สติเป็นนายคุมงาน
วันที่ 2 มิถุนายน 2523 เวลา 19:00 น. ความยาว 71.05 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๓

สติเป็นนายคุมงาน

 

        ไม่มีกิเลสเข้าแทรกเลย ทั้ง ที่กิเลสมีอยู่ในพระทัยของพระองค์ แต่ไม่ให้มีกิเลสโผล่ออกมาเป็นกิริยาอาการต่างๆ เราคิดดูซิ นั่นถึงสมชื่อว่าผู้ขังกิเลสจะฆ่ากิเลส ไม่ยอมให้กิเลสมันโผล่ออกมาในแง่ใดโดยความแพ้มัน หรือว่าโดยที่อนุโลมมัน หรือโดยเห็นแก่กับมันอย่างนี้ไม่มี นั่นละให้ถือเป็นตัวอย่าง พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ให้ถืออย่างนั้น อย่ามาถือเล่นๆ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ออกมาจากวิธีการอย่างนี้ ธรรมะถึงได้ปรากฏขึ้นมา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านปฏิบัติอย่างนี้ทั้งนั้น ท่านไม่ทำเล่น

        นี่เราได้เคยพูดเสมอให้เป็นที่ลงใจกับหมู่เพื่อนให้ถึงใจ ว่าไม่มีการปราบปราม ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีงานใด ที่จะหนักยิ่งกว่างานปราบปรามกิเลสต่อสู้กิเลส ถอดถอนกิเลสภายในจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่แหลมคมมากมาเป็นเวลานานบนหัวใจสัตว์โลก เพราะฉะนั้นสัตว์โลกทั้งหลายจึงต้องยอมจำนน โดยหาทางต้านทานไม่ได้ ไม่คิดไม่สำนึกในโทษของมัน จึงไม่คิดสนใจที่จะหาวิธีต่อต้านมัน ยอมมันอย่างราบด้วยกันทั้งนั้นทั้งสามโลกธาตุ ไม่มีใครเก่งกว่าใคร

        มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ทรงขุดค้นศาสตราอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับเรื่องของกิเลสและทรงเห็นโทษของกิเลส มีความเกิดแก่เจ็บตาย อันเป็นผลของกิเลสเป็นสำคัญที่พระองค์ทรงทราบ ค้นจนเจอ จึงได้มาให้พวกเราทั้งหลายปฏิบัติตามวิธีการของพระองค์ ซึ่งเหมือนกับว่าอะไรก็ปรับปรุงมาเรียบร้อยหมดแล้ว มีแต่จะล้างมือเปิบเท่านั้นก็ขี้เกียจ มันก็หมดหนทางละถ้าลงเป็นอย่างนั้นแล้ว

        สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ไม่เรียกว่าปรุงสำเร็จรูปมาแล้วจะเรียกว่ายังไง คัดค้านธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้น คัดค้านได้ที่ตรงไหน ไม่ว่าธรรมบทใดบาทใดขั้นใดภูมิใดของธรรม เป็นสวากขาตธรรมล้วน ทั้งนั้น จะไม่เรียกว่าปรุงมาเรียบร้อยแล้วได้ยังไง ถ้าเป็นอาหารก็พร้อมแล้วที่จะรับประทาน เพียงแต่เราจะล้างมือมาเปิบเท่านั้นมันก็จะตายแล้วจะทำยังไง

        นี่เราเพียงแต่ปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้เท่านั้น ก็เป็นไปไม่ได้ ยังคอยให้แต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา ทั้งขณะที่ประกอบความพากเพียรอยู่ด้วยท่าต่าง ก็มีแต่เรื่องของกิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดมา ไม่มีเรื่องของธรรมได้เหยียบย่ำทำลายกิเลสบ้างเลยแล้ว เราจะหวังเอาความชนะกิเลสได้ที่ตรงไหน แล้วจะหวังความหลุดพ้นไปได้ที่ตรงไหน มันไม่มีทาง ถ้านักปฏิบัติไม่จริงไม่จังต่อสู้กับกิเลสด้วยความเห็นโทษของมัน และด้วยความเห็นคุณค่าของธรรมในการต่อสู้ฝ่ายเหตุ และผลของธรรมคือความเลิศประเสริฐที่หลุดพ้นจากกิเลส ซึ่งเป็นเครื่องกดขี่บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว เราหวังเอาผลประโยชน์อะไร ต้องเอาอย่างนั้นซิ

        นี่ได้เคยต่อสู้มาแล้วถึงพูดอย่างเต็มปากให้หมู่เพื่อนฟัง แต่ก่อนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เวลาได้เข้าต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้แล้วถึงได้รู้ว่ามันหนัก หนักจริง หนักแทบล้มแทบตาย ไม่มีเวลาที่จะมองดูเมฆดูหมอกเดือนดาวตะวันได้เต็มหูเต็มตา คิดอะไรได้อย่างสะดวกสบายใจเลย เมื่อกิเลสยังครอบหัวใจอยู่ มีแต่เรื่องการกระทบกระเทือนหรือการเหยียบย่ำทำลายจากกิเลส และการต่อสู้กับกิเลสไม่ลดละเท่านั้น จึงพอมีช่องมีทาง

        อะไรจะแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสก็เคยพูดแล้วนี่ มันแทรกออกมาทุกระยะๆ ทั้งๆ ที่เราคิดในแง่อรรถแง่ธรรม แง่ของกิเลสแทรกมาด้วย ถ้าสติปัญญาไม่ฉลาดแหลมคมจริงๆ ไม่ทันกับกลมายาของกิเลสที่แทรกธรรมมาโดยลำดับๆ เหมือนอย่างลัทธิเขาแทรกธรรม เหยียบศาสนาไปในตัวเอาศาสนาออกเป็นโล่บังหน้าไปเรื่อย และเหยียบศาสนาไปในตัว นี่กิเลสก็เหมือนกันเราว่าเราทำความเพียร แต่เรื่องของกิเลสมันแทรกออกมาในความเพียรของเรานั้นเราไม่ทราบได้ ไม่นานก็เดี๋ยวหงายลงเวทีไปแล้ว

        ต้องคิดให้มากผู้ปฏิบัติ อย่าอยู่เฉยๆ นักปฏิบัติไม่คิดไม่ไตร่ไม่ตรอง ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่อดไม่ทน ไม่มีใครทำได้ในโลกนี้ เพราะศาสดาองค์เอก เอกทุกอย่าง ทางฝ่ายการบำเพ็ญทางภาคปฏิบัติก็ไม่มีใครสู้ ไม่ว่าจะเป็นความพากเพียรความอดความทน ความพิจารณาไตร่ตรองทุกแง่ทุกมุมอันเป็นเหตุแห่งความดีแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเลิศโลกทั้งนั้น จึงได้ผลอันเลิศโลกมาสั่งสอนโลกให้ได้พอลืมหูลืมตาบ้าง อย่างพวกเราทั้งหลายได้ปฏิบัติอยู่เวลานี้

        ยังจะถือว่าเราเป็นคนได้รับความลำบากลำบน ไม่ได้คำนึงถึงพระพุทธเจ้าผู้ทรงบำเพ็ญหรือบุกเบิกมาก่อนบ้างแล้วมันก็หมดหนทางแหละ มาคิดเห็นแต่ตัวลำบากอย่างเดียว นั่นแหละคือทางท้อถอย ทางแพ้อยู่ตรงนั้น เมื่อมีความจำเป็นมาจิตใจจะท้อถอยด้วยอาการใด โดยกลมายาของกิเลส เราต้องยกธรรมขึ้นแก้เสมอๆ นั้นจึงเรียกว่านักต่อสู้ สติปัญญาค้นคิดมาแก้กันในเวลานั้น นี่เอาให้มันเห็นชัดๆ อย่างนี้ซิ

        เดินจงกรมอยู่นี่ สถานที่นี่มันไม่มีเสือไม่น่ากลัว ไปอยู่ป่าที่มีเสือ เดินจงกรมอยู่เสือกระหึ่มๆ ขึ้นข้างทางจงกรม ตามบริเวณเหล่านั้น ตัวสั่นเสียแล้วนั่น เป็นยังไงตัวสั่นแล้ว มันต้องมีทางออกละที่นี่กิเลสน่ะ ไม่ใช่ธรรมพาหาทางออกนะ หาทางออกจากกิเลส มีแต่เรื่องของกิเลสจะหาทางผูกมัดเรา กลัว กลัวตาย ทีนี้สติปัญญามียังไงขุดค้นขึ้นมาใช้เวลานั้น เอาจนมันเดินจงกรมแข่งเสียงเสือไปได้อย่างสบายไม่สะทกสะท้าน นั่นจึงชื่อว่าเป็นนักต่อสู้ด้วยสติปัญญาตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ใช่ต่อสู้แบบหมอบให้เขาไปตีเอาเตะเอาเฉยๆ ต้องต่อสู้โดยวิธีการความแยบคายของตนเอง

นี่อย่างนี้ ก็เป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง เป็นอุบายที่จะเกิดขึ้นในขณะนั้น มันจนตรอก คือเราไม่ถอยนี่ ถอยขึ้นมามันก็ได้ใจ แพ้ อยู่ไปให้หนักแผ่นดินทำไม พอได้ยินเสียงเสือกระหึ่มๆ โดดเข้าหาที่พัก หาที่กำบังหาที่หลบภัย เข้าใจว่าตนฉลาด มันโง่จะตายแล้วนี่ ถ้าเป็นนักธรรมะเรียกว่าโง่จะตาย หนักศาสนา

