เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
สายทางของวัฏวน
ทางเดินของวัฏสงสารมีกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา เป็นทั้งทางเดิน เป็นทั้งผู้ควบคุม ให้เดินตามทางสายของมันที่กำหนดไว้อย่างตายตัวแก่สัตว์โลกทั้งสามไตรภพ ไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทางของมัน ไม่ว่าจะเป็นกิริยาอาการแห่งความเคลื่อนไหวใดๆ ต้องให้เป็นไปตามแถวทางหรือกิริยาของมันที่กำหนดไว้อย่างตายตัวเท่านั้น นี่คือทางเดินของวัฏวน มีกิเลสเป็นผู้บังคับบัญชา สายทางก็คือกิเลสส่วนใหญ่ เป็นสายทางอันเตียนโล่ง สัตว์ทั้งหลายจึงไปด้วยความราบรื่น แต่ไม่ใช่ราบรื่นชื่นใจ คือไปได้อย่างคล่องใจ ไปได้ด้วยความสมัครใจ ไปด้วยความพอใจ ไม่ได้ไปด้วยความฝืนใจ
ไปอยู่เช่นนั้นตลอด เกิดอยู่เช่นนั้น ตายอยู่เช่นนั้น ภพน้อยภพใหญ่หมุนไปเวียนมาอยู่ทำนองนี้ นี่คือสายทางของวัฏวน หาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้ เจอแล้วเจอเล่า เจอความทุกข์ซึ่งเป็นของเก่าที่เคยเจอมาแล้วกี่กัปกี่กัลป์ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ แต่ไม่อาจสามารถจะจำได้ในความทุกข์เหล่านี้ สัตว์โลกจึงไม่สามารถเห็นโทษแห่งความเป็นมาของตน เพราะกิเลสเป็นเครื่องปิดบังในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เสียสิ้น นี่คือทางเดินของวัฏวนเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่กาลไหน ๆ
ในบรรดาสัตว์โลกไม่มีรายใดที่จะปลีกออกนอกลู่นอกทางของมันได้ จึงต้องมีความทุกข์ความลำบากด้วยอำนาจแห่งกิเลสประเภทต่าง ๆ เป็นผู้ให้โทษ เป็นผู้ให้ทุกข์ความลำบากลำบน นี้ทางวิวัฏฏะที่พระพุทธเจ้าของเราหรือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่ทรงค้นพบ อันเป็นทางสุขเกษม อันเป็นทางหลุดพ้นจากอำนาจแห่งวัฏวนนี้ เรียกว่าวิวัฏฏะ คือมัชฌิมาปฏิทาได้แก่ทางสายกลาง นี่เราแปลกันอย่างเป็นคำสวยงาม ว่าเป็นทางสายกลาง ทางราบรื่นดีงาม
วิธีการแห่งการเดินตามทางสายที่พระพุทธเจ้าทรงเคยดำเนินมาแล้ว ได้ประทานไว้แก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายให้ดำเนิน ได้แก่สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรรวมเข้าแล้วก็เรียกว่าเป็น สุปฏิปนฺโน อุชุปฏิปนฺโน ญายปฏิปนฺโน สามีจิปฏิปนฺโน นี่คือประโยคแห่งการเดินของผู้จะไปเพื่อถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน ผ่านโลกวัฏวนอันกันดารนี้เสียได้โดยปลอดภัย กิริยาแห่งท่านผู้ดำเนินด้วย สุปฏิ อุชุ ญาย สามีจิ นี้ ย่อมงามทั้งกิริยาแห่งการคิดออกทางด้านจิตใจ งามทั้งวาจาที่พูด เต็มไปด้วยเหตุด้วยผลไพเราะเพราะพริ้ง เป็นเครื่องรื่นเริงซึ่งกันและกัน งามทั้งการประพฤติกิริยาการแสดงออกทางกายทุกด้านทุกแง่ทุกมุม กลมกลืนกันไปตามแนวทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นทางที่ตรงแน่วต่อวิวัฏฏะได้แก่พระนิพพาน
เราทั้งหลายเป็นนักบวชและเป็นนักปฏิบัติ จึงเป็นผู้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะดำเนินตามทางสายนี้ โดยมีหลักธรรมหลักวินัยเป็นที่แนบสนิทติดกับใจ คิดสิ่งใดให้เป็นธรรมให้เป็นวินัย พูดสิ่งใดก็เป็นธรรมเป็นวินัย กิริยาแสดงออกทางกายก็เป็นธรรมเป็นวินัย ซึ่งเป็นเครื่องรื้อถอนกิเลสไปทุกระยะ ทุกอาการแห่งการแสดงออกทางกายวาจาใจ นี่คือผู้เดินทางเพื่อถึงวิวัฏฏะด้วยมัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นทางสายตรงแน่วต่อความพ้นทุกข์นั้น
ด้วยเหตุนี้จึงต้องได้ระมัดระวังสิ่งที่เป็นศัตรูคู่อริต่อธรรมต่อการปฏิบัติของเรา ซึ่งไม่มีสิ่งใดอันใดที่จะนอกเหนือไปจากคำว่ากิเลสประเภทต่าง ๆ ที่ซ่องสุมอยู่ตามสองฟากทาง และยังฝังอยู่ภายในจิตใจของเรานั้นอีกด้วย ที่จะต้องก่ออุปสรรคความกีดขวางแห่งการดำเนินของเราให้เป็นไปไม่สะดวกโดยประการต่าง ๆ
สิ่งใดก็ตามถ้าเป็นความคิดการพูดการแสดงออกทางกาย เป็นการขัดต่อหลักธรรมหรือหลักพระวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว ให้พึงทราบว่านั้นคือสิ่งปลอมแปลง คือสิ่งเคลือบแฝงที่จะคอยทำลายการดำเนิน หรือการก้าวไปตามมัชฌิมาของเราให้พึงระมัดระวัง อย่าปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เข้ามากีดขวางหรือมาเหยียบย่ำทำลาย หรือปิดกั้นทางดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์นั้นไปเสียโดยที่เราไม่รู้สึกตัว
มัชฌิมาปฏิปทานี้เป็นทางที่ทรงรับรองไว้แล้วอย่างเต็มภูมิศาสดาของเรา ไม่มีทางสายใดที่จะตรงแน่วยิ่งกว่าสายทางคือมัชฌิมาปฏิปทา การแสดงออกแห่งกิริยาของมัชฌิมาปฏิปทาแต่ละแง่ละมุมนั้น ท่านว่าสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ นี่หมายถึงองค์ปัญญาที่จะพาการดำเนินของเราให้เป็นไปเพื่อความสะดวกราบรื่นชื่นใจ ตัดอุปสรรคไปได้โดยลำดับด้วยอำนาจแห่งปัญญา สัมมาสังกัปปะก็เป็นองค์ปัญญาเช่นเดียวกัน เป็นความดำริคิดอ่านไตร่ตรองในเหตุในผล อันใดเป็นคุณอันใดเป็นโทษซึ่งมีอยู่กับใจดวงนี้ เลือกเฟ้นด้วยปัญญาทั้งสองประเภท คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป นี่เรียกว่าองค์แห่งความฉลาดที่จะนำผู้ดำเนินให้เป็นไปตามสายทางแห่งมัชฌิมา คือความเหมาะสม ความพอดี ความถูกต้อง ความราบรื่นชื่นใจจนถึงฝั่งแห่งสันติธรรมได้แก่พระนิพพาน
สัมมาวาจา กล่าวให้มีเหตุมีผล กล่าวให้เป็นที่ชื่นชมยินดีในอรรถในธรรมต่อกัน กล่าวเป็นสิ่งที่ให้เกิดความรื่นเริงบันเทิง เกิดความพอใจในธรรมทั้งหลายต่อกันที่เรียกว่าเป็นสัมโมทนียกถา ท่านผู้ใดกล่าวออกแสดงออกก็ให้เป็นอรรถเป็นธรรม เป็นคติอันดีงามแก่ท่านผู้ฟัง เรียกว่าสัมมาวาจา กล่าวชอบ ในการกล่าวชอบนี้ท่านแสดงไว้ถึง ๑๐ ประการ ซึ่งได้เคยแสดงมาหลายครั้งหลายหนแล้ว วันนี้จึงไม่จำเป็นต้องแสดง จะพูดให้ฟังเฉพาะหัวข้อแห่งการสนทนาเพื่อความรื่นเริงซึ่งกันและกันของพระสงฆ์สาวกในครั้งพุทธกาล หรือท่านนักปฏิบัติคือนักบวช ท่านปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านพูดท่านสนทนาต่อกันให้ฟังเพียงเป็นหัวข้อเท่านั้นว่า
อัปปิจฉตา ต่างองค์ต่างมีความมักน้อย ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่มักมาก เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องพะรุงพะรังกดถ่วงจิตไร้ธรรมะ กลายเป็นเรื่องสั่งสมกิเลสขึ้นมาทั้ง ๆ ที่เราเป็นนักเสียสละ แต่กลายเป็นนักสั่งสมขึ้นมา เพราะความที่ขัดต่อความปรารถนาน้อยหรือความมักน้อย อันเป็นความไม่พะรุงพะรัง สันโดษยินดีตามมีตามเกิดเท่านั้น อะไรมีก็ยินดีใช้สอยไปตามเรื่องไม่เป็นอารมณ์ห่วงใยกับสิ่งเหล่านี้ อันจะเป็นทางที่ไหลมาแห่งกิเลส ไม่ตรงกับเจตนาของผู้จะชำระสะสางกิเลสออกจากใจ
อสังสัคคณิกา ไม่คลุกคลีซึ่งกันและกัน มีตนเป็นผู้ผู้เดียว ไม่คละเคล้าไม่คลุกคลีกับเพื่อนฝูงตลอดถึงประชาชนคนภายนอกแล้ว ยังไม่คลุกคลีกับอารมณ์ที่เป็นเครื่องมัวหมองต่อจิตใจอีกด้วย พยายามระมัดระวังข้าศึก คืออารมณ์ที่เป็นเครื่องมัวหมองแก่จิตใจ ด้วยความเพียรคือสติปัญญาเป็นเครื่องกลั่นกรองจิตใจอยู่โดยสม่ำเสมอด้วย นี่เรียกว่าอสังสัคคณิกา ไม่คลุกคลีภายนอกแล้วยังระมัดระวังข้างใน ไม่ให้คละเคล้ากันกับเรื่องของกิเลส พยายามเห็นโทษของมันอยู่เสมอ
วิเวกกตา ชอบสถานที่วิเวกสงัด สงัดทั้งสถานที่ที่อยู่ที่บำเพ็ญ เพื่อความสงัดทางด้านจิตใจ ปราศจากอารมณ์เครื่องก่อกวนทั้งหลายด้วย เรียกว่าวิเวกตา
วิริยารัมภา เต็มไปด้วยความพากเพียรอย่างเต็มหัวใจ มีสติเป็นเครื่องประคับประคองรักษาใจให้ปลอดภัยจากอารมณ์ที่เป็นข้าศึกอยู่เสมอ ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในใจนั้นแล นี่เรียกว่าวิริยารัมภา
จากนั้นก็กล่าวถึงศีล ศีลเป็นสมบัติอันสำคัญทำความสวยงามในมารยาทแห่งการแสดงออก และทำความชุ่มเย็นให้แก่จิตใจของเรา
สมาธิ พยายามทำให้เกิด ให้มีใจหนักแน่นมั่นคงต่อเหตุคือการกระทำของเรา ไม่เหลาะแหละไม่โยกคลอน ไม่คลอนแคลน ไม่อ่อนแอ มีความมุ่งมั่นบั่นทอนความฟุ้งซ่านวุ่นวายด้วยการฝึกการทรมาน การกดขี่บังคับอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ให้เกิดขึ้น เพราะอารมณ์เหล่านั้นเป็นข้าศึกต่อความสงบของใจ เป็นอารมณ์ที่มายั่วยวนจิตใจให้ได้รับความขุ่นมัว อย่างน้อยขุ่นมัวเศร้าหมอง มากกว่านั้นผลของมันก็คือความทุกข์ สมาธิ คำว่าสมาธินี้เป็นขั้น ๆ มีความแน่นหนามั่นคงภายในจิตใจของตนเป็นลำดับลำดา จนกลายเป็นสมาธิที่แนบแน่นแนบเนียน ท่านเรียกว่าอัปปนาสมาธิ นี่เป็นสัลเลขกถาเครื่องซักฟอก เครื่องขัดเกลากิเลสทุกประเภท เป็นธรรมเครื่องสนทนาของพระท่านนักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ในครั้งพุทธกาล ท่านสนทนาเป็นเครื่องรื่นเริงซึ่งกันและกัน
จากนั้นก็แสดงถึงเรื่องปัญญา ความเฉลียวฉลาดในอุบายวิธีที่จะแก้ความพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงกลมายาของกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจนี้ให้ทันท่วงที ให้ทันกับเหตุการณ์ของมันอยู่เสมอ ๆ ตามขั้นแห่งปัญญาที่จะควรแก้ ควรทันกับกลมายาของกิเลสประเภทต่าง ๆ ขึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งกิเลสละเอียดสุด ปัญญาก็ละเอียดสุด ตามแก้ไขตามปลดเปลื้องถอดถอนกันได้โดยลำดับจนกลายเป็นวิมุตติความหลุดพ้น หลุดพ้นที่ใจซึ่งถูกจองจำจากกิเลสตัณหาอาสวะ เป็นผู้ควบคุมกดขี่บังคับมานาน หลุดพ้นที่ตรงนี้ วิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นสัลเลขธรรมข้อที่ ๑๐ ได้แก่ญาณความรู้แจ้งชัดในความหลุดพ้นของตน ในขณะที่ความหลุดพ้นได้ปรากฏขึ้น ทั้งรู้ทั้งเห็นประจักษ์ใจในเวลานั้น นี่เป็นธรรมเครื่องรื่นเริงของพระผู้จะถอดถอนกิเลสอาสวะทั้งหลาย ท่านคุยกันสนทนากัน มีแต่ธรรมเป็นเครื่องรื่นเริงเพื่อแก้เพื่อถอดเพื่อถอน สิ่งที่เป็นข้าศึกอยู่ภายในจิตใจล้วน ๆ นี่เรียกว่าสัมมาวาจา ที่ชอบยิ่งทีเดียว
สัมมากัมมันโต ได้แก่ การประกอบความพากเพียรในอิริยาบถทั้ง ๔ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ด้วยความระมัดระวัง ด้วยความมีสติอยู่ในวงความเพียร ไม่ให้กิเลสแทรกเข้ามาเหยียบย่ำทำลายความเพียรของเราที่กำลังบำเพ็ญอยู่นั้นในอิริยาบถต่าง ๆ นี่เรียกว่าสัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ ชอบด้วยการถอดถอนกิเลส ไม่ใช่ทำการงานชอบด้วยการสั่งสมกิเลสดังที่โลกนิยมกัน ตลอดถึงพระของเราก็นิยมกัน
เช่น การก่อการสร้างนั้นสร้างนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวายรบกวนใกล้ไกลภายในภายนอก ให้ขุ่นมัวไปตาม ๆ กันหมด เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องถอดถอนกิเลส แต่เป็นเครื่องกังวล เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสของพระซึ่งเป็นนักปฏิบัติเพื่อถอดถอนกิเลส เพราะฉะนั้นสัมมากัมมันตะประเภทนี้อันเป็นส่วนหยาบ จึงสามารถหรือเป็นข้าศึกต่อสัมมากัมมันตะแห่งงานที่ชอบ แห่งงานที่ละเอียดเพื่อถอดถอนกิเลส ได้แก่การประกอบความเพียรนี้ได้โดยไม่ต้องสงสัย จึงต้องพยายามระมัดระวัง
สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบเราพอทราบกันได้ทั่ว ๆ ไป การบิณฑบาตมาฉันด้วยกำลังปลีแข้งของตนนี้ เป็นงานที่ชอบธรรมของนักปฏิบัติของนักบวชเพื่อความหลุดพ้น ไม่สนใจในอาหารว่าประณีตบรรจงเพียงไรหรือไม่ประการใด พอยังชีวิตหรืออัตภาพให้เป็นไปวันหนึ่ง ๆ เพื่อเป็นการบำรุงร่างกายซึ่งเป็นเครื่องมือนี้ ให้ได้ทำงานเพื่อถอดถอนกิเลสได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่านั้นเป็นที่พอใจ นี่เป็นสัมมาอาชีวะเกี่ยวกับส่วนร่างกาย
สัมมาอาชีวะที่เกี่ยวกับใจก็คือ ความระมัดระวังยาพิษที่จะสำคัญว่าเป็นอาหารของใจ กว้านเข้ามา ด้วยการเห็น การได้ยิน รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่มาสัมผัสสัมพันธ์กับตา หู จมูก ลิ้น กาย กลายเป็นเรื่องยาพิษเข้าไปเผาจิตใจของตนทั้งนั้น ไม่จัดเป็นการเลี้ยงชีพ คือความเป็นอยู่แห่งใจของเราซึ่งเป็นหลักใหญ่รับผิดชอบในร่างกายนี้ ให้เศร้าหมองขุ่นมัวไปตาม จนกลายเป็นความทุกข์ความลำบากความเดือดร้อนขึ้นมาเพราะอาหารอันเป็นพิษ ไม่จัดว่าเป็นสัมมาอาชีวะ นั้นเรียกว่ามิจฉาชีพ นำอารมณ์ที่เป็นข้าศึกเข้ามาเผาลนจิตใจของตน
สัมมาอาชีวะ หล่อเลี้ยงจิตใจด้วยอรรถด้วยธรรม ด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรอยู่โดยสม่ำเสมอ ธรรมได้โอชารสเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงย่อมมีความเจริญ มีความชุ่มเย็น มีความสะดวกสบาย มีความว่างเปล่าภายในจิต มีความเบาบางสง่าผ่าเผยภายในจิต เพราะอาหารคือโอชารสแห่งธรรมเข้าไปหล่อเลี้ยงจิตใจอยู่เสมอ นี้เรียกว่าสัมมาอาชีวะทางด้านจิตใจโดยเฉพาะ
สัมมาวายามะ เพียรชอบ ก็คือพยายามเพียรละกิเลสบาปธรรมที่เคยมีอยู่แล้ว ให้ค่อยหมดไป ๆ และเจริญสิ่งที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นด้วยความเพียร และระมัดระวังไม่ให้กิเลสบาปธรรมที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้มันหมดสิ้นไปโดยลำดับ ๆ ท่านว่าสัมมาวายามะ เพียรชอบ
สัมมาสติ ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ ให้อยู่ในวงของกาย หรือจิตจะคิดไปทางใดให้มีสติเป็นเครื่องรักษา เหมือนกับเด็กมีพี่เลี้ยงติดตามย่อมปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายอย่างง่ายดาย จิตใจที่มีสติเป็นเครื่องบำรุงรักษาอยู่เสมอก็เป็นเช่นนั้น นี่เรียกว่าสัมมาสติ
สัมมาสมาธิ คือความสงบของใจ ที่เป็นสัมมาก็คือ นำอารมณ์ที่จะยังใจให้สงบเข้ามากำหนดเข้ามาบริกรรม หรือยึดเข้ามาเป็นที่พึ่งพิงของใจ ให้มีความรู้สึกอยู่กับธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติที่เย็นอยู่แล้วนั้น เพื่อใจจะได้ยึดนั้นแล้วเกิดความเย็นฉ่ำขึ้นมาภายในตัวเอง นี่เรียกว่าสัมมาสมาธิ มีหลักธรรมอันเป็นสวากขาตธรรมเป็นเครื่องยึดของใจ เมื่อจิตมีความสงบก็รู้อยู่ภายในตัวเอง ว่าสงบลึกตื้นหยาบละเอียดเพียงไร ไม่ใช่ว่าสงบแบบหัวตอ แบบนอนหลับ นั้นเรียกว่ามิจฉาสมาธิ นี่ธรรมท่านกล่าวไว้อย่างนี้ในสัลเลขธรรม กล่าวแล้วรวมลงมาสัมมาสมาธิ คือองค์มรรค ๘
นี่เราทั้งหลายผู้ดำเนินตามสายทางแห่งมัชฌิมา ซึ่งเต็มไปด้วยขวากด้วยหนามสองฟากทาง ได้แก่กิเลสตัณหาอาสวะ ซึ่งคอยจะทิ่มแทงทำลายเราอยู่ตลอดเวลา จำต้องได้ระมัดระวังรักษาตนอยู่เสมอ จึงชื่อว่าเป็นผู้เดินทางเพื่อความราบรื่นดีงาม การดำเนินด้วยข้อปฏิบัติอันถูกต้องดีงามนี้ ชื่อว่า สุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิ คือปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตรงต่อเหตุต่อผลต่ออรรถต่อธรรม ต่อความหลุดพ้น ญาย เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ สามีจิ ปฏิบัติงามตา อย่างงามตางามใจ คนอื่นมองเห็นก็น่าเลื่อมใสน่าเคารพบูชา ตนเองก็มีความแช่มชื่นเบิกบาน ด้วยสามีจิกรรมคือการปฏิบัติชอบของตน
อาการเหล่านี้เป็นอาการถอดถอนกิเลส และเป็นอาการที่ก้าวไปตามสายทางมัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นทางพ้นทุกข์โดยไม่ต้องสงสัย นี่แหละพระพุทธเจ้าท่านทรงดำเนินอย่างนี้ พ้นได้ด้วยวิธีการอันนี้ สาวกทั้งหลายท่านก็ดำเนินอย่างนี้ และหลุดพ้นไปได้ด้วยวิธีดำเนินอย่างนี้ จะดำเนินอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ ผิดจากสายทางที่เป็นไปเพื่อวิวัฏฏะ จะเต็มไปด้วยวัฏจักรวัฏวนทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้นักปฏิบัติจึงควรระมัดระวังสำรวมตนอยู่เสมอ อย่าได้เฉื่อยชา อย่าได้แสดงความเคยชินต่อความเพียรแล้วนอนใจ เหล่านี้เป็นเรื่องเคลือบแฝงของกิเลสทั้งมวล ให้พึงระมัดระวังตัวอยู่เสมอ
ยากลำบากคือการต่อสู้กับกิเลส เราลำบากกิเลสก็ต้องลำบากเหมือนกัน เราอย่าคิดว่าเรามีความลำบากเพราะการประกอบความพากเพียรเลย ตัวกิเลสมันก็ลำบากเพราะการต่อสู้ของเรา การห้ำหั่นกันกับกิเลส การตบต่อย การฆ่าฟันกันกับกิเลส ทำไมกิเลสจะไม่ลำบาก เลยจากความลำบากแล้วกิเลสต้องตาย เราลำบากแต่เราได้ชัยชนะ เราไม่สู้มันเลยเราหมอบราบ แพ้อย่างหมอบราบ ผลที่จะพึงได้รับก็คือเป็นทาสของกิเลส ทาสแห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทาสแห่งความหมุนเวียนไปมาที่หาบตั้งแต่กองทุกข์อยู่ในวัฏวนนี้ หาความสิ้นสุดยุติไม่ได้เลยนั้นไม่ใช่ของดี ไม่ใช่สิ่งที่เราพึงปรารถนา
เพราะฉะนั้นทุกข์ก็ทุกข์ไม่ยอมถอยในการต่อสู้กับกิเลส ทุกข์เพราะการต่อสู้กับกิเลส ต้องถือว่ากิเลสก็ต้องเป็นทุกข์เหมือนเรา เพราะกิเลสกับเราต่อสู้กัน กิเลสจะหาความสุขความสำราญบานใจมาจากไหน เมื่อมีข้าศึกต่อตนเองอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเราที่มีกิเลสเป็นข้าศึกต่อเรา เราหาความสุขที่ไหนเจอ มีตั้งแต่ความทุกข์เพราะมันทั้งนั้นเมื่อถูกมันทำลายเรา เพราะเราแพ้มัน ทีนี้เมื่อเราต่อสู้กับกิเลส ความทุกข์ของเราก็มีจริงในการต่อสู้ ในขณะเดียวกันความทุกข์ของกิเลสก็ย่อมมี เอ้า ความเจ็บปวดแสบร้อน ความพินาศฉิบหายของกิเลสย่อมมีไปโดยลำดับ ๆ เพราะการต่อสู้ด้วยความเพียร
แม้จะเป็นทุกข์ในการต่อสู้ของเราก็ตาม เรามีหวังที่จะให้กิเลสได้รับความทุกข์ความลำบาก ขนครัวบ้านครัวเรือนครัวลูกเต้าหลานเหลนปู่ย่าตายายซึ่งเคยฝังรากฝังฐานอยู่ภายในจิตใจนี้อย่างลึก ออกจากจิตใจเพราะอำนาจแห่งมรรคปฏิปทาตามสังหารอยู่ตลอดเวลา ทั้งลึกทั้งตื้นทั้งหยาบทั้งละเอียด กิเลสหลบซ่อนอยู่ที่ตรงไหน สติปัญญาศรัทธาความเพียรตามห้ำหั่น กลั่นกรองกันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งกิเลสประเภทต่าง ๆ ได้สูญซากไปจากจิตใจ เรียกว่ากิเลสตายเรียบไปหมดแล้ว แล้วไม่มีอะไรต่อไปนั้นที่จะให้เกิดความทุกข์ทางใจ
จึงทำให้เห็นได้ชัด ๆ รู้ได้อย่างแจ่มแจ้งไม่ต้องไปถามผู้หนึ่งผู้ใด แม้พระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ต่อหน้าเราก็ไม่ทูลถามพระองค์ท่าน ว่าเมื่อกิเลสสิ้นไปแล้วอย่างราบคาบไม่มีภายในจิตใจแล้ว ข้าพระองค์มีความสุขสบายไหมอย่างนี้ ถามให้โง่ทำไมเพราะความรู้ประเภทที่รู้ที่เห็นอยู่เวลานั้นไม่ใช่ธรรมะโง่ เป็นธรรมะที่ฉลาด เป็นธรรมะที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมะที่เลิศโลกอยู่แล้ว ก็จะทูลถามท่านหาประโยชน์อะไร ย่อมไม่ทูลถาม นี้แหละสมชื่อสมนามที่ว่า สนฺทิฏฺฐิโก ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงผูกขาด มอบให้ไว้กับผู้ปฏิบัติจะพึงรับเป็นมรดกของตนโดยเฉพาะ ๆ แต่ละราย ๆ ที่ปฏิบัติตนได้มากน้อย สันทิฏฐิกธรรมทั้งหลายย่อมจะปรากฏขึ้นตามขั้นตามภูมิของตน จนถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นย่อมจะเป็นสนฺทิฏฺฐิโก ได้อย่างประจักษ์และเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีอยู่ภายในจิตใจนี้
การดำเนินการปฏิบัติจึงต้องมีความยากความลำบาก เราทราบด้วยกันแล้วว่าการแก้กิเลสเป็นของแก้ยาก ข้าศึกใดก็ตามในโลกนี้ไม่มีที่จะนอกเหนือจากกิเลสไปได้ เรียกว่าเป็นแก่นแห่งข้าศึก เป็นที่เหนียวแน่นที่สุด เป็นที่รบยากแก้ยากที่สุดคือแก้กิเลส ทุกข์จากกิเลสก็เป็นทุกข์ที่ยากลำบากมาก เป็นทุกข์ทรมานมาก ถ้าเราไม่เห็นโทษของมันในความแสดงออกอยู่กับร่างกายและจิตใจของเรานี้อยู่แล้ว จะเรียกว่าเราเรียนวิชาธรรมเพื่อความฉลาดและถอดถอนมันได้ที่ตรงไหน
วิชาของพระพุทธเจ้าเป็นวิชาที่เหนือกิเลสทุกประเภท ไม่ใช่เป็นวิชาทาสของกิเลสพอจะให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เรานำมาปฏิบัติอยู่เวลานี้ ให้ย่อยยับอับเฉาลงไปเพราะสู้กิเลสไม่ได้ คำที่ว่าสู้กิเลสไม่ได้นั้นไม่ใช่ธรรมเป็นผู้สู้กิเลสไม่ได้ เช่นอย่างเครื่องมือรบ ไม่ใช่เครื่องมือนี้สู้กิเลสไม่ได้ เครื่องมือนี้ทันสมัย เป็นแต่ผู้จะหยิบยกเอาเครื่องมือมาใช้นั้นไม่สามารถที่จะหยิบยกเอาเครื่องมือ ที่เหมาะสมกับการปราบปรามข้าศึกคือกิเลสประเภทนั้น ๆ ให้เหมาะสมเท่านั้น จึงได้ยอมแพ้กิเลสหรือกิเลสจึงเหยียบย่ำทำลาย กลายเป็นทาสของมันได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็เรียนวิชาธรรมปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นคำนี้อย่าให้มีในจิตใจของนักปฏิบัติเรา
เราเรียนจากครูจากอาจารย์ ศึกษาจากครูจากอาจารย์ก็ดี เราเรียนอรรถเรียนธรรมจากตำรับตำราก็ดี ไม่มีธรรมบทใดบาทใดเป็นทาสของกิเลส เป็นน้อยต่อกิเลส หมอบราบต่อกิเลสไม่มี มีแต่ธรรมเป็นเครื่องปราบกิเลสทั้งมวล ในบรรดาธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เราผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมจึงควรจะได้รับชัยชนะ เห็นกันต่อหน้าต่อตาด้วยการประกอบความเพียรต่อสู้กับกิเลส ด้วยวิชาธรรมของเราที่เคยได้ชัยชนะมาแล้ว และเคยเป็นใหญ่ต่อกิเลสทุกประเภทมาแล้ว ไม่ควรให้ได้รับคำว่าแพ้ ขายที่สุดคำว่าแพ้ ขายหมดทั้งตัว ไม่มีสง่าราศีอันใดเลยความแพ้กิเลส
ความชนะกิเลสเท่านั้นเป็นผู้เลิศ ความเป็นทาสของกิเลสดีวิเศษวิโสอะไร เอ้า พิจารณาเทียบเคียงให้เห็นเหตุเห็นผล เราเป็นนักปฏิบัติลูกศิษย์ตถาคต จอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมเหนือโลกเหนือสงสาร ปราบจอมมารมหามารภายในจิตใจได้จนราบคาบสิ้นเชิงไม่มีสิ่งใดเหลือ เพราะวิชาธรรมของพระองค์ ทำไมเราเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักวิชาธรรมของพระพุทธเจ้า ยังจะกลายเป็นทาสของกิเลสตัณหาอาสวะ นำธรรมไปเป็นทาสของกิเลสอยู่ได้ เราไม่อายเราบ้างเหรอ
เราบวชมาอย่างสง่าผ่าเผย บวชมาด้วยความมีอรรถมีธรรม บวชมาด้วยความมีอุปัชฌาย์อาจารย์ บวชมาด้วยความได้รับศาสตราอาวุธ พร้อมแล้วตั้งแต่วันบวช ท่านหยิบยื่นให้เราแล้วว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น นี่คือเครื่องมือปราบกิเลส ความรัก ความหึงหวง ความสงวน ไม่มีอันใดที่จะรักจะสงวนยิ่งกว่าธาตุกว่าขันธ์กว่าสกลกายเรานี้ อันเป็นเพราะอำนาจของกิเลสพาให้รักให้สงวน ขัดแย้งต่อธรรมมาเป็นประจำ
เสกสรรปั้นยอว่าให้เป็นของสวยของงาม เสกสรรปั้นยอว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นของท่านเป็นของเขาของใคร เสกสรรปั้นยออยู่เช่นนี้ ปลอมแปลงอยู่เช่นนี้คือเรื่องของกิเลสเป็นข้าศึกกับธรรม พยายามลบล้างความจริงคือธรรมอยู่ไม่หยุดยั้ง ทีนี้ท่านจึงได้มอบอาวุธอันเป็นความจริงนี้ให้ เพื่อปราบกิเลสประเภทจอมปลอมนี้ออกให้สิ้นซาก ให้เหลือแต่หลักความจริง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หาความสวยงามที่ตรงไหน เอ้า นำไปฟัดเหวี่ยงกับกิเลสซี
กิเลสว่าสวยงาม หนังหรือสวยงาม ถ้าหนังสวยงามแล้วหนังรองเท้าเป็นยังไง หนังภายนอกสวยงามทำไมจึงมีขี้เหงื่อขี้ไคลเต็มไปหมด ชะล้างกันทำไม ถ้ามันสวยงามจริง ๆ ไม่ต้องชะต้องล้าง ต้องซักต้องฟอกเช็ดถูกันอยู่ตลอดเวลา รักษามันทำไม เพราะมันสวยงามมันสะอาดสะอ้านไม่ว่าของใคร แต่นี้ทำไมของสะอาดทำไมจึงต้องได้ชะได้ล้าง มันไม่ใช่ของสกปรกจะได้ชะล้างทำไม เมื่อเป็นเช่นนั้นมันเต็มไปด้วยของสกปรกแม้แต่ผิวหนังแท้ ๆ ที่หลงกันอยู่นี้ มันก็คือของสกปรกที่เสกสรรปั้นยอออกมาจากกิเลสว่าเป็นของสวยงามต่างหาก นั่นคือจอมโกหกของกิเลส ลบล้างความจริงแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม ตามหลักความจริงเป็นอย่างนั้น
พลิกหนังภายในออกมาดูซิ ถ้ายังมองเห็นภายนอกว่าสวยว่างาม หนังอันเดียวนั่นแหละพลิกภายในออกมาดูเป็นยังไง มันน่าดูไหม ดูแล้วดูเล่าพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ตามหลักความจริงก็หมายความว่า ล้างแล้วล้างเล่าล้างสิ่งจอมปลอม ที่มันแทรกมันสิงมันเสกสรรปั้นยอไว้ว่าสวยงามนั้นน่ะ ล้างด้วยความจริงคืออรรถคือธรรม มันสวยมันงามที่ไหน ถลกออกมาหมดหนังทั้งตัวเรานี้น่ะ แล้วแผ่ออกมาดูซิเป็นยังไง หนังทั้งแผ่นน่าดูไหม
หนังของคนของหญิงของชายหรือของสัตว์ตัวใดก็ตาม เมื่อถลกหนังออกมาดูแล้วหนังน่าดูไหม สวยงามตามที่กิเลสเสกสรรปั้นยอนั้นจริง ๆ ไหมหรือไม่จริง ถ้าไม่จริงก็ได้ทราบกันชัด ๆ ว่ากิเลสหลอกเราถึงขนาดนี้เชียวเหรอ มันก็ต้องเห็นโทษกัน ความจริงมันหาความสวยงามที่ไหน ข้างในก็เยิ้มไปด้วยเลือดด้วยเนื้อ เต็มไปด้วยของปฏิกูล ข้างนอกก็มีแต่ขี้เหงื่อขี้ไคลชะล้างกันทั้งข้างบนข้างล่าง มีแต่ขี้เต็มตัว แล้วยังมาเสกสรรปั้นยอเอาว่าเป็นดีเป็นของดี ก็เห็นแต่สุนัขเท่านั้นเห็นอาจมว่าเป็นอาหารว่าเอร็ดอร่อย
มนุษย์เราไม่ใช่สุนัข เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติเราไม่ใช่สุนัข เหตุใดจึงจะต้องไปเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของสวยของงาม เป็นของที่น่ารักใคร่ชอบใจซึ่งเป็นเหมือนอาจม แล้วดูดดื่มด้วยอารมณ์รักชอบ ด้วยความว่าเป็นของสวยของงาม ทั้ง ๆที่มันจอมปลอมแล้วเสกสรรปั้นยอ หลงมันไปทำไมกิเลส ธรรมเป็นเครื่องแก้มีอยู่นำมาชะมาล้างกันให้ถึงความจริง แตะต้องกันได้อย่างไรเมื่อถลกหนังออกมาแล้ว เอ้า ดูเนื้อในคนในสัตว์เป็นอย่างไรแดงโร่ไปหมดทั้งตัว แล้วดูเข้าไปกำหนดพิจารณาเข้าไป ลึกเท่าไรยิ่งเห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวน่าอิดหนาระอาใจเต็มไปหมดทั้งร่าง ข้างบนข้างล่างด้านขวางสถานกลาง
แล้วกระจายออกไปดูในอวัยวะทุกส่วน มีชิ้นไหนเป็นชิ้นของงามของสวยตามที่กิเลสมันไปฝังจมความหลอกลวงเอาไว้ทุกแง่ทุกมุม ทุกจุดทุกแห่งทุกหนในสกลกายของเราของเขานี้ คลี่คลายดูให้หมดความจอมปลอมของกิเลสที่ไปปักเสียบหลอกมนุษย์ที่โง่เขลาเบาปัญญาไว้ เอาธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นธรรมชาติที่ฉลาดนี้จับเข้าไป แหย่เข้าไป แทงเข้าไป พิสูจน์เข้าไปให้เห็นตามความจริงแล้วเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่าพิจารณาอยู่นั้น นี่ละอาวุธที่ท่านมอบให้เพื่อจะล้างสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย นี่คืออาวุธ
เพียงแต่พูดว่าหนังเท่านั้นก็กระจายไปแล้ว เพราะเป็นประโยคใหญ่มาก..หนัง หุ้มหมดห่อหมดทั้งตัว ของปฏิกูลโสโครกขนาดไหนก็มองไม่เห็นแหละบุรุษตาฟางแบบพวกเรานี่น่ะ ต้องใช้ปัญญาพินิจพิจารณาตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า อาศัยปัญญา ทีนี้ปัญญานั้นแทงทะลุอย่าว่าแต่ร่างกายอันเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เลย แม้ภูเขาทั้งลูกก็แทงทะลุไปหมด แต่นี้มันกลับกลายเป็นว่าร่างกายเล็กเพียงนิดเดียว หนังบาง ๆ เพียงนิดเดียวไม่สามารถแทงทะลุได้จะว่าเรามีความฉลาดแหลมคมได้อย่างไร ก็คือจอมโง่นั่นเอง แล้วเราอยากจะเป็นจอมโง่ได้ถูกเกลี้ยกล่อมจากกิเลสอยู่อย่างนี้เรื่อยไป เพื่อแบกทุกข์ในวัฏสงสารอยู่ร่ำไปอย่างนี้เหรอ ถ้าไม่อยากแบกเห็นโทษของกิเลส ก็ควรจะเห็นคุณของธรรมนำมาพิสูจน์กันด้วยหลักความจริง ธรรมเป็นความจริงแท้ ๆ ไม่จอมปลอม จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว
ดูให้เห็นละเอียดลออในภายในภายนอกของส่วนร่างกาย เอ้า กำหนดแยกแยะออกไป ให้แตกกระจายทำลายลงไป ดูกันได้ที่ไหน นั่นความจริงลบล้างความจอมปลอมว่าสวยว่างาม ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล ว่าเป็นหญิงเป็นชาย ว่าเป็นของเขาของเรา ออกได้หมดโดยไม่ต้องสงสัย
ถ้าพูดถึงเรื่องอนิจฺจํ ถ้ามันเที่ยงมันแตกกระจายไปได้ยังไง ทุกฺขํ ตรงไหนร่างกายของเราที่มีความสุขน่ารื่นเริงบันเทิงตรงไหน มันมีแต่กองทุกข์ทั้งกองเต็มอยู่นี้ อนตฺตา นั่นท่านบอกไว้แล้ว เหมือนกับว่าตีข้อมือไว้อย่ายึด ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นหลักธรรมชาติของธาตุเดิมเขา อย่ายึดอย่าถืออย่าไปคว้ามาเป็นเราเป็นของเรา อนตฺตา เหมือนกับว่าตีข้อมือเอาไว้ แม้เช่นนั้นมันก็ยังอาจยังเอื้อมยังฝืนอรรถฝืนธรรมไปยึดไปถือ ตีข้อมือหักมันก็ไม่ยอมถอย เพราะกิเลสไม่ยอมให้ถอย กิเลสให้พาสู้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้ปัญญาตีแล้วตีเล่า เอาจนกิเลสมันข้อมือหักเป็นไร สุดท้ายก็แพ้ธรรม
นี่ละการต่อสู้กับกิเลส เราอย่าว่าแต่เราผู้ต่อสู้กับกิเลสเป็นความทุกข์ กิเลสมันก็ต้องเป็นความทุกข์ของมันเหมือนกัน สุดท้ายมันก็สลายไปไม่มีเหลืออยู่ภายในจิตใจ นั้นแหละที่นี่อยู่ที่ไหนก็อยู่เถอะ ไม่มีอะไรกวนใจเลย หายเงียบเหมือนกับบ้านร้างแต่มีคนอยู่ นั่นฟังซิบ้านร้างเป็นยังไง เงียบกริบไปหมดไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม รื่นเริงเหล่านี้หมดไม่มีเหลือ นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี เสยฺยถีทํ กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา เครื่องแสดงออกของกิเลสให้สัตว์โลกทั้งหลายแสดงกิริยาบ้าออกมาสด ๆ ร้อน ๆ เหล่านี้หายเงียบไปหมดไม่มีเหลือ เรียกว่าบ้านร้างแต่มีคนอยู่คืออะไร มีแต่คนดีไม่มีคนชั่วประเภทระเกะระกะ ทำความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่บ้านแก่เมือง มีแต่คนดีสงบเสงี่ยมเจียมตัว นั่นเทียบถึงบ้านภายนอก
บ้านร้างแต่มีคน เทียบเข้ามาข้างในก็คือว่า บ้านร้างภายในนี้ได้แก่กิเลสตัณหาอาสวะ ตัวพาดิ้นรนกวัดแกว่ง ตัวราคะตัณหาความทะเยอทะยาน ความวุ่นวายส่ายแส่ ความโกรธ ความลุ่มหลง ตายไปหมดไม่มีอะไรเหลือเพราะอำนาจของปัญญาญาณ ฟาดฟันหั่นแหลกขาดสะบั้นไปจากจิตใจหมดแล้ว เหลือแต่ขันธ์ล้วน ๆ ที่นี่ นั่นละที่ว่าบ้านร้างแต่มีคน หมายถึงว่ากิเลสนั้นตายไปหมด สิ่งชั่วช้าลามกภายในจิตใจนี้ตายไปหมด พินาศฉิบหายไปหมด แต่มีคนอยู่นั้นก็คือว่ามีแต่เบญจขันธ์ แสดงอาการตามธรรมชาติของมัน
รูปก็มีอยู่ตามสภาพ เวทนาที่เป็นอยู่ภายในร่างกายก็เป็นอยู่ตามสภาพแต่ไม่มีใครมายึดมาถือ ว่าเป็นเราเป็นของเรา สังขารความคิดความปรุงก็ปรุงไปตามธรรมชาติของมัน สัญญา ความจำได้หมายรู้ก็จำไปตามธรรมชาติ วิญญาณ ความรับทราบจากอายตนะภายนอกภายในประสานกันก็รับทราบ แต่ไม่มีผู้มาจับจองไม่มีผู้มายึดมาถือพอที่จะให้เกิดความหนักหน่วงถ่วงจิตใจให้ได้รับความลำบาก
มีกิเลสประเภทเดียวเท่านั้นที่มายึดมาถือว่านั้นเป็นเราเป็นของเรา แบกหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก ก็คือแบกขันธ์นี้ด้วยอุปาทาน ทีนี้เมื่อกิเลสประเภทต่าง ๆ ได้สิ้นสุดลงไปแล้วจึงเป็นเหมือนบ้านร้าง ทั้งคิดทั้งปรุงได้อยู่ แต่ก็ไม่มีความคิดความปรุงใดที่เป็นภัยต่อตัวเอง มีแต่ความสงบราบคาบอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ของใจ ที่ปราศจากตัวเสนียดจัญไรได้แก่กิเลสไปหมดแล้วไม่มีสิ่งใดเหลือ นี่แหละที่ว่าบ้านร้างแต่มีคนอยู่คืออย่างนี้
นั่นแหละมัชฌิมาปฏิปทา พาผู้ปฏิบัติดำเนินด้วยความถูกต้องดีงามให้เข้าถึงจุดนี้ มีอยู่ที่ใจเรานี้ กิเลสอย่าเข้าใจว่าอยู่ที่อื่นใด อยู่ที่ใจ ฝังอยู่ที่ใจ กระจายออกไปสู่รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส กระจายออกมาทางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยวจับจองที่นั่นที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของกิเลสที่ออกจากอวิชชา ซึ่งเป็นตัวสำคัญทั้งนั้น เมื่อปัญญาได้สกัดลัดกั้นตีต้อนไปตามหลักความจริง ลบล้างสิ่งจอมปลอมทั้งหลายในรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ออกได้ด้วยความชอบธรรมคือปัญญาธรรม และมาลบล้างรื้อถอนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของตน ที่มันปลอมไปด้วยความยึดความถือของกิเลสออกได้ กลายเป็นขันธ์ล้วน ๆ ขึ้นมา แล้วขับไล่กิเลสประเภทต่าง ๆ เข้าไปจนตรอกจนมุม ไปกองอยู่ที่หัวใจดวงเดียวหาทางไปไม่ได้
ทางรูป เสียง กลิ่น รส ก็ตัดออกแล้วด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นจริง จะมาหลบซ่อนอยู่ที่รูปคือร่างกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ถูกตัดออกด้วยสติปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงหมด กิเลสหาที่ยึดหาที่ถือไม่ได้ ถูกลบล้างไปหมด วิ่งเข้าไปสู่อุโมงค์คือใจ สติปัญญาฟาดฟันหั่นแหลกเข้าไปตรงนั้นอีก เอาจนแหลกแตกกระจายไปด้วยกันภายในจิต สุดท้ายก็ไม่มีกิเลสตัวใดเหลือตกค้างอยู่ภายในขันธ์ในจิตนี้เลย นั่นแหละท่านว่าหมดเชื้อแล้ว หมดชาติแล้ว หมดทุกข์แล้วหมดตรงที่จิตหมดเชื้อคืออวิชชาเป็นสำคัญ นั่นละเชื้อของความเกิดอยู่ที่จิต เชื้อของความเกิดหมดไปจากจิตแล้วความเกิดจึงไม่มี
ผู้ที่รู้ว่าความเกิดไม่มีอีกแล้วต่อไปนั้น ด้วยความประจักษ์ในตนเองนั้นคือผู้บริสุทธิ์ ผู้บริสุทธิ์นี้จะเป็นผู้สูญสิ้นไปได้อย่างไร ถ้าสูญสิ้นไปได้ก็ไม่เรียกว่าบริสุทธิ์ ไม่เรียกว่านิพพานเที่ยง นิพพานเที่ยงก็คือจิตที่บริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพาน อยู่ภายในจิตใจของนักปฏิบัติเรานี้
นี่ละวิธีการแก้วิธีการถอดถอนฟาดฟันหั่นแหลกกับข้าศึกซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา อันพาให้เกิดแก่เจ็บตายไม่แล้วไม่เล่าสักทีจนกระทั่งบัดนี้ และจะเป็นต่อไปอีกข้างหน้าในทำนองเดียวกันหรือร้ายยิ่งกว่านี้นั้น จะไม่นอกเหนือไปจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้เลย เป็นเชื้ออันสำคัญพาให้สัตว์ทั้งหลายสร้างบาปสร้างกรรม วิบากคือผลก็ต้องได้รับไปในภพชาตินั้น ๆ เกิดที่สูงที่ต่ำลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นไปจากไหนถ้าไม่เป็นไปจากอวิชชา ซึ่งพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปได้ในแง่ต่าง ๆ ให้สัตว์ทั้งหลายทำสิ่งต่าง ๆ ไปได้ตามความต้องการของอวิชชา
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผลแห่งความเปลี่ยนแปลงไปต่าง ๆ จะไม่เปลี่ยนไปได้ยังไงเมื่อเหตุพาให้เปลี่ยนแปลงดีชั่วหนักเบาเป็นไปอยู่ภายในจิต เพราะอวิชชาเป็นผู้บงการ วิบากจะทำให้เกิดสูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ให้เกิดความสุขความทุกข์มากน้อยเพียงไรนั้นจะปิดได้ยังไง จะปฏิเสธได้ยังไงว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงเสมอกันไม่ได้ แม้จะไปเกิดในภพชาติต่าง ๆ ก็ตาม ต้องมีความเปลี่ยนแปลงหรือมีความผิดแผกแตกต่างกันอยู่โดยลำดับลำดา เพราะกิริยาแห่งการกระทำซึ่งเนื่องมาจากการบงการของอวิชชาให้ทำนั้นไม่เหมือนกัน กลายเป็นวิบากไม่เหมือนกันขึ้นมา
นี่ละการเรียนหลักความจริง ให้รู้ความจริงของตัวเองให้เรียนอย่างนี้ ตามหลักธรรมที่เรียกว่าสวากขาตธรรมนี้ เราถึงจะรู้ได้ชัดแล้วไม่ต้องไปถามใคร ว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญก็ดี นรกมีหรือไม่มี สวรรค์มีหรือไม่มี พรหมโลกมีหรือไม่มี นิพพานมีหรือไม่มี มันรู้กันที่นี่หมด เพราะตัวนี้เป็นตัวการไปเที่ยวเสียหมดในถิ่นที่นี่ และเป็นผู้รับทั้งนั้นก็คือจิตอวิชชานั่นเอง บาปคำว่าบาปคืออะไร ก็คือสิ่งที่ชั่วให้ผลเป็นทุกข์ ใครเป็นผู้ผลิตขึ้นมาถ้าไม่ใช่จิตอวิชชาเป็นผู้ผลิตขึ้นมา แล้วจะได้ผลเลิศมาจากไหน ขึ้นชื่อว่าจิตอวิชชาพาสร้างแล้วจะไม่เป็นผลเลิศเลย นอกจากวิชาธรรมของพระพุทธเจ้าพาสร้างพาดำเนินเท่านั้น จึงจะกลายเป็นจิตเลิศขึ้นมา
นี่ละเรื่องภพเรื่องชาติ อ่านตามตำรับตำรา สาธุ ! เราไม่ได้ประมาท เรียนจบพระไตรปิฎกก็เถอะ ถ้าไม่ได้พิสูจน์ทางด้านปฏิบัติแล้ว ก็จะงมแต่เงาอยู่อย่างนั้น เพราะนั้นเป็นเงาเป็นแถวเป็นแนวไปเฉย ๆ ไม่ใช่ความจริง ความจริงคือการปฏิบัติต่างหาก ความจำเป็นความจำต่างหาก ความจำไม่ใช่เป็นสิ่งละกิเลส การปฏิบัติต่างหากที่เป็นสิ่งที่ละกิเลส และเป็นสิ่งที่จะรู้ได้ตามหลักความจริง เพราะฉะนั้นความจริงกับความจำจึงต่างกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน
ผู้พิสูจน์บุญ บาป นรก สวรรค์ พรหมโลกจนกระทั่งถึงนิพพาน และรู้แจ้งเห็นจริงจนถึงกับได้มาสั่งสอนโลกเราอยู่เวลานี้คือใคร ถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดแหลมคมทั้งตาเนื้อตาจักษุญาณ เห็นตามความจริงในสิ่งที่มีอยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของมีอยู่ดั้งเดิมลบล้างได้อย่างไร ใครจะเอาอะไรไปลบล้างบาปว่าไม่ให้มี ลบล้างบุญไม่ให้มี ลบล้างนรกสวรรค์ไม่ให้มี ลบล้างพรหมโลก นิพพานไม่ให้มี เพราะเป็นของมีอยู่แล้วโดยหลักธรรมชาติของตน ไม่ขึ้นอยู่กับการลบล้างของผู้ใด นอกจากจะขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติให้ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของมีอยู่ตามหลักความจริงของตนเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น
การปฏิบัติก็เพื่อให้รู้สิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ควรละให้ได้ละ เช่น บาปเป็นของไม่ดีให้ได้ละ ท่านผู้รู้ผู้ฉลาดมาสอนเราขนาดนี้ เรายังจะเห็นว่าพระพุทธเจ้านี้โง่ เราฉลาดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอยู่แล้วก็แสดงว่าคนคนนั้นแสนโง่ที่สุด หาที่เปรียบที่เทียบไม่ได้เลย เป็นคนสิ้นหวัง เป็นคนหมดหวังเพราะลบล้างความจริง ด้วยการลบล้างตนเองนั่นแลให้หมดสารคุณตาม ๆ กัน นี่ละหลักสำคัญอยู่ที่นี่ ขอให้ทุกท่านพิสูจน์ตัวเอง
เราบวชมาพิสูจน์ตัวเองเพื่อหาความจริง ให้เห็นความจริงในสิ่งเหล่านี้แล้วเราจะไม่มีความสงสัย ในสิ่งใด ๆ สามโลกธาตุนี้ จิตจะเป็นบรมสุขเป็นขึ้นที่นี่แหละ ให้ตั้งหน้าตั้งตาพินิจพิจารณา อย่าเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งอื่นสิ่งใดว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและมีความเลิศประเสริฐ ยิ่งกว่าธรรมกับใจที่ได้เข้าสัมผัสกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรม เต็มภูมิของใจ นี่ท่านเรียกว่าบรมสุข รู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจนหายสงสัย นี่เป็นจุดสำคัญที่นักปฏิบัติเราว่าเห็นทุกข์ เห็นภัยในทุกข์ ให้ค้นหาเรื่องของทุกข์อยู่ภายในตัวเองของเราที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นทุกข์ไหม น่าเห็นภัยจริง ๆ ไหม ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ซึ่งมีอยู่ในตัวว่าเป็นภัยแล้ว เราก็หาความสุขไม่เจอเหมือนกัน จึงต้องค้นดูให้ดี
เอาให้จริงให้จังนักปฏิบัติอย่าถอยหลัง พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นผู้อ่อนแอ สาวกทั้งหลายเป็นแบบฉบับอันดีงามในการประพฤติปฏิบัติ ตลอดถึงผลที่ท่านได้รับ เป็นผลแห่งความพ้นโลกวิวัฏฏะจะว่าไง ไม่พ้นโลกได้ยังไง เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตต้องเอาให้จริงให้จัง อย่าเหลาะแหละคลอนแคลน เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลให้ระมัดระวัง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ธรรม เราอย่าไปยินดี เราอย่าไปนอนใจ เราอย่าสำคัญว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเราเป็นของเรา มันเป็นข้าศึกต่อเราทั้งมวลนั่นแหละ
สิ่งใดที่ฝืนสิ่งเหล่านี้สิ่งนั้นเป็นธรรม เมื่อหมดกิเลสแล้วเราก็จะทราบได้ชัด ว่าความขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอ ความโยก ๆ คลอน ๆ นี้คืออะไร มันคือกิเลสทั้งหมด เมื่อได้ผ่านมันเข้าไปแล้วถึงรู้ ว่ามันคือกิเลสทั้งหมด ไม่ใช่คือธรรมะ มันคือกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกต่อธรรม เป็นข้าศึกต่อเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามกำจัดสิ่งเหล่านี้ มันขี้เกียจทำความเพียร ความขี้เกียจก็คือกิเลสขวางทางแล้วเวลานี้ ขวางทางจงกรมแล้ว ขวางสถานที่ที่เราจะนั่งภาวนาแล้ว มันเปิดไว้แต่หมอนอย่างเดียวจะให้เราได้ลงนอนได้อย่างสบาย ตายแล้วตายทั้งเป็น กิเลสกล่อมเอาตายทั้งเป็นได้ยินแต่เสียงครอก ๆ นั่น ให้รู้
เวลาควรหลับควรนอนเราก็รู้ของเราเอง ธาตุขันธ์เป็นสิ่งที่จะต้องพักผ่อนตามเวล่ำเวลาของมัน การขบการฉันการเยียวยาธาตุขันธ์เป็นธรรมดาของโลกที่จะต้องทำ ธาตุเรากับธาตุของโลกของสงสารเหมือนกัน ต้องทำเหมือนกัน แต่ให้ทราบว่าเราเป็นนักปฏิบัติ มีความหนักเบามากน้อยพอเหมาะพอสมอย่างใดที่จะควรพักผ่อนนอนหลับ ที่จะควรประกอบความพากเพียรให้เป็นไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยความมีสติสตังเข้มแข็งในทางความพากความเพียรให้รู้ สมกับนักปฏิบัติเพื่อรู้เพื่อฉลาดตามกลมายาของกิเลสที่แสดงในแง่ใด นี่ละหลักใหญ่อยู่ตรงนี้ จึงขอให้ทุกท่านได้นำไปพินิจพิจารณา
การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร ขอยุติเพียงเท่านี้
|