัดกันใหญ่เลยเทียว  เข็ดถึงใจเคียดแค้นถึงใจก็คือจิตเสื่อมนะ

        ที่ผมนั่งตลอดรุ่งเพราะอันนี้ละมันทำให้ผมเคียดแค้นน่ะ  ขึ้นบนตะพองได้แล้วก็ฟัดกันเลย กระหน่ำขอลงเลย  เอ้า  เสื่อมต้องตายไปด้วยกัน อยู่ไม่ได้ ยังชีวิตอยู่ไม่ได้ ว่างั้นเลย  เสื่อมก็ต้องไปด้วยกันเลย  นี่ทำให้คิดถึงเรื่องพระโคธิกะ ท่านเจริญสมาธิสมาบัติของท่านเจริญถึง ๖ ครั้งเสื่อมไปถึง ๖ ครั้ง คว้ามีดโกนมา เราเชื่อคือมันออกมาในอุทานภายในใจนี้ เอานะคราวนี้นะ ถ้าลงจิตนี้ได้เสื่อมไปอีกแล้ว เราต้องตายเท่านั้น  เราอยู่ไปไม่ได้  มันเห็นโทษถึงขนาดนั้นคิดดูซิ มันจะเสื่อมไปไม่ได้ถ้าเรายังไม่ตาย ถ้าเสื่อมก็ต้องตายไปด้วยกัน  นี่ละมันย้อนไปเชื่อพระโคธิกะที่ท่านพูดไว้ในตำรา

        ความที่ไม่ได้อะไรเลยมันร้อนมันก็ร้อนไปแบบหนึ่งนะ  ความที่เคยได้มาแล้วมาเสื่อมนี้  เพราะคุณค่าแห่งความสงบนั้นเมื่อเทียบกับที่ไม่มีความสงบแล้วมันไปคนละโลกนั่น  ทีนี้เวลามันเสื่อมไปทำไมจะไม่ร้อนถึงขนาดนั้น  แหม  อยู่ที่ไหนก็เป็นฟืนเป็นไฟ  บทเวลามันได้แล้วมันถึงฟัดกันอย่าง....นี่ละที่ว่านั่งหามรุ่งหามค่ำได้ก็เพราะความเคียดแค้นนั่นเอง  โห  ถ้ามีคนมาทำเราให้เจ็บแค้นอย่างนั้นอย่างเป็นฆราวาสนี่ผมฆ่าคนได้จริง ๆ นะ  ฆ่าแบบถึงใจ ๆ เลย มีกี่ศพเอาให้เรียบหมด  กี่รายมาให้เราเจ็บใจถึงขนาดนี้ ยังไงก็ทนไม่ได้  มีทางออกทางเดียวคือต้องฆ่าทางอื่นไม่มีทาง นี่ก็เหมือนกันฟัดกันลง  เอ้า  ตายก็ตายเถอะคราวนี้ มันได้เหยียบหัวเรามาเสียนานแล้วนี่ ความเสื่อมของจิตนี้มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาลนอยู่ตลอดเวลา  ไม่มีอะไรมีความหมายในโลกนี้  เป็นขนาดนั้น

        จึงได้เตือนหมู่เตือนเพื่อนให้ระมัดระวังอย่าให้เสื่อมไปได้  ผู้ที่ยังไม่ได้ก็เอาให้ได้มันไม่นอกเหนือไปจากความเพียรของเรา เอ้าใส่มันลงไปตายก็ตายเถอะ ว่างั้นเลย  มันต้องทุ่มลงซิ จิตต้องเด็ด ไม่เด็ดไม่เห็นของเด็ดของจริง เราไม่เคยได้แหละ  เดินจงกรม นั่งภาวนาธรรมดา ๆ มันจะได้ของดีขึ้นมา มันไม่ได้นิสัยผมนะ มันเป็นนิสัยหยาบอะไรก็ไม่รู้  พูดยากนะ  ต้องเอาเสียจนเดนตายแล้วมันถึงปรากฏขึ้นมา  ทีไรเป็นอย่างนั้นทุกที แล้วมันก็ถึงใจ ผลก็ถึงใจ