        ทำยังไงจึงจะไม่หนักศาสนา ก็ต้องต่อสู้ด้วยวิธีการอันนี้ เอ้า ตายก็ตาย โลกนี้เป็นโลกเกิดแก่เจ็บตาย เราตายในสนามรบไม่เป็นไร เสือกินเราแล้วมันก็จะตายเหมือนกัน ธาตุกินธาตุพิจารณาแยกออกไปทุกแง่ทุกมุม สุดท้ายจิตใจก็สง่าผ่าเผยขึ้นมา องอาจกล้าหาญขึ้นมา ค้นหาเรื่องความตายมันเลยไม่มี มีแต่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ค้นขุดกันไปขุดกันมาจนกระทั่งจิตมันตายไม่เป็น มันกลัวหาอะไรมันตายไม่เป็น ไม่ใช่กิเลสหลอกจะเป็นอะไรหลอกวะ นั่นมันรู้แล้ว เดินอย่างสง่าผ่าเผย

        เอ้า สมมุติว่าเสือเดินเข้ามาทางจงกรมที่เรากำลังเดินนั้น ไม่มีถอย เดินเข้าไปลูบคลำหลังมันจนได้เลย นี่เคยทรมานมาไม่รู้กี่ครั้งแบบนี้นะ จึงได้กล้ามาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง เอาจริงเอาจัง อย่างที่ว่าเดินบุกป่าฝ่าดงไปกลางค่ำกลางคืนนี้ก็ทำ จะเป็นอะไรพูดอวดหาประโยชน์อะไร พูดเพื่อเป็นคติ เราได้ผลอย่างนั้นเราก็หาอุบายวิธีการตามที่ได้ผลมาแล้วนั้นมาสั่งสอนหมู่เพื่อน สมกับตนเป็นครูเป็นอาจารย์ที่จะให้คติแก่หมู่เพื่อนได้มากน้อยเพียงไร ก็ต้องนำมาสอน

        เราไม่ได้สอนแบบโอ้อวด ไม่ได้สอนแบบไม่จริงเอามาสอน เราทำมาจริงอย่างนั้นและได้ผลมาจริงๆ ด้วย เห็นชัดทุกครั้งไม่มีพลาดถ้าลงจิตได้เด็ดแล้ว เอ้า ขาด หัวใจจะขาดขาดไป ชีวิตจะขาดขาดไป แต่เรื่องการต่อสู้ไม่ถอย นักรบถอยไม่ได้ สัจจะความจริงมีอยู่ภายในจิตใจ แพ้ไม่ได้ ตายก็ตายเถอะแต่อย่าให้จิตได้แพ้ก็แล้วกัน ร่างกายนี้มันสุดวิสัย อะไรจะเอาไปกินๆ แต่จิตใจซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อชัยชนะนี้จะถอยไปไม่ได้

        หนักเข้าๆ ก็ล้มละลายกิเลส ความกลัวอะไรๆ แตกกระสานซ่านเซ็นไปหมด ยังเหลือแต่ความสง่าผ่าเผยด้วยสติปัญญาองอาจกล้าหาญรอบตัว ทีนี้ไม่มีกลัวอะไรเลย แม้เสือจะเดินเข้ามาต่อหน้าต่อตา ก็เดินเข้าไปหามันได้อย่างสบายไม่มีสะทกสะท้าน นั่นฟังซิ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่จิต เวลามันกลัวเหมือนตัวสั่น มันเหมือนจะตายจริงๆ ในขณะนั้น ทีนี้พอจิตทรมานความกลัวได้อย่างประจักษ์แล้ว ความกล้าหาญเกิดขึ้นมาเหมือนกับว่าจะตัวสั่นนะ

        เอ้า ทีนี้อะไรเข้ามามาเถอะ โน่นน่ะมันอาจหาญท้าทาย เสือเดินเข้ามานี้เราก็จะเดินไปหาเสือได้อย่างสบายไม่สะทกสะท้าน แต่เสือจะเอาไปกินหรือไม่กินมันไม่ได้คิดนะ มันทราบอยู่ชัดๆ ภายในจิตใจว่า ไม่มีสะทกสะท้าน ไม่มีกลัวเลย เดินเข้าไปลูบคลำหลังมันได้อย่างสบาย อ่อนนิ่มในหัวใจถ้าพูดถึงเรื่องอ่อน ถ้าพูดถึงเรื่องแข็งก็แข็งแกร่งเลยเทียว นั่นเมื่อจิตได้ลงถึงที่มันแล้วมันอ่อน ก็เลยกลายเป็นความเมตตากับสัตว์ไป สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายนี้เข้ากันได้หมด ไม่มีว่า สพฺเพ สตฺตา สัตว์เสือจะกินหัวคนไม่มี เป็นอย่างนั้นมันก็แสดงให้เกิดความกลัว อันนี้มันไม่มี สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น มันลงนั้นอย่างถึงใจเลย  เดินอย่างสง่าผ่าเผย อะไรจะมามันก็ไม่เคยสนใจเลย มีแต่ความรู้ที่เด่นดวงอยู่ภายในร่างของเรานี่

