หนังบาง ๆ พรางตาไว้
วันที่ 13 เมษายน 2524 เวลา 19:00 น. ความยาว 67.07 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๔

หนังบาง ๆ พรางตาไว้

 

        ทุก ๆ ท่านมาจากที่ต่าง ๆ มาด้วยความมุ่งหวังต่อธรรม  คำว่าธรรมถ้าจะเทียบก็เหมือนน้ำที่สะอาดสำหรับชะล้างสิ่งที่สกปรกทั้งหลายให้สะอาดไปได้  ผู้ที่สกปรกก็คือเรา  ที่จะนำน้ำมาชำระก็คือเรา จะสามารถนำน้ำมาได้มากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความสามารถแต่ละราย ๆ ไป  น้ำในสถานที่นี้ได้แก่ธรรม  ธรรมมีทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล  ผู้สกปรกคือเราก็หมายถึงใจ เป็นตัวประธาน เป็นตัวรับความสกปรกและความสะอาดทั้งหลายอยู่ที่ใจ

        ใจเป็นพื้นฐานเป็นตัวประธานอันสำคัญที่จะให้สิ่งเหล่านี้แทรกได้  คือสิ่งที่สกปรกมากน้อยแทรกได้  สิ่งที่ดีแทรกได้ เพราะอยู่ในวงสมมุติด้วยกัน  ดีสำหรับแก้ชั่ว  น้ำสะอาดก็คือฝ่ายเหตุอันเป็นสมมุติเหมือนกัน แก้สิ่งสกปรกซึ่งเป็นสมมุติด้วยกันออกได้เป็นลำดับลำดาตามขั้นภูมิของสิ่งนั้น ๆ ทั้งสองฝ่าย  ส่วนเป็นผลในหลักธรรมชาติอันแท้จริงนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง  นอกจากธรรมฝ่ายเหตุอันเป็นส่วนสมมุติและสิ่งสกปรกมากน้อยโดยลำดับซึ่งเป็นส่วนสมมุติด้วยกัน นี้อยู่ในขอบเขตแห่งสมมุติมีความสลายตัวไปได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย  แต่ธรรมชาติที่นอกสมมุตินั้นไม่สามารถจะตั้งชื่อได้ แต่ทราบได้ชัดเจนภายในจิตใจ

        เราทุกคนเฉพาะอย่างยิ่งคือนักบวชของเรานักปฏิบัติของเรา  เกิดมาในท่ามกลางแห่งความสกปรก  คือสิ่งที่จะพาให้เกิดนั้นแหละท่านเรียกว่าสกปรกไม่ใช่ธรรมชาติแท้  สัตว์แต่ละตัว ๆ มีอย่างเดียวกันกับมนุษย์เรา  ใจก็คือความรู้เหมือนกัน  แต่มนุษย์เรารู้ภาษีภาษามีความฉลาดยิ่งกว่าสัตว์  จึงสามารถประพฤติปฏิบัติตัวได้ พูดดีก็ทราบพูดชั่วก็ทราบ ว่าบาปบุญคุณโทษก็ทราบ  สอนวิธีแก้วิธีถอดถอนชะล้างก็ทราบ  ด้วยเหตุนี้ธรรมซึ่งเป็นคำสั่งสอนอันเป็นอุบายที่ถูกต้องซึ่งได้รับผลมาแล้วจากพระพุทธเจ้า พระองค์นำมาสอนเราจึงสามารถรับไว้ได้  ศาสนาจึงสถิตอยู่ที่แดนมนุษย์ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ต้องตรัสรู้ในแดนมนุษย์นี้ทั้งนั้น  เพราะมนุษย์เป็นภาชนะที่เหมาะสมกับธรรมทั้งหลาย

        การปฏิบัติที่จะกำจัดสิ่งที่สกปรกซึ่งได้กล่าวผ่านมาแล้วนั้น ต้องได้ใช้อุบายวิธี มีความจงใจอย่างแท้จริง  ถ้าสักแต่ว่าทำไม่เกิดประโยชน์ ขอให้พากันทราบไว้  ด้วยเหตุนี้การแนะนำสั่งสอนหรือดุด่าว่ากล่าวหมู่เพื่อนจึงต้องมีอยู่เสมอ  เพราะแสลงตาในกิริยาที่ทำว่าไม่ใช่ทางที่จะชำระสะสาง  แม้การแสดงออกนั้นเป็นกิริยาเหมือนการชำระสะสางก็ตาม  แต่มีอีกอันหนึ่งที่แทรกอยู่นั้นว่าไม่ใช่การชำระ ความเผลอ ความไม่รอบคอบ ความไม่ตั้งจิตตั้งใจนั่นแลเรียกว่าเผลอ เหล่านี้เป็นแต่เพียงกิริยาที่ทำไปเฉย ๆ

        การทำความเพียรตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ มีสติเป็นสำคัญมากทีเดียว  สติเป็นตัวยืนโรงเลย สติ  สพฺพตฺถ  ปตฺถิยา สติเมื่อตั้งได้มากน้อยย่อมมีความรู้สึกตัวและเป็นผลแก่ผู้ทำไปตามกำลังแห่งการตั้งสติได้  กิเลสประเภทต่าง ๆ ย่อมหนาแน่นมาดั้งเดิม  การที่จะประกอบความพากเพียรให้ได้ดังใจหมายในเบื้องต้น เช่น ให้จิตสงบแล้วสงบตามความต้องการทีเดียวเลยนั้น แม้จะมีได้ก็เป็นจำนวนน้อยมาก นอกจากขิปปาภิญญาคือผู้ที่สามารถจะรู้ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น นอกนั้นต้องได้ใช้ความพยายามเต็มสติกำลังความสามารถ เพราะกิเลสหนาแน่นภายในใจ  เราจะทำอย่างออมแรงอย่างนั้น หรือทำในลักษณะขี้เกียจขี้คร้าน ฝืนทำไปอย่างนั้น  ฝืนก็มีชั่วขณะนอกนั้นก็ปล่อยไปตามยถากรรมเสียเช่นนี้ จะไม่มีกิเลสตัวใดหลุดลอยออกไปเลย