        ถ้าเหตุเอาชีวิตเข้าประกันเลยแล้วถึงใจ ๆ อย่างที่ว่านั่งสู้กับทุกขเวทนา โอ้โห ในเรื่องการหักโหมร่างกายนี้ผมยังไม่มีที่ไหนเลย เป็นประวัติชีวิตเหมือนหลังจากจิตเสื่อม  พอได้ท่าแล้ว  นั่นละตรงนั้นละหักโหมกัน  เป็นพรรษาที่ ๑๐  ฟาดกันมาตั้งแต่ยังไม่เข้าพรรษานะ พอได้ที่แล้วก็ฟัดกันมาตั้งแต่โน้นละ  ตลอดรุ่ง ๆ  จนเข้าพรรษาก็ฟัดกันอีก ได้ของอัศจรรย์ทุกทีนะ

        ทุกข์นั่นทุกข์ ยอมรับว่าทุกข์ บางวันจนล้มลุกไม่ขึ้นเลยมันตายหมดตั้งแต่ขาลงไป มันตายแล้วนี่ มันเป็นมาตั้งแต่ตอนกลางคืน  ทีนี้เวลามันหายทุกข์ไปแล้ว  ไอ้นี่มันยังตายอยู่นี่  เวลาจะลุกก็ลุกขึ้นเลย  ลุกก็ล้มตูม  ตูมนี้ลุกไม่ขึ้น  เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนี้  เราไม่เคยเป็น มีแต่เอามือยันไว้ค้ำไว้ยันไว้  ขาอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น  ล้มไปแล้วขาตกยังไงเอาเข้ามาไม่ได้ เฉยอยู่เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน

        เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนี้ เพราะเราไม่เคยเป็นนี่ มันเป็นมาของมันเต็มที่ตั้งแต่ตอนกลางคืน  ทีนี้พอตอนเช้าจะลุกมันไม่มีทุกข์อย่างนั้น  หายเงียบ  ก็หายเงียบซิมันตายไปหมดแล้ว มันเป็นท่อนไม้ท่อนฟืน  สมมุติว่าจะเอาอะไรมาตัดขาเวลานั้นมันก็ไม่มีทุกขเวทนาเลย  มันเป็นท่อนไม้ท่อนฟืนขนาดนั้นนะ  เอามือมาจับดูขาเจ้าของ เอ๊  เป็นอย่างนี้ ขาไม่รู้เลยสัมผัสของมือนะ แต่มือรู้ว่าขานี้เย็นไปหมด   สมมุติว่าตัดตรงนั้นขาดจะขาดไปเลยแหละ  มันถึงใจไม่เคยลืม คืนไหนถ้าลงได้ฟัดกันขนาดนั้นแล้วได้อัศจรรย์ทุกคืนไม่เคยพลาดเลยจริง ๆ เป็นแต่เพียงว่าช้าหรือเร็วต่างกัน ยากกับง่ายต่างกัน

        ถ้าวันไหนฝนตกพรำๆ วันนั้นง่ายนะใส่กันพับๆ ยังไม่นานลงได้ๆ ยังไม่ถึงทุกขเวทนาใหญ่เกิดขึ้นได้ก่อน  พอมันถอนขึ้นมาเอาอีก ลงอีกแล้วก็สว่าง วันนั้นลุกไปเลยเหมือนไม่ได้นั่งตลอดรุ่งนะ  จึงสำคัญอยู่ที่ใจต่างหากนะ  ถ้าวันไหนมันลำบากลำบนทุกข์ทรมานมาก คืนนั้นบอบช้ำมากร่างกาย นั่งเหมือนไฟเผานะ..ก้น นั่งฉันจังหันไดัพับเพียบนั่ง นั่งพับเพียบฉันจังหัน นั่นเวลาเรายังไม่ได้ต่อสู้มันนี่ นั่งฉันจังหันจะไปต่อสู้อะไร ก็ต่อสู้กับอาหารละซี  ได้นั่งพับเพียบละผม ก้นนี่แหมเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนกับมันพองไปหมดก้นนะ   กระดูกทุกท่อนเหมือนมันจะแตก กลางวันก็ดี แต่มันไม่เคยเข็ด  เพราะมันเห็นผล มันเหนืออันนี้อยู่แล้วนี่ นี่เรื่องความทุกข์  ทุกข์หรือไม่ทุกข์ฟังซิหมู่เพื่อน  จึงมาสอนหมู่เพื่อน