        อะไรจะมีอำนาจยิ่งกว่าหัวใจเวลาฝึกฝนทรมานได้แล้ว นี้ก็เป็นอุบายวิธีหนึ่งที่ทำได้ผลมาแล้ว นี่อย่างเด็ด นี่ก็เป็นเด็ดอันหนึ่ง คือเอาชีวิตแลกเลยเทียว เอ้า ตายก็ตายไม่ถอย จะเดินบุกป่าฝ่าดงไปนี้ เอาจนมันได้เหตุได้ผล ไม่ได้เหตุได้ผลไม่กลับ ใครจะว่าบ้าก็ช่างเถอะ เราไม่ได้เป็นบ้าเราทรมานกิเลสของเราต่างหาก อันนี้ก็ได้ผล ไปด้วยความกลัว กลับมาด้วยความกล้าหาญชาญชัยสง่าผ่าเผย มาเดินจงกรมอย่างสบาย รู้แล้วกลมายาของกิเลสหลอกกูหลอกอย่างนี้เอง มันรู้อย่างนั้นชัดๆ

        เกิดขึ้นมาคราวหลัง เอาเหรอ นั่น เพราะมันเคยได้ผลมาแล้วนี่ มันได้เห็นทางชัยชนะมาแล้ว หือเอาอีกเหรอวันนี้ หมอบเลยเทียว นี่ก็เป็นเรื่องเด็ดอันหนึ่ง ที่ได้ปฏิบัติมาได้เด่นในจิตใจเจ้าของประจักษ์ไม่เคยลืมเลย คือนี้วิธีหนึ่ง

        วิธีที่สองก็คือนั่ง อย่างที่เคยพูดให้ฟังแล้วนั้น ทุกข์นั่น แหมมันแสนสาหัส เหมือนตัวสั่นไปหมดทั้งร่างเลย กระดูกทุกชิ้นทุกท่อนมันจะขาดสะบั้นออกจากกันให้ได้ แต่สำคัญที่จิตมันไม่ถอยจากสัจธรรมในวงของทุกขเวทนาเป็นต้น ซึ่งเกี่ยวโยงกับกาย แยกกายแยกเวทนา แยกกายตามสัดส่วนของมันที่มันมีความทุกข์มากน้อยอยู่เพียงไร ตรงไหนเป็นจุดสำคัญแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้น แยกแยะอยู่ตรงนั้น สติปัญญาหมุนติ้ว อยู่นั้น

        คำว่าหายไม่หายไม่ต้องไปสำคัญ เสียเวลา เอาให้มันเห็นความจริง เกิดขึ้นจากที่ไหนทุกข์ ไล่กันไปไล่กันมาจนกระทั่งถึงหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก อะไรเป็นทุกข์ แยกดูเวทนา เวทนามันบอกมันเป็นทุกข์ไหม มันก็ไม่มี สักแต่ว่าเป็นความจริงอันหนึ่งเท่านั้น เวลามันพิจารณารอบกันแล้ว กายก็สักแต่ว่าเป็นกายเท่านั้น อาการแต่ละอาการเป็นสักแต่ว่าอาการแต่ละอาการ เป็นความจริงตามหลักธรรมชาติของตนอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ว่าเขาเจ็บเขาปวดเขาทุกข์เขาลำบาก ทุกขเวทนาเกิดขึ้นมาเขาก็ไม่ได้หวังจะให้ร้ายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มันเป็นความจริงแต่ละอย่าง

        เวลาปัญญาสอดแทรกเข้าไปให้เต็มที่เต็มฐานจนเข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้ว ต่างอันต่างจริง กายก็จริงตามสภาพของกาย เวทนาก็จริงตามสภาพของเวทนา จิตก็จริงตามสภาพของจิต และมาเห็นโทษแห่งความสำคัญมั่นหมายของจิตเสียอีก กระแสของจิตมันออกไปสำคัญมั่นหมาย พอไล่กันเข้ามาๆ ไม่มีที่ไปแล้วก็วิ่งเข้าจิต เข้าไปสู่ความจริงเสีย อยู่ อยู่เท่าไรก็อยู่ได้ อาจหาญชาญชัยเต็มที่ อย่าว่าแต่ทุกขเวทนาเพียงเท่านี้เลย ในเวลาตายมันยังจะหนักกว่านี้

        ถ้าลงขณะนี้สู้ไม่ได้แล้วเวลาตายจะเอาอะไรมาสู้วะ เพียงเท่านี้สู้ไม่ได้แล้วมีอย่างหรือจะไปสู้กันในขณะตายนู้น เอ้า ต้องสู้ให้รู้ในเวลานี้ นี้ก็คือสัจธรรม เวลาจะตายก็คือสัจธรรม ถ้าไม่รู้สัจธรรมตรงนี้เวลาจะตายก็หารู้สัจธรรมได้ไม่ ฟัดกันลงเต็มเหนี่ยว

        แต่ขณะนั้นจิตจะออกไปไหนไม่ได้นะ จึงเรียกว่าเข้าสนามรบตะลุมบอน จะแย็บออกไปข้างนอกไม่ได้เป็นอันขาด ขุดค้นกันแหลกลงที่นั่น ทุกขเวทนาแสดงมากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนติ้วๆๆ ไม่งั้นไม่ทันกาลนี่นะ มันก็รู้ขึ้นมาๆ เข้าใจขึ้นมาเรื่อยๆ ประจักษ์ นี่ละรู้ความจริงรู้อย่างนี้ อ๋อ อย่างนี้เหรอที่ว่าทุกข์เป็นของจริงเป็นอย่างนี้เหรอ มันเข้าใจชัดอุบายวิธี อย่างนี้มีแต่อุบายวิธีที่เด็ดกิเลสให้เห็นประจักษ์ภายในจิตใจของตนเอง นี่ก็ได้นำมาสอนหมู่เพื่อน

        คนเรามันไม่ได้โง่ตลอดไป ส่วนมากเป็นปกติของนิสัยของมนุษย์เราหวังพึ่งแต่ผู้อื่นมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่หวังจะพึ่งตัวเองเลย แต่เวลาเข้าจนตรอกจนมุมอย่างนั้นมันหาที่พึ่งไม่ได้นี่ จะไปพึ่งใครก็พึ่งไม่ได้แล้ว มันก็ต้องย้อนเข้ามาพึ่งตัวเอง เมื่อพึ่งตัวเองก็ช่วยตัวเองละที่นี่ จะยอมให้ตนล่มจมไปได้ยังไงคนเรา เมื่อหวังความปลอดภัยไร้ทุกข์อยู่กับตัวอยู่แล้ว จะต้องขุดค้นลงไปจนกระทั่งถึงเอาตัวรอดเป็นยอดดี นี่วิธีหนึ่งไปได้ นี่ละการปฏิบัติธรรมะ

        เราจะได้รับความทุกข์มากน้อยเพียงไรก็ตาม ขอให้ทุ่มลงไปเพื่อความเพียรถอดถอนกิเลสนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่าไปสละกำลังวังชาความคิดความอ่านกับสิ่งภายนอกให้เสียเวล่ำเวลา เสียสติปัญญา เสียกำลังวังชาไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่การทุ่มสติปัญญาศรัทธาความเพียร กำลังวังชาทุกแง่ทุกมุมทุกหยดทุกหยาด ฟาดลงไปในความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสนี้ เป็นคุณสมบัติอย่างยิ่งทุกๆ ประโยคแห่งความเพียร นี่กิเลสหลุดลอยไปได้ กิเลสขาดสะบั้นไปได้ด้วยกำลังวังชาเหล่านี้

        เราจึงชมเชยเรื่องการประกอบความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลส ทุกข์มากน้อยเพียงไรเอาเถอะไม่ตาย นักปฏิบัติซึ่งเป็นผู้ใคร่ต่อสติปัญญาอยู่แล้ว จะต้องขุดค้นขึ้นมาช่วยตัวเองจนได้แหละเป็นอื่นไปไม่ได้ กำลังวังชาของเรามีเท่าไรให้ทุ่มเข้ามาเพื่อแก้กิเลส อย่าไปทุ่มออกไปภายนอก เรื่องนั้นเรื่องนี้ สร้างนั้นสร้างนี้ ยุ่งกับนั้นยุ่งกับนี้ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก มีตั้งแต่เสี้ยนแต่หนามที่จะมาทิ่มแทงจิตใจของเรา ให้เกิดความวุ่นวายส่ายแส่ หาหลักฐานของจิตใจไม่ได้เลยจนกระทั่งวันตาย เป็นประโยชน์อะไรอย่างนั้น

        การปฏิบัติธรรมต้องเอาให้มันจริงมันจังภายในจิตใจ แล้วจะรู้ขึ้นมาไม่สงสัยแหละ สัจธรรมอยู่ตรงนี้ ทุกข์ไม่ว่าทุกข์กายทุกข์ใจ มีอยู่ที่ร่างกายและจิตใจนี้ สมุทัยก็ได้แก่กิเลสตัณหาทุกประเภท เรียกว่าสมุทัยทั้งนั้น แต่ท่านสรุปความลงย่อๆ ว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี อันสหรคตไปด้วยความกำหนัดยินดี  เพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงจนลืมเนื้อลืมตัว   ได้แก่ กามตณฺหา   ภวตณฺหา วิภวตณฺหา รวมลงมานี้ ยอดใหญ่มันอยู่ตรงนี้ นี่ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่จิต มรรคได้แก่ข้อปฏิบัติ อุบายวิธีการต่างๆ ทั้งประโยคพยายาม ทั้งอุบายวิธีต่างๆ ที่จะถอดถอนกิเลสด้วยประโยคพยายามนั้น เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

        หลักสำคัญก็คืออุบายวิธีที่จะทำให้กิเลสสงบตัวลงไปหนึ่ง ทำกิเลสให้ขาดลงไปโดยลำดับๆ จนขาดสะบั้นจากใจหนึ่ง นี่ท่านเรียกว่ามรรค มรรคคืออะไร ท่านสรุปลงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิปัญญาเป็นหลักสำคัญ ศีลเรารักษากันอยู่แล้ว ไม่ได้สงสัยแล้ว สมาธิมันไม่สงบ เพราะเหตุไรจึงไม่สงบ ฟาดกันลงไปซีให้มันเห็นความสงบ ทำไมสงบไม่ได้ ธรรมที่ท่านสอนนี้สอนเพื่อความสงบทั้งนั้น เช่น อารมณ์ของสมถะมีอะไรบ้าง จะบริกรรมก็เอาให้มันจริงมันจัง

        จะกำหนดอะไรเพื่อสมถะก็ให้มันจริงจังในหลักของสมถะ มันก็ต้องสงบจนได้ หรือมันไม่สงบด้วยวิธีนี้ จะสงบด้วยปัญญาตีต้อนเข้ามาให้มันหมอบราบลงก็ได้ อย่างที่ว่าปัญญาอบรมสมาธิซึ่งเคยได้ทำมาแล้วจึงกล้าเขียนกล้าเทศน์ เราได้ทำมาแล้วด้วย ได้เห็นผลมาแล้วด้วย จึงกล้าพูดกล้าเขียน นี่เป็นอุบายวิธีสองอย่าง อย่างที่ปัญญาอบรมสมาธินี้มันสงบได้อย่างอาจหาญอันนี่ สงบอย่างเต็มที่ด้วย อาจหาญด้วย

        สงบลงธรรมดาตามอารมณ์ของสมถะนี้ไม่ค่อยอาจหาญ สงบลงธรรมดาๆ ถ้าพูดตามผลของมันก็ไม่แนบแน่นเหมือนปัญญาตีต้อนเข้ามา เวลามันคึกคะนองนั้นเป็นเวลาที่ปัญญาจะต้องใช้อย่างเต็มเหนี่ยวเทียว เอาให้มันหมอบ เมื่อปัญญาทันแล้วมันไปไหนไม่ได้ละมันหมอบเลย นี้ก็เรียกว่าสมถะ

        ทำไมจะมีไม่ได้อุบายวิธีที่จะทำจิตให้มีความสงบ ท่านสอนไว้ไม่รู้กี่แง่กี่กระทง วิปัสสนาคืออะไร แปลว่าปัญญาไตร่ตรองพินิจพิจารณาตามเหตุตามผล ของร่างกายและอาการของจิตที่แสดงขึ้นมามากน้อย เป็นไปในแง่ใดบ้าง ปัญญาสอดส่องมองตามมันไปเสมอ สติเป็นผู้ควบคุมงานเผลอไม่ได้ สติเป็นหลักสำคัญมากประจำงาน ไม่ว่าจะงานของสมถะงานวิปัสสนาสติเป็นสิ่งสำคัญ นายควบคุมงานคือสติ เรายกย่องเราเห็นคุณค่าเหลือเกินสตินี่ ดังที่ท่านว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ฟังซิที่ทั้งปวงเป็นไร มีเว้นที่ตรงไหน นั่นสติเป็นของสำคัญ

        เอาให้มันเห็นซิ ร่างกายนี้ก็ไม่มากไม่น้อยอะไรนี่ ทำไมปัญญาแทงทำไมไม่ทะลุ เอาข้างนอกมาพิจารณาเทียบเคียงกับภายใน ถ้าพูดถึงเรื่องอสุภะอสุภัง มันก็เต็มไปด้วยกองอสุภะอยู่แล้ว ป่าช้าผีดิบเราเห็นกันอยู่ชัดๆ ในร่างกายของเราและร่างกายของสัตว์ของบุคคลใดก็ตาม มันก็เต็มตัวอยู่แล้วตามหลักความจริง แต่จิตมันถูกกิเลสลากเถลไถลไปทางอื่นเสีย ไปเสกสรรปั้นยอเอาของไม่จริง ว่าสวยว่างามว่าน่ารักใคร่ชอบใจ มันหาความน่าสวยน่างามน่ารักใคร่ชอบใจที่ตรงไหน เรายังไปยอมเชื่อมันได้ของไม่จริง ของจริงก็คืออสุภะอสุภังเต็มตัวทั้งภายนอกภายใน นี่เป็นความจริงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า

        ค้นเข้ามาให้มันเห็นความจริงอันนี้ จิตมันจะเตลิดเปิดเปิงไปไหน เมื่อจิตยอมรับปัญญาที่ซาบซึ้งตามความจริงแล้ว มันก็ต้องหมอบ มันต้องถอยตัวเข้ามาเท่านั้นเอง นี่เรื่องของปัญญา พิจารณาภายนอกก็ได้ เรื่องอสุภะอสุภังนี่เป็นหลักใหญ่สำหรับจิตในภูมิกิเลสตัณหากามราคะ เอาอสุภะอสุภังให้มาก ต่อจากนั้นไปก็แยกเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไป ละเอียดไปโดยลำดับ สุดท้ายก็ลง อนตฺตา

นี่การพิจารณามามันคงจะเป็นความถนัดตามจริตนิสัย สำหรับเราพิจารณาลงไป แล้วมันไปรวม อนตฺตา หมด พอถึง อนตฺตา แล้ว สุดท้ายมันก็เป็น อนตฺตา ทั้งปวง สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น คำว่าไม่ควรถือมั่นอะไร มันเป็นอนตฺตาทั้งสิ้น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนตฺตา ธรรมทั้งปวงก็หมายถึงสมมุติทั้งมวล นั่นเป็นอนตฺตาทั้งสิ้น ปล่อยหมด ถึงขั้นที่ควรจะปล่อยหมดแล้ว สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเป็น อนตฺตา สิ้น นั่นท่านบอก ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น ถึงขั้นแล้วไม่ถือมั่นปล่อยหมด ตัวเองผู้ปล่อยก็ไม่ถือมั่นในตัวเอง รู้รอบขอบชิดอดีตอนาคต ปัจจุบันรู้เท่าทันทั้งนั้น ปล่อยขาดสะบั้นไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ นี่อำนาจของปัญญาเป็นอย่างนี้ นี่ละสัจธรรม

        คำว่านิโรธๆ คืออะไร ก็เป็นผลเกิดขึ้นจากมรรคที่ดับกิเลสไปโดยลำดับๆ นั้นแล กิเลสดับมากน้อยความดับทุกข์ซึ่งเป็นผลของกิเลส มันก็ต้องดับไปตามหลักธรรมชาติของมัน แต่ท่านแยกตามอาการ ว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ท่านว่าอย่างนั้น มันก็เหมือนเราตามไฟขึ้น ความมืดมันก็ดับไป ไม่ใช่ว่าตามไฟขึ้นแล้วจะไปเที่ยวหากำจัดความมืด มันหากเป็นอยู่ในฉากเดียวกัน พอดับไฟลงพับความมืดก็ปรากฏขึ้นมาในขณะเดียวกัน พอเปิดไฟขึ้นความสว่างเกิดขึ้นความมืดก็หายไป

        อันนี้พอปัญญาญาณได้ปรากฏขึ้นเต็มที่ ความมืดไม่ว่าจะอยู่ในซอกใดมุมใดของจิต มันหายไปหมดรอบตัวไม่มีอะไรเหลือเลย นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ปัญญาเป็นขั้นๆ เริ่มเป็นความสว่างไปตามขั้นๆ ของปัญญา ถึงขั้นสุดยอดแล้วเป็นมหาสติมหาปัญญา เป็นปัญญาวิมุตติที่นี่ ว่าวิมุตติอันใดปัญญาอันนั้น ปัญญาอันใดสติอันนั้น ถูกไม่มีค้าน เมื่อถึงขั้นไม่ค้านแล้วค้านไม่ได้ เป็นหลักธรรมชาติของความจริงอย่างนั้นเอง แต่หลักของสมมุติที่จะก้าวเข้าสู่วิมุตติ ก็ต้องเป็นไปตามขั้นของตน เช่น มหาสติมหาปัญญา อันนี้เป็นขั้นดำเนินมรรคเพื่ออรหัตมรรค จะฆ่ากิเลสอย่างละเอียดได้ด้วยอำนาจของมหาสติมหาปัญญานี้

        พอผ่านกิเลสทุกประเภทไปหมดแล้ว ด้วยอำนาจของมหาสติมหาปัญญานี้แล้ว ธรรมทั้งสองคือมหาสติมหาปัญญานี้ก็หมดหน้าที่ไป เพราะอันนี้ก็เป็นสมมุติเหมือนกัน ไม่มีปัญหา จะเรียกว่ามหาสติมหาปัญญาอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ไม่เรียกไม่ค้าน เพราะอันนี้เป็นคู่กันกับกิเลสอวิชชา ปราบกันตรงนั้น คู่ปราบกัน พอเลยจากขั้นนั้นไปแล้ว จะเรียกว่าสติจะเรียกว่าปัญญาไม่สำคัญทั้งนั้น นอกจากมีเหตุอะไรเกิดขึ้นดังที่ท่านพูดไว้ในหลักพระวินัยว่า เช่น พระอรหันต์ถูกโจทก์เป็นสังฆาฯ ปาราชิกอะไรอย่างนี้ ท่านเป็นสติวินัยว่าอย่างนั้น เอามารับกันเท่านั้นเอง ท่านเป็นสติวินัย นั่นคือสมมุติ พูดง่าย ว่าท่านบริสุทธิ์แล้ว มีฐานะอะไรที่จะไปเกี่ยวข้องเหล่านี้ นี่ไม่ใช่ฐานะของท่านพูดง่าย ยกออกมารับกันเพียงเท่านั้น

        ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ท่านเองท่านไม่ได้สำคัญตนท่านว่าท่านมีสติหรือท่านขาดสติ ประจักษ์อยู่ภายในใจก็คือบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว คือว่าหมดเรื่องสมมุติทั้งปวงภายในจิตใจแล้วเท่านั้น นี่คือเต็มภูมิของภูมิจิตภูมิธรรมขั้นนั้น ท่านหมดความสำคัญใด ถึงนิพพานแล้วท่านก็ไม่ว่า คำว่านิพพาน ก็เป็นชื่ออันหนึ่ง ธรรมชาตินั้นเป็นอะไรก็รู้อยู่กับใจแล้วสงสัยอะไร ไปหาชื่อหาเสียงอะไรที่ไหนอีก นอกจากจะนำมาสอนโลกก็ต้องแยกแยะออกไปตามขั้นตามสมมุติ

        ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงหนักแน่นในการประพฤติปฏิบัติ อย่าเห็นสิ่งใดว่าเป็นสิ่งสำคัญกว่าการแก้กิเลส และอย่าเห็นโทษใดมีโทษยิ่งกว่าเรื่องของกิเลส และอย่าเห็นคุณใดมีคุณค่ายิ่งกว่าการปราบปรามกิเลสในฝ่ายมรรคและฝ่ายผล ซึ่งเป็นของที่มีคุณค่ามหาศาลหาที่เปรียบไม่ได้แล้วในโลกสงสารนี้ เอ้า เป็นกับตายก็ให้กำลังวังชามอบลงเพื่อการถอดถอนกิเลสอย่างเดียว อย่าให้ไปเสียเวล่ำเวลาความคิดความปรุงอะไรๆ ไปเปล่าๆ โดยกิเลสไม่ถลอกปอกเปิกเลย สติปัญญามีมากน้อยให้ทุ่มเข้ามาตรงนี้ ตรงกิเลสอยู่นี้

        คิดเรื่องอะไรให้เป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมเพื่อฆ่ากิเลสทั้งนั้น อย่าไปคิดเรื่องส่งเสริมกิเลส เพราะมันมีอยู่แล้ว มันเต็มหัวใจอยู่เวลานี้เรายังไม่ทราบอยู่เหรอ เอาให้มันจริงมันจังซิ

        เราอยากรู้อยากเห็นหมู่เพื่อน ได้เห็นผลในการประพฤติปฏิบัติตามที่แนะนำสั่งสอนนี้ เพราะเราสั่งสอนเต็มอรรถเต็มธรรมเต็มภูมิของเรา จนกระทั่งเราไม่มีความสามารถที่จะสั่งสอนหมู่เพื่อนได้แล้วก็ให้มันรู้ว่ะ ถึงภูมิจิตภูมิธรรมขั้นใดเราจึงไม่สามารถสั่งสอนหมู่เพื่อนได้อีกต่อไปแล้วก็ให้มันรู้ เวลานี้ยังแน่ใจอยู่ว่า ยังไม่ได้จุใจกับหมู่เพื่อนในการประพฤติปฏิบัติที่รู้เห็นอันใดพอให้เราได้แก้ มีแต่เทศน์อยู่อย่างงั้นจนหมดลมหมดแล้งจะตายไปเลย ผลที่ปรากฏขึ้นมานี้ยังไม่เห็น จึงไม่เป็นที่จุใจ

        อย่าเห็นอะไรสำคัญยิ่งกว่าจิตนะ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยไปชั่วกาลชั่วเวลา บำบัดบรรเทากันไปอย่างนั้นแหละ พอให้มีกำลังวังชาต่อสู้กับกิเลส เรื่องสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ อย่าไปหาความสุขด้วยการกินการดื่มการหลับการนอน ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องทำให้กิเลสกระเทือน อันนั้นเป็นเครื่องอาศัยชั่วกาลชั่วเวลา พอบำบัดบรรเทากันไปเท่านั้น ถือเพียงเท่านั้นอย่าไปถือเป็นสำคัญในเรื่องเหล่านั้น แล้วธรรมทั้งหลายจะด้อยลง กิเลสจะพองตัวขึ้นมาโดยไม่รู้สึก

        จิตใจให้จ่อ ความมุ่งมั่นให้หนักแน่นแล้วความเพียรก็จะตามกันมา ความอดความทนความอุตส่าห์พยายามทุกชิ้นทุกอันทุกด้านทุกทาง จะหมุนตามกันมาเพราะความมุ่งมั่นนี้เป็นของสำคัญมาก

พูดเท่านี้รู้สึกเหนื่อยแล้ว เอาเท่านี้ก่อน

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก