พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงรู้ทรงเห็นด้วยการปฏิบัติมาแทบล้มแทบตาย เกี่ยวกับจุดสำคัญของมหาสมมุติมหานิยม และมหาทุกข์กลายเป็นมหาสุขบรมสุขขึ้นมาได้ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้น ในสามโลกธาตุนี้มีจำนวนของสัตวโลกมากเท่าไร ทำไมจึงทรงทราบได้เฉพาะพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่กับทุกตัวคนและสัตว์ เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่กับใจ เพราะฉะนั้นใจจึงเรียกได้อย่างเต็มปากไม่ผิดจากหลักความจริงเลยว่า คือ สถานที่ผลิตเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ของภพของชาติอยู่ตลอดเวลา ตัวภพตัวชาติแท้ก็คือจิตอวิชชา นี่เป็นของที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมาเป็นเวลานานแสนนาน ในบรรดาบุคคลและสัตว์รายหนึ่ง ๆ ตัวหนึ่ง ๆ
กิริยาที่แสดงออกแห่งอาการของจิตอวิชชานั้น มีหลายประเภทนับไม่ถ้วน ท่านกล่าวไว้ย่อ ๆ ว่า กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ซึ่งเป็นแขนงเป็นที่ท่องเที่ยว เป็นที่ทำงานและกอบโกยผลของงานอันเป็นความทุกข์ความลำบากมาสู่ดวงใจของสัตวโลก มีมากมายออกจากจิตอวิชชาเพียงอันเดียวเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นของที่มีอยู่ดั้งเดิมในสัตว์และบุคคลทั่ว ๆ ไป แต่ไม่มีใครที่จะสามารถฉลาดรู้ของสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นตัวพิษตัวภัยได้แม้แต่รายเดียว นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการที่จะปฏิบัติค้นคว้าสิ่งเหล่านี้ตามหลักศาสนธรรมที่ประทานไว้แล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นของยากของลำบากอะไรพอที่จะให้สุดวิสัย หรือเหลือกำลังความสามารถของพวกเราชาวพุทธ เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งแทงตลอด คว่ำวัฏจักรออกจากวัฏจิต ให้กลายเป็นวิมุตติหลุดพ้นขึ้นมาที่จิตดวงนี้ ผู้ที่ยากลำบาก จะพูดเรียกว่าตัดพระเศียรหรือตัดพระทัยเพื่อรับรองสัตวโลกทั้งมวลก็ไม่ผิด
เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาเอกของโลก ทรงปรารถนาความเป็นศาสดาเพื่อรื้อขนสัตวโลกมาเป็นเวลานาน และทรงทุ่มเทพระสติกำลังความสามารถทุกด้านทุกทางเรื่อยมา ไม่เคยลดหย่อนอ่อนข้อท้อถอยแต่ประการใด ถ้าเป็นทางก็ไม่ใช่ทางธรรมดาที่เราสร้างกันขึ้น เป็นทางหลวงของโลกทั้งสามทีเดียว ที่จะได้ท่องเที่ยวสัญจรไปมาได้ด้วยความสะดวกจากการสร้างขึ้นของพระพุทธเจ้า ได้แก่ทางศาสนธรรม ตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น
เป็นทางที่ประทานไว้โดยถูกต้องแม่นยำไม่มีที่คำว่าผิด เพราะฉะนั้นคำว่ามัชฌิมาปฏิปทาจึงเป็นทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสัตวโลก ที่จะพยายามไต่เต้าไปตามสติกำลังความสามารถของตน จนถึงขั้นหลุดพ้นปลอดภัยด้วยมัชฌิมาปฏิปทานี้ เพราะพระองค์สร้างไว้แล้วโดยสมบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่องแม้แต่น้อยเลย
การสร้างพระบารมีแต่ละชาติภพของพระองค์นั้น เอาชีวิตจิตใจเข้าแลกจนถึงวาระสุดท้ายทุก ๆ ภพทุก ๆ ชาติไป เราจะเห็นได้ชัดถึงเรื่องความพากเพียรความอดทน ความเป็นนักต่อสู้เพื่อสัตวโลกจริง ๆ ก็คือศาสดาของพวกเรา ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนในภพใดชาติใดที่ทรงบำเพ็ญ จนกระทั่งถึงพระชาติสุดท้ายคือพระสิทธัตถราชกุมารเสด็จออกทรงผนวช ทรงบำเพ็ญด้วยความลำบากลำบนเรื่อยมา จนถึงได้ตรัสรู้สมพระทัยหมายในความจะเป็นศาสดาของโลกโดยแท้จริงแล้ว จึงได้ประทานพระโอวาทที่ทรงบำเพ็ญมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเห็นผลเป็นที่พอพระทัยนั้นแก่บรรดาสัตวโลกเรื่อยมา นี่คือความลำบากลำบนในการบำเพ็ญเหตุของพระพุทธเจ้า
เราผู้ได้รับแล้วซึ่งพระโอวาทอันถูกต้องแม่นยำของพระองค์ น้อมเข้ามาเพื่อประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึกอยู่ภายในจิตใจกายวาจาของตนเท่านั้น ถ้าจะถือว่าเป็นความลำบากลำบนแล้ว เราก็เป็นคนหมดหวัง ไม่มีทางที่จะเล็ดลอดจากกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไปได้ คงจะจมอยู่นี้เป็นอนันตกาลหาทางพ้นไม่ได้ เพราะทางพ้นนั้นถูกปิดตันแล้ว ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ ที่ออกอุบายหลอกลวงเราให้ท้อถอยอ่อนแอไปด้วยอาการต่าง ๆ
เช่น เป็นการบำเพ็ญลำบากบ้าง วาสนาน้อยบ้าง กำลังความสามารถไม่เพียงพอบ้าง ทำไปก็ลำบากลำบนอย่างนี้บ้าง สติปัญญาไม่มีบ้าง การจะก้าวเข้าสู่แนวธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่อความพ้นทุกข์โดยอาการใดก็ถูกกิเลสปิดล้อมหรือกั้นไว้เสียทุก ๆ อาการ จนหาทางออกไม่ได้และมอบความท้อใจให้แก่พวกเราจากกิเลส แล้วเราจะมีทางก้าวจากกองทุกข์นี้ไปได้ที่ตรงไหน
ได้เคยแสดงเสมอว่าวิธีการต่อสู้กับกิเลสนั้น เป็นสิ่งที่ยากเย็นเข็ญใจทุกแง่ทุกแขนงแห่งการต่อสู้ ดังพระพุทธเจ้าทรงต่อสู้มาเป็นเวลานานแล้วจึงได้ผลสำเร็จ พระสาวกท่านก็เช่นเดียวกัน เพราะทางนี้เป็นทางที่ฝืนขวากหนามคือกิเลสทุกประเภท ไม่ใช่จะเดินไปอย่างราบรื่นดีงามสะดวกสบายหายห่วงในอิริยาบถต่าง ๆ ที่ว่าประกอบความเพียรไม่มีอะไรมากีดมาขวางมาลวงจิตใจ ให้ลุ่มหลงงมงายต่าง ๆ เป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม
สติปัญญาก็คล่องแคล่วแกล้วกล้าขึ้นมาเอง สมาธิก็เกิดขึ้นมาเอง มรรคผลนิพพานก็เกิดขึ้นมาเองอย่างนั้น หาไม่ได้ ต้องเป็นขึ้นมาด้วยความฝ่าฝืน การต่อสู้กับกิเลสทุก ๆ ประเภท เนื่องจากมันสุมอยู่ที่หัวใจของเราเป็นเวลานานจนนับเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้ ว่าตัวไหนเกิดขึ้นมาเมื่อไร เพียงแต่คำว่าจิตอวิชชานี้ก็พร้อมแล้วที่จะผลิตลูกผลิตหลานของกิเลสขึ้นมาให้เป็นที่พอกับความต้องการของกิเลส แล้วเราจะผลิตศาสตราอาวุธได้แก่ธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมาภายในจิตใจแต่ละแง่ละแขนงนั้น ต้องถูกตัดถูกทอนถูกกีดถูกขวาง ถูกย่ำยีตีแหลกจากกิเลสมาแล้วกี่ครั้งกี่หน
เราเคยได้ทบทวนดูบ้างหรือไม่ในแง่แห่งความเพียรเหล่านี้กับการต่อสู้กับกิเลส หากยังไม่ได้ทบทวนเลย ก็พึงทราบว่าเรานั้นแพ้กิเลสมาอย่างราบโดยลำดับในวงแห่งความเพียรของเราเอง จึงต้องใช้สติปัญญาศรัทธาความเพียรด้วยความรอบคอบขอบชิดอยู่เสมอ จึงจะมีทางแหวกว่ายไปได้เป็นระยะ ๆ ความเพียรเป็นสำคัญที่จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้ก้าวหน้า ไม่ให้ถอยหลังได้ สติปัญญาเป็นเครื่องมือบุกเบิกทางเดินอันเต็มไปด้วยขวากหนามคือกิเลสประเภทต่าง ๆ ปิดบังไว้อย่างมิดชิดปิดตา ให้ได้เบิกออกไปด้วยอำนาจของสติปัญญาที่เราผลิตขึ้นทุกวัน ๆ จนเป็นทางเตียนโล่งขึ้นมาด้วยสมาธิตามขั้นของสมาธิ เตียนโล่งขึ้นมาด้วยโดยทางปัญญา ตามกำลังแห่งขั้นของปัญญา และเตียนโล่งไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ เพราะปัญญาเป็นเครื่องฟาดฟันหั่นแหลกกิเลส ไม่มีตกค้างอยู่ภายในจิตใจได้เลย
นี่เป็นทางเดินของผู้จะต่อสู้กับกิเลส จะพึงใช้สติปัญญาเป็นสำคัญอยู่ภายในใจนี้แล เพราะกิเลสอยู่ที่นี่อย่าเข้าใจว่าอยู่ที่ไหน วัฏวนของจิตจึงอยู่ที่นี่ เนื่องจากกิเลสพาให้วกให้วนขนทุกข์ใส่ตนด้วยงานของมันที่ทำ โดยหาสิ่งกีดขวางมันไม่ได้ เพราะเราไม่มีสติปัญญาที่จะกีดขวางกิเลสสร้างงานขึ้นมาภายในจิตใจของเรา และผลของงานก็คือความทุกข์ความลำบากความเดือดร้อนในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อแต่ไหนแต่ไรมา กิเลสเป็นอย่างนั้น
ไม่เคยสงสารใครก็คือกิเลส เอารัดเอาเปรียบสัตวโลกที่สุดก็คือกิเลส ต้มตุ๋นหลอกลวงเก่งที่สุดไม่มีใครเสมอในโลกทั้งสามนี้ก็คือกิเลส กดขี่บังคับรีดไถทุกประเภทให้จิตอยู่ใต้อำนาจหมอบราบคาบหญ้าอยู่เช่นนั้นก็คือกิเลส ไม่ใช่สิ่งอื่นใดอย่าพากันคิดกันคาดให้เสียเวลา อันเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสไปโดยถ่ายเดียวอีกเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น
เพราะฉะนั้นจงสำนึกใจของตนซึ่งเป็นสถานที่ผลิตกิเลสทุกประเภทขึ้นมาเพื่อเป็นกองทุกข์กับเรานี้ ให้เป็นสถานที่รบกับกิเลสประเภทต่าง ๆ ด้วยศรัทธาความเชื่อมั่นต่อการปราบกิเลสว่าจะต้องชนะ วิริยะความพากเพียรต่อสู้อย่าได้ลดละท้อถอย สติเป็นเครื่องกำกับทุกอาการของจิตที่แสดงออกในแง่ใดก็ตาม
สมาธิพยายามบังคับกิเลส ต่อสู้กิเลสตัวฉุดลากจิต ให้ฟุ้งซ่านรำคาญไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งเคยได้สัมผัสสัมพันธ์กันมามากน้อยเพียงใดนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว เพราะอำนาจแห่งความลุ่มหลงของกิเลสนี่แล ให้เป็นความลุ่มหลงในอารมณ์ทั้งหลาย ให้ย้อนเข้ามาสู่ความสงบด้วยอำนาจแห่งความเพียร ศรัทธา สติและปัญญาของเราจนได้ อย่ายอมให้จิตฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปในอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตนเองด้วยอำนาจของกิเลส
นั้นแลคือจิตอวิชชามันเป็นเครื่องหลอกเครื่องวาดภาพขึ้นมา ภาพเรื่องนั้นภาพเรื่องนี้ แสดงเรื่องราวนั้นขึ้นมาเรื่องราวนี้ขึ้นมา อดีตผ่านไปแล้วกี่ปีกี่เดือนก็ปั้นขึ้นมาปรุงขึ้นมา หลอกเราอย่างสด ๆ ร้อน ๆ แล้วก็เชื่อมันอย่างสนิทติดจม ขนทุกข์ขึ้นมาเพราะความเชื่อมันอย่างติดจมนั้นมากน้อยเพียงไร เราไม่มีทางทราบได้เพราะเชื่อมันอย่างจมมิดแล้ว อดีตผ่านมามากเท่าไร ไม่ว่ามันจะปรุงเรื่องใดขึ้นมา เป็นต้องเชื่อมันทุก ๆ ระยะแห่งความคิดความปรุงความผลิตขึ้นมาหลอกของมัน อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็ปรุงแต่งไปแล้ว ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องดีเรื่องชั่ว จนเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมาภายในตน
ขึ้นชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นด้วยอำนาจของกิเลสเป็นผู้บงการแล้ว จะไม่มีผลสะท้อนย้อนกลับมาทับถมหรือบีบคั้นจิตใจนี้ เป็นไม่มี เพราะฉะนั้นจงทราบว่าอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นร้อยทั้งร้อย เป็นเรื่องของกิเลสผลิตงานของมันขึ้นมาโดยอิสระ ไม่มีสิ่งต่อต้านหรือต้านทานกีดขวางต่อสู้มันบ้างเลย ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติเราเท่านี้จะเป็นผู้ใดเล่า รับทราบจุดใหญ่จุดแห่งวัฏจักรวัฏสงสาร จุดแห่งพาให้เกิดแก่เจ็บตายขนทุกข์มาพร้อมในภพชาตินั้น ๆ จะมีที่ไหนถ้าไม่มีที่จิต
จะเป็นผู้ใดที่จะรู้จะเห็นสาเหตุแห่งความเป็นมาของความเกิดแก่เจ็บตายและเต็มไปด้วยทุกข์นี้ ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วโดยถูกต้องนี้ ยึดมาประพฤติปฏิบัติเป็นเครื่องมือให้ติดแนบกับตน ไม่ประมาทในอาการต่าง ๆ ของจิตที่แสดงออก ไม่มีผู้ใดจะรับทราบได้ มีผู้ปฏิบัติตามหลักแห่งสวากขาตธรรม เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชนักปฏิบัติเรานี้แล จะเป็นผู้รู้ได้เห็นได้และทำลายกงจักรแห่งวัฏจักรซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจนี้ได้เป็นลำดับ ๆ ด้วยอำนาจแห่งศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อันเป็นหลักใหญ่
เมื่อสติปัญญาซึ่งเป็นฝ่ายธรรมได้เข้าทำลายกงจักรคือโรงงานจิตอวิชชาของวัฏจักรซึ่งมีอยู่ภายในจิตนั้นโดยลำดับแล้ว สมาธิที่ได้ยินแต่ชื่อในตำรับตำราก็จะปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนในจิตของเราว่า จิตเวลานี้ได้รับความสงบแล้วด้วยอุบายวิธีนี้ ๆ สงบเข้ามากเพียงไรก็พึงทราบว่ากิเลสได้สงบตัวไปมากเพียงนั้น ได้ต่อสู้ต้านทานกับกิเลสตัวพาให้ฟุ้งซ่าน พาให้จิตฟุ้งซ่านได้มากน้อยเท่านั้น พอจะยังจิตให้เข้าสู่ความปลอดภัยได้แก่ความสงบได้เป็นพัก ๆ ไปได้ นี่ก็เป็นผลอันหนึ่งจากการปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทคำว่าสมาธิเพื่อความสงบใจ อันเป็นธรรมชาติสั่งสมกำลังขึ้นมาภายในใจ อย่างน้อยก็เป็นต้นทุนให้ใจได้รับความสงบร่มเย็นทรงตัวได้ ไม่ส่ายแส่ ไม่วุ่นวาย ไม่ถูกกิเลสตัวฟุ้งซ่านรำคาญทำลายไปเสียทุกกาลสถานที่ทุกอิริยาบถ ยังพอปรากฏเป็นความสงบตัวอยู่ได้ด้วยสมาธิธรรม เพราะอำนาจแห่งความเพียร
ขอให้ทุกท่านพิสูจน์เรื่องกองทุกข์ของตน มีอยู่ที่จิตใจนี้เท่านั้น ร่างกายเป็นวิบากขันธ์ผลพลอยได้มาจากกิเลสประเภทนี้แล้ว จะให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปอีกก็ไม่ได้ เป็นเพียงวิบากของขันธ์ ทุกข์ก็ทุกข์เท่าขันธ์ คือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ที่มีอยู่ในนี้เท่านั้น จะให้มากยิ่งไปกว่านี้ก็ไม่มาก แต่ส่วนทุกข์ที่จะเกิดขึ้นมาเพราะอำนาจของกิเลสผลิตขึ้นและเผาผลาญจิตใจให้ฉิบหายป่นปี้วอดวาย ทั้ง ๆ ที่จิตก็ตายไม่เป็นนั้นมีจำนวนมากยิ่งกว่าทุกข์ภายในธาตุในขันธ์นี้เป็นไหน ๆ
จึงควรเห็นโทษแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้นมาจากอำนาจของกิเลสผลิตนั้นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะรีบแก้ไขให้หมดสิ้นไปจากใจเสียตั้งแต่บัดนี้ ธาตุขันธ์ก็จะกลายเป็นธรรมดาของธาตุของขันธ์หรือเป็นขันธ์ล้วน ๆ ไปเสีย ไม่มีกิเลสตัวใดเข้ามาเสริมขันธ์ให้เป็นทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้มากขึ้นไป ด้วยความสำคัญของใจเอง
ความทุกข์ความลำบากภายในร่างกาย มีได้ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกท่าน เพราะเป็นวิบากเป็นผลที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว และเป็นเรือนของทุกข์ที่จะต้องอยู่อาศัยจนกระทั่งเรือนร่างนี้แตกสลายไปเมื่อไร ทุกข์จึงจะสลายไปตามขันธ์นี้ไม่มีเงื่อนสืบต่อหมดไป แต่ทุกข์ภายในจิตใจนั้นยังมีเงื่อนสืบต่อ เพราะกิเลสพาให้สืบ กิเลสเป็นต้นเหตุพาให้เกิดทุกข์ขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่มีทางสิ้นสุดถ้าไม่แก้กิเลสอันเป็นตัวเหตุสำคัญผลิตทุกข์นั้นเสีย จะไม่มีทางหลุดพ้นเป็นอิสระเสรีภายในจิตใจได้เลย นี่เป็นหลักสำคัญที่เรานักปฏิบัติทั้งหลาย จะพึงคุ้ยเขี่ยขุดค้นในจุดสำคัญคือโรงงานของวัฏจักร ซึ่งมีอยู่ภายในวัฏจิตนี้ ไม่อยู่นอกเหนือจากนี้ไปเลย
อย่าเสียดายสิ่งใด ๆ ในโลก เป็นสิ่งที่เคยมีเคยเป็นเคยประสบพบเห็นเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น ไม่เลยยิ่งกว่านั้น ไม่พาคนให้วิเศษวิโส ไม่พาคนให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ เหมือนการรื้อถอนกิเลสอันเป็นสิ่งที่ต่ำช้าเลวทราม และเป็นสิ่งที่สกปรกรกรุงรัง เป็นสิ่งที่ก่อทุกข์ให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความล่มจมไปมากที่สุดนี้เป็นสำคัญ ขอให้รื้อถอนต้นเหตุนี้ด้วยความพากเพียร ด้วยสติปัญญาของเรา อย่าได้ลดละความเพียร ให้เสียดายที่ตรงนี้ อย่าให้ความเพียรหลุดไปเสียไปแม้แต่ขณะหรือเวลาหนึ่ง
ให้มีความเสียดายต่อความพากเพียร เสียดายต่อการต่อสู้กิเลสตัณหาอาสวะ เพื่อชัยชนะขึ้นมา สรุปแล้วให้เสียดายชัยชนะ ให้เสียดายความหลุดพ้นจากทุกข์ ให้เสียดายความเพียรที่เป็นเครื่องแก้หรือเครื่องถากถางกิเลส หรือเครื่องดำเนินเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง นี่เป็นความเสียดายเป็นความอาลัยที่ถูกต้อง การเสียดายการอาลัยสิ่งทั้งหลายในโลกนี้นั้น เป็นเรื่องของวัฏจิตพาให้หมุนพาให้เวียนหลอกลวง แล้วขนทุกข์ให้เราตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายเหมือนฟุตบอลกลิ้งไปกลิ้งมาในภพน้อยภพใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์ในทุกภพทุกชาติ ในขณะที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นั้นไม่ปราศจากทุกข์ได้แม้ขณะเดียว
ให้เห็นภัยในสิ่งเหล่านี้ประจักษ์ใจตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงพบมาแล้วทั้งทุกข์ทุกประเภท ภายในพระกายก็ทรงทราบแล้ว ทุกข์ภายในพระจิตพระองค์ก็ทรงทราบ สาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ทั้ง ๒ ประเภทนี้ขึ้นมาภายในกายในจิต พระองค์ก็ทรงทราบและทรงถอดถอนออกโดยสิ้นเชิงไม่มีสิ่งใดเหลือ เหลือแต่ความบริสุทธิ์วิมุตติล้วน ๆ แล้ว นั้นแลคือจิตดวงประเสริฐ ธรรมดวงประเสริฐ ธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วไม่มีคำว่าสอง นั่นแหละที่นี่จะเห็นได้ชัดเจนประจักษ์ใจ พระองค์ได้เห็นประจักษ์พระทัยแล้ว
เราผู้ประพฤติปฏิบัติเมื่อได้ถอดถอนสิ่งลามกรกรุงรัง ก่อความทุกข์ให้แก่เราโดยถ่ายเดียวนี้ออกได้แล้ว ก็จะต้องเห็นประจักษ์เช่นเดียวกัน ว่าไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะมายุแหย่ก่อกวนจิตใจ ให้รักให้ชังให้เกลียดให้โกรธ ให้โลภให้หลงโดยประการต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสอาสวะทั้งมวล เพราะกิเลสได้สิ้นซากไปหมดแล้วจากใจ จึงกลายเป็นใจอิสระเสรี
ตั้งแต่ขณะนั้นไปแล้วเราจะเห็นคุณค่าแห่งความพากเพียรของเรา หนักเบามากน้อย สละเป็นสละตายมาว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีความเพียรขนาดนั้นเป็นเครื่องหนุนแล้ว ผลคือความอิสระเสรีและความประเสริฐภายในจิตใจ ซึ่งไม่เคยรู้เคยเห็นนี้จะไม่ได้พบได้เห็นกันเลย แต่นี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วภายในใจของตนเอง เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงปรากฏ และพระสงฆ์สาวกทั้งหลายปรากฏ เป็นธรรมประเภทเดียว มีความสม่ำเสมอกัน ไม่มีของท่านผู้ใดยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะฉะนั้นการเห็นประจักษ์ในความบริสุทธิ์ของตนโดยสมบูรณ์เต็มที่แล้ว จึงเป็นการเห็นพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์โดยสมบูรณ์ และพระสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์โดยสมบูรณ์อยู่ภายในใจดวงเดียวของตนนี้ไม่สงสัย
การที่จะลบล้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าไม่มีนั้น ธรรมชาติที่รู้ที่เป็นอยู่ภายในจิตใจของตน ประกาศอย่างโจ่งแจ้งอยู่แล้วกับตนเองว่า ธรรมประเภทนี้ลบล้างได้หรือไม่ ลบล้างได้อย่างไร เมื่อธรรมชาตินี้ไม่ใช่ฐานะที่จะลบล้างด้วยวิธีการใด ๆ ได้แล้ว พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก จะมีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านหรือกี่ล้าน ๆ พระองค์ก็ตาม ก็ไม่ใช่ฐานะที่จะไปลบให้สาบสูญไปจากโลกได้ นี้แลคำว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคตโดยสมบูรณ์นั้น เห็นในขั้นแห่งความบริสุทธิ์ของใจตนเอง
เมื่อใจของตนได้บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ก็ทราบชัดในความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าและสาวก และธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้ได้สิ้นสูญไปไหน หรือจะสิ้นสูญไปไหน ก็ทราบได้ชัดว่าไม่มีความเคลื่อนไหวแบบสมมุติทั้งหลาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแบบสมมุติทั้งหลายเปลี่ยนแปลงกัน จึงไม่มีความสาบสูญดังโลกสมมุติทั้งหลายสาบสูญกัน เป็นแบบของธรรมชาติที่บริสุทธิ์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น แบบอื่นไม่มีแทรก เพราะนี้ไม่ใช่สมมุติจะเอาสมมุติเข้ามาแทรกได้อย่างไร
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยอมรับพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกอย่างเต็มใจ เช่นเดียวกับเรายอมรับใจที่บริสุทธิ์ของเรานี้ หาที่ขัดที่แย้งไม่ได้ เพราะเราหาที่ขัดแย้งใจของเราไม่ได้ เราประจักษ์ใจของเราในทางความบริสุทธิ์เต็มดวงใจแล้ว ก็เป็นการเชื่อพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่าน ซึ่งเป็นแบบเดียวกันนี้อย่างเต็มใจเช่นเดียวกัน
ดังนั้นผู้ที่ได้รู้ได้เห็นธรรมะอันบริสุทธิ์ภายในจิตใจ ใจกับธรรมเป็นธรรมชาติอันเดียวกันแล้ว จึงไม่สงสัยพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก แม้จะมีจำนวนมากน้อยและปรินิพพานไปนานเพียงไรก็ตาม ตามกาลตามสมัยตามสมมุตินิยม ธรรมชาตินี้ไม่ใช่กาลไม่ใช่สมัย ไม่ใช่สมมุตินิยม แต่เป็นหลักธรรมชาติของวิมุตติหลุดพ้นเป็นอย่างนี้ ก็ทราบภายในใจของตนอย่างชัดเจน นี่แหละคือความแนบสนิทของจิตกับธรรม ธรรมถึงกันที่จิต
จิตเป็นภาชนะที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับธรรมทั้งหลาย ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะเหมาะสมยิ่งกว่าจิต ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นของคู่ควรยิ่งกว่าจิตสำหรับธรรม ธรรมจะมีมากน้อย พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปจำนวนมากน้อยเพียงไร พระสงฆ์สาวกท่านบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นไปจำนวนมาก และนิพพานไปแล้วจำนวนมากน้อยเพียงไร ไม่มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะจิตไม่สามารถ เพราะไม่มีเครื่องมืออื่นที่จะพิสูจน์ธรรมชาติเหล่านั้นให้เห็นประจักษ์ขึ้นมาตามความเป็นของธรรมชาตินั้น ความมีของธรรมชาตินั้น
มีจิตดวงเดียวเท่านี้ที่ได้ชำระให้เต็มภูมิสมควรแก่ธรรมทั้งแท่ง สมควรแก่ธรรมที่บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น จะสามารถทราบธรรมทั้งหลายได้ ตามที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านตรัสไว้ว่า ธรรมมีอยู่ ๆ มีอยู่ที่ไหน ใจเป็นผู้สัมผัสธรรม เมื่อใจสัมผัสธรรมขั้นใดมากน้อยเพียงใด ธรรมก็มีอยู่กับใจดวงนั้นมากน้อยเพียงนั้น เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์วิมุตติธรรมแล้ว ธรรมที่บริสุทธิ์เต็มส่วนก็เต็มอยู่ภายในจิตใจของผู้เข้าสัมผัสเต็มที่แล้วนั้นเท่านั้น ไม่สาธารณะแก่ผู้หนึ่งผู้ใด นี่ละคำว่าธรรมมีอยู่ รู้กันอยู่ที่ใจ สัมผัสกันที่ใจ ใจเป็นภาชนะสำหรับรับธรรมทั้งหลายในคำที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีอยู่
เพราะฉะนั้นจึงควรผลิตจิตใจของเราให้เหมาะสมแก่ธรรมขึ้นไปโดยลำดับ ตั้งแต่ขั้นสมาธิธรรมคือความสงบเย็นใจถึงปัญญาธรรมขั้นนั้น ๆ สมาธิก็ตั้งแต่ขั้นขณิกะ รวมชั่วขณะชั่วกาลแล้วถอยตัวออกมา แล้วรวมแล้วรวมเล่ารวมหลายครั้งหลายหน ก็เป็นสมาธิที่แนบแน่นเข้าไป เมื่อขยายออกทางปัญญา สมาธิก็เป็นเครื่องหนุนปัญญาได้เป็นอย่างดี เพราะจิตที่มีสมาธิจะพิจารณาทางด้านปัญญา ย่อมเป็นความสะดวกสบาย เพราะจิตไม่หิวโหยกับอารมณ์ใด ๆ เนื่องจากจิตมีความอิ่มตัวด้วยความสงบ ถอยออกจากความสงบแล้วจึงทำหน้าที่ทางด้านปัญญาได้ด้วยความสะดวกตามขั้นแห่งสมาธิที่มีอยู่นั้น ๆ จะสนับสนุนปัญญาขั้นนั้น ๆ ให้มีกำลังมากขึ้นเป็นลำดับ จนถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา
ไม่มีอยู่ที่ไหน ธรรมที่กล่าวเหล่านี้ อยู่ที่จิต ให้ผลิตขึ้นมา เวลานี้มีแต่กิเลสผลิตลูกเต้าหลานเหลนของมันขึ้นภายในจิตใจของเราที่ทราบตนอยู่แล้วว่าเป็นนักปฏิบัติ แต่การปฏิบัติของเรานั้นถูกกิเลสสวมรอยเข้าไปทำงานในวงความเพียรนั้นโดยไม่รู้สึกตัวเพราะความพลั้งเผลอบ้าง ความท้อแท้อ่อนแอบ้างจิปาถะ
เพราะกิเลสแหลมคมมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลกธาตุนี้ จะต้องแทรกเข้าไปได้ทุกระยะถ้าสติปัญญาไม่ทันไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงให้อบรมสติปัญญาขึ้นด้วยความพากเพียรในแง่ต่าง ๆ ไม่ให้ลดละ จนกลายเป็นสติขึ้นมาเห็นได้อย่างชัดเจน กลายเป็นปัญญาขึ้นมาได้อย่างชัดเจน และฟาดฟันกิเลสประเภทต่าง ๆ ที่พอเหมาะพอสมกับกำลังของสติปัญญานั้นให้ขาดไปโดยลำดับ ๆ ได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน
เมื่อถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วก็เป็นสติปัญญาที่เกรียงไกรที่สุด กิเลสจะเคยมีอำนาจวาสนามีกำลังวังชา เคยหลอกลวงหรือต้มตุ๋นจิตใจดวงนี้มานานเท่าไร สติปัญญานี้จะตามทัน ๆ และฟาดฟันหั่นแหลกกันให้ขาดสะบั้นลงไปได้โดยลำดับ ๆ จนกระทั่งกิเลสประเภทต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งแม้แต่จอมกษัตริย์วัฏจักร คือ อวิชชาก็ยังต้องถูกหมอบลงไป ก็ไม่พ้นสติปัญญาขั้นนี้จะต้องตามทำลายจนได้ ไม่มีกิเลสแม้ปรมาณูเหลืออยู่ภายในจิตใจนั้นเลย นี่คือวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมาแล้ว เป็นมาแล้ว พระสาวกทั้งหลายก็ดำเนินมาแล้ว เป็นมาแล้ว ด้วยธรรมที่กล่าวมาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นธรรมที่กล่าวมาอันเป็นฝ่ายเหตุนี้ จึงเป็นธรรมที่ทันสมัยอยู่เสมอกับผู้ต้องการจะเผากิเลส อย่าให้กิเลสเผาเรา เหมาะสมอยู่ทุกระยะ
คำว่าทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ มีอยู่ที่ไหน ความจริงของสัจธรรมเหล่านี้ สถานที่อยู่ของสัจธรรมเหล่านี้อยู่ที่ไหน ท่านกล่าวไว้ในตำรา มีทุกคัมภีร์ เต็มอยู่ในคัมภีร์ แต่เป็นชื่อของสัจธรรม ตัวสัจธรรมจริง ๆ อยู่ที่ไหน ทุกข์คือความทุกข์กายทุกข์ใจ มีอยู่กับกายกับใจของเรานี้ นี่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากสมุทัย
ทุกข์ทางร่างกายเกิดขึ้นจากความวิการของธาตุ อันเป็นสาเหตุอันหนึ่งที่จะให้ร่างกายได้เกิดความทุกข์ความลำบาก เช่น ดินฟ้าอากาศหรืออาหารเป็นเครื่องแสลง ทำให้ร่างกายกำเริบเกิดโรคเกิดภัยขึ้นมา ถ้าจะพูดถึงเรื่องสมุทัย อันนี้ก็เป็นสมุทัยของส่วนร่างกาย แต่ท่านไม่เข้ามาเกี่ยวข้องนัก สำคัญที่ใจจะมาเป็นผู้เสริมด้วยอำนาจของสมุทัยนั้นแหละ มายึดมั่นถือมั่นมาสำคัญผิดต่าง ๆ ให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นมาเป็นทุกข์ขั้นที่สอง อันเป็นความทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าร่างกายเป็นทุกข์โดยธรรมดาของตน
คำว่าสมุทัยคืออะไร แดนผลิตทุกข์ สมุทย แปลว่าแดนผลิตทุกข์ขึ้นมา ท่านพูดย่อ ๆ เอาไว้ว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา กามตัณหา ก็คือความรักความใคร่ในวัตถุอารมณ์ต่าง ๆ ไม่มีสิ้นสุดยุติ รักอยู่เช่นนั้นไม่มีความอิ่มพอ ใคร่อยู่เช่นนั้นจนกระทั่งวันตายหาความสงบสยบตัวลงโดยลำพังไม่ได้เลย มีแต่ความหิวโหย มีแต่ความกระวนกระวาย เพราะความรักความใคร่ ความอยากได้ ความต้องการ เป็นอยู่เช่นนั้นตลอด ท่านว่ากามตัณหา
ภวตัณหา ยินดีในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ของตน ใครมีอะไรก็ยินดีในนั้น ติดในนั้น รักในนั้น ชอบในนั้น ไม่ว่าเป็นวัตถุ ไม่ว่าเป็นอารมณ์ ไม่ว่าเป็นอะไร ไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด อยู่ในวงแห่งภวตัณหา ยินดีในของมีอยู่ของตนทั้งนั้น วิภวตัณหา ของไม่มีก็ยินดีก็รักชอบอยากได้ ท่านว่าวิภวตัณหา สรุปแล้วมีตัณหา ๓ ประเภทนี้ เป็นผู้ออกหน้าออกตาแสดงออกถึงกับทางมารยาทให้เห็นอย่างชัดเจน นี่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
นิโรธ ท่านเพียงบอกไว้ว่าทำให้แจ้ง ให้เห็นนิโรธ อันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะไปทำนิโรธให้แจ้ง โดยไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือกับอุบายวิธีการต่าง ๆ จะทำนิโรธให้แจ้งขึ้นมาเฉย ๆ นั้นทำไม่ได้ เพราะเป็นผลที่สืบเนื่องมาจาก มรรค มรรคคืออะไร มคฺค แปลว่าทางหรือแปลว่าเครื่องมือปราบปรามกิเลสตัวสมุทัยเหล่านี้ ให้ลดน้อยลงไปจนกระทั่งสิ้นซากไปจากจิตใจ
มรรคปฏิปทาคืออะไร สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป หมายถึงความฉลาดแหลมคมของไหวพริบปัญญา ที่จะให้ทันกับกลมายาของกิเลสทุกประเภทที่แสดงขึ้นมาภายในจิตใจดวงเดียวกัน กับสถานที่ผลิตสติปัญญาขึ้นมา สัมมาวาจา กล่าวด้วยอำนาจของสติปัญญา มีสติเป็นผู้ควบคุม กล่าวเพื่อฆ่ากิเลส ไม่ได้กล่าวเพื่อส่งเสริมกิเลส ไม่ได้กล่าวเพื่อส่งเสริมทุกข์ แต่กล่าวเพื่อฆ่ากิเลสไม่ให้ทุกข์เกิดขึ้นมา สัมมาวาจา วาจาชอบท่านว่า
สัมมากัมมันตะ การงานชอบของพระเราคืออะไร เราอย่าพูดถึงเรื่องการงานชอบของโลกทั่ว ๆ ไปซึ่งมีหลายแง่หลายแขนงตามเพศของเขา แต่เราหมายถึงงานของพระนี้ คำว่าการงานชอบคืออะไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่คืองานที่พระอุปัชฌาย์มอบให้มาแต่ดั้งเดิมตั้งแต่พระพุทธเจ้าสืบมาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา นี้เป็นต้น นี่คืองานชอบ ท่านมอบงานให้สัมมากัมมันตะ
แล้วจะทำอย่างไรให้งานนี้เป็นไปด้วยความชอบธรรมดังที่ท่านสอนไว้อย่างนั้น ต้องใช้ความพินิจพิจารณาเอาสติปัญญาเข้ามาจดจ่อต่อเนื่องกันในอาการเหล่านี้ ซึ่งจะสามารถซึมซาบไปทั่วสรรพางค์ร่างกายของเรา ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างไร เกสา โลมา เป็นของสวยของงามหรือเป็นของสกปรกรกรุงรัง เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว นขา เล็บ ตโจ หนัง คนเรามีหนังเท่านั้นหุ้มห่อไว้ตลอดถึงสัตว์ จึงเรียกว่าสัตว์ว่าบุคคล ว่าหญิงว่าชาย ว่าสวยว่างามได้ พอถลกหนังออกหมดแล้วคำว่าหญิงว่าชายว่าสัตว์ว่าบุคคลก็หมดความหมายไปทันที
ให้เรียนให้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งตามหลักความจริงที่มีอยู่ในตัวของเรา ตโจ ตจปริยนฺโต ร่างกายนี้มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ หนังนี้แลเป็นเครื่องพรางตามนุษย์ตาฟาง ให้ถูกกิเลสหลอกลวงว่าเป็นของสวยของงามของจีรังถาวรไปเสียหมด ตาแจ้งตาสว่างก็กลายเป็นตามืดไปหมด เพราะกิเลสมันปิด ตาไม่มีกระจกคือปัญญาส่องให้ถึงตามหลักความจริง ท่านจึงให้ใช้ปัญญาพิจารณา นี่เรียกว่าทำงาน ทำงานชอบ นี่ละชอบที่จะถอดถอนกิเลสความยึดมั่นสำคัญผิด ออกมาจากความลุ่มหลง ให้ถอนตัวออกมาด้วยความรู้ชอบเห็นชอบของปัญญา จนกระจายไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกาย
จะแยกออกไปทางด้านอสุภะมันก็เต็มไปด้วยอสุภะทั้งร่างกายนี้อยู่แล้วสงสัยที่ไหนกัน เสกสรรปั้นยอว่าเป็นของสวยของงามให้กิเลสได้ใจไปทำไม เพราะสิ่งเหล่านี้กิเลสมันเป็นของปลอม มันจึงเสกของปลอมมาหลอกลวงพวกเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่สวยไม่งาม มันก็บอกว่าสวยว่างาม เราก็เชื่อมันร่ำไป ตัวคนทั้งคนเหม็นคลุ้งไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตายผายลมออกมาเท่านั้น มันก็เต็มไปด้วยของปฏิกูลเห็นประจักษ์กับใจแล้ว
ทำไมจึงไปยอมเชื่อกิเลสว่าเป็นของสวยของงามน่ารักใคร่ชอบใจอยู่ได้ หลงขนาดไหนมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติผู้จะสอดส่องเรื่องเหล่านี้ให้เห็นด้วยปัญญา เอาไปไว้ที่ไหนปัญญาจึงไม่เห็นชอบ ตามสิ่งที่มีอยู่โดยหลักธรรมชาติแห่งความจริงของตนนี้ให้ชัดเจนล่ะ นี่คือการงานชอบ พิจารณาให้ชอบตามหลักของงานที่พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้นี้
แยกลงไปความแปรสภาพมันแปรอยู่ทุกขณะทุกเวลา ไม่ฟังความจริงนี้บ้างเหรอ ทำไมจึงไปฟังสิ่งที่ว่า นิจฺจํ เที่ยง สุขํ จะเป็นสุขไปเรื่อย ๆ เพลิดเพลินลุ่มหลงไปเรื่อย ๆ ตื่นลมตื่นแล้งไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา รู้ไหมว่ามันหลอกไปขนาดไหน ความจริงมันเป็นของแปรสภาพอยู่ตลอดเวลาตามหลักธรรมเป็นอย่างนั้น ทุกฺขํ บีบบังคับหาความเป็นอิสระไม่ได้ อนตฺตา ใครจะอาจเอื้อมถือว่านี้เป็นเราเป็นของเราให้ได้รับความสุขความเจริญเย็นใจหายจากทุกข์ไปได้ เพราะยึดสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตนเป็นของตน
มันจมมาด้วยความยึดความถือนี้มากมายเพียงไรมนุษย์และสัตว์เรา เพราะความเชื่อกิเลสตัวหลอกลวงตัวจอมปลอม แผดเผาสิ่งเหล่านี้ให้แหลกแตกกระจายไปถึงหลักความจริงเห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญา จะเอาอะไรไปเผามันล่ะ เผาเครื่องจอมปลอมของกิเลสเสกสรรปั้นยอขึ้นมานี้ นี่พูดถึงเรื่องร่างกายก็เห็นชัดเจนอย่างนี้ละ นี่ละคืองานชอบ เดินจงกรมก็เพื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้ นั่งสมาธิภาวนาก็เป็นงานแต่ละอย่าง ๆ ให้ชอบด้วยการพิจารณาตามหลักธรรมที่ถูกต้องนี้จึงเรียกว่างานชอบ
สัมมาวายามะ ก็เข้าในจุดเดียวกันนี้ จึงไม่อธิบายให้มากไป แล้วก็ไล่กันลงไปถึงส่วนละเอียด สุข ทุกข์ เฉย ๆ เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร วิญญาณ อะไรกระดิกขึ้นมา กระเพื่อมขึ้นมา ตัวหลอกลวงต้องขึ้นมาพร้อม ๆ กัน เพราะกิเลสเป็นผู้ผลักดันให้สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นมา นี่เป็นเครื่องมือของกิเลสอยู่แล้ว จึงต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือ เพื่อแยกแยะให้เห็นความจริง ความปลอมนั้นก็หายไป ๆ เพราะคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แต่ละขันธ์ ๆ นั้นเป็นความจริงสามารถที่จะลบล้างสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านั้นได้
นี่พระพุทธเจ้าท่านมอบงานให้พวกเราอย่างนี้ แล้วให้ทำงานนี้จนกระทั่งทะลุปรุโปร่งไปตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้าแล้ว กิเลสไม่ต้องบอกมันแตกกระจายไปหมด ยึดมั่นถือมั่นในรูป กิเลสอยู่ในรูป กิเลสอยู่ในเวทนา กิเลสแทรกอยู่ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ถูกกำจัดออกด้วยตปธรรมจนไม่มีที่อยู่ เมื่อไม่มีที่อยู่ ตรงไหนจะพออยู่ได้มันก็หลบก็ซ่อนเข้าไป ๆ จนกระทั่งไปถึงจิต ไม่มีที่ไปแล้ว ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นที่อยู่ที่อาศัยที่หลบซ่อนของกิเลสมานาน ก็ได้ถูกทำลายลงไปแล้วด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ด้วยอสุภะอสุภังอันเป็นธรรมของจริง
สิ่งที่ปลอมก็แหลกไปหมด เห็นปรากฏชัดแต่ความจริงเท่านั้น กิเลสก็หาที่หลบซ่อนไม่ได้ เพราะกิเลสไม่ใช่ของจริงเป็นของปลอม เป็นข้าศึกต่อธรรมแต่ไหนแต่ไรมา จึงเอาธรรมเข้าปราบกิเลส เมื่อถูกทำลายลงไปเป็นลำดับ ๆ มันก็ยังเหลือแต่จิตอวิชชาเท่านั้น ไปอยู่ที่ตรงนั้นเพราะไม่มีที่ไป ถูกตีต้อนเข้าไป ฟันเข้าไป แหลกเข้าไป บริษัทบริวารถูกสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ฟาดฟันหั่นแหลกแตกกระจัดกระจายกันไปหมด หลงแม่หลงลูก หลงปู่ ย่า ตา ยาย ไปรวมตัวอยู่ในจิต
เอ้า จิตเป็นอะไร จิตมีจิตอวิชชาอยู่นั้นจะถือว่าเป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร ก็ตัวปลอมทั้งตัวมันเข้าไปอยู่ในนั้นคือ อวิชฺชาปจฺจยา นั่นแหละ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ของจิตกับของอวิชชากลมกลืนเป็นอันเดียวกัน สติปัญญาฟาดฟันลงไป ไม่นอกเหนือจากคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาเหมือนกัน ไว้ใจกันได้ยังไง ถือได้ยังไงถือจิต ก็เหมือนกินข้าวทั้งเปลือก เหมือนกินปลาทั้งก้างเดี๋ยวมันขวางคอตายว่าไง จึงต้องแยกแยะให้มันชัดเจน
ตป ๆ แปลว่าอะไร แปลว่าความแผดเผา เผาเข้าไป ๆ อันใดเป็นของปลอมทนอยู่ไม่ได้มันกระจัดกระจายไป อะไรเป็นของจริงทำลายก็ไม่สูญ เมื่อเป็นเช่นนั้นสติปัญญาทำลายเข้าไปตรงนั้น สิ่งที่เป็นของปลอมคือ อวิชฺชาปจฺจยา มันก็ถูกตีแตกกระจายสลายลงไปไม่มีสิ่งใดเหลือ สิ่งที่เหลือก็คือความบริสุทธิ์ของใจ นั่นของจริงแท้ไม่ฉิบหาย
นั่นละที่นี่การเปลื้องภพเปลื้องชาติ สำเร็จขึ้นมาด้วยการทำลายรวงรังของอวิชชาซึ่งอยู่ภายในวัฏจิตให้กลายเป็นวิวัฏจิต บัดนี้เป็นวิวัฏจิตแล้ว วิวัฏจักรกลับไม่หมุน สิ้นสุดกันลงในจุดนั้น นี่ผู้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติอย่างนี้ สอนธรรมไว้อย่างนี้ พระสาวกทั้งหลายท่านก็ปฏิบัติแบบนี้ ตะเกียกตะกายมาด้วยความทุกข์ความลำบากเช่นเดียวกันหมด เราจะไปหาสวรรค์นิพพานในการนอนจมอยู่กับกิเลสได้อย่างไร แล้วเราจะไปหาสวรรค์นิพพานด้วยการต่อสู้กับกิเลสในขณะที่กำลังเป็นทุกข์ได้ยังไง ต้องยอมรับว่าทุกข์
ทุกข์เคยเป็นมาแล้วด้วยความเพียรตั้งแต่พระพุทธเจ้ามาถึงขั้นสลบไสล ไม่จัดว่าเป็นทุกข์ได้ยังไง มีเราองค์ไหนใครบ้างที่ประกอบความพากเพียรจนถึงขั้นสลบไสล นอกจากสลบลงหมอนครอก ๆ ไม่มีวันตื่นเท่านั้น เพราะอำนาจของกิเลสมันจับตีลงหมอนนั่น เราอย่าว่ามันผลักลงหมอนเลย มันตีลงนั้น ครอก มีแต่กิเลสมันรุมล้อมอยู่ตลอดเวลา เรายังโอ่อ่าร่าเริงอยู่เหรอว่าเราเป็นนักปฏิบัติ แล้วเขาว่าวัดป่าบ้านตาดปฏิบัติดี เคร่งครัด ตื่นลมเขาเหรอ เราปฏิบัติกับกิเลสเคร่งครัดแค่ไหนมีไหม ถ้าไม่มีอย่าตื่นลมเขาให้เป็นการเสริมกิเลสขึ้นมาอีกประเภทหนึ่งจะลืมตัวหนักเข้าไป เอาตรงนี้จึงชื่อว่านักปฏิบัติ เอาให้เห็นจริงเห็นจังตามหลักพระพุทธเจ้าที่สอน
กิเลสไม่เหนืออำนาจของความพากเพียรที่กล่าวมาเหล่านี้ไปได้เลย เอ้า เวลากิเลสมันผาดโผน ต้องใช้อุบายวิธีการ ศาสตราอาวุธคือสติปัญญาให้ผาดโผนเช่นเดียวกัน ให้เหนือมันอยู่เสมอ มันถึงขั้นจะสลบเอ้ายอมสลบ มันถึงขั้นจะตายเอ้าตาย ไม่ถอย คำว่าถอยไม่มี สุดท้ายกิเลสนั้นแหละจะสลบ กิเลสนั้นแลจะตาย เราไม่ตาย พระพุทธเจ้าไม่พาตายเพียงสลบ สาวกทั้งหลายก็ไม่พาตาย ทำไมเราจะตายนักปฏิบัติด้วยกัน มีแต่ได้ยินว่ากิเลสมันตายเท่านั้น เอาให้จริงให้จัง
นี่พยายามสอนหมู่เพื่อนเต็มที่เต็มฐานเต็มสติกำลังความสามารถ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยหมู่เพื่อนยิ่งกว่าความเป็นห่วงเป็นใยใคร ๆ ทั้งนั้น เพราะได้ก้าวเข้ามาสู่แนวรบเข้ากรอบที่ควรจะได้จะถึงสิ่งที่พึงพอใจอย่างยิ่งแล้ว ทำไมจะพลาดไปได้ ให้กิเลสมันมาแย่งมาแบ่งสันปันส่วนไปกินเสียจนไม่มีติดเนื้อติดตัวเป็นไปได้เหรอ สมควรแล้วเหรอนักปฏิบัติเรา เอาให้จริงให้จัง การแนะนำสั่งสอนทุกแง่ทุกมุมได้ทุ่มเทลงเต็มสติกำลังความสามารถของตน ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาอย่างไรบ้างทางฝ่ายเหตุ และผลได้ปรากฏอย่างไรบ้าง
การแนะนำสั่งสอนเหตุกับผลก็กลมกลืนกันไปแล้วไม่มีอะไรที่จะน่าสงสัย ก็มีอยู่ตั้งแต่ประโยคพยายามของเราจะจริงแค่ไหน จะหวงวัฏจักร จะหวงความทุกข์ความลำบากในภพน้อยภพใหญ่ จะหวงในเรื่องความทุกข์เพราะกิเลสบีบบังคับ กิเลสทิ่มแทงหัวใจนั้น หรือจะหวงความพากเพียร หวงสติปัญญา ศรัทธาความเพียรที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลส หวงมรรคผลนิพพานมากกว่ากิเลส หรือจะหวงอะไรมากกว่ากัน ต้องชั่งน้ำใจเจ้าของให้เต็มที่
เอ้า ฟาดลงไปอย่าไปเสียดายชีวิตนี้ เสียดายเท่าไรมันก็ไม่อยู่ ถึงกาลมันแล้วมันต้องตาย คนโง่ก็ตาย คนฉลาดก็ตาย คนมีกิเลสเต็มหัวใจก็ตาย คนสิ้นกิเลสก็ตายเมื่อถึงกาลของมันแล้ว วิบากขันธ์นี้มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ยังไงก็ขอให้กิเลสตายไปก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่นี้เถอะ เราจะได้เห็นความอัศจรรย์ที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้วนี้ มีแต่ชื่อความอัศจรรย์ยังไม่ปรากฏในหัวใจเราเลย ฟังเป็นลม ๆ แล้ง ๆ มันก็เป็นลม ๆ แล้ง ๆ มันไม่มีความจริง เพราะความจริงยังไม่ขึ้นรับภายในจิตใจของเรา เนื่องจากความเพียรยังไม่รับกันพอที่จะปรากฎผลอันเป็นความจริงขึ้นมาประจักษ์ใจ เป็นอัตสมบัติของใจของตนอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นขอให้ทุกท่านได้นำไปพินิจพิจารณา เทศน์ไปเทศน์มารู้สึกอ่อนลง ๆ เหนื่อย
เอาละหยุดแค่นี้