        คำว่ากิเลสนั้นเป็นชื่ออันหนึ่งเท่านั้น แต่หลักธรรมชาติของมันจริง ๆ แล้วอยู่กับจิต  นี่ละที่ว่ากิเลส ๆ เรายกขึ้นมาเป็นปุคคลาธิษฐาน เช่นอย่างการต่อสู้กับมันอย่างนั้นอย่างนี้  คือความขี้เกียจก็เป็นภัยอันหนึ่งหรือเป็นข้าศึกอันหนึ่ง  ความขยันก็เป็นเครื่องต่อสู้อันหนึ่ง ความอดความทนของเราก็เป็นเครื่องต่อสู้  ถ้ายกเป็นเรื่องของบุคคลก็เรียกว่าขึ้นต่อกรกันหรือต่อสู้กัน เหล่านี้เป็นนามธรรมด้วยกันทั้งสองอย่าง  ถ้าจะพูดแต่นามธรรมอย่างเดียวผู้ฟังก็ไม่สามารถจะจับได้ทุกข้อทุกแขนงไป  จึงต้องใช้เป็นปุคคลาธิษฐานบ้าง ธรรมาธิษฐานบ้าง คือยกสิ่งต่าง ๆ เข้ามาเป็นข้อเปรียบเทียบ เป็นบุคคลเข้ามาเปรียบเทียบบ้าง พูดเป็นเรื่องธรรมะล้วน ๆ บ้าง  ซึ่งล้วนแล้วแต่อุบายวิธีที่ท่านปฏิบัติดำเนินมาแล้วและได้ผลมาแล้วด้วย นำมาชี้แจงตามเรื่องราวที่เคยผ่านมาแล้วนั้น  ให้ผู้ฟังทั้งหลายได้เป็นที่เข้าใจและรู้วิธีปฏิบัติ  พร้อมกับการปฏิบัติตามที่เข้าใจนั้น

        คำที่ว่าหนักก็คือจิตเป็นผู้แบกภาระแห่งสิ่งที่หนักนั้น  ไม่มีอันใดที่จะหนักมากยิ่งกว่ากิเลสทุกประเภทภายในจิตใจ  นี่พูดตามหลักธรรมชาติที่ได้ทดสอบที่ได้พินิจพิจารณากันระหว่างธรรมกับกิเลสให้ละเอียดลออถึงใจแล้วเป็นอย่างนั้น  แล้วสิ่งที่รบรวนกวนใจอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่อื่นใด มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งเพ  แต่เราไม่ทราบว่ากิเลสเป็นเช่นไร  กิเลสกับเราจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  สุดท้ายก็ไปยอมรับกันอย่างไม่รู้สึกตัวเลยว่านั้นกับเราเป็นอันเดียวกัน หรือเราเป็นนั้นเป็นนี้ เป็นเรื่องของเราไปเสียทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล  เพราะสติปัญญาไม่ทันหรือยังไม่ได้ใช้สติปัญญา  หรือสติปัญญายังไม่ลึกซึ้งพอที่จะทราบกิเลสประเภทนั้น ๆ ได้  และไม่สนใจไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่ากิเลสกับธรรมเป็นอย่างไรบ้าง  ทั้ง ๆ ที่มีอยู่ภายในจิตใจของแต่ละดวง ๆ นั้นแล

        เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและได้ศึกษาธรรมมาพอสมควรแล้ว  จงประมวลความรู้ความเข้าใจทั้งหมดนั้นเข้ามาสู่จุดเดียวคือใจ  ตั้งจุดสนามรบลงที่ตรงนี้  อย่าคิดคาดคะเนถึงภายนอกว่าจะมีกิเลสอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใด  หรือความศักดิ์สิทธิ์วิเศษความสุขความสบายจะอยู่ในที่อื่นที่ใด นอกจากอยู่ที่ใจนี้แห่งเดียวเท่านั้น นี่คือความจริง  ความหนักก็หนักอยู่ที่ใจ  การแสดงออกเพื่อเป็นผลแห่งความหนักใจขึ้นมาก็แสดงออกที่ใจ  การแก้การชำระก็ต้องแก้ที่ใจ  กำจัดกันที่ใจ  เพียรก็เพียรดูที่ใจของตนเองซึ่งเป็นต้นเหตุที่จะแสดงสิ่งต่าง ๆ ออกมา  ส่วนมากมีแต่เป็นเรื่องของกิเลส  เรื่องของธรรมจะแสดงออกได้น้อยมาก  ถ้าไม่ตั้งจิตตั้งใจเข้มงวดจริง ๆ ก็ไม่ทราบว่าเรื่องธรรมจะแสดงขึ้นมาได้ในระยะใดขณะใด  นี่ในขั้นเริ่มแรกจึงต้องยากลำบากเป็นธรรมดาเพราะเราเริ่มงาน

        งานนี้หนักมากและเคยหนักมานาน  เราเริ่มงานที่จะปฏิบัติตนเพื่อความลดหย่อนผ่อนเบาในความหนักทั้งหลายลงไปนั้น  ต้องอาศัยความหนักอีกประเภทหนึ่ง  หรือความทุกข์เพราะการประกอบงานนั้นเป็นพื้นฐานอีกเช่นเดียวกัน เพราะทุกข์นี้เป็นผลมาจากความเพียร  และเป็นความทุกข์ที่ผิดกันกับทุกข์ที่กิเลสผลิตขึ้นมาเป็นไหน ๆ ทุกข์นี้เป็นเรื่องของธรรมในการต่อสู้เพื่อแก้กิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งหนักอยู่มากภายในจิตใจให้ค่อยลดน้อยลงไป เช่น ความฟุ้งซ่าน  ปกติของจิตจะอยู่ตามธรรมดาไม่ได้ ต้องดีดต้องดิ้นคิดนั้นคิดนี้อดีตอนาคตไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีวันอิ่มพอไม่มีวันเบื่อหน่ายจืดจาง ก็คือเรื่องของกิเลสกล่อมหัวใจสัตว์โลกนั้นแล  นี่เป็นหลักธรรมชาติแท้เป็นมาอย่างนี้  จึงต้องอาศัยบทบริกรรมภาวนาซึ่งจะเป็นคู่ปรับกันกับความฟุ้งซ่านนี้

        ผู้ที่ยังไม่เคยภาวนาก็อาศัยบทสมถธรรมเข้ากล่อมจิตใจ  เช่น กำหนดอานาปานสติหรือธรรมบทใดก็ให้รู้อยู่กับธรรมบทนั้นด้วยการบังคับบัญชา หนักเบาก็เป็นงานของเรา จนใจเกิดความสงบขึ้นมาภายในตัวเอง ก็เป็นผลแห่งธรรมอันหนึ่งที่แสดงออกมาว่าเป็นความสุข  จิตเมื่อสงบย่อมเป็นความสุข ถ้ายังไม่สงบเราก็เคยเห็นแล้วเป็นสุขที่ไหน  มีแต่ความทุกข์เต็มหัวใจ

        อย่าคาดอดีตอนาคต ซึ่งจะเป็นอุปสรรคเครื่องตัดทอนความเพียรของตนลงไป  อดีตอนาคตไม่มีความหมาย  ผู้ที่สร้างความหมายดีชั่วแท้อยู่ที่ใจ  ให้กำหนดลงตรงนี้  เบาก็เบาที่ใจนี้แหละด้วยความเพียรของเราที่หนัก เบาลงมากน้อยจะเบาลงที่ใจ  เพราะความเพียรหนักเข้าไปโดยลำดับ หนักเพื่อความเบา  เรามีเหตุผลเป็นเครื่องยืนยันกันอยู่แล้วว่าเป็นกิจที่ต้องทำ  ไม่เพียงพูดว่าควรทำ  พระพุทธเจ้าก็ทรงหนักพอแล้ว  นั่นพระองค์ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้ใด  ทรงบึกบึนไปตามพระสติกำลังความสามารถของพระองค์เอง

        สำหรับพวกเรามีแนวทางตำรับตำราไว้เรียบร้อยแล้ว  มิหนำซ้ำยังมีครูมีอาจารย์แนะนำโดยถูกต้องดีงามอีกด้วย  จึงไม่มีอะไรที่จะน่าลูบ ๆ คลำ ๆ ทุกข์ก็ต้องเป็นทุกข์ด้วยความถูกต้องจริง ๆ เช่น ท่านสอนให้ตั้งสติบังคับบัญชาจิตใจ  จิตใจมันผาดโผนมากน้อยเพียงไร ตั้งสติบังคับบัญชาหักห้ามจิตใจของตน  จะได้ความทุกข์มากน้อยไม่สนใจกับความทุกข์เพราะความเพียรนั้น  แต่สนใจในจุดที่ว่าจิตผาดโผนนั่นให้ยอมตัวด้วยการฝึกทรมานของตนเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตจะเหนือธรรมไปได้ยังไง

        ความผาดโผนของจิตก็ผาดโผนเพราะอำนาจของกิเลสพาให้เป็นไป  การบังคับบัญชาจิตใจหรือการฝึกทรมานจิตใจก็เพราะอำนาจแห่งธรรม ซึ่งจะเป็นเครื่องปราบความผาดโผนของจิตอันเป็นไปเพราะอำนาจของกิเลสนั้นให้สงบตัวราบลงไปโดยลำดับ ๆ นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว มีแนวทางอยู่แล้ว ท่านสอนไว้แล้ว  เป็นแต่เพียงว่าเราจะทำตามนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง  ไม่ใช่เป็นเรื่องลูบคลำอะไรเลย  เป็นทางที่ถูก ถ้าทำอย่างนี้ต้องเป็นความสงบไม่สงสัย

        นอกจากนั้นท่านก็สอนอุบายวิธีการพิจารณาในทางปัญญา  เฉพาะอย่างยิ่งอสุภะเป็นหลักใหญ่มากสำหรับจิตที่มีกิเลสประเภทธรรมดาสามัญ ต้องได้ใช้สิ่งนี้มาก  พิจารณาข้างนอกก็พิจารณาเถอะเป็นมรรคด้วยกัน  เช่น พิจารณารูปข้างนอกเป็นรูปหญิงรูปชาย  ส่วนมากพิจารณาก็รูปตรงกันข้าม รูปที่เป็นวิสภาคนั่นเองอันเป็นเชื้อเสริมไฟ  พิจารณาเพื่อจะดับก็ต้องพิจารณาอสุภะอสุภัง  ตามหลักความจริงเป็นอย่างนั้น  อันนี้ไม่ใช่เครื่องเสกสรรปั้นยอหาความจริงไม่ได้ แต่เป็นความจริงถ้าพิจารณาในความเป็นอสุภะ

        สุภะนั้นต่างหากเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งมวล เรายังยอมเชื่อมาได้จนขนาดนี้ เชื่อของปลอม  และทุกข์เพราะของจอมปลอมนั้นทุกข์มามากมายขนาดไหน นับกัปใดกัลป์ใดมาจนป่านนี้  เรายังไม่เคยอิ่มพอยังไม่เคยเห็นโทษแห่งความจอมปลอมที่ธรรมชาติที่เรียกว่ากิเลสนั้นเสกสรรปั้นยอหรือกล่อมใจเรามา  เรายังไม่เห็นเบื่อเห็นโทษของมันเลย  นั่นคือความจอมปลอมโดยแท้

        การพิจารณาอสุภะอสุภัง อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา ความแตกความดับความสลาย ความไม่สวยไม่งามความเป็นปฏิกูลโสโครก เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเนื้อของเราด้วย เพราะเป็นความจริงอย่างนั้น นี่คือธรรมเพื่อแก้สิ่งจอมปลอมทั้งหลายที่เสกสรรปั้นยอขึ้นมา แล้วก็ยึดถือสำคัญมั่นหมายจนแกะไม่ออก  และไม่สนใจจะแกะไม่สนใจจะแก้ ไม่สนใจจะถอดจะถอนเลย เพราะเชื่ออย่างจมดิ่งทีเดียว

        ทีนี้จะถอนความจมดิ่งนั้นด้วยอุบายของธรรมซึ่งเป็นความจริงล้วน ๆ ด้วยการพิจารณาในทางปัญญา  พิจารณาตรงไหนให้จิตจ่อตรงนั้นสติอยู่ตรงนั้น  ปัญญาเดินแยกแยะดูสภาพต่าง ๆ ของร่างกาย หมดทั้งร่างนี้มีอะไร  ที่ว่าสวยว่างามนั้นอะไรมันสวยมันงาม  ตื่นหลงมาตั้งแต่เมื่อไร หลงในของไม่มีตื่นในของไม่มี ยึดในของไม่มี สำคัญมั่นหมายในของไม่มีมันเป็นมาตั้งแต่เมื่อไร  ล้วนแล้วแต่เป็นโมฆะ จิตตื่นลมตื่นแล้งตื่นความสำคัญมั่นหมายไปเอง ตื่นกลมายาเพลงของกิเลสทั้งมวลมานานเท่าไร

        อุบายแห่งธรรมซึ่งเป็นของจริงที่จะชะล้างสิ่งจอมปลอมทั้งหลายนั้น  เป็นสิ่งที่เราจะต้องผลิตขึ้นมา  พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้วว่าปัญญา  แยกแยะดูให้เห็นตามความจริงของมันในส่วนร่างกายของตนหรือส่วนของผู้อื่นใดก็ตาม  โลกธาตุนี้เป็นเหมือนกันหมด  พิจารณาให้ถึงความจริง  เอาให้มาก จิตใจจะได้สงบตัวลงไปก็คือว่าถูกกับยา  เพราะเป็นความจริง แยกแยะดูให้ดี  วันหนึ่งคืนหนึ่งเราไม่ต้องกำหนดเวล่ำเวลา  เอาให้เห็นความชำนิชำนาญ ความแจ่มแจ้งตามความจริงทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในสกลกายนี้  และจะเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งสติปัญญาของเราเอง ไม่เกิดขึ้นจากที่ใดแห่งใดแหละ จะเกิดขึ้นจากที่นี่ พิจารณาให้จริงให้จัง

        จิตเราได้ถูกขังถูกกล่อมมานานแล้ว  จนไม่สนใจจะหาทางออก เกิดขึ้นมาก็มาเจอเอาอันนี้เลย  เพราะสิ่งนี้พาให้เกิด สิ่งนี้พาให้ตายหรือพาให้เป็นอยู่ ทีนี้เอาธรรมซึ่งเป็นของจริงแทรกเข้าไป พิจารณาให้เห็น ดูให้ชัด ร่างกายดูตั้งแต่ผิวหนังเข้าไปสะอาดที่ตรงไหนสวยงามที่ตรงไหน หนังสวยงามอะไร เราดูซิหนังรองเท้างามอะไร สดสวยที่ตรงไหน หนังเรากับหนังรองเท้าผิดกันที่ตรงไหน หนังหญิงหนังชายเป็นหนังเหมือนกัน เสกสรรปั้นยอกันไปว่าหญิงว่าชายที่ไหน นี่ก็คือแฝงขึ้นมา ๆ เป็นสิ่งที่แฝงขึ้นมา หลักธรรมชาติแล้วคือหนัง ดูเข้าไปถึงเนื้อ

        แม้แต่หนังภายในก็ดูเถอะ ข้างนอกนี้ก็มีแต่มูลเต็มไปหมด ขี้เหงื่อขี้ไคล  มีตรงไหนที่เป็นความสะอาดสะอ้าน เป็นความสวยความงาม  ภายนอกที่เป็นเครื่องประดับหน้าร้านว่าสวยว่างามนี่ว่ากันเอาเฉยๆ จากผิวเข้าไปบางๆ นิดเดียวเท่านั้นก็จะเจอสิ่งที่สกปรกโสมมไปหมดรอบตัว  แล้วพิจารณาลึกเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นแต่ธรรมชาติที่เป็นของปฏิกูลโสโครกทั้งมวล  ถ้าหนังไม่หุ้มห่อไว้นี้ดูกันไม่ได้เลย  ไม่ว่าหญิงว่าชายดูกันไม่ได้ทั้งนั้น

        หนังบางๆ นี้แหละเป็นเครื่องพรางตาบุรุษตาฟางไว้ เพราะฉะนั้นจงเอาปัญญาสอดเข้าไปแทรกเข้าไปให้เห็นตามความจริงของสิ่งนั้น และทะลุปรุโปร่งไปหมดทั้งภายนอกภายในรอบสกลกายทั้งภายนอกทั้งภายใน แล้วจะติดจะพันจะรักจะชอบกันที่ตรงไหน และอะไรจะมากดถ่วงจิตใจ  ที่ว่าอุปาทาน ๆ ความยึดมั่นถือมั่นความรักความสงวนมันมาจากไหน ถ้าไม่มาจากความจอมปลอมที่ไปสำคัญมั่นหมายเอานี้เท่านั้นไม่มีที่มา

        ปัญญาทำลายลงไปให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจน  นอกจากนั้นกำหนดลงไปซิ หนังเปื่อยเน่าพังทลายลงไป  เส้นเอ็นทนไม่ไหวขาดหลุดลุ่ยกระจัดกระจายออกไป กระดูกแต่ละท่อน ๆ ซึ่งเส้นเอ็นรัดรึงไว้นั้นขาดลงไป ๆ ส่วนภายในตับไตไส้พุงอาหารใหม่อาหารเก่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เด่นชัดอยู่แล้วด้วยความปฏิกูลโสโครกยิ่งแสดงตัวให้เห็นอย่างชัดเจนออกมา พังทลายลงไป เอาจุดไหนเป็นจุดที่น่ารักใคร่ชอบใจ เป็นจุดที่น่าสงวนชวนชมมีตรงไหน  คำว่างามอยู่ตรงไหน คำว่าหญิงว่าชายอยู่ตรงไหน  น่ารักตรงไหนน่าสงวนตรงไหน เป็นสาระแก่นสารที่ตรงไหน  ดูแล้วหมดทั้งร่างหาที่ยึดเอาไม่ได้เลย แม้เท่าเข็มเล่มหนึ่งก็ไม่มีในร่างกายนี้ เรามาตื่นลมตื่นแล้งกันอะไร นี่ละปัญญาแทรกลงไป

        เมื่อเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว จิตจะต้องถอนตัวออกมาพร้อมกับเกิดความสลดสังเวชตนว่า  โอ้โห  ทำไมแต่ก่อนอยู่ด้วยกันมานานก็ไม่รู้ไม่เห็นกัน  วันนี้ได้เห็นแล้วเหรอได้รู้แล้วเหรอ  และสิ่งเหล่านี้พึ่งมีวันนี้เท่านั้นเหรอถึงได้มาเห็นกันวันนี้  ความจริงก็คือปัญญาเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้  สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วตั้งแต่วันเกิด ปัญญายังไม่เกิดก็ไม่เห็นไม่รู้  เพราะฉะนั้นปัญญาจึงต้องผลิตขึ้นมา อยู่เฉยๆ ให้เกิดปัญญาเป็นไปไม่ได้ ต้องพินิจพิจารณาหลายสันหลายคม  หากมีแย็บขึ้นมาให้สะดุดใจจุดหนึ่ง ๆ หรือขณะหนึ่ง ๆ จนได้

        แต่ละขณะนี้มีคุณค่ามากพูดถึงเรื่องปัญญาแล้ว สะดุดขึ้นมาตรงไหน ๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสามารถทำลายกิเลสได้มากมายก่ายกอง นี่เรื่องของปัญญาท่านก็สอนไว้อย่างนี้ นี่คือมรรคฝ่ายเหตุแก้กิเลสอันเป็นสมมุติด้วยกันเป็นลำดับลำดาเข้าไป ใจไม่เคยสงบก็สงบ ที่ไม่สงบก็เพราะความหลงนั้นเอง เมื่อรู้แล้วไปวุ่นกับอะไรวุ่นหาอะไร จึงต้องใช้ปัญญาเป็นสำคัญ

        ขณะจิตให้มีความสงบก็ให้ทำอย่างจริงจังจนมีความสงบ  ไม่สงบด้วยอุบายวิธีของสมถะ ต้องใช้อุบายปัญญาตีต้อนเข้ามา  จนกระทั่งจิตไม่มีที่ไปแล้วหมอบด้วยอำนาจของปัญญา  ใช้เถอะวิธีใดซึ่งเป็นวิธีถอดถอนกิเลสแล้วเป็นใช้ได้ทั้งนั้น  เราอย่าไปคำนึงเฉพาะคัมภีร์ใบลานที่ท่านจดจารึกไว้พอประมาณและเป็นส่วนกลาง ๆ เท่านั้นไม่พอกับความต้องการ  กิเลสมีมากมาย อุบายวิธีที่จะนำมาแก้กิเลส ซึ่งเหมาะสมกับจริตนิสัยของตนที่จะผลิตขึ้นมาได้ก็ควรให้เกิดมีขึ้นตามสิ่งเหล่านั้นมีมากมาย

        ธรรมมีอยู่ทั่วไปท่านว่า  หินลับปัญญาก็มีอยู่ทั่วไป  สิ่งที่จะทำลายจิตใจก็มีอยู่ทั่วไปถ้าใจโง่เสียอย่างเดียวเท่านั้น  ถ้าใจฉลาดแล้วมองไปที่ไหนเป็นหินลับปัญญาไปหมด  เวลาใจโง่มองไปที่ไหนมีแต่ข้าศึกคอยกัดคอยฉีกเคี้ยวกลืนเอาเสียจนแหลก  ทั้ง ๆ ที่ตัวไม่ตายให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายเคี้ยวกลืนเอาเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน  เวลามันโง่เป็นอย่างนั้นจิต  เวลาจิตของเราโง่กิเลสมันยิ่งฉลาด  เวลาจิตของเราฉลาดด้วยธรรมกิเลสก็หมอบ  หมอบด้วยขาดสะบั้นลงไปด้วยเป็นลำดับลำดา

        ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นอุบายที่ถูกต้องทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะน่าลูบคลำ เพราะสอนตามความจริงอย่างนี้ เอาให้จริง  เรามากันมากมายมาจากที่ต่าง ๆ มุ่งเพื่ออรรถเพื่อธรรม  แต่ลำพังตนเองไม่สามารถก็ต้องเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์  นี่ในฐานะที่หมู่เพื่อนเสกสรรว่าเป็นครูเป็นอาจารย์มาเคารพนับถือ  ก็ได้แสดงอรรถธรรมให้ฟังเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มสติกำลังความสามารถ  ไม่เคยปิดบังลี้ลับไว้เลยแม้แต่น้อย  และพูดตามความจริงด้วยอาจหาญด้วยไม่ได้คุย  ได้ปฏิบัติมาอย่างนั้นจริง ๆ

        เวลาจะทำจิตให้สงบนี้ก็ไม่ใช่เล่น เป็นข้าศึกใหญ่โตเหมือนกันที่ต่อสู้กันกว่าจะได้รับความสงบพอเห็นเหตุเห็นผลเห็นต้นเห็นปลาย มีหลักมีเกณฑ์ภายในใจพอจะได้ยับยั้งชั่งตัวได้ด้วยความสงบนั้นเป็นต้นทุน ก็หนักไม่ใช่เล่นเหมือนกัน  สงบจนกระทั่งเอาให้ได้เมื่อไรได้ทั้งนั้น  นั่นละจิตที่เคยคึกคะนองฟังซิ เอาให้สงบเมื่อไรได้ทั้งนั้น  ทำไมเป็นไปได้อย่างนั้น  ก็เพราะความชำนาญในความสงบด้วยอุบายวิธีการของตนเองที่เคยปฏิบัติมานานจนช่ำชอง  สงบเมื่อไรก็ได้ เป็นต้นทุนอันหนึ่ง แล้วก็ออกพิจารณา

        เมื่อถึงเวลาที่ควรพิจารณาทางด้านปัญญาเอาให้เป็นปัญญาจริง ๆ ไม่ต้องห่วงใยในความสงบ  ทำหน้าที่การงานทางด้านปัญญาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย  เวลาใช้ปัญญามาก ๆ จิตใจจะรู้สึกอ่อนเพลีย  ร่างกายก็อ่อนเพลียเหมือนกันแล้วให้เข้าพักสู่ความสงบ ไม่ต้องยุ่งกับปัญญาในขณะนั้นเหมือนกัน  ถึงวาระที่จะควรเดินทางสมถะ  ทำหน้าที่ของสมถะก็เอาให้จริงให้จังไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับวิปัสสนา  ถึงเวลาจะดำเนินงานทางด้านวิปัสสนา  ก็ไม่ต้องมาเป็นอารมณ์ห่วงใยกับสมถะ  ทำหน้าที่ของวิปัสสนาไปให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย  นี่คือการปฏิบัติโดยถูกต้องสม่ำเสมอ  หากเป็นโอกาสอันหนึ่งที่เราจะทราบในตัวของเราเองว่า กาลใดที่ควรจะเข้าสู่สมาธิพักสงบ  และกาลใดที่ควรจะออกทางด้านวิปัสสนาคือพิจารณาโดยทางปัญญาในอาการแห่งธรรมทั้งหลาย

        เฉพาะอย่างยิ่งกายคตาสติเป็นสำคัญมาก  ตั้งแต่ภาคพื้นไปจนถึงขั้นกลาง กายเป็นสำคัญ  ผู้ใดพิจารณาร่างกายไม่หยุดไม่ถอย  ผู้นั้นละจะเห็นความสงบอันละเอียดลออของจิต  จากนั้นก็ปล่อยกันได้กิเลสที่เกี่ยวกับเรื่องกาย เพราะเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ 

        นี่ภาวนาก็นานผลปรากฏอย่างไรบ้าง หรือไม่ได้เรื่องได้ราว สมเหตุสมผลกับมาศึกษาอบรมยังไง  เราหวังอะไรในโลกนี้ว่าจะเหนือธรรมไป  มีอะไรบ้างในโลกที่เราเคยอยู่เคยเป็นเคยตายมาแล้วนี้จะเหนือธรรมมีที่ตรงไหน ถ้ามีโลกก็ควรวิเศษไปนานแล้ว เพราะได้เคยจมอยู่กับโลกนี้มานานโดยไม่มีใครที่จะมาเป็นคู่แข่งกันได้แหละ เพราะเป็นนักจับจองวัฏวนคือความเกิดแก่เจ็บตายมาด้วยกันทั้งนั้น และมีใครเป็นผู้วิเศษวิโสยิ่งกว่ากันเพราะสิ่งเหล่านี้บ้าง ไม่เห็น  นี่แหละที่เราจะพยายามแหวกว่ายตัวของเราออกในสิ่งที่เราหาความวิเศษศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่เจอ  ทีนี้จะหาด้วยธรรม

        ธรรมคืออะไร  สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม  ฟาดลงไปให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ธรรมอันประเสริฐเลิศโลกจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุแห่งธรรมทั้งหลายที่กล่าวมานี้ไม่สงสัย ขอให้จริงเถอะ  สำคัญอยู่ที่ข้อปฏิบัติเอาจริงเอาจัง  อย่าไปคำนึงถึงเรื่องอำนาจวาสนามีมากมีน้อย  เป็นเรื่องของกิเลสกล่อมใจทั้งนั้น มันละเอียดมากกิเลส แทรกอยู่ในวงความเพียรนั้นแล  ไม่ว่าความเพียรประเภทใดขั้นใด กิเลสประเภทนั้นขั้นนั้นต้องแทรกไปอยู่เสมอ ๆ เพราะเป็นคู่แข่งกันไม่แทรกกันได้ยังไง  ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะทราบได้  ยิ่งผ่านไปได้แล้วยิ่งทราบได้หมดอย่างละเอียดลออไม่สงสัย

        ความหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้หรือปราบสิ่งเหล่านี้ให้ราบไปหมด  ไม่มีซากกิเลสแม้ตัวเดียวเหลืออยู่ภายในใจเลยเท่านั้น  นั้นแหละเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในโลกที่เราเคยผ่านมานี้  มีอะไรเป็นคุณเป็นโทษต่อจิตใจดวงนี้  ก็จะได้มองเห็นชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย ว่ามีกิเลสเท่านั้นเป็นข้าศึกอันใหญ่หลวงเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน  เมื่อกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกหมดแล้วไม่มีอะไรเป็นข้าศึกเลย  ธรรมไม่เคยเป็นข้าศึกต่อผู้ใด  มีแต่ความเป็นอิสรเสรี อกาลิโก หากาลสถานที่เวล่ำเวลาไม่ได้ คงเส้นคงวา อบอุ่นก็พูดไม่ถูกเสีย  ท่านให้ชื่อขึ้นมาอีกว่าความบริสุทธิ์ของจิต ความเป็นอิสระของใจ

        กิเลสเป็นเจ้าของมันควบคุมบังคับบัญชา กดขี่ข่มเหงย่ำยีตีแหลกอยู่ตลอดแต่ไม่ตาย.....จิต สลบไสลไปก็ไม่ตาย จึงต้องเอาธรรมเข้าแทรกเอาธรรมเข้าช่วย จนกระทั่งกิเลสแตกกระจายไปหมดจากใจแล้ว  ที่นี่ธรรมฝ่ายเหตุก็หมดปัญหาไปแหละที่นี่  อันนั้นเราจะว่าผลก็ไม่ถนัดใจที่จะพูดแล้วที่นี่  แต่ส่วนมากโลกสมมุติยังมีต้องเรียกว่าธรรมฝ่ายผลกัน  สำหรับธรรมชาติที่รู้ ธรรมชาติที่เห็น ธรรมชาติที่เป็นของท่านผู้รู้ผู้เห็นนั้นท่านไม่พูดท่านไม่ตั้งชื่อตั้งนาม  พอทุกอย่าง  อยู่ในนั้นพอเหมาะพอสมทุกอย่างแล้วในธรรมชาติอันนั้น

        นั่นที่ว่านอกสมมุตินอกอย่างนั้นเอง  ไม่ได้นอกเหนือฟากเมฆฟากหมอกไปที่ไหนแหละ อดีตก็หมดอนาคตก็หมด ปัจจุบันก็รู้เท่า  คือรู้เท่าโดยหลักธรรมชาติ ไม่ใช่รู้เท่าเพราะการกำหนดจดจ่อต่อสู้กันอย่างนั้น นั่นเป็นเชิงรบ  นี่ได้ชัยชนะแล้วคำว่ารบ ๆ จึงไม่มี เป็นอิสระ เป็นความรู้เท่าโดยหลักธรรมชาติโดยไม่ต้องเสกสรรปั้นยอ ไม่ต้องมีท่าต่อสู้อะไร เป็นธรรมชาติของตน สมบูรณ์ในตนของตนเอง  ถ้าจะพูดถึงผลก็คือผลแห่งการปฏิบัติมาหนักเบามากน้อย ตะเกียกตะกายมาเพียงไร  เหล่านั้นเป็นปุ๋ยอันดีเยี่ยมทีเดียว  เป็นเครื่องสนับสนุนให้ถึงจุดนั้น  เราไม่พอใจกับเหตุเพื่อผลอันนั้นแล้วเราจะพอใจกับอะไร

        มีที่สงสัยตรงไหนโลกนี้ที่ไม่มีป่าช้า  อยู่ที่ไหนก็ป่าช้าติดกับตัวของเราเราสงสัยที่ไหน  อะไรวิเศษ ถ้าป่าช้าวิเศษโลกนี้มีป่าช้า แต่ละธาตุละขันธ์มีป่าช้ามีความเกิดแก่เจ็บตายอยู่ด้วยกัน ก็วิเศษไปตามๆ กันหมด การที่รู้เท่าทันสาเหตุ แก้สาเหตุที่จะให้เกิดมีป่าช้าการเกิดแก่เจ็บตายหมุนเวียนเหล่านี้ออกจากใจเสียโดยสิ้นเชิงนั้นเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่ง  เป็นสิ่งที่เราควรเสาะแสวงอย่างยิ่ง นั่นละทรัพย์อันประเสริฐเลิศยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายในไตรโลกธาตุนี้  พากันตั้งใจ อย่าสนใจกับสิ่งใดนอกจากทางเดินของตนงานของตนเท่านั้นเป็นสำคัญสำหรับเราผู้ต้องการความพ้นทุกข์  ผู้ต้องการแก้สิ่งที่ปักเสียบอยู่ภายในจิตใจได้แก่กิเลสประเภทต่าง ๆ ให้หมดไป  มีความสนใจอยู่จุดนี้เท่านั้น

        งานนี้เป็นงานใหญ่โตเป็นงานสำคัญมาก สำหรับเราผู้ที่จะข้ามจากวัฏสงสาร  อย่าเห็นงานเหล่าอื่นเหล่าใดว่าเป็นของสำคัญ จะมาเหยียบย่ำทำลายงานอันชอบธรรมนี้ให้หมดทางเดิน  พอด้อยลง ๆ ก็หมดทางเดินคนเราเป็นอย่างนั้น  ธรรมเป็นเหมือนน้ำสะอาด  ชะล้างลงไปตรงที่มันสกปรก  น้ำจะยกหนักบ้างก็ยอมซิ  ความสกปรกมีมากต้องยกน้ำให้หนัก ๆ มาก ๆ จึงจะพอกัน  กิเลสหนาแน่นก็ฟาดกันลงให้เต็มเหนี่ยวซิ

        ตายเพราะอำนาจกิเลสเราเคยตายมานานแล้ว ภพใดชาติใดมีแต่ตายเพราะอำนาจของกิเลส ตายเพราะอำนาจของธรรมยังไม่เห็น เอาให้เห็นให้ธรรมได้กุสลาเราเองเป็นไร มีแต่กิเลสมัน อกุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ธรรมที่จะได้มา กุสลา ธมฺมา นี้ยังไม่มี เอาซิธรรม กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร แปลว่าความฉลาด  อกุสลา ธมฺมา แปลว่า ความโง่  ตายด้วยความโง่ เกิดด้วยความโง่ จึงเรียกว่ากิเลสมัน อกุสลาทำพวกเราให้โง่ ๆ เรียกว่าอกุสลา  ธรรมนี้เป็นกุสลา ตายด้วยกุสลาเป็นไรไป  ไม่มีอะไรที่น่าเสียดาย มีเกิดกับตายเท่านั้นโลกอันนี้

        กิเลสพาคนให้ตื่นโลก พาสัตว์ให้ตื่นโลก  ไม่มีคำว่าความพอดิบพอดีในโลกนี้ มีแต่กระหยิ่มยิ้มย่องว่าดิบว่าดีว่าวิเศษวิโส หน้ามีแล้วด้วยกันทุกคน ๆ ก็อยากมีหน้ามีตามีชื่อมีเสียง  อะไรก็มีอยู่แล้วมันหากไม่พอ  เรื่องของกิเลสต้องปีนคอกปีนลูกกรงอยู่นั้นตลอดไป  จะพาให้สัตว์โลกอยู่ด้วยความสงบเย็นใจไม่มีถ้าไม่ใช่ธรรม  ถ้าธรรมมีมากน้อยนั้นมีได้  มีความร่มเย็นเป็นสุขสงบตัวได้และรู้จักประมาณ จนเป็นสุขเต็มตัวขึ้นมาเพราะการปฏิบัติ

        ให้ระมัดระวังตัวเสมอผู้ปฏิบัติ  สิ่งที่มาเกี่ยวข้องมีอะไร ๆ บ้าง  อย่าเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสำคัญโดยถ่ายเดียวที่ไม่ได้คิดไม่ได้พิจารณา จะกลายเป็นข้าศึกต่อเราโดยไม่รู้สึกตัว ปัจจัยสี่มีอะไรบ้าง เป็นเครื่องอาศัยชั่วกาลชั่วเวลาพอให้ดำเนินไปด้วยความสะดวกสบายในธรรมทั้งหลายของเรานี้เท่านั้น อันนี้เป็นหลักใหญ่ ต้องได้คิดผู้ประพฤติปฏิบัติ

        เอาให้จริงให้จัง  เราอยากได้ยินได้ฟังเพื่อนฝูงที่มาปฏิบัติได้เห็นผลอะไรบ้างขึ้นมา  สมกับแนะนำสั่งสอนด้วยความเหนื่อยยากลำบากเรื่อยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว  อุบายวิธีครูบาอาจารย์ที่แนะนำสั่งสอนนั้นเป็นแต่เพียงว่าแง่หนึ่ง ๆ เท่านั้นที่จะเป็นต้นทุนให้เรานำเข้าไป หรือเป็นสิ่งหยิบยืมจากท่านเพื่อเข้าไปสร้างตัวของเราให้เกิดดอกผลขึ้นมา  อันเป็นต้นทุนหนุนกันเป็นกำไรขึ้นไปโดยลำดับ ๆ ด้วยการพินิจพิจารณาของเราเอง นี่เป็นหลักสำคัญมาก

หยุดเพียงแค่นี้ละ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก