เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๓
สงครามล้างโลก
ท่านนักปฏิบัติพึงทราบอย่างถึงใจว่า การรบการต่อสู้กับกิเลสซึ่งเป็นเจ้าอำนาจครองโลกธาตุภายในจิตใจของสัตว์โลกนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญอยู่มาก จึงเหมือนกันกับการทำสงครามล้างโลก ใครดีอยู่ใครไม่ดีไป ถ้ากิเลสมีความฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าธรรมที่เราจะนำมาใช้ ธรรมภายในใจก็บรรลัย ใจตกเป็นทาสของกิเลสตลอดไป ถ้าธรรมาวุธเครื่องประหัตประหารกิเลส ที่เรานำมาใช้มีกำลังมากไปโดยลำดับ กิเลสก็ทนความบรรลัยไม่ได้ ใจก็เป็นอิสระอย่างเต็มที่ประจักษ์กับตัวเอง โดยไม่ต้องไปถามใคร
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่ทรงสนพระทัยว่าจะถามใครอีกในเรื่องความประจักษ์แห่งความบริสุทธิ์ของใจ ซึ่งแสดงผลประเสริฐอยู่ภายในพระองค์ท่าน ไม่ปรากฏว่าพระองค์ทรงสนพระทัยถามใครแม้คนหนึ่งภายในโลกทั้งสามนี้ ใจจึงเป็นทั้งคลังแห่งความสกปรกโสมม คลังแห่งวัฏจักร เพราะกิเลสเป็นเจ้าอำนาจปกครองควบคุมใจอยู่ตลอดมา และเป็นคลังแห่งความบริสุทธิ์ประเสริฐสุดในโลกทั้งสามนี้ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนได้
เมื่อสิ่งที่สกปรกรกรุงรังคือวัฏจักร ได้สลายไปจากใจหมดแล้วด้วยการปราบปรามโดยทางความเพียรและเครื่องมือที่ทันสมัย พระองค์จึงมีความสามารถฉลาดแหลมคม และทรงองอาจกล้าหาญเต็มที่ นับแต่ขณะที่ได้ตรัสรู้มาแล้ว นำธรรมออกสั่งสอนโลกทั้งสามนี้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มอรรถเต็มธรรม
ผู้มีความมุ่งต่อความจริงอยู่แล้ว จึงได้ถึงใจในขณะที่พระองค์แสดงอรรถธรรมขั้นนั้น ๆ ซึ่งเป็นความจริงด้วยกันตามส่วนแห่งธรรม ให้เข้าถึงใจหรือซาบซึ้งถึงใจอย่างเต็มที่ เมื่อการแสดงถึงโทษถึงภัยที่เป็นอยู่ภายในจิตใจ ให้ถึงเหตุถึงผลถึงโทษจริง ๆ ผู้ฟังก็ได้ฟังและซาบซึ้งถึงโทษในสิ่งที่เป็นโทษภายในใจจริง ๆ และได้ฟังทั้งสิ่งที่เป็นคุณให้ถึงใจจริง ๆ ภายในใจของตนจากพระโอวาทของพระพุทธเจ้าแล้ว ความเห็นโทษและความเห็นคุณนั้นจึงเป็นกำลัง ไม่มีสิ่งใดเสมอได้อีกเช่นเดียวกันที่จะมีแก่ใจในสิ่งที่จะละหรือควรละ ก็ต้องละด้วยความถึงใจ สู้กันถึงเป็นถึงตาย ในสิ่งที่จะควรบำเพ็ญให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเพื่อถึงจุดหมายปลายทาง อันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างถึงใจนั้นก็ทำอย่างถึงใจ สุดท้ายชีวิตจิตใจความเป็นอยู่ในสกลกายความสุขความทุกข์ที่เป็นอยู่ในธาตุในขันธ์ ไม่มีอาการใดสิ่งใดที่จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินด้วยความเห็นคุณและเห็นโทษอย่างถึงใจนั้นเลย
เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้อย่างถึงพระทัยหรืออย่างถึงใจ ทรงสั่งสอนสัตว์โลกด้วยพระเมตตาอย่างถึงใจเช่นเดียวกัน และธรรมนั้นก็ถูกต้อง ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อน ตรงกับคำว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ ทุกขั้นทุกภูมิแห่งธรรม ไม่มีแง่ที่จะสงสัย ทรงแสดงสิ่งใดว่าผิดต้องผิดไปตามที่ทรงแสดงนั้นแท้ไม่เป็นอื่น ทรงแสดงว่าทางนี้เป็นทางถูก วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องให้ส่งเสริมกำลังของตนและความพากเพียรทุกด้าน เพื่อโหมตัวเข้าสู่จุดที่ตนต้องการอันเป็นผลที่จะพึงหวังนั้นอย่างเต็มที่เต็มฐาน
ด้วยเหตุนี้บรรดาพระสาวกทั้งหลายที่ออกมาจากสกุลต่าง ๆ จึงไม่ปรากฏว่าสาวกองค์ใดมีความห่วงใยพัวพันกับลูกกับหลาน กับบ้านช่องสมบัติพัสถาน ยศถาบรรดาศักดิ์มากน้อย เนื่องจากได้เห็นคุณเห็นโทษแล้วอย่างถึงใจในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาแล้วอย่างเต็มใจจากพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และจากประสบการณ์ที่ตนได้เคยผ่านมาแล้ว เป็นแต่เพียงว่ายังไม่เข้าใจในขณะนั้น เมื่อได้ยินได้ฟังพระองค์แสดงอย่างถึงใจแล้ว ย่อมสลัดตัดขาดไปได้ทันที ความที่จิตเคยเยื่อใยในสิ่งทั้งหลายมาดั้งเดิมนั้น ย้อนกระแสเข้ามาเป็นความเยื่อใยใฝ่ธรรม เพื่อนำตนให้ประกอบความพากเพียรอย่างเต็มที่เต็มฐาน ด้วยเหตุนี้กิเลสจึงต้องขาดไปเรื่อย ๆ
สถานที่อยู่ก็มุ่งแต่จุดสำคัญ ๆ ที่จะเป็นสถานที่ฆ่ากิเลสได้เป็นอย่างดี อาหารการบริโภคก็มีความมุ่งหมายต่ออาหารประเภทสัปปายะ คือฉันลงไปแล้วเป็นเครื่องสนับสนุนความพากเพียรโดยถ่ายเดียว และพอยังขันธ์ให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ได้ต้องการความเอร็ดอร่อยในรสในชาติของอาหารประเภทนั้น ๆ ซึ่งเคยรับมาแล้วอย่างจำเจ ไม่เห็นได้รับความวิเศษวิโสประการใดเลย จึงตัดออกจากความที่เคยเป็นมานั้น เข้าสู่ความเป็นอาหารสัปปายะสะดวกสบาย ฉันลงไปแล้วเป็นคุณต่อจิตใจ ไม่เป็นโทษต่อจิตใจ และไม่เป็นเครื่องส่งเสริมร่างกายให้มีกำลังมากขึ้นเพื่อทับถมจิตใจ ให้ดำเนินได้ด้วยความลำบากลำบน
ปุคคลสัปปายะ คบค้าสมาคมก็มีตั้งแต่ผู้ปฏิบัติเพื่อที่จะหลุดพ้น อันเป็นความรู้ความเห็นประเภทเดียวกัน จึงคบค้าสมาคมกันได้ด้วยความสนิทตายใจ ประหนึ่งอวัยวะเดียวกัน ไม่เคยสนใจว่าท่านองค์นั้นมาจากชาตินั้นวรรณะนั้นฐานะนั้นเป็นต้น สนใจแต่ว่าเป็นที่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องส่งเสริมสติกำลังศรัทธาความเพียรหรือปัญญาทุกแง่ทุกมุม ที่จะให้มีกำลังมากขึ้นเพราะการคบค้าสมาคมหรือสนทนาซึ่งกันและกันเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมธรรมที่มุ่งที่ปรารถนาอยู่อย่างเต็มใจ และสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งที่จะส่งเสริมธรรมที่ปรารถนานี้ให้มีกำลังมากขึ้นโดยลำดับแล้ว ธรรมเหล่านี้จะไม่เจริญรุ่งเรือง กิเลสจะไม่ค่อยเหือดแห้งหมดไปได้อย่างไร กิเลสต้องค่อยหมดไป ธรรมที่พึงปรารถนา นับตั้งแต่สมาธิธรรมคือความสงบร่มเย็นภายในจิตใจ ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญวุ่นวายส่ายแส่ไปตามอารมณ์ที่เคยเป็นมาซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา และฝักใฝ่ในธรรมอันเป็นอารมณ์เครื่องแก้กิเลสอาสวะซึ่งเป็นสิ่งที่สกปรกนั้นโดยลำดับลำดา ในท่าอิริยาบถต่าง ๆ และสถานที่ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา
ธรรมทั้งหลายที่จะพึงปรากฏขึ้น ใครเป็นผู้มีเจตนา ใครเป็นผู้มุ่งมั่นต่อธรรมเหล่านั้น ใครเป็นผู้คิดดำริแง่ต่าง ๆ แห่งธรรมที่จะให้เป็นไปตามธรรมที่ตนต้องการนั้นก็คือใจ ใจเป็นผู้ดำเนินงาน ใจเป็นผู้ประสงค์ที่จะรู้จะเห็นในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น ควรละ ควรถอน ใจจึงต้องรู้ทั้งกิเลสที่หมดไปมากน้อยภายในจิตใจ และรู้ทั้งธรรมที่ปรากฏขึ้นมากน้อยภายในจิตใจ มีสมาธิธรรมเป็นต้น โดยลำดับลำดา
นี่คือทางดำเนินของผู้จะรื้อภพรื้อชาติ รื้อวัฏสงสาร รื้อกองทุกข์ทั้งมวล ซึ่งเคยแบกเคยหามเคยสัมผัสสัมพันธ์กันมาแต่กัปใดกัลป์ใดก็ตาม มีใจเป็นตัวการสำคัญ ที่ฝังเชื้อไว้ภายในตน เพื่อจะตั้งป่าช้าในภพนั้นภพนี้ มีวิบากคือผลที่จะให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความสุขความทุกข์มากน้อย ตามวิบากของตนในภพชาตินั้น ๆ
สิ่งเหล่านี้ค่อยหมดไปโดยลำดับ เพราะอำนาจแห่งการต่อสู้การบำเพ็ญ ชำระล้างภายในจิตใจ ผู้แสดงก็เป็นศาสดาองค์เอก เอกทั้งอุบายแนะนำสั่งสอนต่าง ๆ เอกทั้งพระจิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ผู้ฟังก็ฟังเพื่อธรรมอันเอก เพราะฉะนั้นดีต่อดี จริงต่อจริง เข้ามาประสานกันจึงบวกกันเข้าเป็นความจริงล้วน ๆ ได้อย่างเต็มสัดเต็มส่วนไม่มีสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏอย่างเด่นชัดในตำรา ซึ่งออกมาจากปัจจุบันของแต่ละองค์ ๆ ที่ได้สดับตรับฟังจากพระพุทธเจ้าแล้วบำเพ็ญอย่างถึงใจ จนได้บรรลุมรรคผลนิพพานขึ้นมาเป็นลำดับลำดา กลายเป็น พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของโลกได้อย่างเปิดเผย
ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมสักแต่ว่าคำพูด ไม่ใช่ธรรมคาดคะเนเดา ไม่ใช่ธรรมลวงโลกแต่คือธรรมของจริง เราอยากทราบธรรมของจริงนี้ประจักษ์ใจ ให้พึงปฏิบัติตามพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ชี้ไว้แล้วโดยถูกต้องทุกแง่ทุกมุม น้ำหนักของธรรมที่จะให้เป็นที่อบอุ่น เป็นที่แน่ใจและเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างเต็มภูมิฐานของใจนั้น จะเกิดขึ้นจากความจริงที่เนื่องมาจากการปฏิบัติล้วน ๆ
สำหรับความจำนั้นได้แก่การศึกษาเล่าเรียนมามากน้อย นั่นเป็นความจำ ไม่สามารถที่จะทำความหนักแน่นมั่นคงและเป็นที่แน่ใจให้แก่ผู้ที่จดจำมาได้มากน้อยนั้นเลย เพราะการเรียนมานั้นเรียนมาเพื่อจะรู้วิธีการดำเนิน คือภาคปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติการเรียนก็เป็นเพียงความจำ ความจำนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดที่จะให้ความสงบสุขเย็นใจเป็นต้นเกิดขึ้นแก่ตน กิเลสประเภทใดก็ตามซึ่งเคยมีอยู่ภายในจิตใจ จะไม่ร่อยหรอไปบ้างเลยแม้แต่นิด นอกจากจะเป็นการสร้างกิเลสความยึดมั่นถือมั่นสำคัญตน ว่าจดจำหรือเรียนได้มากน้อยเท่านั้น เลยขัดกับหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเพื่อแก้เพื่อถอดถอนกิเลสอาสวะไปเสีย โดยเจ้าตัวไม่รู้
เพราะฉะนั้นเรื่องความจำที่เราศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยนั้น จึงเป็นเพียงเป็นปากเป็นทางหรือเป็นปทัฏฐานเบื้องต้นที่จะให้เป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติ จึงไม่เป็นที่แน่ใจ เป็นที่ไว้ใจได้ เป็นที่ตายใจได้ เราจึงต้องปฏิบัติเพื่อความจริง ความจำกับความจริงนั้นต่างกันอยู่มาก ในภาคปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถจะทราบได้ในแง่ทั้งสองนี้อย่างประจักษ์ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ปฏิบัติ ผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติคือความรู้จริงเห็นจริงเป็นขั้น ๆ ประจักษ์กับตน
เพราะการศึกษามานั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว เป็นเข็มทิศทางเดินที่ถูกต้องแล้ว ผู้ปฏิบัติตามเข็มทิศทางเดินโดยความถูกต้อง ย่อมจะถึงผลเป็นที่พอใจเป็นขั้น ๆ ภูมิ ๆ ไปโดยลำดับ และเป็นความจริงประจักษ์ใจไม่หวั่นไหว ทำเจ้าของให้เป็นที่แน่ใจนับแต่ขั้นสมาธิ เพียงจิตสงบเท่านั้น เราก็ทราบได้ชัดว่า ความสงบนี้ก่อให้เกิดความสุขได้แก่เรามากน้อยเพียงไร มีความเย็นใจ มีความเบาใจ มีความสว่างไสวอยู่ภายในจิตใจ แล้วปรากฏเป็นความอบอุ่นแน่ใจขึ้นในขณะที่จิตมีความสงบนั้น นี่เป็นที่แน่ใจสำหรับตนเอง แม้ผลที่ปรากฏนี้จะค่อยจืดจางเลือนรางไปเพราะการปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ แต่สักขีพยานแห่งผลที่เคยได้ปรากฏกับตนนี้แล้วจะไม่ลบเลือนไปไหนเลย นี่จึงชื่อว่าความจริง
ปกติของจิตจะสร้างตั้งแต่วัฏจักรวัฏวน สร้างแต่พิษแต่ภัยด้วยความคิดปรุงต่าง ๆ ไม่หยุดไม่ถอยไม่มีเวล่ำเวลา ทั้งกลางวันกลางคืนยืนเดินนั่งนอน นี่เป็นอัตโนมัติของกิเลสที่ผลิตงานให้แก่สัตว์โลกได้รับความทุกข์ความลำบากเรื่อยมา เป็นเช่นนี้ทุกหัวใจของสัตว์โลก เป็นแต่เพียงว่าเจ้าตัวไม่ทราบเท่านั้น จึงต้องอาศัยหลักการปฏิบัติเพื่อจะแก้จะถอดจะถอน จะระงับความคิดความปรุงอันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหลายนี้ ให้ปรากฏความเป็นธรรมขึ้นมา ด้วยวิธีการอันเป็นธรรม
งานของเราที่ทำนั้นแลเรียกว่าวิธีการที่เป็นธรรม ผลที่เกิดขึ้นจากงานที่เราทำ ปรากฏเป็นความสงบเย็นใจขึ้นมาตามขั้นตามภูมิของตน จนมีความแน่นหนามั่นคง นี่เป็นผลขึ้นมาโดยลำดับ ๆ จะปรากฏขึ้นที่ใจ ใจเป็นภาชนะ ใจเป็นผู้รับทราบธรรมทั้งหลายมีมากน้อย หยาบละเอียด จนถึงขั้นวิมุตติสูงสุดหลุดพ้น อัศจรรย์อย่างยิ่งไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ก็มีใจเท่านั้นเป็นผู้จะสัมผัส เป็นผู้จะรับทราบ เป็นผู้จะรับเป็นภาชนะอย่างเต็มภูมิของตนและเต็มภูมิของธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะรับทราบธรรมได้ยิ่งกว่าใจ ใจจึงควรได้รับการอบรมด้วยธรรมเสมอ
ข้อคิดใดก็ตามถ้าเป็นข้อคิดความคิดที่จะทำให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ได้รับความทุกข์ ความคิดนั้นเราอยากจะพูดว่าร้อยทั้งร้อย เป็นกลมายาหรือกลอุบายการกระทำของกิเลสทั้งมวล ความคิดความปรุงใดแม้จะลำบากในขณะที่คิดที่ปรุงด้วยเจตนา ดังเราทั้งหลายประกอบความพากเพียร ต้องถือจิตเป็นตัวงาน ย่อมจะได้รับความทุกข์ความลำบากเช่นเดียวกัน แต่ผลปรากฏเป็นความสงบสุขเย็นใจขึ้นมาและความสว่างกระจ่างแจ้ง เห็นเหตุเห็นผลตามหลักความจริงของสัจธรรม ซึ่งเป็นธรรมของจริงมาดั้งเดิมโดยลำดับจนรู้แจ้งแทงทะลุ ความลำบากเหล่านี้ไม่จัดว่าเป็นฝ่ายผิด จัดว่าเป็นงานเครื่องปราบปรามกิเลส
เฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นนักปฏิบัติ ขอให้ถืองานนี้จับงานนี้อย่าปล่อยวาง เช่นเดียวกับเราเข้าสงครามอย่าปล่อยอาวุธ อย่าเผลอตัว อย่าเที่ยวเพลิดเพลิน ให้มีความระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นจะโดนข้าศึกปราบปรามให้แหลกทั้ง ๆ ที่เราต้องการชัยชนะ ก็จะเหลือแต่ซากกระดูกเท่านั้นไม่มีสิ่งใดที่ปรากฏว่าเป็นของดีขึ้นมาเลย
นี่การประกอบความเพียรเพื่อต่อสู้กับกิเลสทุกประเภท ให้พึงทราบว่ากิเลสนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดแหลมคมมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดภายในจิตใจของสัตว์โลกที่มีกิเลส และการปราบปรามการแก้ไขต้องเป็นสิ่งที่ยากเกินสิ่งอื่นใดอีกเช่นเดียวกัน จึงเป็นเหมือนกับเราเข้าสงคราม จะเผลอตัวอ่อนแอไม่ได้ ต้องใช้ความเข้มงวดกวดขันอยู่ทุกอาการ มีท่าระวังตนด้วยสติ ท่าคิดอ่านด้วยปัญญาที่จะถอดถอนกิเลสหรือปราบปรามกิเลสอยู่โดยสม่ำเสมอ ผู้นั้นแลเป็นผู้มีหวังจะได้ชัยชนะในสงครามล้างโลกภายในจิตใจให้สิ้นซากลงไป กลายเป็นผู้หมดป่าช้าทั้ง ๆ ที่จิตที่เคยเป็นนักจับจองป่าช้าก็ยังครองตัวอยู่ทั้งรู้ ๆ เห็น ๆ นี้แล แต่ซากป่าช้าหมดไปแล้ว
เชื้อของป่าช้าก็หมดไปแล้วภายในใจ เหลือแต่ใจล้วน ๆ ไม่มีป่าช้า ไม่มีซากแห่งกิเลสทั้งหลายเหลืออยู่ นั่นคือท่านผู้บริสุทธิ์ นั่นคือท่านผู้ลบล้างป่าช้าได้แล้วภายในจิตใจ รู้ชัดโดยไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ขึ้นมาก็ตาม พระสาวกองค์ใดที่ได้บรรลุธรรมตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ด้วยข้อปฏิบัติของตนก็ตาม จะไม่ถามผู้หนึ่งผู้ใดให้เสียเวล่ำเวลาให้ขายโง่ เพราะไม่มีความโง่จะขายแล้วภายในจิต ซึ่งเต็มไปด้วยความฉลาดแหลมคมและบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ธรรมอยู่ที่นี่ เอาให้จริงให้จัง
การพิจารณาสิ่งใดอย่าทำเหลาะแหละ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมเหลาะแหละ ไม่ใช่ธรรมอ่อนแอ ความอ่อนแอก็ดี ความขี้เกียจขี้คร้านก็ดี ความมักง่าย ความสะเพร่าก็ดี ราคะความกำหนัดยินดีในอารมณ์ต่าง ๆ ก็ดี นี่คือตัวกิเลสทั้งมวล โทสะความหงุดหงิดภายในจิตใจ โมหะความลุ่มหลงฝังจมอยู่ภายในใจสุมอยู่ตลอดเวลา จนหาเวลาที่ปัญญาจะแย็บออกมาไม่ได้ก็คือเรื่องของกิเลสทั้งมวล
สิ่งเหล่านี้แลเป็นเครื่องครอบงำจิตใจของสัตว์โลก ให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก เราอย่าเข้าใจว่าดินฟ้าอากาศมาทำให้ทุกข์ ความหิว ความกระหาย ความขาดตกบกพร่องปัจจัยเครื่องอาศัยต่าง ๆ ภายในร่างกายมาทำให้เราเป็นทุกข์ อันนี้ยอมรับกันทั้งโลก แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสัมผัสสัมพันธ์ เพราะธาตุขันธ์นั้นเป็นกอง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทำไมจะไม่ผ่านสิ่งที่เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตามาด้วยกันนั้น ต้องผ่าน สาวกทั้งหลายก็ผ่าน เป็นเช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ แต่สำคัญที่จิตไม่มีความยึดความถือ รู้เท่าทันกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ธรรมชาตินั้นแม้จะอยู่ในท่ามกลางแห่ง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเป็นเหมือนกงจักรพัดผันอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้เป็นกงจักร เพราะจิตเป็นวิวัฏจักรแล้ว จึงอยู่ในท่ามกลางแห่งขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น ไม่มีขันธ์ใดที่จะเข้าไปแทรกไปสิงไปทำลายความบริสุทธิ์นั้น ให้เป็นอย่างอื่นได้เลย นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น
อย่าคิดว่าธรรมแท้อยู่ที่ไหน ให้คิดว่าธรรมแท้นั้นอยู่ที่ความเพียรเป็นพื้นฐาน ความอุตส่าห์พยายามเป็นพื้นฐาน ความอดความทนเหล่านี้เป็นพื้นฐาน ที่จะให้เกิดอรรถเกิดธรรมขึ้นมาโดยลำดับ เราอย่าคิดว่ามรรคผลนิพพานจะอยู่ในที่อื่นใดที่ไหนซึ่งเป็นตามความคาดคะเน ส่วนมากเป็นเรื่องของกิเลสพาให้คาด พาให้ด้นเดา แล้วก็สร้างความท้อแท้อ่อนแอ ความหมดกำลังวังชา ความเฉื่อยชาของใจ ให้แก่ใจได้รับความลำบากอยู่อีกนั้นเอง มีแต่กลมายาของกิเลสทั้งนั้นล้อมเต็มอยู่ภายในจิตใจ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติเราจะไม่ทราบสิ่งเหล่านี้ได้เลย ต้องปฏิบัติ
สติปัญญาเป็นสำคัญที่จะพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ มีความเพียรเป็นเครื่องหนุนหลัง มีความอดความทนเป็นเครื่องสนับสนุนให้ต่อสู้ไม่ถอยหลัง พระพุทธเจ้าของเราไม่ได้ตรัสรู้ด้วยความท้อแท้อ่อนแออันเป็นเรื่องของกิเลส ไม่ได้ทรงท้อถอยซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส ความอดทนก็รวมอยู่ในพระพุทธเจ้า ความเป็นนักต่อสู้ก็อยู่ในพระพุทธเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างบรรดาความเป็นธรรมเพื่อความหลุดพ้น เพื่อความเป็นผู้ประเสริฐแห่งความเป็นศาสดาอยู่กับพระพุทธเจ้าทั้งมวล จงนำคติตัวอย่างร่องรอยอันดีนั้นเข้ามาเป็นสมบัติของตน ยึดไว้อย่าได้ปล่อยวาง กิเลสอาสวะจะหนายิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกจะไม่พ้นเครื่องมือที่พระองค์ประทานให้นี้ เป็นผู้ทำลายให้แตกกระจายออกไปจากจิตใจนี้ได้เลย
เราเกิดในโลกเคยเกิดมานาน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอดีตที่เคยผ่านมาแล้วว่า เคยเป็นภพใดชาติใดก็ตาม เพียงชาติปัจจุบันนี้ธาตุขันธ์ของเราเป็นอย่างไร เดินเข้าไปโรงพยาบาลจะเห็นตั้งแต่ป่าช้าผีดิบเกลื่อนกล่นวุ่นวายส่ายแส่ ดิ้นรนกวัดแกว่งกระเสือกกระสนไปด้วยความเจ็บปวดแสบร้อนด้วยโรคภัยไข้เจ็บประการต่าง ๆ เต็มไปหมดทุกห้องทุกหับทุกเตียง ผู้เข้าไปเยี่ยมคนไข้ก็หน้าเศร้าเหงาหงอย นั่นเป็นอย่างไร นี่คือกอง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา คือกองทุกข์ ควรจะเป็นพยานได้เป็นอย่างดีแล้วในปัจจุบัน
เราเองก็ไม่ได้เข้าโรงพยาบาลนั้น แต่ก็ยังได้ต้องบำบัดรักษาตนด้วยหยูกด้วยยา เท่ากับว่าเราอยู่โรงพยาบาลของสถานที่ที่เราพักอยู่ หรืออยู่ในกุฏิในศาลา พยาบาลด้วยหยูกด้วยยา ไม่เช่นนั้นก็ต้องลำบากลำบน ต้องบรรเทากันไปเช่นนี้เห็นประจักษ์ นี่เป็นส่วนธาตุส่วนขันธ์ ความบกพร่องในปัจจัยทั้ง ๔ คือเครื่องนุ่งห่มใช้สอยอาหารการบริโภค ขาดหยูกขาดยา เพียงเท่านี้ก็แสดงความทุกข์ให้เราเห็นอยู่แล้วตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน เราจะสงสัยไปที่ไหนอีกว่าธาตุขันธ์อันนี้จะเป็นหอปราสาทราชมณเฑียร เป็นพรหมโลก เป็นนิพพานให้เห็นได้รับความสุขความสบายพอจะเพลิดเพลินรื่นเริงกับมันเสียจนลืมเนื้อลืมตัว อันเป็นเรื่องของการถูกกล่อมจากกิเลสให้หลับสนิทมิดจมโดยไม่รู้สึกตัว นี่พูดถึงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์
เอ้า พูดถึงเรื่องจิตใจ มีเวลาไหนกาลใดขณะใดบ้างที่เราได้รับความอิสรเสรี มีความสะดวกสบาย ไม่มีเรื่องมีราวก่อกวนภายในจิตใจ เพราะอำนาจของกิเลสเป็นผู้ทำงาน ผลิตทุกข์ขึ้นมาเหยียบย่ำทำลายจิตใจของเรานั้น ไม่ความโลภก็ต้องความโกรธ ไม่ความพอใจก็ความไม่พอใจ ไม่รักก็ชังกำหนัดยินดีติดนั้นติดนี้อยู่เช่นนี้ ซึ่งเป็นการสร้างเหตุเพื่อผลให้เกิดความทุกข์ร้อนเหยียบย่ำทำลายภายในจิตใจของตนอยู่ตลอดมา เพราะไม่มียาแก้ ไม่มีเครื่องสังหาร
นี่ก็ให้เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่า ใจที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ด้วยอำนาจของกิเลสให้ความสุขแก่เราอย่างไรบ้าง นอกจากสร้างความไม่สมหวังให้เราอยู่ตลอดเวลา หากจะมีความสุขบ้างก็เป็นเรื่องที่เสก ๆ สรร ๆ ปั้นยอ ด้น ๆ เดา ๆ เกาหมัดกันไปตามโลกตามสงสารเท่านั้น ความจริงแล้วมันมีตั้งแต่เหยื่อล่อปลา กิเลสหาเหยื่อมาล่อคนโง่ให้ติดจมไปเท่านั้น
เอ้า ถ้าเราอยากทราบสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเหยื่อล่อ แก้ลงไง ฝืนไปตามหลักธรรมที่เป็นเครื่องต่อสู้กิเลส เราอย่าคล้อยตามกิเลส จะไม่ใช่เป็นเรื่องต่อสู้ จะเป็นเรื่องยอมจำนน กิเลสมันพาให้รัก รักเพราะเหตุผลกลไกอันใด นี่คือการต่อสู้หรือการพิสูจน์หาความจริงกัน รักรูป รูปไหน รูปนั้นมีความพิเศษหรือวิเศษวิโสมาจากรูปทั้งหลายในโลกนี้เหรอ วิเศษวิโสไปจากรูปของเราที่เป็นรูปดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นกองทุกข์นี้ไปอย่างไรบ้าง รูปนั้นแยกแยะออกดูให้ดี มีอันใดเป็นพิเศษพอที่จะให้ลุ่มให้หลง ให้เกิดความรักความกำหนัดยินดี
คลี่คลายเข้าไปตั้งแต่หนัง ผิวหนังภายนอก ค้นเข้าไปถึงเนื้อถึงเอ็นถึงกระดูก ทุกอวัยวะภายในจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทั้งนั้นตามหลักความจริง นอกจากกิเลสมันเสกสรรปั้นยอ มันกล่อมสัตว์โลกด้วยความปีนอรรถปีนธรรม ปีนเกลียวกันกับความจริง หลอกลวงว่าเป็นของสวยของงาม ของน่ากำหนัดรักใคร่ยินดี ว่าเป็นเราเป็นของเรา ถ้าได้มาเป็นของเราแล้วจะเป็นที่พึงใจ นี่คือความหลอกลวงของกิเลสทั้งนั้น เมื่อได้เข้ามาแล้วเป็นอย่างไร อยู่โดยลำพังใจของเรากับเรามันก็ทะเลาะกันอยู่แล้ว มีสองคู่ครองเข้ามาอีกก็เริ่มมาทะเลาะกันอีกยุ่งไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสจับหัวชนกันทั้งนั้น มีความสุขที่ตรงไหน นี่การพิจารณาคือการต่อสู้ต้องใช้วิธีการอย่างนี้
เอ้า แยกเข้าไปจนกระทั่งมันแตกกระจัดกระจายลงไป กระดูกท่อนนี้เหรอเป็นที่พึงใจ เนื้อชิ้นนี้หรือเป็นที่พึงใจของเรา เราจึงรักจึงกำหนัดยินดีเอานักหนา เอ็นเส้นนี้เหรอเป็นที่พึงใจ อาหารใหม่ อาหารเก่า ตับไตไส้พุงอันนี้เหรอเป็นที่พึงใจของเรา เราถึงรักถึงชอบเอานักหนา เราถึงได้เชื่อความรักความชอบนี้จนลืมเนื้อลืมตัว ลืมบุญลืมบาป ลืมอะไร ๆ ไปเสียหมด เอ้าดูให้ดีให้จริงตามหลักธรรม หลักธรรมจะต้องลบล้างความจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้ให้หมดไปได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจอมปลอม เป็นสิ่งหลอกลวงเป็นสิ่งเสกสรรปั้นยอขึ้นมาอันหาความจริงไม่ได้ จึงหาความสุขเพราะการหลงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้คนเรา
เมื่อได้ค้นให้เห็นตามหลักความจริงนี้ไปโดยลำดับลำดาแล้ว ใครจะกล้ายึดมั่นถือมั่นล่ะ กระดูกก็ทราบว่ากระดูกเสียแล้ว เป็นสมมุติขั้นหนึ่ง เนื้อหนังมังสังแต่ละอย่าง ๆ ข้างบนข้างล่างด้านขวางสถานกลาง ภายนอกภายใน เต็มไปด้วยป่าช้าผีดิบทั้งเก่าทั้งใหม่ ถ่ายเทกันไปอยู่ตลอดเวลา เอามาเป็นสาระแก่นสารเป็นที่รักใคร่ชอบใจได้ที่ไหน นี่ปัญญาค้นคว้าลงไปให้เห็น
ค้นแล้วค้นเล่า พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า เปิดออกมาเรื่อย ๆ ขุดค้นลงไปเรื่อย ๆ ทำไมจะไม่ถึงแก่นแห่งความจริงตามหลักธรรมเล่า เมื่อได้พิจารณาให้เห็นตามหลักความจริงไปโดยลำดับ จิตย่อมมีความสง่าผ่าเผย มีความองอาจกล้าหาญ มีความเชื่อต่อความจริง และมีความเห็นโทษในความจอมปลอมที่เคยเชื่อมาเป็นเวลานาน อันเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงไปโดยลำดับเช่นเดียวกัน แล้วปล่อยวางได้ ไม่ต้องบอกให้ปล่อย เมื่อเห็นโทษตามหลักความจริงอย่างถึงใจแล้ว ทำไมจะไม่ปล่อยโทษ คนเราไม่ต้องการหาโทษหาทุกข์นี่นะ หาคุณหาประโยชน์หาความสุขความสบายทั้งนั้น
กาลที่เคยเป็นมานั้นมันเคยเอาความสุขความสบายมาให้เราที่ไหนบ้าง การแก้สิ่งเหล่านี้ให้เห็นตามหลักความจริงของธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ มีตั้งแต่เรื่องจะสั่งสมความสุขความสบาย ความหายกังวลทุกแง่ทุกมุม ตัดภาระอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งหนักอึ้งอยู่ภายในจิตใจออกไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งจิตดีดขึ้นมาเป็นอิสรเสรี เพราะหมดความเยื่อใยทั้งหลายจากสิ่งจอมปลอมเหล่านั้น ด้วยความจริงของธรรมที่ได้รู้ได้เห็นแล้ว แล้วเราจะว่าอย่างไรเมื่อมันเป็นเช่นนั้นแล้ว มันจะทนจมอยู่กับนั้นได้อย่างไรเมื่อรู้จริงเห็นจริงอย่างนี้แล้ว มันต้องถอดต้องถอนโดยหลักธรรมชาติไม่ต้องไปบังคับ นอกจากเหตุเท่านั้นจะต้องต่อสู้กันเหมือนกับบังคับ เรียกว่าบังคับในสงคราม
สงครามอันหนึ่ง ฝ่ายศัตรูมันป้อนเรื่องเข้ามา ปลอมเรื่องเข้ามาหลอกเข้ามาด้วยกลนั้นอุบายนี้ นี่หมายถึงพวกข้าศึก เราซึ่งเป็นผู้ต่อสู้ข้าศึกนำของจริงคือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรนี้เข้าไปต่อสู้ พินิจพิจารณากันจนเห็นแจ้งตามความจริงแล้ว ปล่อยวางลงโดยลำดับ ๆ
เราอย่าพูดแต่ว่ารูปหยาบ ๆ นี้เลย แม้แต่สิ่งละเอียดซึ่งเป็นอาการออกมาจากจิตจากกาย เช่น เวทนาทางกาย เวทนาทางจิตทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งเฉย ๆ ทั้งสัญญาความจำได้หมายรู้ เข้าใจว่าเป็นตนเป็นของตน สังขารความคิดความปรุงเรื่องราวต่าง ๆ จนหลอกเจ้าของได้ทั้งวันทั้งคืน เพราะสังขาร เพราะสัญญาผสมกันเข้าเป็นเรื่องเป็นราวมันก็รู้ได้หมด เมื่อรู้ได้หมดแล้วก็ทราบชัดว่านี้คือเงามันทั้งนั้น มันหลอกเราให้เป็นเนื้อเป็นตนเป็นเขาเป็นเราขึ้นมา เป็นของสวยของงาม เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจริง ๆ สติปัญญาแทงทะลุไปหมดปรากฏแต่ความจริงล้วน ๆ สิ่งเหล่านี้ขาดสะบั้นออกจากใจไม่มีสิ่งใดเหลือ เป็นขึ้นโดยหลักธรรมชาติ เพราะการปฏิบัติเป็นผู้พาให้เป็น ที่เรียกว่าต้นเหตุพาให้เป็นผลเช่นนั้นขึ้นมา นี่ละการต่อสู้กับกิเลส
หนักหรือเบาก็ตามถือเอากิเลสเป็นประมาณ กิเลสมาหนักเอาให้หนัก กิเลสมาหนักเราท้อถอยอ่อนแอ แสดงว่าถอยยอมจำนน ธรรมต้องให้หนัก ความเพียรให้หนัก ความอดทนให้หนัก สติปัญญาที่เป็นธรรมชาติบุกเบิกทางเพื่อไปด้วยความสะดวกราบรื่นไม่ถอยหลัง เอาให้หนัก สุดท้ายกิเลสก็พังทลายลงไป
ดังที่เคยกล่าวอยู่เสมอมาว่า อยู่ที่ไหนฆ่าแต่กิเลสทั้งนั้น เผากิเลสด้วยตปธรรม ไม่ว่าจะอยู่ทางจงกรม ไม่ว่าจะนั่งสมาธิภาวนา จะยืนจะเดินจะขบฉัน ไปมาที่ไหน การต่อสู้กิเลสภายในจิตใจด้วยสติปัญญาไม่มีเวลาลดละ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือ ตัดเข้าไป ๆ ขาดสะบั้นเข้าไป ปล่อยเข้าไปเรื่อย ๆ ภาระความกดถ่วงจิตใจก็หมดไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งสุดท้ายทำไมจะไม่รู้ว่า จิตนี้แลคือตัวการพาให้เกิดให้ตาย ตั้งป่าช้าที่นั่น ตั้งป่าช้าที่นี่ คลังแห่งป่าช้าก็คือจิตกับอวิชชามันฝังอยู่ภายในนี้ พังทลายลงไปที่ตรงนั้นด้วยสติปัญญา ขาดสะบั้นบรรดาที่เป็นสมมุติ อวิชชาก็เป็นสมมุติอันละเอียดสุดของไตรโลกธาตุ ซึ่งครองอยู่หัวใจสัตว์ ได้ถูกทำลายลงไปแล้วด้วยสติปัญญาอันทันสมัย เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ อวิชชาได้ดับไปแล้ว
ซากแห่งป่าช้า เชื้อแห่งป่าช้าที่ฝังจมอยู่ภายในใจที่พาให้เกิดที่นั่นที่นี่ ได้ถูกทำลายลงไปหมดแล้ว ทีนี้มีแต่จิตล้วน ๆ แต่ไม่มีซากแห่งป่าช้า ไม่มีป่าช้า เชื้อแห่งป่าช้าคืออวิชชาก็ไม่มี ซากที่เคยเป็นมาก็ไม่มีเห็นได้ชัดในปัจจุบันจิต นั่นเรียกว่าได้ชัยชนะแล้ว ตามหลักธรรมท่านกล่าวไว้ว่า การชนะสงครามคูณด้วยร้อยด้วยพันด้วยล้าน ไม่ได้ประเสริฐอะไรเหมือนผู้ที่ชนะกิเลสของตนภายในจิตเพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นผู้ประเสริฐสุด นั่นฟังซิ ความสุขใดก็ตามไม่มีสิ่งใดที่จะวิเศษสุด ยิ่งกว่าความสุขที่พ้นแล้วจากสมมุติทั้งมวล เป็นอิสระอย่างเต็มตัวภายในใจ
นี่ผลแห่งความเป็นนักรบของผู้เอาจริงเอาจัง เห็นโทษแห่งสิ่งที่เป็นโทษอย่างถึงใจ เห็นในสิ่งที่เป็นคุณอย่างถึงใจ แล้วรวมเป็นกำลังของน้ำใจให้เกิดความเพียรขึ้นอย่างถึงใจ ภูเขา ๗ ชั้นก็แตกกระจายถ้าความเพียรได้เต็มที่เข้าในจุดใดจะไม่มีอะไรเหลือ นี่กิเลสจะให้หนายิ่งกว่ากำแพง ๗ ชั้น หรือหนายิ่งกว่าภูเขาก็ตามเถอะ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ไม่มีสิ่งใดที่จะรู้แจ้งแทงตลอดไปยิ่งกว่าปัญญานี้ได้ เพราะฉะนั้นปัญญาจึงสามารถแทงทะลุไปหมด บรรดาความมืดดำกำขาวทั้งหลายซึ่งเคยมีอยู่ภายในจิตใจเพราะอำนาจของอวิชชา ไม่มีเหลือเลย เหลือตั้งแต่ ญาณํ อุทปาทิ ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว วิชฺชา อุทปาทิ วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว อาโลโก อุทปาทิ ความสว่างกระจ่างแจ้งรอบจิตรอบโลกธาตุได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นท่านกล่าวไว้แล้วใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร กล่าวจากความรู้จริงเห็นจริงด้วยการปฏิบัติจริงของพระพุทธเจ้า
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้นอยู่ที่ไหนเวลานี้ ทุกข์อยู่ที่ไหนถ้าไม่อยู่ที่หัวใจของเราด้วยกัน สมุทัยคือกิเลสประเภทต่าง ๆ อยู่ที่ไหนถ้าไม่อยู่ที่หัวใจของพวกเรา มรรคคือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เป็นต้น จนกระทั่งถึงสัมมาสมาธิเป็นที่สุด มีอยู่ที่ไหนถ้าไม่มีอยู่ที่หัวใจของพวกเรา เมื่อมีอยู่ที่นี่ นิโรธคือความดับทุกข์จะดับที่ไหนถ้าไม่ดับที่ตรงนี้
เพราะฉะนั้นธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่ท่านแสดงนั่น ท่านถอดออกจากความเป็นจริงของพวกเราทุก ๆ ท่านมาสอนพวกเราให้มีความรู้แจ้งเห็นจริงโดยถ่ายเดียวเท่านั้นที่จะพึงได้รับ ฉะนั้นให้พากันเข้าใจ
จึงยุติการแสดงธรรมไว้เพียงเท่านี้
|