        ผมไม่ได้เคยคิดว่าได้เป็นครูเป็นอาจารย์ใครทั้งนั้นแหละ เพราะนิสัยไม่มีทางนั้น มีแต่จะเอา ๆ เรื่องของเจ้าของโดยเฉพาะ ๆ เหมือนไม่เคยที่จะไปสนใจไปสอนผู้ใดเลย  เวลาปฏิบัติก็มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างเดียว ทีนี้เวลาพอลืมหูลืมตาได้บ้าง มันก็ไม่สนใจที่จะสอนใครเสีย อยู่อย่างนี้สบายดีว่างั้น  เพราะฉะนั้นเวลาหมู่เพื่อนรุมไปกับผม ผมจึงขโมยหนีเรื่อยน่ะซิ  อยู่คนเดียวสบายดี ๆ ไม่มีอะไรมากวน สบายดี ๆ มันเป็นอย่างนั้น  ทีนี้มันมากต่อมากรุมเข้าๆ ก็เลยเป็นอย่างนี้อย่างที่เห็นนี่ แต่ไม่ได้เป็นกับนิสัยของเจ้าของนะ

        ก็อยู่ไปอย่างนั้นแหละ เพราะเห็นหัวใจแต่ละดวงๆ นี้มีคุณค่า คิดถึงเรื่องเราเวลาเสือกคลาน เกิดขึ้นมาเจอพ่อเจอแม่อยู่แล้ว ครูอาจารย์เราได้วิ่งหาแทบล้มแทบตาย ไปที่ไหนมันก็ไม่เหมาะเจาะในหัวใจ มันก็ต้องผ่านไปๆ จนกระทั่งไปถึงที่เหมาะเจาะแล้วมันถึงทุ่มกันลง  หมู่เพื่อนแสวงหาครูบาอาจารย์ก็คงเป็นอย่างเดียวกันนี้  นี่แหละเอามาบวก มาลบ คูณ หาร กันดูแล้ว เราทนอยู่ด้วยเหตุนี้นะ ไม่ได้คิดว่าจะไปห่วงไปใยอะไร ไม่เห็นอะไรที่จะมาปรากฏเป็นห่วงนี่นะ

        ร่างกายนี้ก็รู้กันชัดๆ มันทนไม่ไหวก็ทิ้งเสีย บ่อกังวลในความรับผิดชอบก็อยู่กับตรงนี้แหละ  ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา มันมาตลอดสายนะ  ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ด้วยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ด้วยความรับผิดชอบ พาเดิน พายืน พาขับ พาถ่าย นั่งนอนอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้ไม่มีปล่อย  ความรับผิดชอบนี้ต้องได้ปฏิบัติอยู่อย่างนั้นละ  จึงเรียกว่าไม่ปล่อย  แต่ไม่ใช่ไม่ปล่อยแบบอุปาทานคือ ไม่ได้ละได้วาง  ต้องได้ดูแลมันอยู่จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย หือ  ไปไม่ได้เหรอ ทิ้งเสียปั๊วะเดียวแสนสบาย หายความยุ่งว่างั้น  แน่ะ ก็รู้ชัด ๆ แล้วมันจะไปไหน  ธาตุไหนก็เป็นธาตุนั้นจะเป็นธาตุอื่นได้ยังไงตามสภาพของมัน  จะยึดหรือไม่ยึดมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นตามความจริงของมัน หลงมันอะไร

        พระใหม่ตั้งใจภาวนานะ ฝึกหัดภาวนาพุทโธ ๆ หรือจะกำหนดลมหายใจเข้าออก  ตามด้วยเข้าพุท ออกโธก็ได้ ให้ภาวนานะ เวลามาบวชก็ให้เข้มแข็ง อย่าอืดอาดเนือยนายไม่ได้นะ ศาสนาไม่ใช่ถานขี้พอจะเอาของทิ้งมาทิ้งใส่ๆ อะไรไม่ดีมาทิ้งใส่ศาสนาไม่ได้ ผมอบรมให้เป็นที่ระลึกในชีวิตของเราคราวบวช ชีวิตของเราก็มีคุณค่าคราวนี้แหละ ตั้งแต่เกิดมาคราวนี้มีคุณค่ามากได้ประพฤติปฏิบัติธรรม อดทนเอา นักบวชต้องอดทน พระพุทธเจ้าพาอดทนมาแล้ว  พระสงฆ์สาวกพาอดทนมาแล้วทั้งนั้น เราจะมาอ่อนแอขัดกับทางเดินทางดำเนินของท่าน คำสอนของท่าน  ไม่ถูก

เอาละแค่นี้ละ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก